Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

รู้หรือไม่!! สื่อใดที่ครองตลาดมากที่สุดของปี 2024

(14 พ.ย. 67) ในปี 2024 การแย่งสัดส่วนการครองตลาดของพื้นที่สื่อของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ยังคงมีอยู่อย่างดุเดือด และยังคงเป็นยุคที่ผู้ชมต่างให้ความสนใจแพลตฟอร์มที่นำเสนอเนื้อหาที่สามารถปรับให้เป็นส่วนตัวและหลากหลายมากยิ่งขึ้น 

ตามข้อมูลจาก Brand Finance พบว่า Google ยังคงเป็นผู้นำของกลุ่ม ด้วยมูลค่าแบรนด์ที่สูงถึง 333 พันล้านเหรียญ ซึ่งโตจากปี 2023 ที่อยู่ที่ระดับ 281 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการยืนยันสถานะของ Google ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมสื่อ ด้วยระบบการใช้งานของผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุมทั่วโลก

ตามมาด้วย TikTok แพลตปอร์มสัญชาติจีนซึ่งมีมูลค่าที่ 84.2 พันล้านดอลลาร์ ความนิยมและความสามารถในการสร้างความผูกพันกับผู้ใช้ทั่วโลกช่วยให้ TikTok เป็นแบรนด์สื่อที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับสอง แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเนื้อหาวิดีโอสั้น ส่วนอันดับสามยังคงเป็นของ Facebook ที่โตจากปี 2023 มาอยู่ที่ระดับ 76 พันล้านเหรียญ

ในขณะเดียวกัน Instagram ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์สื่อที่มีอันดับสูง และได้ก้าวเข้ามาอยู่อันดับที่ 4 จากปีที่แล้วที่อยู่ที่อันดับ 6 โดย Instagram มีการเติบโตของมูลค่าแบรนด์อย่างน่าทึ่งที่ 49% จนมีมูลค่าถึง 70 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งการเติบโตนี้สะท้อนถึงบทบาทการพัฒนาของ Instagram ในฐานะผู้เล่นหลักในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะการดึงดูดผู้ชมกลุ่มวัยรุ่นและการเน้นที่เนื้อหาภาพ

การเพิ่มขึ้นของมูลค่าแบรนด์ในกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงความหมายของคำว่า “สื่อ” ที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล แพลตฟอร์มเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น เช่น Google, TikTok และ Instagram ยังคงปรับโฉมอุตสาหกรรมสื่อด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างและแบ่งปันเนื้อหา ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสื่อในปัจจุบันได้อย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนแนวโน้มกว้างขึ้น เมื่อผู้บริโภคสื่อมองหาแพลตฟอร์มที่มอบการโต้ตอบ การปรับแต่งส่วนตัว และเนื้อหาที่หลากหลายค่ะ โดยทั้ง 10 อันดับของปี 2024 เป็นไปตามนี้ค่ะ 

‘นายใหญ่’ ทุ่มสุดตัว ลุยลงพื้นที่เอง เดินเกมยึดอบจ.อุดรฯ หวังผลแลนด์สไลด์

(14 พ.ย. 67) เป็นแฟชั่นและแท็กติกทางการเมือง  สำหรับเรื่องการชิงลาออกจากนายกอง์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ด้วยเหตุผลหลักคือชิงความได้เปรียบการเมือง เป็นปรากฏการณ์ที่ควรจะได้ถอดรหัส-ทบทวนกันในอนาคต..

ถึงวันนี้ลาออกกัน 27 จังหวัด 27 นายกอบจ.เลือกกันไปแล้ว 18 จังหวัด 95 เปอร์เซ็นต์ แชมป์เก่ารักษาเก้าอี้ไว้ได้..

เฉพาะหน้าเดือน พ.ย.-ธ.ค.จะชิงกันอีก 9 จังหวัด/นายกอบจ.
23 พ.ย.-สุรินทร์
24 พ.ย.อุดรธานี,นครศรีธรรมราชและเพชรบุรี
1 ธ.ค. กำแพงเพชร
15ธ.ค.ตาก และเพชรบูรณ์
22 ธ.ค.อุตรดิตถ์และอุบลราชธานี

นายกอบจ.และสจ.ที่เลือกกันมาตั้งแต่ปี 2563 จะครบเทอม 18 ธ.ค. 2567นี้  กกต.กำหนดแล้วว่าจะเลือกกันใหม่วันที่ 1 ก.พ.2568  เฉพาะนายกอบจ.ก็จะเหลือแค่ 40 กว่าจังหวัด...

ที่จะขีดเส้นใต้หมายเหตุไว้ ณ ที่นี้ก็คือ การเลือกนายกอบจ.ที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อุดรธานี ที่เคยเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง ของพรรคเพื่อไทย...แต่สัญญาณจากตั้งเต่ทั่วไปเมื่อปี 2566  เมืองหลวงของเพื่อไทยกำลังจะถูกยึด  เก้าอี้สส.หายไป3 เก้าอี้

ไม่แต่เท่านั้นทั้งภาคอีสาน (133ที่นั่ง) ครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยตั้งเป้าขั้นต่ำ 110 ที่นั่ง  ปรากฏว่าได้รับเลือกแค่ 73 เขต 73 คน..พลาดเป้าไปร่วม 40 ที่นั่ง และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทั้งประเทศได้สส.รวม 141 ที่นั่ง เสียแชมป์เลือกตั้งให้กับพรรคน้องใหม่อย่างพรรคก้าวไกล(พรรคประชาชนในปัจจุบัน)ที่ได้ 151 ที่นั่ง..

ย้อนดูตัวเลข 133 ที่นั่งของภาคอีสานครั้งที่แล้ว..เพื่อไทย 75, ภูมิใจไทย 35, ก้าวไกล 7, พลังประชารัฐ 6, ไทยสร้างไทย 5, ไทรวมพลัง 2 ประชาธิปัตย์ 2 และชาติไทยพัฒนา 1

วันที่  3  พ.ย. วัฒนา ช่างเหลา  ประธานสโมสรฟุตบอลชขอนแก่น ยูไนเต็ด อดีต สส.เขต 2 ขอนแก่น เพิ่งชนะศึกเลือกนายกอบจ.ขอนแก่นด้วยการชูป้ายทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์ และหัวคะแนน/แฟนคลับที่ใส่เสื้อแดง ล้มแชมป์เก่า 6 สมัยลงได้อย่างน่าอัศจรรย์  กลายเป็น “ขอนแก่นโมเดล” ทำให้การเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี  กลายเป็นหมุดหมายให้ “นายใหญ่” ชักธงรบส่งสัญญาณครั้งสำคัญที่จะยึดสมรภูมิอีสานมาอ้อมกอดของพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง...

การไปปรากฏตัวของทักษิณ  ชินวัตร  ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย  ในฐานะ “ผู้ช่วยหาเสียง” ถูกออกแบบและปฏิบัติการส่งสัญญาณสำคัญ...

ไม่เพียงให้พรรคส้ม(ประชาชน)ที่หวังลึกๆจะปักธงนายกอบจ.อุดรฯและสยายปีกแบ่งเค้กอีสานเกิดอาการขยาดเท่านั้น  ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงครูใหญ่..เนวิน  ชิดชอบ ประมุขตัวจริงของพรรคสีน้ำเงิน  ที่บารมีกำลังเบ่งบานไม่น้อยกว่า “นายใหญ่” ให้รับทราบ..

ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคสีน้ำเงิน..ภูมิใจไทย นั้นมีทั้งสัมพันธภาพที่ดูอบอุ่นจากท่าทีท่วงทำนองนอบน้อมของอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค แต่ในความเป็นพรรค..วันนี้ ภท.และพท.คือสองพรรคที่มีดุลทางการเมืองที่พูดได้ว่าเสมอกัน..เพราะ-ภท. มีสภาสีน้ำเงินเป็นอาวุธ(ไม่)ลับ ไม่นับรวม 70 เสียงสส.ที่เป็นหมากล็อกอยู่แล้ว...

ภายในพรรคพท...หรือเพื่อไทยขณะนี้พยายามปลุกคำขวัญ..แลนด์สไลด์ขึ้นมาอีกครั้ง..การเดินสายของทักษิณ ปลุกบ้านใหญ่รักษาเอฟซีเก่าๆ สร้างเอฟซีใหม่ๆ หวังให้เพื่อไทยทั้งอีสาน..หรือแดงทั้งอีสานเกิดขึ้นอีกครั้ง..

เพียงแต่โจทย์ครั้งนี้มันยากขึ้น  สถานการณ์เปลี่ยนไปไม่น้อย  ถ้าเดอะป๊อบ..ศราวุธ  เพชรพนมพร อดีตสส.เพื่อไทย “เขยอินทรีอีสาน” ประชา พรหมนอก  ชนะขาดนายกอบจ.อุดรฯ ก็น่าจะทำให้แนวรบทักษิณ-เพื่อไทย คึกคัก

แต่ถ้าชนะแบบฉิวเฉียดไม่กี่พันแต้มหรือล็อคถล่มแพ้ขึ้นมา..แลนด์สไลด์ที่แอบหวังก็จะถูกฝังกลบเป็นแลนด์สลบอย่างแน่นอน..!!

ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา กรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (นายภูมิธรรม เวชยชัย) 

(13 พ.ย. 67) เวลา 14.00 – 16.00 นาฬิกา พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา กรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และหารือข้อราชการเกี่ยวกับนโยบายด้านกิจการทหารและความมั่นคง รวมทั้งการดูแลกำลังพลและทหารผ่านศึก ณ ศาลาว่าการกลาโหม กระทรวงกลาโหม 

ในการนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับและหารือในประเด็น ดังนี้ 
1. ผลการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในด้านกิจการทหารและความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหม
2. นโยบายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในด้านกิจการทหารและความมั่นคงในระยะเร่งด่วน
3. แนวความคิดในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีของทหารผ่านศึก (ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นนายกสภาทหารผ่านศึก)
4. แนวความคิดในการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมความมั่นคงและการป้องกันประเทศสู่สากล (ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานกรรมการนโยบายเทคโนโลยีป้องกันประเทศ)
๕. เรื่องอื่น ๆ /ประเด็นสำคัญที่ต้องการให้กรรมาธิการในฐานะสมาชิกวุฒิสภาผลักดันให้ประสบผลสำเร็จ 

โดยที่ประชุมหารือได้มีการพูดคุยและข้อเสนอแนะที่สำคัญทั้งเรื่องการพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพกับการพัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคง รวมทั้งการช่วยเหลือประชาชน และการแก้ไขปัญหาที่สำคัญของชาติ รวมถึงเรื่องกิจการกำลังสำรอง ทหารผ่านศึก และทหารนอกประจำการ เรื่องความมั่นคงแบบองค์รวมที่เกี่ยวข้องกับหลายเรื่องต้องร่วมคิดร่วมขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนสืบไป
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการจะได้นำข้อมูลและข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่ได้หารือร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงกลาโหมไปพิจารณาศึกษาและดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นรูปธรรมต่อไป 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนลอยกระทงปลอดภัย ต้องใส่ใจส่วนรวม แนะ 6 สิ่งต้องคำนึง ก่อนนึกถึงพระแม่คงคา

(14 พ.ย. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ และเนื่องด้วยวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ที่จะถึงนี้เป็น “วันลอยกระทง” ที่พี่น้องประชาชนร่วมเฉลิมฉลองด้วยการลอยกระทงตามแม่น้ำลำคลอง เพื่อขอขมาพระแม่คงคาและขอให้สิ่งไม่ดีลอยไปกับกระทง รวมไปถึงทางภาคเหนือยังมี “ประเพณียี่เป็ง” โดยเป็นการปล่อยโคมลอยหรือโคมไฟขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อบูชาและขอขมาแม่คงคา เช่นเดียวกัน ซึ่งในช่วงเทศกาลดังกล่าวจะมีพี่น้องประชาชนออกมาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น เพื่อให้เทศกาลลอยกระทงเป็นไปอย่างปลอดภัย สนุกสนาน และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอแนะนำ 6 สิ่งที่ต้องคำนึง ในช่วงเทศกาลลอยกระทง ดังนี้

1. “ความปลอดภัยทางน้ำ” ควรระมัดระวังไม่ลงไปลอยกระทงในน้ำโดยตรง และเด็กเล็กควรอยู่ในสายตาผู้ใหญ่เสมอ โดยผู้ดูแลสถานที่ลอยกระทงควรจัดเตรียมเสื้อชูชีพ หรือห่วงยาง ไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน

2. “หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด” โดยเฉพาะบริเวณริมตลิ่ง แม่น้ำ และท่าเรือต่าง ๆ เพราะอาจเกิดอันตรายจากการเบียดเสียดกัน หรืออาจมีมิจฉาชีพฉวยโอกาสในการลักทรัพย์ได้

3. “งดเล่นประทัดและดอกไม้ไฟ” เพราะอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ หรือทำให้ตนเองและผู้อื่นบาดเจ็บได้

4. “ลอยโคมในจุดที่กำหนด” โดยห้ามลอยโคมในบริเวณที่ใกล้กับสนามบิน หรือพื้นที่หวงห้าม เพราะโคมอาจลอยไปรบกวนการบิน หรืออาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้

5. “ใช้กระทงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” หลีกเลี่ยงการใช้กระทงที่ทำจากวัสดุย่อยสลายยาก เช่น โฟม พลาสติก และหลีกเลี่ยงการใช้กระทงขนมปัง เพราะอาจทำให้น้ำเน่าเสียได้

6. “ระวังการลอยกระทงออนไลน์” เพราะอาจเป็นมิจฉาชีพทำเว็บไซต์มาหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล หรือหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันอันตราย

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือในกรณีต่าง ๆ ได้ที่สายด่วนดังต่อไปนี้ เหตุด่วนเหตุร้าย สายด่วน 191 , เจ็บป่วยฉุกเฉิน สายด่วน 1669 , เหตุด่วนทางน้ำ สายด่วน 1196 และเหตุเพลิงไหม้ สายด่วน 199 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สมุทรปราการ-เปิดงานยิ่งใหญ่!! มหกรรมผ้าไทยฯ บนพื้นที่สวนสาธารณะ กว่า 20 ไร่ ใจกลางเมืองแพรกษา

(14 พ.ย. 67) เทศบาลตำบลแพรกษา โดยการบริหารของนาง อรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา จัดงาน “มหกรรมอนุรักษ์ผ้าไทย สุขใจได้ท่องเที่ยว ของดีตำบลแพรกษา ประจำปี 2567

โดยได้รับเกียรติจาก ท่านขจร  ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ประธานในพิธี พร้อมด้วย นายประทีป นทีทวีวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายวัฒนา เจริญจิตร นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ นายเมธากุล สุวรรณบุตร สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท S.MILES Group ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ร่วมในพิธีเปิดงาน “มหกรรมอนุรักษ์ผ้าไทย สุขใจได้ท่องเที่ยว ของดีตำบลแพรกษา” ณ สวนสาธารณะเทศบาลตำบลแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ

ภายในงานยังได้มีการประกวดธิดาโรงงาน โดยทางบริษัทต่างๆ รวมถึงบริษัทอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ตำบลแพรกษาได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมการประกวดแข่งขันธิดาโรงงานสร้างความคึกคักและสร้างสีสันให้กับงานเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีการเดินแบบชุดผ้าไทยจากนักเรียนโรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา (PWS)

การแสดงจากน้องๆ หนูๆ โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา รวมถึงการแสดงจากกลุ่มผู้สูงอายุการแสดงบาสโลป นอกจากนี้ ในคืนวันที่ 13 พฤศจิกายน ทางเทศบาลตำบลแพรกษาได้นำนักร้องและศิลปินชื่อดัง อาทิ น้ำแข็ง ทิพวรรณ และในคืนวันที่ 14 ชมการแสดงคอนเสิร์ตจากวง ลำไย ไหทองคำ และคืนวันที่ 15 นั้น กวาง กมลชนก ชมฟรีตลอดงาน ภายในงานยังมีซุ้มอาหารต่างๆ จำนวนกว่า 50 ร้านค้า ให้เลือกชิม ช้อป รวมถึงมีสระน้ำจำลองขนาดใหญ่ที่ทางเทศบาลตำบลแพรกษาได้จัดเตรียมไว้ให้พี่น้องประชาชนได้มาร่วมลอยกระทงในค่ำคืนของวันที่ 15 พฤศจิกายน อีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

“ช่วงชีวิตนี้เป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขมากที่สุด แม้จะโดนร้องโดนเห่าหอนบ้าง โอ้ยธรรมดาพี่น้องเอ้ย เวลาไปวัดกลางคืน กลับบ้านมาหมาก็เห่าหอนเป็นธรรมดา อย่าไปพยายามตีความว่ามันเห่ายังไง อย่าไปใส่ใจ หมาอยู่ส่วนหมา คนก็อยู่ส่วนคน”

(14 พ.ย 67) 'ทักษิณ' ปราศรัยเดือดอุดรธานีวันที่ 2 ยอมรับควักส่วนตัวจ้างต่างชาติ 300 ล้านบาท ช่วย 'อิ๊งค์’ รื้อโอทอป ฝากประชาชนบอกพรรคส้มก่อนคิดกฎหมายใหม่ ล้างซวยกฎหมายเก่าก่อน ประกาศขอเสียงอุดรฯ ชนะถล่มทลาย เมินเสียงนักร้อง ลั่นคนอยู่ส่วนคน-หมาอยู่ส่วนหมา อย่าไปฟังเสียงเห่าหอน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 14 พ.ย. ที่ตลาด 4 ธันวา อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ในนามพรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียง โดยมีประชาชนมารอฟังการปราศรัยกว่า 5,000 คน

นายณัฐวุฒิ ปราศรัยว่า ตนมาครั้งที่แล้วและบอกขอยกจังหวัด ยกจังหวัดยังไงหายไปสามเขต วันนี้จึงขอมาทวงสัญญา เพราะเรารักกันมาตั้งแต่ปี 2544 วันนี้ 23 ปีแห่งความทรงจำ 23 ปีที่ยังยืนเคียงข้างกัน แล้วจะพิสูจน์พลังอีกครั้งในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ ขอให้สื่อถ่ายภาพเก็บเป็นหลักฐาน หากคะแนนไม่มาเดี๋ยวจะตามไปหาถึงบ้าน ซึ่งนายวิเชียร ขาวขำ แสดงสปิริตลาออกจากนายก อบจ. สุขภาพไม่ดี เดินกะเผลก ก็ยังลาออกเพื่อเปิดทางให้กับนายศราวุธ เพชรพนม ไม่เหมือนคนกรุงเทพฯ เดินไม่ดีก็ยังอยากเป็นนายกฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายณัฐวุฒิปราศรัย ได้ทำท่าเดินกะเผลกไปด้วย

ขณะที่นายทักษิณ ปราศรัยว่า ไม่เห็นหน้ากันนานแล้วนะ คิดถึงกันบ้างหรือไม่ ที่เลือกมาอุดรธานี เพราะคิดถึงพี่น้องชาวอุดรธานี และคนอุดรธานีก็ไม่เคยลืมตน มีใครทันตอนตนเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ที่ต้องถามเพราะตอนนี้ตนอายุ 75 ปีแล้ว แต่ความรู้สึกยังเหมือนอายุ 25 ปี วันนี้เห็นพี่น้องมาเยอะ แบบนี้หัวใจมันก็พองโต เมื่อก่อนตอนเป็นพรรคไทยรักไทย ตนก็มาเจอพี่น้องต่างจังหวัดกลับไปมีความสุข และไปนั่งคิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้เขาหายจน เพราะชีวิตตนเคยลำบากมา

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้นั่งรถมา เห็นสภาพพี่น้องก็เป็นห่วง ตนถูกปฏิวัติออกไป 17 ปี วันนี้มีสิ่งสวย ๆ เกิดขึ้นบางที่บางแห่ง แต่พี่น้องยังลำบากอยู่ คนไม่มีหนี้มีน้อย แสดงว่าที่ผ่านมา คนจนไม่ได้รับการเหลียวแล ถามจริง ๆ ทำไมคนอุดรธานีไม่ลืมตน ก่อนจะถามประชาชนที่มาฟังปราศรัยว่า ชอบนโยบายอะไรที่ตนทำไว้มากที่สุด โครงการ 30 บาทใช่หรือไม่ แล้วกองทุนหมู่บ้านยังมีอยู่หรือไม่ เพิ่มทุนหรือไม่ เมื่อก่อนตอนที่ผมอยู่ โอทอปเลื่องลือมาก แต่ตอนนี้หายไปเยอะ หากโอทอปได้รับการปรับปรุงเหมือนสมัยที่ตนอยู่ คงจะขายได้เยอะ และจะทำให้พี่น้องมีรายได้เพิ่มขึ้น

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนใช้เงินส่วนตัว 300 ล้านบาท จ้างชาวต่างชาติ ปรับปรุงโอทอปครั้งใหญ่ อีกไม่นานเขาจะเปิดตัวว่าจะต้องรื้อไปทำอะไร และเพื่อปรับปรุงโอทอปไปขายทั่วโลก แล้วจะมาเสนอนายกฯ อิ๊งค์ (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) โดยที่ไม่เก็บเงิน เพราะตนจ่ายเงินไปแล้ว ทั้งนี้ นายกน อิ๊งค์ ก็ได้บอกด้วยว่า ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน

“เห็นผมใกล้ ๆ แล้ว ผมแก่ไปเยอะหรือไม่ ตอนนี้แก่ไปเยอะ แต่เห็นพี่น้องมากันเยอะ ก็รู้สึกหนุ่มขึ้น จะร้องเพลงเสก โลโซ ว่าอย่างไร เขาบอกคิดถึงตอนอายุ 14 แต่ผมคิดถึงตอนอายุ 55 ที่มาเป็นนายกฯ นายกฯ อิ๊งค์ เป็นลูกคนเล็ก เป็นคนที่ติดตามผมไปทุกที่ตั้งแต่แปดขวบ แม้กระทั่งไปประชุมเอเปค ก็ติดตามผมไป วันนี้ไปประชุมเอง เป็นนายกฯ เอง แต่สิ่งที่นายกฯ อิ๊งค์ มีอยู่เหมือนผมทุกอย่าง คือความรักและความห่วงใยพี่น้องประชาชน คิดว่าต้องแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนให้ได้ และเชื่อว่ากลางปีหน้า พี่น้องประชาชนจะเห็นแสงสว่าง ปลายปีจะเห็นเศรษฐกิจที่คึกคักมาก เขาบ่นกับผมมาคำหนึ่งว่า พ่อ อิ๊งค์คิดว่าการผูกขาดทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการผูกขาดโดยรัฐก็ดี หรือผูกขาดโดยเอกชนก็ดี ทำให้คนไทยจน เพราะการผูกขาดเหมือนเป็นเสือนอนกิน วันนี้จึงต้องลดทุนของการผูกขาดให้ประชาชนมากที่สุด” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า แม้กระทั่งข้าวที่จัดส่งออกต่างประเทศ ก็ต้องผ่านสมาคมผู้ส่งออก มีการตรวจสารพัด ซึ่งเป็นต้นทุนของเกษตรกร และกฎหมายนี้ก็ใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ที่บอกว่าข้าวเป็นยุทโธปกรณ์หรือเครื่องมือทางทหารที่ต้องควบคุม แต่ทุกวันนี้ก็ยังใช้กฎหมายเดิมอยู่ ฉะนั้น จึงต้องยกเลิกกฎหมายเก่า ๆ ที่ทำให้คนไทยจน โดยเฉพาะเสรีภาพทางการค้าขายต่าง ๆ

“เวลาพรรคประชาชนมาหาเสียง ท่านต้องบอกพรรคประชาชนว่าไม่ต้องเสนอกฎหมายใหม่ หรือยกเลิกกฎหมายเก่าที่เป็นปัญหากับประชาชนดีที่สุด วันนี้แข่งกันออกกฎหมายใหม่ แข่งกันไปทำไม เพราะกฎหมายเก่าเฮงซวยกันเยอะแยะ ก่อนสร้างสิ่งใหม่ เอาสิ่งเฮงซวยออกไปก่อน ล้างซวย” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวว่า นอกจากนี้ ด้านระบบการศึกษา เราต้องปรับค่านิยมของคนไทย อย่าให้ลูกรับปริญญาแล้วไม่มีงานทำ และโลกบอกว่าปริญญามีความสำคัญน้อยกว่าความชำนาญ วันนี้จึงขอฝากพี่น้องบ้านดุง ให้บอกว่าวันนี้ทักษิณกลับมาแล้ว ใครค้ายาแถวนี้ระวังตัวให้ดี ทักษิณเกลียดพ่อค้ายา ถ้าอยากให้ทักษิณรัก ต้องเลิกค้ายา มาทำมาหากินสุจริตกันดีกว่า เพราะลูกหลานเราไม่ไหวกัน แล้วประสาทหลอน วันนี้ต้องเอาลูกหลานกลับคืนมา แล้วทักษิณก็ขยันเดินตรวจด้วย เป็นคนแก่หัวใจหนุ่ม

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า นโยบายหลักของพรรคไทยรักไทย คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ซึ่งยังใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ รัฐบาลมีหน้าที่ทำเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ดี เลยต้องมาสนใจ อบจ. สมัยที่นายวิเชียร ลงเลือกนายก อบจ. ตนเขียนจดหมายมา แต่วันนี้ตนมาด้วยตัวเองแล้ว เพื่อสนับสนุนผู้สมัครเบอร์สอง

“ถ้าไม่ได้ชนะถล่มทลาย ผมอายเขานะ คนอุดรฯ อย่าให้ผมอายนะ ถ้าไม่อาย ผมจะได้มาเยี่ยมบ่อย ๆ ถ้าไม่งั้นผมต้องใส่หน้ากากอนามัยมาเยี่ยม” นายทักษิณ กล่าว ก่อนจะถามว่าใครได้เงิน 10,000 ไปแล้วบ้าง คนที่ไม่ได้ อยากได้หรือไม่ มาแน่ มาช้าดีกว่าไม่มาใช่หรือไม่ นี่เป็นวัฒนธรรมที่สืบมาจากพรรคไทยรักไทย ที่พูดอะไรแล้วต้องทำ แต่วันนี้ทำยากกว่าเมื่อก่อน เพราะมีกลไกข้าราชการเทอะทะจากการปฏิวัติ บางกฎหมายคนจะเขียน ก็เอารูปตนตั้งไว้แล้วบอกว่า กูจะจัดการมันอย่างไรดี

“อิจฉาอะไรก็ไม่รู้ ทำให้การช่วยเหลือบ้านเมืองนั้นทำได้ยาก หาว่าครอบงำ นักร้องก็เยอะ ไม่รู้มันร้องอะไรนักหนา วันนี้ผมไม่คิดอะไรมาก แค่อยากช่วยชาวบ้านให้หายจน อยากให้ยาเสพติดหมดไป ใครอยู่แถวนี้ต้องใช้ความพยายาม พี่น้องต้องมีกำลังใจ ผมกลับมาแล้ว พี่น้องต้องมีกำลังใจอีกนิด ตนเหลืออีก 25 ปี จะครบ 100 ปี ก็ขอให้ช่วยกัน เห็นสภาพบ้านเมืองแล้วหดหู่ หากปล่อยไว้แบบนี้ คนไทยจะเหมือนคนลาว ถูกพัฒนาช้า พัฒนาเร็วเฉพาะส่วน คนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้ง ผมก็เป็นคนบ้านนอก ฉะนั้น ใจผมเป็นห่วงที่สุดคือคนรากหญ้า สิ่งที่ยากเลยคือนักการเมืองเฮงซวย หากการเมืองเฮงซวยเมื่อไหร่ นักการเมืองก็เฮงซวยตาม แต่ระหว่างที่ผมออกไป เขาก็สร้างระบบกติกาให้การเมืองมันเฮงซวยขึ้นเรื่อย ๆ“ นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้ต้องเลิกดัดจริต ต้องอยู่กับความเป็นจริงว่าบ้านเมืองเราต้องการการพัฒนาสูงมาก ทุกวันนี้ระบบราชการเทอะทะ ควบคุมมากเกินไป ไม่ไว้ใจพี่น้องประชาชน ที่จริงแล้วประชาชนสามารถช่วยตัวเอง และตัดสินใจเองได้ ประเทศจะเจริญได้ต้องลดอำนาจภาครัฐ เพิ่มอำนาจให้ภาคประชาชน เพื่อป้องกันเรื่องโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน พรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชนหรือพรรคสีส้มนั้น มีความเหมือนคือเรื่องของความเท่าเทียม แต่พรรคประชาชน บอกว่าทุกคนเท่ากัน ทั้งฐานะ หรือสถานะ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พ่อจะเท่ากับลูก แต่พรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นความเท่าเทียมทางโอกาส พรรคเพื่อไทยจึงพยายามอย่างยิ่งให้คนยากจนมีโอกาสเท่าเทียมกัน นายกฯ อิ๊งค์ บอกว่าจะประกาศข่าวดี ในการที่จะหาเงินส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอก

“ส่วนใครโดนคอลเซ็นเตอร์หลอก นายกฯ อิ๊งค์ บอกว่า หากธนาคารไม่ดูแล ต่อไปธนาคารต้องมารับผิดชอบ ซึ่งคอลเซ็นเตอร์ตัวแสบอยู่ที่เมียนมา ซึ่งใช้ระบบสื่อสารไทย ใช้ไฟฟ้าไทย นายกฯ อิ๊งค์ เลยบอกว่า บริษัทที่ทำโทรศัพท์ทั้งหลาย หากใครให้บริการข้ามเขต ต้องถือว่าเป็นจำเลยร่วม และสั่งการไฟฟ้า หากจ่ายไฟไปทำยาเสพติด ต้องเจอข้อหาจำเลยร่วม พระพุทธเจ้าบอกว่าเกิดเหตุที่ไหนต้องดับที่นั่น เราจึงต้องดับที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายทาง ต้องจัดการเด็ดขาด ในเรื่องการใช้กฎหมายและการบริหารบ้านเมือง เพื่อประชาชน” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ขอให้มั่นใจว่ากลางปีหน้าจะเห็นแสงสว่าง ปลายปีหน้าจะรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเยอะ ตนขับรถผ่านเห็นคู่แข่ง บางรูปเห็นรูปคู่กับหัวหน้าพรรค บางรูปก็คู่กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แสดงว่าเห็นว่านายพิธา หล่อกว่าหัวหน้าพรรคประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยใช้รูปนายกฯ อิ๊งค์ ไม่จำเป็นต้องใช้รูปคู่ตน เพราะนายกฯ อิ๊งค์ หน้าเหมือนตนอยู่แล้ว แต่อิ๊งค์เขาสวยกว่าตน และตนก็หล่อกว่าอิ๊งค์ นึกว่าตนไม่อยู่ 17 ปี คนอุดรจะหมดหนี้แล้ว อุตส่าห์ปฏิวัติตั้ง 2 รอบ แต่ยังจนอยู่เลยนะ ขออย่าไปเชื่อหวยเถื่อนทั้งหลาย และอย่าไปเชื่อสายมูมาก พี่น้องที่ติดยาเสพติด เห็นนรกแน่ ๆ เราต้องขจัดให้ได้ ซึ่ง อบจ. จะเป็นส่วนสำคัญที่พาลูกหลานไปบำบัด ต่อไปกลไกของรัฐบาลนายกฯ อิ๊งค์ บอกว่าจะต้องใช้ท้องถิ่นเยอะ ๆ แต่การบำบัดต้องเป็นรัฐบาล จึงจะมีงบเยอะ อยากให้พี่น้องตั้งใจร่วมกับตนว่า จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองร่วมกัน มาบอกให้ตนรู้

นายทักษิณ ระบุว่า เมื่อก่อนตนทำทัวร์นกขมิ้น ไปทุกอำเภอ เป็นนายกฯ คนเดียวที่เดินทางถึงประเทศไทยมากที่สุด ไปที่ไหนก็ได้รับจดหมายน้อย ซึ่งข้อความคือทุกข์ที่พบอยู่ในหมู่บ้าน จึงได้สร้างโครงการที่ชื่อว่าเอสเอ็มแอล ทำให้ตนได้รับรู้ปัญหาของประชาชน

นายทักษิณ ยังฝากนายศราวุธ ผู้สมัครลงเลือกตั้งนายก อบจ. เบอร์สอง สมัยที่แล้วเคยเป็นกรรมาธิการ ลำดับต่อไปเป็นรัฐมนตรี โชคร้ายสอบตก จึงขอให้พี่น้องอุ้มมาเป็นนาย อบจ. และอนาคตจาก อบจ. เป็นรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั้น นายศราวุธ ได้คุกเข่ากราบพี่น้องประชาชนที่มาฟังปราศรัย

“ชนะน้อย ๆ ไม่สนุก ต้องชนะเยอะ ๆ ต้องชนะให้ถล่มทลาย ผมจะได้เดินทางมาหาพี่น้องที่อุดรฯ อย่างหล่อ ๆ ไม่อยากเดินมาแบบมีหน้ากาก มีปี๊บ ช่วงชีวิตนี้เป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขมากที่สุด แม้จะโดนร้องโดนเห่าหอนบ้าง โอ้ย ธรรมดาพี่น้องเอ้ย เวลาไปวัดกลางคืน กลับบ้านมาหมาก็เห่าหอนเป็นธรรมดา อย่าไปพยายามตีความว่ามันเห่ายังไง อย่าไปใส่ใจ หมาอยู่ส่วนหมา คนก็อยู่ส่วนคน“ นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวว่า ขอให้พี่น้องมีพลังมีกำลังใจ วันนี้เพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลแล้ว เป็นพรรคที่เป็นนักแก้เศรษฐกิจ นักแก้ปัญหายาเสพติด นักกระจายอำนาจลงสู่ภาคประชาชน และวันนี้จะเป็นนักแก้การผูกขาด ขอให้พี่น้องอดทนมาร่วมกันอีกนิดเดียว ผมมั่นใจว่าสิ่งเหล่านั้น ท่านจะได้เห็นก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า ก่อนที่นายทักษิณจะพูดแก้ว่า เป็นปี 70 เดี๋ยวจะตีความว่าจะยุบสภาแล้ว ตนพูดผิด พร้อมย้ำว่า อย่าลืมเบอร์สองนะ เบอร์สองเป็นคนของทักษิณ

ช่วงท้ายหลังการปราศรัยช่วยผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี ที่ อ.บ้านดุง อดีตนายกฯ ทักษิณ ลงจากเวที ปรี่หาชาวอุดรฯ ที่มาฟังปราศรัย เพื่อทักทาย โดยอดีตนายกฯ เซอร์วิสแฟนคลับ ทั้งจับมือ และรับดอกไม้ บางรายมอบกระเช้าผลิตภัณฑ์ชุมชน บางคนเจอหน้าอดีตนายกฯ แล้วร้องไห้ บอก “ขอกอดหน่อย” บางรายเจออดีตนายกฯ แล้วยังงง ๆ เพราะจะขอถ่ายรูป ทักษิณได้หยิบมือถือชาวบ้านแล้วมาเซลฟี่ให้ คนเสื้อแดงที่เคยชุมนุมเมื่อปี 2553 เดินทางมาจากมหาสารคามเพื่อพบกอดีตนายกฯ โดยอดีตนายกฯ ก็กอดเสื้อแดงรายนั้นแน่น ๆ ก่อนจะเดินทางกลับ

ร.ร.ธรรมภิรักษ์ ประกาศปิดกะทันหัน เปิดดำเนินการปีสุดท้าย เตรียมเปลี่ยนผ่านเป็นโรงเรียนนานาชาติจากสิงคโปร์ปี 69

(14 พ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก โรงเรียนธรรมภิรักษ์ (Thampirakschool) เขตบางพลัด แขวงบางบำหรุ โพสต์ข้อความระบุว่า ประกาศ ด่วนที่สุด เรื่อง โรงเรียนธรรมภิรักษ์ เปิดดำเนินการปีสุดท้าย / โรงเรียนอนุบาลธรรมภิรักษ์เทเวศร์ เปิดปกติและเริ่มรับสมัครนักเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2568

โดย ผู้บริหารโรงเรียน ขอประกาศแจ้งให้ทราบ ดังนี้

1.โรงเรียนธรรมภิรักษ์ จะเปิดดำเนินการถึงสิ้นปีการศึกษา 2567 (มีนาคม 2568) เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นโรงเรียนนานาชาติ จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจะพร้อมเปิดดำเนินการสอน ในเดือนสิงหาคม 2569 (สิงหาคม 2026)

2.โรงเรียนอนุบาลธรรมภิรักษ์เทเวศร์ เปิดดำเนินการตามปกติ เปิดรับสมัครนักเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2568 ชั้นเตรียมอนุบาล-อนุบาล 3 ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป จนกว่าจะเต็ม

ทั้งนี้ นักเรียนอนุบาลจากโรงเรียนธรรมภิรักษ์ ที่ประสงค์จะย้ายไปสาขาเทเวศร์ รับสิทธิ์พิเศษ ส่วนลดค่าเทอม ฯลฯ

หลังจากโพสต์เผยแพร่ออกไป มีผู้ปกครองเข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มองว่าทางโรงเรียนแจ้งกะทันหันไปมาก ห่วงว่าจะหาโรงเรียนใหม่ให้ลูกไม่ทัน อยากจะให้เวลามากกว่านี้ รู้สึกใจหาย รวมทั้งยังเป็นกำลังใจให้กับทางโรงเรียน ฯลฯ... 

‘พิชัย’ จ่อเสนอจ่าย ‘เงินหมื่น’ เฟส 2 ‘คนอายุ 60 ปีขึ้นไป’ หลัง ‘ทักษิณ’ เปรยบนเวทีปราศรัยอุดรฯ ยันไม่ทับสิทธิเฟสแรก

‘พิชัย’ จ่อเสนอบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ จ่าย ‘เงินหมื่น’ เฟส 2 ‘คนอายุ 60 ปีขึ้นไป’ หลัง ‘ทักษิณ’ เปรยบนเวทีปราศรัยอุดรฯ ชี้ใช้งบไม่มาก ยืนยันไม่ทับสิทธิกลุ่มเปราะบางเฟสแรก รับมีเฟส 2-3

(14 พ.ย. 67) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นปราศรัย เวทีนายก อบจ.อุดรธานี ที่เปรยว่า ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับเงินหมื่นเร็ว ๆ นี้ว่า เฟสที่ 1 รัฐบาลให้เป็นเงินสด สำหรับกลุ่มเปราะบาง และผู้พิการ ซึ่งหลังจากนี้จะพิจารณาจากกลุ่มที่มีปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งมีจำนวนไม่มาก โดยจะคัดบุคคลที่เร่งด่วนก่อน หากทำได้ก็จะจ่ายให้กับบุคคลเหล่านี้ก่อนที่จะพิจารณาการจ่ายเงินในเฟสต่อไป โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้นำหลักการเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

นายพิชัยระบุว่า วิธีทำไม่ยาก ยืนยันว่าสิทธิของกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 60 ปีไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มเปราะบาง

ส่วนงบประมาณนั้น นายพิชัย ระบุว่า ในกลุ่มนี้มีไม่กี่ล้านคน

ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่าจะมีการ จ่ายเงิน 10,000 บาท ในเฟส 2 และเฟส 3 ใช่หรือไม่ นายพิชัยยอมรับว่า ใช่ เพราะต้องมีการพิจารณาตามความเหมาะสม ความจำเป็น และรูปแบบ 

นายพิชัยกล่าวว่า แน่นอนว่าดิจิทัลกับการจ่ายเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบาง เป็นการช่วยเหลือ 2 ทางคือ 1.เพื่อให้ประชาชนสามารถมีช่องทางการติดต่อกับรัฐบาลได้อย่างถาวร ซึ่งโปรแกรม และแพลตฟอร์ม ดังกล่าวต้องค่อยๆ ทำ พัฒนาไปเรื่อย ๆ และ 2.เมื่อประชาชนคุ้นชินกับการใช้ดิจิทัลแล้ว จะเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนเรื่องที่จะใช้เครื่องมือตัวไหน แอปพลิเคชัน เช่น “เป๋าตังค์” ก็ถือว่า เป็นเพียงเครื่องมือ แต่สิ่งที่จะมีประสิทธิภาพ แล้วจำเป็นมากที่สุดคือ แพลตฟอร์มของรัฐ

ในช่วงท้าย ผู้สื่อข่าวยังถามถึงคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ในการตั้งบอร์ดแบงก์ชาติได้รายงานผลการคัดเลือกประธานฯ มาหรือยัง นายพิชัย ระบุเพียงว่า “ยังไม่ทราบ ทราบแค่จากนักข่าว”

กมธ.อุตฯ เล็งเสนอคุมติดตั้งสถานีชาร์จอีวีชั้นใต้ดิน หวั่นหากเกิดเพลิงไหม้แบตเตอรี่จะเข้าระงับเหตุได้ยาก

กมธ.อุตสาหกรรม เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกระเบียบคุมการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หลังศึกษาพบอันตรายหากติดตั้งชั้นใต้ดิน จะเกิดก๊าซพิษเมื่อมีเหตุเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่คุมเพลิงลำบาก

(14 พ.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้แถลงถึงรายงานการศึกษากรณีเพลิงไหม้ในรถยนต์ไฟฟ้าของคณะทำงาน ว่า

ในการประชุมคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมในสัปดาห์นี้ได้มีการพิจารณาถึงรายงานการศึกษากรณีระงับเพลิงไหม้ในรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งทางคณะกรรมาธิการได้ให้คณะทำงานศึกษากรณีดังกล่าว 

โดยได้มีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะจากหน่วยงานรัฐ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงพลังงาน, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร เป็นต้น 

รายงานฉบับนี้รวมถึงความเห็นจากคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้มีข้อกังวลกรณีการติดตั้งสถานีชาร์จ ซึ่งผลการศึกษามีข้อสรุปชัดเจนว่าไม่ควรมีการติดตั้งสถานีชาร์จในชั้นใต้ดิน เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะเกิดก๊าซพิษ ประกอบกับชั้นใต้ดินที่อากาศค่อนข้างปิดจะทำให้เกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชนในบริเวณนั้น รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปดำเนินการระงับเหตุเพลิงไหม้

ดังนั้นจึงควรจะติดตั้งสถานีชาร์จเหนือชั้นใต้ดินขึ้นไป หรือในกรณีมีข้อจำกัดไม่ควรติดตั้งชั้นต่ำกว่าชั้นใต้ดินชั้นแรก (B1)

นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจุบันไม่มีหน่วยงานใดออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมมีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งกำกับดูแลหน่วยงานที่มีอำนาจอนุญาตในการก่อสร้าง ให้พิจารณาออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อควบคุมการติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้าโดยป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นหลักการ ความปลอดภัย

ซึ่งการออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้จะเป็นการป้องกันเหตุร้ายก่อนที่จะเกิดขึ้น จนส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ไม่ใช่เมื่อเกิดเหตุแล้วจึงมาทบทวนหามาตรการป้องกันในภายหลัง

ปตท. ประกาศผล การประกวด Spark the Local 2024 by PTT ทีม นิสิตจุฬาฯ ‘Samui Sigma’ คว้าแชมป์จากไอศกรีมกะทิพรีเมียม แห่งเกาะสมุย

กว่า 5 เดือนกับการเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ ที่มีใจรักในการพัฒนาสินค้าชุมชน ประเภทอาหารแปรรูป กับการประกวด Spark the Local 2024 by PTT ปั้นให้ปัง...จุดพลังให้สินค้าชุมชน ภายใต้ธีม 'ปรับปรุง แปลงโฉม ปั้นแบรนด์' มีผลงานส่งเข้าร่วมการประกวดกว่า 300 ผลงาน และได้มีการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจนเหลือ 5 ทีมสุดท้าย ที่ได้มาจัดแสดงผลิตภัณฑ์และนำเสนอต่อหน้าคณะกรรมการในงานร้านเด็ดแฟร์ 6 ณ สยามสแควร์ เมื่อวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2567  

ในการแข่งขันรอบ Final ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสินค้าชุมชน ได้แก่ คุณวรุตม์สุรางค์ ธรรมอารี ผู้จัดการฝ่ายกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อาจารย์ขาบ - สุทธิพงษ์ สุริยะ Food Stylist ผู้ออกแบบแนวคิด “นำ Local สู่ เลอค่า” คุณตั้ม -  นิพนธ์ พิลา เกษตรกรดีไซเนอร์ ผู้ก่อตั้งวิสาหกิจชุมชนพิลาฟาร์มสตูดิโอ คุณมยุรา ปรารถนาเปลี่ยน ผู้จัดการแผนกออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ สถาบันอาหาร และ คุณซ้อบรีม - ศิริพร มัจฉิม ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดใน TikTok ที่มีผู้ติดตามกว่า 1.2 ล้าน  

ผลการประกวด ปรากฏว่า ทีม Samui Sigma นิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลชนะเลิศ รับเงินรางวัล 100,000 บาท โดยได้เลือกเอาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมกะทิ จากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์มะพร้าวสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาปรับปรุงเป็นไอศกรีมกะทิพรีเมียมแบบถ้วย ภายใต้ชื่อแบรนด์ Creamui ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของเกาะสมุย หรือ อัญมณีอ่าวไทย  

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 - ทีม KOS นักศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังรับเงินรางวัล 70,000 บาท โดยได้เลือกพัฒนาผลิตภัณฑ์ คอมบูชาจากใบขลู่ จากวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ควนเนียงสวนลุงจิม จังหวัดสงขลา  

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 - ทีม NAGOYASH นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น รับเงินรางวัล 50,000 บาท โดยได้เลือกพัฒนาผลิตภัณฑ์ POP RICE ขนมข้าวพองอบกรอบ แบรนด์ นาโกย๊าช จากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มข้าวอินทรีย์เป็นสุขนาโก จังหวัดกาฬสินธุ์  

รางวัลชมเชย รับเงินรางวัลทีมละ 10,000 บาท  ได้แก่ ทีม สาธุ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ชาหน่อกะลาปรุงสำเร็จ แบรนด์ Koh Chá จากวิสาหกิจชุมชนชาวเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และ ทีม หมายจันทร์ นิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ กัมมี่มะปี๊ด แบรนด์ CHAMY จาก วิสาหกิจชุมชนสภากาแฟฅนจันทบูร จังหวัดจันทบุรี (แบรนด์ Rabbit Chan)  

ขอแสดงความยินดีกับทุกทีมอีกครั้ง ทั้งหมดนี้คือพลังของคนรุ่นใหม่ ที่จะช่วยขับเคลื่อนและเป็นพลังใหักับชุมชน โดย ปตท. พร้อมที่จะเป็นอีกแรงสนับสนุนเพื่อร่วมสร้างสังคมไทยที่แข็งแรงและยั่งยืนตลอดไป  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top