Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

ILINK ทำรายได้ไตรมาส 3/67 กว่า 5,148 ล้านบาท มั่นใจรายได้ปีนี้มาตามนัดทะลุ 7 พันล้าน จากทั้ง 3 ธุรกิจหลัก

(13 พ.ย. 67) โตต่อเนื่อง ! ILINK เผยงบการเงินประจำไตรมาส 3/67 กวาดรายได้รวม 5,148.19 ล้านบาท ทำรายได้โต 21.54 ล้านบาท จากศักยภาพของการเดินหน้าธุรกิจ รุกตามแผนพัฒนาด้วยนวัตกรรมขับเคลื่อนการเติบโต เตรียมสร้างสถิติใหม่ สู่เป้ารายได้รวม 7,002 ล้านบาท พร้อมประกาศชัด การันตีรายได้ปีนี้มาตามนัด ทั้ง 3 ธุรกิจ ด้วยการดำเนินงานผ่านกลยุทธ์การขยายตลาด และการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัย ร่วมกับให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล มั่นใจอนาคตสดใส สามารถรักษาระดับอัตรากำไร ต่อยอดสู่การเติบโตได้อย่างยั่งยืน แบบมีคุณภาพ 

เมื่อวันที่ (12 พ.ย. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ได้ประกาศงบการเงินประจำไตรมาส 3/67 เผยถึงผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยรายได้รวมของบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมากว่า 38 ปี ซึ่งอาศัยหลักอุดมการณ์ของผู้ก่อตั้งที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย เป็นผลทำให้การขยายตัวของธุรกิจด้านโครงข่าย และการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารที่แข็งแกร่งมากขึ้นในตลาด ภายใต้ความมุ่งมั่นในการพัฒนา และเสริมสร้างระบบโครงข่าย เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชีย 

สำหรับรายได้รวมของผลประกอบการในไตรมาส 3/67 นี้ การันตีทำรายได้ดี มีฟอร์มแจ่ม จากทั้ง 3 ธุรกิจในเครือที่เกี่ยวเนื่องกัน อันได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business) ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) และธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center) ทำรายได้รวม 5,148.19 ล้านบาท มีรายได้เพิ่มขึ้น 21.54 ล้านบาท ในขณะที่กำไรสุทธิรวม อยู่ที่ 549.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 27.72 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 5.31% ส่งซิกผลงานทั้ง 3 ธุรกิจ ในไตรมาสนี้เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดจำหน่ายอุปกรณ์โครงข่ายที่ครบวงจร ตั้งแต่โครงข่ายพื้นฐานจนถึงอุปกรณ์ขั้นสูง ซึ่งการขยายตัวในธุรกิจเครือข่ายไอที และการสื่อสารมีบทบาทสำคัญที่ทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้ง ยังมีการวางแผนขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งขององค์กร นอกจากนี้ ยังมีงานทางด้านวิศวกรรมที่กำลังรอส่งมอบอีกเป็นจำนวนมาก ที่จะส่งผลทำให้มีรายได้ในไตรมาสสุดท้ายก้าวหน้าต่อเนื่อง พร้อมกับมุ่งหวังว่า ผลประกอบการจากการดำเนินธุรกิจในไตรมาสถัดไป มั่นใจสามารถรักษาระดับมาตรฐานการเติบโตได้ตามที่คาดการณ์

สำหรับผลประกอบการของ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business) ในไตรมาส 3/67 มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยังคงเป็นธุรกิจหลักที่ทำรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการขาย ทำรายได้รวม 2,451.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 216.19 ล้านบาท คิดเป็น 9.67% และทำกำไรสำหรับงวดรวม 264.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.39 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 4.91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี รายได้รวมสำหรับไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 950.56 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำรายได้เพิ่มสำหรับงวดนี้ 80.11 ล้านบาท จากการมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์สายสัญญาณให้มีคุณภาพสูง และได้มาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็นสายสัญญาณใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) สายสัญญาณระบบแลน (LAN) สายสัญญาณกล้องวงจรปิด (CCTV) รวมถึงสายสัญญาณเฉพาะทางที่ออกแบบให้ตอบโจทย์จากการขยายตัวของความต้องการในโครงข่ายพื้นฐานการสื่อสาร ซึ่งรวมไปถึง Hyperscale Data Center อีกด้วย ที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบริษัทฯ ยังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ และพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อมารองรับการเติบโตของเทคโนโลยี และการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ สามารถเจาะตลาดกลุ่มลูกค้ารายใหม่ และตอบสนองลูกค้าปัจจุบันได้อย่างดี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเครือข่าย การจัดจำหน่ายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ และการให้บริการหลังการขาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ครอบคลุมทุกรอบด้าน

ด้านผลการดำเนินงาน และรายได้รวมของ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) ทยอยรับรู้รายได้ผลประกอบการรวมประจำไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 703.50 ล้านบาท ทำกำไรรวม 82.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.63 ล้านบาท หรือ 16.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการทยอยรับรู้รายได้ ตามผลงานและอยู่ในระยะเวลาของ การเร่งรัดการชำระเงินตามผลงานที่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ยังได้ติดตามโครงการต่าง ๆ อาทิ งาน Transmission line จังหวัดประจวบคีรีขันธ์/งานสายไฟฟ้าใต้ดิน จังหวัดพิจิตร และงาน Submarine ที่คาดว่าจะเปิดประกวดราคา และประกาศผลภายในปี 2567 นี้ต่อไป

AION พาสื่อทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุด ‘AION V’ ก่อนประกาศราคาขายอย่างทางการในงาน Motor Expo 2024

(13 พ.ย. 67) กรุงเทพฯ – AION ผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก จัดกิจกรรม AION V My V, My Version พาสื่อมวลชนร่วมทดลองขับ AION V รถเอสยูวีไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานของผู้บริโภคยุคใหม่ ก่อนการเปิดราคาขายอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ที่บูท AION (A12) อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 - 3 เมืองทองธานี โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 - 8 พฤศจิกายน 2567 ณ Take a Breath Café & Eatery ถนนพุทธมณฑล สาย 1 ซึ่งในงานครั้งนี้ สื่อมวลชนที่เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ AION V บนถนนจริง ทำให้ได้ทดสอบสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และนวัตกรรมที่ล้ำสมัยของรถยนต์ไฟฟ้า AION V อย่างเต็มที่

กิจกรรม AION V My V, My version จัดขึ้นเพื่อให้สื่อมวลชนร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด AION V เอสยูวีไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยและการออกแบบที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับสมรรถนะและความสะดวกสบายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ AION V ที่ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับ L2 และฟีเจอร์ความบันเทิงและฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมาย ทำให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ ภายใต้แนวคิด My V, My version ที่เน้นให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกสไตล์การใช้งานที่ตรงกับตัวเอง

AION V มาพร้อมแนวคิดการออกแบบ Cyber Design สะท้อนถึงความล้ำสมัยและความแข็งแกร่งในทุกมุมมอง โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้ายที่ออกแบบมาอย่างลงตัว เส้นข้างตัวรถที่เฉียบคม พร้อมด้วยระยะทางวิ่งสูงสุด 602 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง AION V จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการเดินทางระยะไกล โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ ด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Magazine Battery 2.0 แบบ lithium ion phosphate ขนาด 75.3 kW พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 3C ทำให้การชาร์จไฟเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น สามารถชาร์จไฟได้ระยะทาง 300 กิโลเมตรภายในเวลาเพียง 15 นาที เทียบเท่ากับการแวะดื่มกาแฟ 1 แก้วเท่านั้น

ภายในห้องโดยสารของ AION V ได้รับการออกแบบให้หรูหราและทันสมัย มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างเต็มที่ พร้อมด้วยเบาะนั่งขนาดใหญ่ที่รองรับสรีระของร่างกายอย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีเบาะนวดไฟฟ้า 8 จุดที่สามารถปรับโหมดการทำงานได้มากถึง 5 โหมด รองรับทุกความต้องการในการผ่อนคลายระหว่างการเดินทาง และยังมี ตู้เย็นอัจฉริยะ ขนาด 6.6 ลิตร ที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -15°C ถึง 50°C สามารถใส่เครื่องดื่มและสร้างความเย็นได้ในทุกการเดินทาง

AION V มาพร้อมกับ AEP 3.0 (AION Electric Platform 3.0) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบเฉพาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารได้มากขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับรถยนต์ในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน เช่น ถุงลมนิรภัยกลางสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ที่ช่วยลดการบาดเจ็บจากการชน และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างขนาดยาวพิเศษ 2.3 เมตร ซึ่งสามารถพองตัวเต็มที่ได้ในเวลาเพียง 0.008 วินาที และสามารถคงแรงดันได้นาน 6 วินาที ให้การปกป้องรอบด้านในกรณีรถพลิกคว่ำ

นอกจากนี้ AION V ยังมาพร้อมกับระบบ ADiGO SPACE ห้องโดยสารอัจฉริยะที่สามารถสั่งการด้วยเสียงได้ถึง 4 โซน รองรับคำสั่งเสียงทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพิ่มความสะดวกสบายในการควบคุมและสั่งการระหว่างการขับขี่ โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย นอกจากนี้ยังรองรับแอปพลิเคชันหลากหลาย รวมถึง Apple CarPlay และ Spotify (OTA ในเดือนธันวาคม) เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้งาน พร้อมด้วยชิปประมวลผล Qualcomm SA8155P ที่ให้สมรรถนะการประมวลผลที่โดดเด่นในรถยนต์ระดับเดียวกัน รองรับระบบขับขี่อัจฉริยะระดับ L2 ที่ครอบคลุมฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชัน Stop & Go (ACC with S&G) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) และระบบช่วยเหลือการขับขี่อื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อมอบความปลอดภัยและความสะดวกสบายสูงสุดในการขับขี่

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า AION V รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุดจาก AION มีกำหนดการเปิดตัว พร้อมประกาศราคาอย่างเป็นทางการ ในงาน Motor Expo 2024 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2567 นี้

“ยืนยันเป็นสัจจวาจาว่า ไม่รับกระเช้าดอกไม้ ไม่รับการกราบกรานขอโทษ คุณจะคลานจากประตูบ้านพระอาทิตย์ ผมก็ไม่ให้เข้า”

สนธิ ลิ้มทองกุล
กล่าวถึงทนายเดชา กิตติวิทยานันท์
ในรายการ Sondhi Talk เมื่อ 11 พ.ย.67

ไม่รับกราบ ไม่รับกระเช้า บ้านพระอาทิตย์ปิดประตูไม่ต้อนรับ ทนายไร้ราคา

ทรัมป์ตั้ง 'อีลอน มัสก์' นั่งกระทรวงใหม่ คุมประสิทธิภาพรัฐบาล

(13 พ.ย. 67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศแต่งตั้ง อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของ Tesla และ SpaceX เป็นหัวหน้ากระทรวงใหม่ "กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล" หรือ Department of Government Efficiency (DOGE) ร่วมกับวิเวก รามาสวามี อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสายรีพับลิกัน การตั้งหน่วยงานนี้มีเป้าหมายเพื่อลดขนาดรัฐบาล ยกระดับประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายด้านบริหาร 

ทรัมป์ระบุว่าทั้งมัสก์และรามาสวามีจะนำแนวทางการจัดการภาคเอกชนมาประยุกต์ใช้ เพื่อรื้อระบบราชการที่ซับซ้อน ลดกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อน และปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐ การแต่งตั้งครั้งนี้ไม่ได้ผ่านการรับรองจากวุฒิสภา ทำให้มัสก์สามารถคงบทบาทในธุรกิจของเขาต่อไปได้

ทรัมป์กล่าวว่ากระทรวง DOGE จะทำงานร่วมกับทำเนียบขาวและสำนักงานบริหารจัดการและงบประมาณของสหรัฐฯ เพื่อผลักดันการปฏิรูปที่ยั่งยืนและท้าทายผ่านมุมมองแบบผู้ประกอบการ โดยตั้งเป้าหมายให้กระบวนการปฏิรูปเสร็จสิ้นภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2026 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 250 ปีการประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ 

มัสก์ ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกจากนิตยสาร Forbes คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในรัฐบาลทรัมป์ พร้อมรับโอกาสที่จะพัฒนาเทคโนโลยีในหลายด้าน รวมถึง AI และคริปโตเคอร์เรนซี โดยมัสก์เองได้สนับสนุนแคมเปญหาเสียงของทรัมป์อย่างต่อเนื่องและเคยขึ้นเวทีปราศรัยร่วมกันหลายครั้ง 

มัสก์ให้คำมั่นว่าการทำงานของ DOGE จะโปร่งใส โดยเผยว่าทุกขั้นตอนจะถูกเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้

16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446 121 ปี "คฑาจอมพล" องค์แรกของประเทศไทย กองทัพบกจัดทำ ทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 5

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446 กองทัพบกได้จัดทำพระคทาจอมพลขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในฐานะองค์จอมทัพไทย ในพระราชพิธีทวีธาภิเษก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีพระคทาจอมพล

พระราชพิธีทวีธาภิเษกเป็นการสมโภชการครองราชย์ของ รัชกาลที่ 5 ที่ยืนยาวเป็นสองเท่าของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระบรมชนกนาถ โดยพระคทาจอมพลองค์แรกนี้มีรูปทรงกระบอก ยาว 35 เซนติเมตร ยอดคทาเป็นรูปหัวช้างสามเศียรลงยาสีขาว เหนือหัวช้างเป็นรูปพระเกี้ยว ส่วนปลายคทามีรูปทรงกระบอกตัด องค์คทาทำจากทองคำหนัก 40 บาท ใต้หัวช้างประดับลายนูนรูปหม้อกลศ

พระคทาจอมพลองค์นี้ทรงใช้ในพระราชพิธีต่าง ๆ ตลอดรัชกาล และต่อมาได้รับการใช้สืบทอดโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

‘อธิบดีกรมที่ดิน’ ยันทำตามกฎหมาย-คำสั่งศาล หลัง ‘คมนาคม’ จ่อยื่นค้านกรณีกรมที่ดินไม่เพิกถอน ‘เขากระโดง’

(13 พ.ย. 67) ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ ยันทำตามกฎหมาย-คำสั่งศาล หลัง ‘สุริยะ’ มอบ ‘รฟท.’ จ่อยื่นคัดค้านกรณีกรมที่ดินไม่เพิกถอนสิทธิที่ดิน ‘เขากระโดง’ ลั่นไม่ต้องเคลียร์คมนาคม

12 พฤศจิกายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวถึงกรณี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์จะให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยื่นคัดค้านกรณีที่กรมที่ดินไม่เพิกถอนสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง ว่า ทุกอย่างดำเนินการไปตามที่ศาลปกครองสั่ง และในเรื่องการเพิกถอนต้องมีคณะกรรมการในการดำเนินการเพิกถอนตามมาตรา 61 โดยที่ผ่านมามีการตั้งคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว ส่วนการรังวัดจากที่ได้รับรายงานจากคณะกรรมการ ซึ่งทำตามกระบวนการขั้นตอนเรียบร้อยหมดทุกอย่าง

เมื่อถามถึงกรณีที่กระทรวงคมนาคม จะยื่นคัดค้านกรมที่ดินยกเลิกการเพิกถอนที่ดินเขากระโดง อธิบดีกรมที่ดิน มองว่า การแถลงข่าวตอนแรกอาจจะไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องรังวัด แต่มันอยู่ในรายงานของคณะกรรมการชุดดังกล่าวแล้ว ช่วงวันที่ 2-26 กรกฎาคม 2567 เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกรมที่ดินในพื้นที่และการรถไฟฯ และวันนี้ทางกรมฯได้มีการออกข่าวชี้แจงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อถามย้ำว่าการดำเนินการนั้นสามารถยืนยันได้ใช่หรือไม่ว่าทำการตามกฎหมาย อธิบดีกรมที่ดิน ยืนยันว่า ทำตามหลักกฎหมาย ไม่มีอะไรที่ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย พร้อมย้ำว่าเป็นไปตามคำสั่งของศาลทุกประการ บนข้อเท็จ ที่เกิดตามหน้างานจริง

เมื่อถามต่อว่ากระทรวงคมนาคมมีท่าทีดังกล่าวทางกรมที่ดินจะต้องมีการชี้แจงหรือไม่ อธิบดีกรมที่ดิน ระบุว่า คงไม่ เพราะทุกอย่างที่ทำมาก็รายงานต่อศาลปกครองตามคำสั่งของศาล โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล พร้อมย้ำว่าคงเป็นข้อเท็จจริง คงไม่ต้องมาต่อสู้อะไรกัน

บริษัทแม่ 7-Eleven เล็งถอนหุ้น ทิ้งตลาดหลักทรัพย์โตเกียว แปรสภาพเป็นเอกชน

(13 พ.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า Seven & i Holdings บริษัทญี่ปุ่นเจ้าของเครือร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ทั่วโลก กำลังพิจารณาซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนเพื่อนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ซึ่งเป็นแผนป้องกันการเทกโอเวอร์จาก Alimentation Couche-Tard Inc. กลุ่มทุนค้าปลีกจากแคนาดาที่ได้ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการของ Seven & i เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยหากดีลนี้สำเร็จ คาดว่าจะเป็นมูลค่าการซื้อหุ้นคืนอาจสูงถึง 2 ล้านล้านบาท

นิกเคอิ เอเชีย รายงานเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2024 โดยอ้างแหล่งข่าวว่า Seven & i Holdings กำลังอยู่ในขั้นตอนการติดต่อสถาบันการเงินเพื่อจัดหาทุนสนับสนุนในการซื้อหุ้นคืน เพื่อป้องกันการเข้าครอบครองจาก Couche-Tard อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่านักลงทุนและครอบครัวผู้ก่อตั้งจะตอบรับข้อเสนอนี้หรือไม่

ด้าน  Bloomberg ระบุว่ามูลค่าของดีลนี้อาจสูงถึง 9 ล้านล้านเยน (ประมาณ 2.02 ล้านล้านบาท) และทางตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้ประกาศระงับการซื้อขายหุ้น Seven & i ชั่วคราวตั้งแต่เวลา 11.43 น. ของวันที่ 13 พฤศจิกายน เพื่อสอบถามข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องของข่าวการซื้อคืนหุ้น

ทั้งนี้ ราคาหุ้นของ Seven & i ปรับตัวสูงขึ้น 23% เมื่อซื้อขายผ่าน Japannext หลังปิดตลาดภาคเช้า ขณะที่นิกเคอิรายงานว่า หากดีลซื้อหุ้นคืนสำเร็จ จะกลายเป็นดีลซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

17 พฤศจิกายน พ.ศ.2499 ในหลวง ร.9 เสด็จฯโรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี อดีตโรงพยาบาลสนามสมัยพิพาทอินโดจีน

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเพื่อประกอบพิธีเปิดอาคารผ่าตัดประชาธิปก และทรงเปิดป้ายนาม "โรงพยาบาลพระปกเกล้า" จ.จันทบุรี ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นอนุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี มีประวัติยาวนาน เริ่มต้นด้วยการก่อสร้างอาคารในปี พ.ศ. 2482 โดยมีขนาดความจุ 50 เตียง เปิดทำการครั้งแรกในชื่อ "โรงพยาบาลจันทบุรี" เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2483 โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลสนามระหว่างกรณีพิพาทอินโดจีนและให้การรักษาผู้บาดเจ็บกว่า 300 รายจากยุทธนาวีเกาะช้าง ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนและได้ริเริ่มขยายโรงพยาบาลผ่านกองทุนของราชวงศ์ กระทั่งในปี พ.ศ. 2498 โรงพยาบาลได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลพระปกเกล้า” หลังการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่เสร็จสิ้น

ปัจจุบัน โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี สังกัดคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสามารถรองรับผู้ป่วยได้ถึง 886 เตียง

LG เปิดตัว Display ยืด-หดได้ ขยาย 12 นิ้วเป็น 18 นิ้ว ความละเอียดสูง-สีสันแจ่ม

(13 พ.ย. 67) LG Display เปิดตัวนวัตกรรมหน้าจอยืดได้แห่งอนาคต สามารถขยายขนาดจาก 12 นิ้วเป็น 18 นิ้วได้ถึง 50% ซึ่งเป็นความสำเร็จใหม่ในอุตสาหกรรมจอภาพ โดยหน้าจอนี้ซึ่งจัดแสดงครั้งแรกที่ LG Science Park กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ นอกจากจะสามารถขยายขนาดได้ยังคงความละเอียดสูงและสีสันสมบูรณ์ไม่ลดลง 

หน้าจอต้นแบบใหม่นี้มีความก้าวหน้าจากรุ่นเดิมของปี 2022 โดยการพัฒนาโครงสร้างซับสเตรตซิลิโคนแบบพิเศษและการออกแบบสายไฟที่ล้ำสมัย พร้อมด้วยการใช้ไมโคร LED ซึ่งเพิ่มความทนทาน สามารถยืดได้ถึง 10,000 ครั้ง และทนต่ออุณหภูมิและแรงกระแทกสูง 

หน้าจอแบบยืดได้ของ LG นี้ยังบาง เบา และสามารถติดกับพื้นผิวโค้งได้ง่าย เหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายด้าน ทั้งในแฟชั่น อุปกรณ์สวมใส่ และอุตสาหกรรมที่ต้องการความคล่องตัว โดย LG ได้สาธิตการใช้งานในแนวคิดต่างๆ เช่น แผงหน้าจอยืดได้สำหรับรถยนต์และอุปกรณ์สวมใส่สำหรับนักดับเพลิง 

นวัตกรรมนี้เป็นผลมาจากโครงการวิจัยระดับชาติของเกาหลีใต้ นำโดย LG Display ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและสถาบันวิจัย และได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงาน เพื่อมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต 

ซูยอง ยุน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) และรองประธานบริหารของ LG Display กล่าวว่า "เราจะยังคงสร้างระบบนิเวศจอภาพที่ยั่งยืนในอนาคต ผ่านความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างภาคอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา และผู้มีส่วนร่วมด้านการวิจัยในเกาหลีใต้"

โรงเรียนสาธิต มศว. ปทุมวัน สั่งปิดเรียน 2 สัปดาห์ หลังพบเด็กป่วยโรคไอกรน - ลดเสี่ยงการแพร่ระบาด

เมื่อวันที่ (12 พ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ได้โพสต์ข้อความว่า สืบเนื่องจากการสอบสวนการระบาดกรณีพบผู้ป่วยโรคไอกรน ตั้งแต่วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2567 จนถึงปัจจุบัน จำนวนมากกว่า 2 รายขึ้นไป ภายในพื้นที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคไอกรนในโรงเรียน และตระหนักถึงความปลอดภัยของบุคลากรและนักเรียนที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าวโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน จึงเห็นสมควรให้ประกาศมาตรการและแนวทางการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

1. ปิดสถานศึกษา ระหว่างวันพุธที่ 13 - วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

2. งดใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียน ระหว่างวันพุธที่ 13 - วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

3.ให้ทุกระดับชั้นจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ

4. การมอบหมายงานของอาจารย์และการปฏิบัติงานกลุ่มของนักเรียน ต้องเป็นงานหรือกิจกรรมที่ไม่มีการมารวมกลุ่มปฏิบัติด้วยกันโดยเด็ดขาด

5. ระหว่างวันพุธที่ 13 - วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ขอให้บุคลากรปฏิบัติงาน ณ สถานที่พักอาศัยของตนเอง (Work from Home) โดยพร้อมรับการติดต่อหรือสั่งการจากผู้บังคับบัญชา ในส่วนของพนักงานมหาวิทยาลัยสายปฏิบัติการและสายปฏิบัติงานให้มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำการ ตามวันและเวลาที่ได้รับมอบหมาย เพื่อพร้อมรับการติดต่อราชการระหว่างเวลา 08.30 - 15.30 น. ทั้งนี้ ต้องปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไอกรนและโรงเรียนกำหนดอย่างเคร่งครัด

6. เปิดสถานศึกษา วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 และดำเนินการสอบกลางภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน - วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ตามปกติ

ทั้งนี้ ขอให้ติดตามข่าวสารที่โรงเรียนประกาศอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top