Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

ทรัมป์จ่อเชือดนายพลชุดใหญ่ หลังถูกนายทหารวิจารณ์เป็นฟาสซิสต์

เมื่อวันที่ (13 พ.ย.67) รอยเตอร์รายงานว่า ทีมเปลี่ยนผ่านอำนาจของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ กำลังจัดทำรายชื่อนายทหารที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง ซึ่งอาจรวมถึงคณะเสนาธิการร่วม หากดำเนินการจริง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

แหล่งข่าววงในเผยว่า การวางแผนปลดบุคลากรทางทหารเริ่มขึ้นหลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยอาจมีการปรับแผนอีกครั้งเมื่อคณะบริหารใหม่เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยวิจารณ์ผู้นำกลาโหมที่ไม่เห็นด้วยกับเขา และระหว่างการหาเสียงยังเคยกล่าวว่าจะปลดนายพล 'สายโว้ก' รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการถอนทหารจากอัฟกานิสถานเมื่อปี 2564

รายงานระบุว่าคณะบริหารชุดใหม่มุ่งเป้าไปที่นายทหารที่เกี่ยวข้องกับมาร์ก มิลลีย์ อดีตประธานคณะเสนาธิการร่วม โดยมิลลีย์เคยกล่าวในหนังสือ *War* ของบ็อบ วู้ดเวิร์ด ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนที่ผ่านมา ว่าเขาเรียกทรัมป์ว่า 'เป็นพวกนิสัยฟาสซิสต์'

แหล่งข่าวอีกรายกล่าวว่า “ทุกคนที่มิลลีย์เคยเลื่อนขั้นจะต้องพ้นจากตำแหน่ง และเรามีรายชื่อของบุคคลเหล่านี้ทั้งหมด”

หนึ่งวันก่อนการเปิดเผยแผนนี้ ทรัมป์ได้แต่งตั้งพีท เฮกเซธ อดีตทหารผ่านศึกและผู้ร่วมวิเคราะห์ข่าวจากฟ็อกซ์นิวส์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม เฮกเซธเองได้เรียกร้องให้ปฏิรูปเพนตากอนในหนังสือ The War on Warriors: Behind the Betrayal of the Men Who Keep Us Free ที่ตีพิมพ์ในปีนี้

เฮกเซธยังวิจารณ์การแต่งตั้งพลอากาศเอก ซี.คิว. บราวน์ โดยกล่าวหาว่าเป็นการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุผลทางเชื้อชาติ แหล่งข่าวระบุว่าบราวน์อาจเป็นหนึ่งในนายทหารที่ถูกปลดด้วย พร้อมยืนยันว่า “ประธานและรองประธานคณะเสนาธิการร่วมจะถูกปลดทันที”

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายฝ่ายแสดงความกังวลต่อการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ท่ามกลางสถานการณ์สงครามในยูเครนและตะวันออกกลาง แม้ว่าบางแหล่งมองว่าเป็นการแสดงท่าทีทางการเมือง แต่กลุ่มสนับสนุนทรัมป์เชื่อว่าเป็นการจำเป็นเพื่อลดขนาดของคณะเสนาธิการร่วมที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต

‘ทักษิณ’ เผย เคยคุยกับ ‘ธนาธร’ อย่าพยายามรื้อโครงสร้างมากเกินไป ต้องแก้ปัญหาด้วยหลักการ เอาบ้านเมืองเป็นหลัก ย้ำ ไม่แตะ 112 เพราะเป็นสัตยาบันกับพรรคร่วม

‘ทักษิณ’ เผย เคยคุยกับ ‘ธนาธร’ อย่าพยายามรื้อโครงสร้างมากเกินไป ต้องแก้ปัญหาด้วยหลักการ เอาบ้านเมืองให้อยู่ได้ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือต้องจรรโลงอย่างเดียว อย่ามุ่งแค่หาเสียง จุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ ย้ำ ไม่แตะ 112 เพราะเป็นสัตยาบันกับพรรคร่วม

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย. 67) เมื่อเวลา 12.25 น. ที่จังหวัดอุดรธานี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี จากพรรคเพื่อไทย หาเสียงเลือกตั้ง ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วยในประเด็นการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และ มาตรา 112 โดย นายทักษิณ กล่าวว่า คดีตามมาตรา 112 เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัตยาบันไว้ว่าเราจะเทิดทูนสถาบัน เราจะไม่แตะเรื่อง 112 แต่จริง ๆ แล้วปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ตนก็เป็นเหยื่อรายหนึ่ง และการบังคับใช้กฎหมาย สมมติว่า คนที่รับคดีครั้งแรกกลัวว่าเดี๋ยวจะหาว่าไม่จงรักภักดี ก็ฟ้องไปก่อน ทั้งที่หลักฐานไม่มี คนที่สองบอกว่าถ้าไม่ฟ้องเดี๋ยวโดนอีก ก็ฟ้อง โดยที่ไม่ได้ดูความถูกต้องของพยานหลักฐาน จึงทำให้การจงรักภักดีและรักสถาบันไม่ถูกต้อง การจงรักภักดีที่ถูกต้อง คือ การรักษากฎหมายที่เป็นธรรม นี่คือ สิ่งที่ต้องแก้ไข แต่ก็ไม่ง่าย ในการแก้ซึ่งต้องใช้เวลา

เมื่อถามว่า หลังการเลือกตั้งสมัยหน้าการนิรโทษกรรมมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน จะผลักดันหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่อยากให้ความเห็นในเรื่องนี้ ไม่อยากมีบทบาท เดี๋ยวจะหาว่าเพราะคนนั้นคนนี้ ถ้าเราอยู่บนหลักการทุกอย่างมีทฤษฎี มันก็จะไม่เป็นแบบนี้ แต่เนื่องจากเราไปมองว่าเป็นเรื่องของพวกใครพวกมัน ถึงได้เป็นปัญหา ถ้าเมื่อไหร่เราจิตใจนิ่งสงบ คิดถึงหลักการเป็นหลัก ไม่คิดถึงพวกใครพวกมัน ก็จะดีขึ้น

เมื่อถามว่า อะไรที่ทำให้ข้อหาไม่จงรักภักดีใช้ได้ผลเสมอในทางการเมือง นายทักษิณ กล่าวว่า “ก็การเมืองไง ดูสิ ผมนี่โดนหนักที่สุด ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่ถวายงานที่สุด แต่ด้วยความหมั่นไส้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา”

เมื่อถามต่อว่า ในแต่ละเหตุการณ์มีบริบทเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ระหว่างการรัฐประหารปี 2549 และ ปี 2557 มาจนถึงพรรคการเมืองถูกยุบ เพราะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 นายทักษิณ กล่าวว่า ตนเคยคุยกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่า ตนก็โดนยุบ 3 พรรค ต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ดังนั้น ขอให้เราช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยหลักการ และเอาบ้านเมืองให้อยู่ได้มันจะดีที่สุด อย่าไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบัน เราต้องจรรโลงอย่างเดียว ตนไม่ได้บอกว่านายธนาธร หรือพรรคก้าวไกลไม่จงรักภักดี แต่ต้องยึดหลักให้ถูกต้อง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ

เมื่อถามว่า การแก้ปัญหาโดยไม่แตะโครงสร้างมีวิธีการอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ต้องทำตามหลักการของกฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่ดีก็ต้องแก้ไขกฎหมายไปที่ละขั้นตอน ไม่ใช่บอกว่ากฎหมายไม่ดีต้องไม่ทำเลย เพราะกฎหมายมันมีอยู่

หนังคนละม้วน ! ‘ธนาธร’ ไม่เคยคุย ม.112 กับ ‘ทักษิณ’ ซัดแทนที่จะร่วมแก้ปัญหา แต่กลับเลือก ‘เป็นส่วนหนึ่ง’ ของปัญหา

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความถึงกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขึ้นเวทีปราศรัย นายก อบจ.อุดรธานี เคยเตือน ธนาธร ถึงการหาเสียง มาตรา 112 ว่า “คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ว่าเหตุผลที่ก้าวไกลและเพื่อไทยไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 เลย”

“สิ่งที่คุณทักษิณกล่าว อาจทำให้คนทั่วเข้าใจไปได้ว่าผมเคยคุยกับคุณทักษิณเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หรือมีความคิดรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่ได้พูดคุยตกลงอะไรกันเรื่องนี้เลย”

“การพูดคลุมเครือแบบที่คุณทักษิณกล่าวในวันนี้ ยังเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งต่อพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน เพื่อพยายามสร้างความเข้าใจในหมู่ประชาชนว่าเหตุที่ดีลร่วมรัฐบาลล่ม เป็นเพราะพรรคก้าวไกลไม่ยอมลดราวาศอกเรื่อง 112”

“112 ไม่ใช่เงื่อนไขการร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ว่าก้าวไกลเสนอให้การแก้ไข 112 เป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล และเมื่อถูกทักท้วงจากพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นแล้วก็ไม่ยอมถอย”

“112 ไม่เคยอยู่ในเงื่อนไขตั้งแต่แรกต่างหาก ไม่มีอยู่ใน MOU ร่วมรัฐบาลที่เซ็นร่วมกันและเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ไม่ใช่แกนนำก้าวไกลมุทะลุ ไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีเหตุผลอื่นที่จะไม่ร่วมกัน แล้วใช้ 112 เป็นข้ออ้างต่างหาก”

“ในทางกลับกัน คุณทักษิณเอง น่าจะเป็นคนที่เข้าใจปัญหาโครงสร้างดีที่สุด แทนที่จะร่วมแก้ปัญหา กลับเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล เราไม่เคยโฆษณาหรือใช้เรื่อง 112 เป็นประเด็นหลักในการรณรงค์เพื่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง”

“เราตอบหรือพูดเรื่อง 112 อย่างซื่อตรงเมื่อถูกสื่อมวลชนหรือประชาชนถามเท่านั้น ผมทราบดีว่าการแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่สั่งสมมาหลายสิบปีของประเทศไม่ใช่สิ่งที่ ลัดขั้นตอน ได้ แต่ต้องทำงานความคิดอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมเห็นชอบร่วมกัน และแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไป”

“ไม่แก้ปัญหาโครงสร้าง ก็ปะผุประเทศไทยกันต่อไป ประเทศจะเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน มีแต่การให้คนในสังคมมีวุฒิภาวะพอ กล้ายอมรับปัญหา เผชิญหน้ากับมัน และค่อยๆ พูดคุยหาทางออกร่วมกัน” ธนาธร โพสต์ทิ้งท้าย

สีจิ้นผิง จะพบ ไบเดน เจอกันครั้งสุดท้าย นอกรอบประชุมเอเปค

(15 พ.ย. 67)ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะถือเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายก่อนที่ไบเดนจะลงจากตำแหน่ง

เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ผู้นำทั้งสองจะหารือประเด็นสำคัญระดับโลกหลายเรื่อง รวมถึงความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยการพบปะจะจัดนอกรอบการประชุมเอเปค (APEC) ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู แม้ว่าจะยังไม่ได้ระบุเวลาที่ชัดเจน

รอยเตอร์รายงานว่านี่จะเป็นการพบกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกของไบเดนและสี นับตั้งแต่การสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายพยายามควบคุมคือความตึงเครียดเรื่องไต้หวัน, ทะเลจีนใต้, และความสัมพันธ์กับรัสเซีย นอกจากนี้ ไบเดนยังคาดว่าจะขอความร่วมมือจากจีนในการปราบปรามการผลิตเฟนทานิล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการใช้ยาเกินขนาดในสหรัฐฯ เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตส่วนผสมหลักในการผลิตยานี้

ซัลลิแวนเผยว่า ไบเดนจะหยิบยกประเด็นการแฮ็กข้อมูลส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับจีน

นอกจากนี้ ไบเดนจะหารือถึงการสนับสนุนของจีนต่อรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครน รวมถึงการที่เกาหลีเหนือส่งทหารกว่า 10,000 นายไปช่วยรัสเซีย

นายกฯ อิ๊งค์ หารือ บิ๊ก Google ขอบคุณทุ่ม 3.5 หมื่นล้านลงทุนในไทย

(15 พ.ย. 67)นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมกับนายมาริส เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการหารือกับผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท Google, TikTok และ Microsoft ในสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู เพื่อสานต่อความร่วมมือระหว่างไทยกับบริษัทเหล่านี้

ระหว่างการหารือกับนาย Karan Bhatia รองประธานฝ่ายกิจการภาครัฐและนโยบายสาธารณะของ Google นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ Google ประกาศลงทุนมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไทยเพื่อสร้าง Data Center และ Cloud Region ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานกว่า 14,000 ตำแหน่งในช่วงปี 2568 - 2572 และสร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2572 ไทยพร้อมร่วมมือกับ Google ในการพัฒนาทักษะเทคโนโลยีของแรงงาน ส่งเสริมการทำงานภาครัฐ การขับเคลื่อนนโยบาย Go Cloud First รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ โดยต่อยอดจากบันทึกความเข้าใจที่ Google ลงนามกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเมื่อปี 2566

การหารือครั้งนี้ยังติดตามผลจากการพบปะของนายกรัฐมนตรีกับนาง Ruth Porat ประธานและซีอีโอฝ่ายการลงทุนของ Alphabet และ Google ซึ่งได้เดินทางมาไทยเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 เพื่อหารือถึงความคืบหน้าโครงการลงทุนของบริษัทในไทยและความร่วมมือเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและดิจิทัลของไทย

นายกรัฐมนตรีได้พบกับนาย Shou Zi Chew ซีอีโอของ TikTok ซึ่งนายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมในความร่วมมือระหว่าง TikTok กับหน่วยงานไทยที่ช่วยเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยทั้งสองฝ่ายหารือถึงแนวทางการเพิ่มความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล รวมถึงการสนับสนุนโครงการ Data Center ของ TikTok ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในไทยกว่า 49 ล้านบัญชี

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนาย Antony Cook รองประธานฝ่ายกฎหมายลูกค้าและพันธมิตรของ Microsoft ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแผนความร่วมมือในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และ AI และโครงการพัฒนาทักษะ AI ให้แก่บุคลากรไทย ซึ่งสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมของแรงงานทักษะสูง รองรับเทคโนโลยีขั้นสูง สอดคล้องกับเป้าหมายของไทยในการเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในภูมิภาค

การหารือกับ Microsoft ครั้งนี้ยังเป็นการต่อยอดจากการเยือนไทยของนาย Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งประกาศแผนการจัดตั้ง Data Center แห่งแรกในไทย การสนับสนุนทักษะด้าน AI และการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยนำ Generative AI ของ Microsoft มาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

‘เอกนัฏ’ สั่งปูพรมลุยตรวจโรงงานต่อเนื่อง ย้ำ! หากพบคนทำผิดให้จัดการตาม กม.อย่างเด็ดขาด

(15 พ.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) บูรณาการร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ทั่วประเทศ เปิด 'ปฏิบัติการตรวจสุดซอย' ต่อเนื่อง ปูพรมตรวจกำกับดูแลโรงงานกลุ่มเสี่ยงสูงในพื้นที่เฝ้าระวัง เช่น จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครราชสีมา เพชรบูรณ์ เป็นต้น รวมจำนวน 218 ราย โดยเฉพาะโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม หรือโรงงานลำดับที่ 101, 105 และ 106 ทั้งที่เป็นของเสียอันตรายและไม่เป็นของเสียอันตราย เช่น การคัดแยก หลุมฝังกลบ ทำเชื้อเพลิงผสม ทำเชื้อเพลิงทดแทนจากน้ำมันและตัวทำละลายใช้แล้ว สกัดแยกโลหะ ถอดแยกบดย่อยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลอมตะกรัน รีไซเคิลกรดด่าง เป็นต้น ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม และจะดำเนินการขยายผลปูพรมตรวจโรงงานทั่วประเทศ โดยให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัดตรวจสอบและวางแผนดำเนินการ คาดใช้เวลาภายในเวลา 2 เดือน หากพบโรงงานที่มีการกระทำผิดจะสั่งลงโทษเด็ดขาด

นายเอกนัฏฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ ตนได้ให้นโยบายและสั่งการให้ กรอ. และ สอจ. ทั่วประเทศ ปรับกลไกการอนุมัติอนุญาตโรงงานทั้งระบบ โดยใช้แนวคิด 'เพิ่มแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการที่ดี' โดยการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการที่ดีในทุกช่องทาง ควบคู่ไปกับการขึ้นบัญชี Blacklist ผู้ประกอบการที่มีประวัติไม่ดีหรือมีความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อยกระดับการตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามโรงงานกลุ่มดังกล่าวอย่างเข้มข้น การปรับกลไกการอนุมัติอนุญาตโรงงานดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงป้องกันที่ต้นเหตุ อย่างไรก็ตาม การจะสู้กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ทำร้ายประชาชนและสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบาย 'สู้ เซฟ สร้าง' นั้น การดำเนินการดังกล่าวอาจจะยังไม่เพียงพอ มีความจำเป็นต้องปฏิรูปการกำกับโรงงานทั้งระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ

“ผมได้กำชับเจ้าหน้าที่ กรอ. และ สอจ. ทั่วประเทศ ให้ตรวจสอบทุกโรงงานสุดซอยอย่างเข้มข้น พร้อมย้ำ! หากตรวจพบการประกอบการที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายให้ดำเนินการสั่งการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดให้ถึงที่สุด โดยไม่ต้องเกรงกลัวต่ออิทธิพลใด ๆ” รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ กล่าว

ด้านนายพรยศ กลั่นกรอง รักษาการอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ปฏิบัติการตรวจสุดซอย” เป็นปฏิบัติเชิงรุกในการตรวจสอบกำกับโรงงานเชิงลึกในทุกมิติ ทั้งด้านการติดตั้งเครื่องจักร กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีมาตรฐาน มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาตอย่างครบถ้วน ด้านสิ่งแวดล้อม มีการติดตั้งระบบบำบัดมลพิษที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ด้านการบริหารจัดการสารเคมี วัตถุอันตราย และกากอุตสาหกรรมต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ และด้านอาชีวอนามัย การปฏิบัติงานต้องมีความปลอดภัยของทั้งพนักงานและประชาชนโดยรอบโรงงาน อีกทั้ง การประกอบการต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายโรงงาน กฎหมายวัตถุอันตราย กฎหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบอย่างเต็มรูปแบบ เช่น ระบบตรวจกำกับดูแลสถานประกอบการ หรือระบบ i-Auditor ระบบห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ (E-Report) และระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยมลพิษ (Pollution Online Monitoring System) เป็นต้น

“กรอ. พร้อมทำงานเป็นเนื้อเดียวกับ สอจ. ในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบกับชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ รวมทั้งพร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสู้กับผู้ประกอบการที่เย้ยกฎหมาย หากพบโรงงานทำผิดกฎหมาย จะดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด” นายพรยศฯ กล่าวทิ้งท้าย

นักการเมืองไทยขยันแสดงจุดยืน ‘ไม่แตะมาตรา 112’

(15 พ.ย. 67) “นักการเมืองไทยขยันแสดงจุดยืน ‘ไม่แตะมาตรา 112’ อยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าท่องกันสามเวลาหลังอาหาร คิดว่าพวกเขาต้องการบอกประชาชนหรือครับ? ผมคิดว่าไม่”

ปิยบุตร แสงกนกกุล
โพสต์ข้อความ X
เมื่อ 14 พ.ย. 67

'ยูเนสโก' ยก ‘สุวรรณภูมิ’ ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2024

(15 พ.ย. 67) 'สุริยะ' ปลื้ม! 'ยูเนสโก' ยกย่อง 'ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ' ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2567 ด้าน 'อาคาร SAT-1' สุดปัง! ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสถาปัตยกรรมสวยที่สุดของโลก โชว์ความโดดเด่นด้านความงาม-ความคิดสร้างสรรค์ ชูอัตลักษณ์ความเป็นไทย ลุ้นประกาศผล 2 ธ.ค.นี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้รับการยกย่องจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ให้ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 (The World’s most beautiful List 2024)

ทั้งนี้ ล่าสุดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยังได้ถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Prix Versailles หมวดหมู่สนามบิน จากคณะกรรมการ The Prix Versailles Selection Committee ซึ่งร่วมกับ UNESCO โดยจะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ณ สำนักงานใหญ่ UNESCO กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยเกณฑ์การให้คะแนนการออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในด้านความงาม ทั้งภายนอก และภายในอาคาร ประกอบด้วย ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม ที่ผสมผสานกับบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อม

สำหรับอาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น เป็นอาคารสูง 4 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น มีพื้นที่ 216,000 ตารางเมตร มีประตูทางออกเชื่อมต่อกับหลุมจอดประชิดอาคาร (Contact Gate) จำนวน 28 หลุมจอด ถือว่ามีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบ การสร้างประสบการณ์ให้ผู้โดยสาร รวมทั้งให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนทางวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการถ่ายทอดความวิจิตรของเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ไทย สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ทอท.ยังได้มีการออกแบบที่สวยงาม โดยนำจุดแข็งทางวัฒนธรรมมานำเสนอ ประกอบกับการตกแต่งภายในอาคารเป็นแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมกับศิลปะที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้กลมกลืนไปกับโครงสร้างอาคารที่ทันสมัย ครอบคลุมทั้งประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และวิถีชีวิต โดยมีผลงานการตกแต่งประติมากรรมชิ้นเอกเป็นช้างคชสาร ตั้งอยู่บริเวณโถงกลางของชั้น 3 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาออก

ขณะเดียวกัน ภายในชั้น 3 ของอาคารฯ ได้รับการออกแบบให้เป็นสวนตกแต่งด้วยสัตว์หิมพานต์ตามคติความเชื่อไทยแต่โบราณ เช่น กินนร กินรี เหมราช และหงสา ส่วนชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาเข้า ได้ออกแบบเป็นสวนสัญจรที่จัดแสดงงานภูมิทัศน์ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมของไทย เช่น หุ่นละครเล็ก หนังใหญ่ หัวโขน และว่าวไทย เป็นต้น

ในส่วนปลายอาคารทั้ง 2 ด้าน คือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ติดตั้งสุวรรณบุษบก และรัตนบุษบก ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธปฏิมา ปางมารวิชัย และปางเปิดโลก โดยถอดแบบมาจากวัดผาซ่อนแก้ว เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อสถานที่ ขณะที่ ห้องน้ำ ได้เสนออัตลักษณ์อันงดงามของแต่ละภาค มีภาพจิตรกรรม 4 ภาคของไทย ไปจนถึงประเพณีวัฒนธรรมของไทยมาใช้ออกแบบรูปลักษณ์ภายใน อีกทั้ง สุขภัณฑ์ทั้งหมดยังใช้ระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยในการประหยัดน้ำอีกด้วย

สำหรับ 6 สนามบินที่เว็บไซต์ www.prix-versailles.com ได้ประกาศ 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 ได้แก่ 1. อาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย 2. อาคารผู้โดยสาร E ท่าอากาศยานนานาชาติโลแกน (Logan International Airport) สหรัฐอเมริกา 3. อาคารผู้โดยสารที่ 2 ท่าอากาศยานชางงี (Changi Airport) ประเทศสิงคโปร์ 4. ท่าอากาศยานนานาชาติซายิด (Zayed International Airport) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5. ท่าอากาศยานนานาชาติเฟลิเป แองเจเลส (Felipe Ángeles International Airport) ประเทศเม็กซิโก และ 6. ท่าอากาศยานนานาชาติแคนซัสซิตี้ (Kansas City International Airport) สหรัฐอเมริกา

ประเทศไหนบนโลกที่มีผลิตภาพด้านแรงงานสูงสุด

จากข้อมูลขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศได้ออกบทความชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันยุโรปเป็นภูมิภาคที่ได้รับการยอมรับในด้านผลิตภาพแรงงาน (worker productivity) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการผลิตของแรงงาน โดยเฉพาะประเทศลักเซมเบิร์กที่ขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างชัดเจน ประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรเพียงเล็กน้อยนี้ กลับสร้างรายได้เฉลี่ยต่อแรงงานที่สูงกว่าประเทศใหญ่ ๆ หลายเท่า โดย 10 ประเทศที่มีผลผลิตด้านแรงงานสูงสุดในโลกประกอบไปด้วย

โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยุโรปและลักเซมเบิร์กมีผลิตภาพแรงงานสูงกว่าชาติอื่นๆคือ 
1. อุตสาหกรรมการเงินที่แข็งแกร่งและการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน: หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ลักเซมเบิร์กมีผลิตภาพแรงงานสูงกว่าประเทศอื่น ๆ คืออุตสาหกรรมการเงินที่มีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ลักเซมเบิร์กเป็นที่ตั้งของบริษัทการเงินระดับโลกหลายแห่ง และได้กลายเป็นศูนย์กลางการเงินในยุโรปที่แข็งแกร่ง 

2. แรงงานข้ามแดนที่ช่วยเพิ่มมูลค่า GDP: ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากแรงงานข้ามแดนที่เดินทางมาทำงานจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เบลเยียม ฝรั่งเศส และเยอรมนี แรงงานเหล่านี้เข้ามาทำงานในลักเซมเบิร์กทุกวัน และมีส่วนช่วยในการสร้างมูลค่าให้แก่เศรษฐกิจได้

3. การสนับสนุนทางเทคโนโลยีและนโยบายภาครัฐ: ประเทศในยุโรปให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและการลงทุนในนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เทคโนโลยีช่วยลดภาระงานที่ใช้แรงงานคน ลดความผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำของการผลิต รวมถึงการสร้างโอกาสให้เกิดการพัฒนาทักษะแรงงานที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด 

4. การลงทุนในสุขภาพและสวัสดิการของแรงงาน: ยุโรปเองมีมาตรฐานสวัสดิการแรงงานที่ดี ครอบคลุมถึงการดูแลสุขภาพ สวัสดิการการลาเพื่อรักษาตัว และสวัสดิการทางครอบครัวที่เข้มแข็ง การมีสุขภาพที่ดีและได้รับการดูแลด้านสวัสดิการอย่างเพียงพอช่วยให้แรงงานมีสภาพจิตใจและร่างกายที่พร้อมในการทำงาน ส่งผลให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แรงงานมีความสามารถที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันค่ะ

สมรสเท่าเทียม ดันท่องเที่ยวไทย GDPโตอีก 0.3%

(15 พ.ย. 67) งานวิจัยจาก อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว ระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทยจะช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ถึง 4 ล้านคนต่อปี และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายใน 2 ปีหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ โดยส่งผลให้ GDP ของไทยเติบโตขึ้น 0.3%

งานวิจัยนี้ ซึ่งจัดทำโดย อโกด้าร่วมกับบริษัท Access Partnership ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายสมรสเพศเดียวกัน ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 22 มกราคม 2568 โดยไทยจะเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการรับรองกฎหมายนี้ และเป็นประเทศที่สามในเอเชีย รองจากไต้หวันในปี 2562 และเนปาลในปีที่แล้ว กฎหมายดังกล่าวจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว LGBTQIA+ จากทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

รายงานยังคาดการณ์ถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กระจายไปยังหลายภาคส่วน โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 4 ล้านคนต่อปีใน 2 ปี ซึ่งจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหลายด้าน เช่น

เพิ่มรายรับจากการท่องเที่ยวประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยกระจายไปยังหลายภาคส่วน เช่น การจองที่พัก 0.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, การบริการอาหารและเครื่องดื่ม 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, การจับจ่ายซื้อสินค้า 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, การเดินทางภายในประเทศ 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ความบันเทิงและการแพทย์

สนับสนุนการสร้างงานเพิ่มขึ้น 152,000 ตำแหน่ง โดย 76,000 ตำแหน่งจะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอีก 76,000 ตำแหน่งจะกระจายไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ ผลักดัน GDP ของไทยให้เติบโตขึ้น 0.3%

แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมระดับโลกอยู่แล้ว การออกกฎหมายสมรสเท่าเทียมในครั้งนี้จะเพิ่มความน่าสนใจของไทยในสายตานักท่องเที่ยว LGBTQIA+ ที่มองหาจุดหมายที่เปิดกว้างและต้อนรับทุกคน โดยเฉพาะในยุคที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายและเปิดกว้างมากขึ้น

เนื่องจากไทยจะเป็นประเทศที่สามในเอเชียที่มีการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายนี้จะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวสำหรับคู่รัก LGBTQIA+ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการเฉลิมฉลองการแต่งงานในประเทศที่ยอมรับการสมรสเพศเดียวกัน หลายเมืองในไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านสถานที่สวยงามหรือความพร้อมในการบริการต่าง ๆ กฎหมายนี้จะกระตุ้นการเติบโตในอุตสาหกรรมงานแต่งงานและส่งผลดีต่อธุรกิจต่าง ๆ เช่น โรงแรม บริการจัดเลี้ยง และอุตสาหกรรมบันเทิง

ปิติโชค จุลภมรศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดของอโกด้า และผู้สนับสนุนกลุ่ม Agoda Pride กล่าวว่า “อโกด้าสนับสนุนชาว LGBTQIA+ มาตลอดทั้งในหมู่พนักงานและผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มของเรา ปีนี้เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือและสนับสนุน Bangkok Pride Parade 2024 ด้วยงานวิจัยชิ้นนี้ เราต้องการเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของความหลากหลายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสะท้อนถึงคุณค่าที่เกิดจากการยอมรับความแตกต่างในสังคม”

จากการพูดคุยกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมและผู้จัดงาน Bangkok Pride งานวิจัยเผยให้เห็นถึงโอกาสสำคัญที่กฎหมายจะนำมา เช่น งาน WorldPride ที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว LGBTQIA+ ได้มหาศาล

ปิติโชคกล่าวเสริมว่า “การประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมถือเป็นก้าวสำคัญของไทย ทั้งในด้านการส่งเสริมสิทธิที่เท่าเทียมและการตอกย้ำภาพลักษณ์ของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่เปิดกว้างและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคน” วาดดาว ชุมาพร ประธานและผู้ก่อตั้งบางกอกนฤมิตรไพรด์ กล่าวเสริมว่า “การยอมรับความหลากหลายและการรับรองสิทธิในการสมรสของคู่รักทุกคู่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทผู้นำของไทยในการส่งเสริมความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีของมนุษย์”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top