Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

เชียงใหม่-ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต จัด 'อบรมดับเพลิงและซ้อมอพยพหนีไฟ' ประจำปี 2568 

ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต จัดอบรมดับเพลิงและซ้อมอพยพหนีไฟเต็มรูปแบบประจำปี 2568 โดยคุณศิระ สันติตรานนท์ ผู้จัดการทั่วไปศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต พร้อมด้วยพนักงานในเครือ Central Group, ตัวแทนจากสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองสุเทพและเทศบาลนครเชียงใหม่, งานกู้ชีพ กู้ภัยเทศบาลเมืองสุเทพ พร้อมด้วยพนักงานร้านค้า และผู้สังเกตุการณ์จากภาครัฐและเอกชนที่เข้าร่วมการซ้อมอพยพครั้งนี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต

เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมดูแลความปลอดภัยของพนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการที่ต้องมาเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ตอบสนองต่อนโยบายด้านความปลอดภัยตามประกาศของกระทรวงแรงงาน เรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัยในสถานประกอบการ 

รวมถึงความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้างและผู้ใช้อาคาร ให้สามารถรู้ถึงการปฏิบัติตน เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ในกรณีมีการอพยพหนีไฟ สามารถขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม มีความชัดเจน เป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพ

ศรชล. ร่วมกับ UNODC จัดการประชุม ASEAN Coast Guard Forum 2025 (ACF 2025) ภายใต้หัวข้อ 'Fostering Maritime Safety, Security, and Prosperity in ASEAN'

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี/ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ผอ.ศรชล.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมหน่วยยามฝั่งอาเซียน ปี พ.ศ.2568 (ASEAN Coast Guard Forum 2025 : ACF 2025) พร้อมทั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (นปท.) ร่วมคณะในครั้งนี้ด้วย โดยมี พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ/รอง ผอ.ศรชล. และ พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ/เลขาธิการ ศรชล. ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมฮิลตัน พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (Thai Maritime Enforcement Command Center: Thai-MECC) และ United Nations of Drugs and Crime (UNODC) เป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุม ACF 2025 โดยประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ส่งหน่วยงานยามฝั่ง หน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายทางทะเล ตลอดจนผู้สังเกตการณ์ เข้าร่วมประชุมฯ อีก 9 หน่วยงาน ได้แก่ หน่วย Royal Brunei Police Force (RBPF) หน่วย Indonesia Maritime Security Agency (Badan Keamanan Laut Republik Indonesia: BakamlaRI) หน่วย Embassy of Laos People’s DemocraticRepublic หน่วย Malaysian Maritime EnforcementAgency (MMEA) หน่วย Myanmar Coast Guard หน่วย Philippine Coast Guard (PCG) หน่วย SingaporePolice Coast Guard หน่วย Vietnam Coast Guard(VCG) และ หน่วย The Naval Component of theTimor-Leste Defence Force (F-FDTL) โดยมี UNODC เป็นผู้สนับสนุนหลักของจัดการประชุมฯ ซึ่งสาระสำคัญของการประชุม ACF 2025 คือ “Fostering Maritime Safety, Security, and Prosperity in ASEAN” หรือ “การส่งเสริมความปลอดภัย ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองทางทะเลในอาเซียน”

โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี/ผอ.ศรชล. ได้กล่าวถึงความสำคัญของการรักษาผลประโยชน์ทางทะเลในภูมิภาคอาเซียนว่า ความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิภาคอาเซียน โดยได้เน้นย้ำ “ความสำคัญของการสร้างเครือข่ายของภูมิภาคอาเซียน (Network of ASEAN) และ เครือข่ายความเป็นหุ้นส่วน’ (Network of Partnerships) ในการร่วมมือกันปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ทางทะเลของชาติอาเซียน (Common Maritime Interests) บนความไว้เนื้อเชื่อใจ (Mutual Trust) เพื่อให้ภูมิภาคมีความปลอดภัย  (Safety) และทุกประเทศสามารถดำเนินกิจกรรมทางทะเลได้อย่างมั่นคง (Stable) มั่งคั่ง (Prosperity) และมีความยั่งยืนร่วมกันในภูมิภาค (Regional-Shared Sustainability) ” โดยการประชุม ACF.จะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนของทุกความสำคัญข้างต้น

ทั้งนี้ การประชุม ACF มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลและการปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในภูมิภาค สำหรับการประชุม ACF 2025 ในครั้งนี้ นับเป็นการประชุมหน่วยยามฝั่งอาเซียนครั้งที่ 4 โดยการประชุม ACF ครั้งที่ 1 และ 2 เป็นเจ้าภาพโดย BAKAMLA (อินโดนีเซีย) และการประชุมครั้งที่ 3 มี PCG (ฟิลิปปินส์) เป็นเจ้าภาพ

ซึ่งภายหลังพิธีเปิดการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมรับชมการฝึกค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยในทะเล และการแพทย์ฉุกเฉินในทะเล ประจำปี 2568 ร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมทั้งหัวหน้าหน่วยงานยามฝั่งและผู้แทน อีกด้วย

EU รับยังไม่พร้อมลงศึกสงครามโดรน หวั่นเกรงโดรนรัสเซีย! สยบรถถังเพียง 6 นาที

(27 มิ.ย. 68) อันดรีอุส คูบิลิอุส (Andrius Kubilius) กรรมาธิการฝ่ายกลาโหมแห่งสหภาพยุโรป ให้สัมภาษณ์กับสกายนิวส์ว่า ยุโรปยังไม่มีความพร้อมหากเกิดสงครามโดรนกับรัสเซีย พร้อมระบุว่า หากสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นเปิดฉากสู้รบ จำเป็นต้องมีโดรนอย่างน้อย 3 ล้านลำต่อปีเพื่อรับมือ

คูบิลิอุสอ้างข้อมูลว่ารัสเซียอาจมีโดรนถึง 5 ล้านลำ ซึ่งทำให้ยุโรปต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีอากาศไร้คนขับ หากหวังจะเอาชนะหรือป้องกันตนเองในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางทหารในอนาคต

ในสงครามยูเครน-รัสเซียที่ยังดำเนินอยู่ โดรนกลายเป็นอาวุธหลักในสนามรบ สหภาพยุโรปจึงเร่งตอบสนองด้วยการอนุมัติเงินกู้ 150,000 ล้านยูโร (ราว 5.8 ล้านล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการผลิตอาวุธ โดยเฉพาะโดรนรุ่นใหม่ พร้อมผลักดันการฝึกกำลังพล และพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้ทันสมัยและยืดหยุ่นมากขึ้น

ทั้งนี้ คูบิลิอุสเตือนว่า แม้ยูเครนจะผลิตโดรนได้ถึง 4 ล้านลำในปีนี้ แต่ยุโรปยังห่างไกลจากเป้าหมายดังกล่าว พร้อมยกตัวอย่างจากประสบการณ์แนวหน้าของยูเครนที่ทุกอย่างควบคุมด้วยโดรน และรถถังแบบเดิมอยู่ได้เพียง 6 นาทีเท่านั้นในสงครามสมัยใหม่ จึงเรียกร้องให้นาโตและประเทศสมาชิกเร่งลงทุน ขยายกำลังป้องกันทางอากาศ และพัฒนาเทคโนโลยีต้านโดรนอย่างจริงจัง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้ารับฟังความคิดเห็น 'ร่าง พ.ร.บ.แก้ไข ป.วิ.อาญา' ต่อเนื่อง จัดเวทีเสวนาภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ที่นครสวรรค์ 

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย. 68)เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์ฝึกตำรวจภูธรภาค 6 จังหวัดนครสวรรค์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและคดี) ร่วมรับฟังการเสวนาทางวิชาการ หัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต่อร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา (ร่างของ ส.ส.พรรคประชาชน)ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนบน โดยมี พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6, พล.ต.ท.วสันต์ วัสสานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6, พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน กรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ, พล.ต.ท.ดำรงค์ เพ็ชรพงค์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ ตร. พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับ รองผู้บัญชาการ และ ผู้บังคับการ ในสังกัด ตำรวจภูธรภาค 5 และ ภาค 6 ร่วมงานเสวนา   

การจัดเวทีเสวนาครั้งนี้นับเป็นเวทีครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ ตร. จัดเสวนาอย่างต่อเนื่อง จากเวทีในพื้นที่ภาคกลาง (ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จ.นครปฐม) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จ.ขอนแก่น) และภาคใต้ (จ.ภูเก็ต) โดยมีเป้าหมายเพื่อรับฟังความคิดเห็นที่มีต่อร่างกฎหมาย ให้รอบด้าน ครอบคลุม ทุกมิติ และทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ภายในงาน ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในกระบวนการยุติธรรมร่วมอภิปราย ได้แก่ ท่านเปรมศักดิ์ ศรีนวล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครสวรรค์, พล.ต.ท.ดำรงค์  เพ็ชรพงค์  อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ดร.ชำนาญ ชาดิษฐ์ กรรมการอำนวยการ สำนักงานธนานุเคราะห์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และทนายความ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เครือวัลย์ อินทรสุข ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์, นายโสฬส วัฒนศิลป์ กต.ตร.จังหวัดนครสวรรค์  และ พ.ต.อ.ดร. เทิดสยาม บุญยะเสนา ผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธร ภาค 5 การเสวนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน ประกอบด้วย ตัวแทนหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ภาคประชาชน นักศึกษาในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนพนักงานสอบสวนและข้าราชการตำรวจในสังกัด ภ.5 และ ภ.6 ภายหลังการเสวนาในภาคเช้า ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความคิดเห็นต่อร่างกฎหมาย และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อเสนอในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติ

สำหรับร่าง แก้ไข ป.วิ.อาญา มีสาระสำคัญคือ การให้อัยการมีอำนาจกำกับดูแลงานสืบสวนสอบสวน  เช่น ในการสืบสวนเมื่อพบเหตุต้องแจ้งให้พนักงานอัยการทราบทันที การออกหมายเรียก หรือขอศาลออกหมายจับ ต้องให้พนักงานอัยการให้ความเห็นชอบก่อน รวมถึงให้อำนาจพนักงานอัยการมากำกับการสอบสวนในคดีสำคัญ หรือคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งในเวทีเสวนาวันนี้หลายฝ่ายได้แสดงความเห็นว่า ขั้นตอนการปฏิบัติที่ร่างกฎหมายกำหนด อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการสอบสวน เพราะกระบวนการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนระหว่าง พนักงานสอบสวน อัยการ และศาล  ย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนที่เป็นผู้เสียหายทำให้เข้าถึง กระบวนการยุติธรรมได้ล่าช้าขึ้น ย่อมจะกลายเป็นความไม่ยุติธรรม (Justice delayed is justice denied) ในเวทีเสวนา ยังได้ยกตัวอย่างคดีในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งต้องมีการสืบสวนสอบสวนคดียาเสพติดเพื่อป้องกันปัญหาการนำเข้ายาเสพติดตามแนวชายแดน หากนำขั้นตอนการปฏิบัติตามร่างกฎหมายมาใช้ อาจไม่เหมาะสมต่อสถานการณ์ ในการสืบสวนสอบสวน จับกุม ตรวจค้น คดียาเสพติดได้ในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ในวงเสวนายังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องงบประมาณของรัฐที่จะต้องจัดสรรเพิ่มเติมให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการ ในการจัดหาบุคลากร ทรัพยากรต่างๆ  และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มเติม เพื่อรองรับภาระงานต่างๆ ที่มีเพิ่มขึ้นจากร่างกฎหมายนี้        

ประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มีการแลกเปลี่ยนกันในการเสวนา คือ การแก้ไขกฎหมายต้องมีเหตุผลและความจำเป็นที่เหมาะสม  แต่การเสนอแก้ไข ป.วิ.อาญา ครั้งนี้  เป็นการยกปัญหาเป็นข้อบกพร่องส่วนบุคคล ในงานสอบสวนแค่บางส่วน แต่มาเสนอแก้หลักการของกฎหมายแม่บท ทั้งที่การแก้ไขปัญหานั้นสามารถดำเนินการผ่านกลไกการประสานงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม หรือการแก้ไขระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เหมาะสม และรวดเร็วกว่า โดยไม่จำเป็นต้องไปแก้ไข ป.วิ.อาญา เพราะจะทำให้ไปกระทบหลักการของระบบกฎหมายอาญาที่เป็นระบบกล่าวหาของประเทศไทยทั้งระบบโดยไม่จำเป็น นอกจากนั้น ร่าง ป.วิ.อาญาฉบับแก้ไข เน้นประเด็นการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหาค่อนข้างมาก 

ทั้งที่โดยหลักแล้วกระบวนการยุติธรรมต้องมีความสมดุลกันระหว่าง ผู้เสียหายและผู้ต้องหา และยังต้องคำนึงถึงมิติการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมอาชญากรรม (Due process) ตามหลักอาชญาวิทยาด้วย หากร่างกฎหมายมุ่งแก้ไขเพียงบางประเด็น จะทำให้เกิดความไม่สมดุลในกลไกของกระบวนการดำเนินคดี  และยังส่งผลให้ขัดหรือแย้งกับมาตราอื่นๆ ที่ไม่ได้เสนอแก้ไขในคราวเดียวกันนี้อีกด้วย อาจเกิดความไม่ชัดเจนในการปฏิบัติ  สุดท้ายย่อมส่งผลกระทบให้เกิดความล่าช้าในการสอบสวนโดยไม่จำเป็น และส่งผลเสียต่อประชาชนผู้เสียหายในที่สุด     

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รวบรวมผลการเสวนาทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ นำมาจัดทำเป็นเล่มรายงานทางวิชาการ 4 ฉบับ เพื่อเป็นข้อมูลการทำความเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมาย เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งเผยแพร่ให้ผู้สนใจ ได้ศึกษาข้อมูลผลการเสวนาดังกล่าวต่อไป

ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และเจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ เยี่ยมบำรุงขวัญทหารเรือชายแดน จว.ตราด

พล.ร.อ.ณัฎฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร. ) และคณะ พร้อมด้วย พล.ร.ต. วชิรวิชญ์ ขาวคม เจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ (จก.วศ.ทร.) และคณะ ปฏิบัติราชการ มชด./1 เข้าร่วมรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่และความพร้อมจาก มชด./1 พร้อมมอบน้ำดื่ม ขนาด 600 มล. จำนวน 2,000 โหล และฝุ่นโรยเท้า จำนวน 1,400 ขวดให้กับเรือใน มชด./1 เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจในการปกป้องอธิปไตย และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล จว.ตราด

รอง ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิกิติ์ฯ ต้อนรับคณะ นศ. วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก

น.อ.หญิง อรัญญา เชยดี รอง ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ฝ่ายการพยาบาล ให้การต้อนรับคณะศึกษาดูงานหลักสูตรฝึกอบรมการพยาบาลเฉพาะทางสาขา การบริหารการพยาบาล รุ่นที่ 18 วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก 

ซึ่งประกอบด้วย นายทหารนักเรียน และคณาจารย์ จำนวน 54 คน ในการเข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานห้องปรับความดันบรรยากาศสูง (Hyperbaric Chamber) โดยมี ทีมแพทย์จากศูนย์เวชศาสตร์ความดันบรรยากาศสูงฯ ทำหน้าที่บรรยายในส่วนที่เกี่ยวข้อง

เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ เป็นประธานในพิธีสวนสนามปิดการฝึกอบรมหลักสูตรทหารใหม่ ผลัดที่ 1/68 ชื่นชมผลการฝึก 8 สัปดาห์ ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากพลเรือน สู่ทหารที่มีความองอาจ เข้มแข็ง เกียรติยศแห่งความภาคภูมิใจของน้องเล็กของกองทัพเรือ ก้าวสู่ชายชาติทหาร

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย. 68)พล.ร.ท.อดิศักดิ์ แจงเล็ก เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ (จก.ยศ.ทร.) เป็นประธานในพิธีสวนสนามปิดการฝึกอบรมหลักสูตรทหารใหม่ ภาคสาธารณศึกษา ผลัดที่ 1/68 ณ ลานสวนสนาม ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ศฝท.ยศ.ทร.) โดยมี น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) และคณะให้การต้อนรับ ณ กองบัญชาการ ศฝท.ยศ.ทร. ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การจัดพิธีดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนพลกองประจำการหลักสูตรทหารใหม่ ผลัดที่ 1/68 จำนวนทั้งสิ้น 2,894 นาย จัดเป็นกรมสวนสนาม ประกอบด้วย 4 กองพัน (19 กองร้อย และจัด 1 กองร้อยวิ่งสวนสนาม) แสดงออกถึงความเป็นทหารที่มีความองอาจ เข้มแข็ง พร้อมเพรียง และมีระเบียบวินัย ผ่านการสวนสนามให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ตลอดจนญาติได้เห็นผลของการฝึกอบรมตลอดระยะเวลา 8 สัปดาห์ ที่เปลี่ยนแปลงจากพลเรือนมาเป็นทหาร อีกทั้งยังแสดงออกถึงความสามัคคี และความสง่างาม สมกับการเป็นสุภาพบุรุษทหารเรือ

โอกาสนี้ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ได้กล่าวชื่นชมการแสดงออกของทหารใหม่ในการสวนสนามว่า “ผมอยากบอกกับทุกนายว่า ราชนาวีไม่ใช่แค่กองทัพ แต่คือบ้าน บ้านของลูกผู้ชาย บ้านหลังนี้อาจจะไม่ได้อบอุ่นด้วยความสะดวกสบาย แต่บ้านหลังนี้อบอุ่นด้วยหัวใจของนักรบ อบอุ่นด้วยวินัย ความเข้มแข็ง และความห่วงใยแบบพี่น้อง ที่พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างกันในยามยาก

จากวันที่พวกท่านเดินเข้าสู่ประตูศูนย์ฝึกด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำถามและความกังวล จนถึงวันนี้ ท่านได้กลายเป็นชายชาติทหารที่กล้าหาญ มีวินัย และมีเกียรติ

ทหารเรือไม่ใช่แค่ตำแหน่งในเครื่องแบบ แต่คือผู้ที่พร้อมยืนหยัดกลางพายุ และไม่ถอยแม้ยามคลื่นลมแรง และวันนี้ผมเห็นแล้วว่าพวกท่านพร้อมแล้ว ผมขอชื่นชมในความพยายาม ความเสียสละ และความอดทนที่ทุกนายได้แสดงออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ และขอขอบคุณผู้บังคับบัญชา ครูฝึก และเจ้าหน้าที่ทุกนายที่ได้ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ สมกับความไว้วางใจของกองทัพเรือ

รวมถึงขอขอบคุณผู้ปกครองทุกท่าน ที่มอบบุตรหลานให้กับบ้านหลังนี้ บ้านของราชนาวี เราจะดูแลเขาอย่างดีที่สุดในฐานะทหาร ในฐานะลูกหลาน ในฐานะน้องเล็กของกองทัพเรือ และในฐานะนักรบแห่งราชนาวีไทย”

ทั้งนี้ทหารใหม่ ผลัดที่ 1/68 มีความพร้อมที่จะปฏิบัติงานในหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ โดยจะมีการส่งตัวในวันที่ 1 ก.ค.68 ต่อไป

ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมมอบอุปกรณ์การเรียน-กีฬา และเวชภัณฑ์ แก่โรงเรียนโสตศึกษาเทพรัตน์ และศูนย์การศึกษาพิเศษฯ ประจวบคีรีขันธ์

วันที่ 25 – 26 มิถุนายน 2568 ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมมอบอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ยาและเวชภัณฑ์ พร้อมจัดเลี้ยงอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนโรงเรียนโสตศึกษาเทพรัตน์ และศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หน่วยบริการบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อสนับสนุนการศึกษาและส่งเสริมสุขภาพของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล

ในการนี้ นายนนทวัฒน์ ตรีนันทวัน ผู้อำนวยการโรงเรียนโสตศึกษาเทพรัตน์ และนายพิชญุตม์ พงษ์สระพัง หัวหน้าหน่วยบริการบางสะพาน พร้อมคณะครูและนักเรียน ร่วมให้การต้อนรับคณะจากทัพเรือภาคที่ 1 อย่างอบอุ่น

กิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมการศึกษาของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงสร้างความสุขและรอยยิ้มให้แก่เด็ก ๆ อีกทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือกับประชาชนในพื้นที่ อันจะเป็นฐานความร่วมมือในการปฏิบัติงานร่วมกันในอนาคต

ทัพเรือภาคที่ 1 บูรณาการความร่วมมือด้านกิจการมวลชนและประชาสัมพันธ์ร่วมกับ กอ.รมน.

พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 / ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) ให้การต้อนรับ พลตรี ธนาธิป สว่างแสง รองผู้อำนวยการสำนักกิจการมวลชนและสารนิเทศ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) พร้อมคณะ ในโอกาสเดินทางมาประสานความร่วมมือด้านการประชาสัมพันธ์และกิจการมวลชนในพื้นที่ความรับผิดชอบของ กอ.รมน.ภาค 1

การพบปะในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการดำเนินงานด้านข้อมูลข่าวสาร การใช้มวลชนเป็นสื่อกลางในการสร้างการรับรู้ รวมถึงการแลกเปลี่ยนแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่าง ทัพเรือภาคที่1 กอ.รมน. ศรชล.ภาค 1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการประชาสัมพันธ์ทั้งทางบกและทางทะเล ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี

ในช่วงบ่าย คณะฯ ได้เดินทางเยี่ยมชมการสาธิตการตรวจค้นเรือต้องสงสัย โดยชุดตรวจค้นจากเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ต.996 จากกองเรือปฏิบัติการ ทัพเรือภาคที่ 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของ ทัพเรือภาคที่1 ในการรักษาความมั่นคงทางทะเล

สตูล จัดการฝึกป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรณีสึนามิ (C-MEX 25) เตรียมความพร้อมและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ 

(27 มิ.ย. 68) ที่โรงเรียนบ้านหาดทรายยาว ตำบลตันหยงโป อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล นายคณิต คงช่วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล พร้อมด้วย นางสาววิภารัตน์ อร่ามเรือง หัวหน้ากลุ่มงานยุทธศาสตร์และการจัดการ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสตูลและหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร และน้องๆนักเรียน เข้าร่วมกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับภัยสึนามิ และการซักซ้อมขั้นตอนเตรียมความพร้อม อาทิ การทดสอบระบบวิทยุสื่อสาร และโดรนสำหรับสำรวจความเสียหาย 

ทั้งนี้การฝึกซ้อมแผนฯ มีประโยชน์ในการเตรียมความพร้อมและลดความสูญเสียจากภัยพิบัติสึนามิ โดยช่วยให้ผู้คนเข้าใจวิธีรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน  ปฏิบัติตามขั้นตอนการอพยพที่ถูกต้อง และสามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ทันท่วงที ทั้งยังเป็นการสร้างความตระหนักและเข้าใจ การซ้อมแผนช่วยให้ผู้คนในพื้นที่เสี่ยงภัยเข้าใจถึงลักษณะของสึนามิ สัญญาณเตือนภัย และวิธีการอพยพที่ถูกต้อง ลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน การซ้อมแผนสึนามิมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อมและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติสึนามิ ช่วยให้ผู้คนสามารถเอาตัวรอดและช่วยเหลือผู้อื่นได้เมื่อเกิดเหตุการณ์จริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top