Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ในหลวง ร.9 เสด็จเยือนจังหวัดนครพนม ก่อเกิดภาพประวัติศาสตร์ ‘ดอกไม้แห่งหัวใจ’

วันนี้เป็นวันครบรอบ 69 ปี ของภาพเหตุการณ์ที่กลายมาเป็นภาพประวัติศาสตร์สำคัญภาพหนึ่ง ...ของประเทศเล็กๆ..บนโลกใบนี้ที่ชื่อว่าประเทศไทย กับภาพ ‘ดอกไม้แห่งหัวใจ’ ที่ตราตรึงอยู่ในใจคนไทยตลอดมา

วันนั้นเป็นหนึ่งวันในพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในภาคอีสาน ระหว่างวันที่ 2-20 พฤศจิกายน 2498 โดยในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2498 ทรงสร้างประวัติศาสตร์อย่างแรกคือทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จฯไปสักการะ พระธาตุพนม 

แต่ในวันเดียวกันนั้นยังเกิดภาพประทับใจ ที่คนไทยคุ้นตาเป็นอย่างดี และถือได้ว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ ที่แสดงถึง 'ความอ่อนโยน' ( หรือ มทฺทวํ) ของพระผู้เป็นประมุขของประเทศ ที่ทรงน้อมพระองค์ลงสู่ราษฎร อันเป็นข้อหนึ่งในทศพิธราชธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์ 

เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากพระราชกรณียกิจภาคเช้าที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารแล้ว ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จกลับมายังที่ประทับแรม ตลอดทางมีราษฎรมารอเฝ้ารับเสด็จอยู่ตามรายทางเป็นระยะ ซึ่งทั้งสองพระองค์ก็ทรงหยุดรถพระที่นั่ง เสด็จลงไปทักทายปฏิสันถารกับราษฎรเหล่านั้นเป็นระยะ 

ที่สามแยกชยางกูร-เรณูนคร มีราษฎรอุ้มลูกจูงหลานมารอเฝ้าอยู่กลุ่มใหญ่ หนึ่งในนั้นคือครอบครัวจันทนิตย์ ที่บรรดาลูกหลานได้พา แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี(อายุในขณะนั้น) มาเฝ้าอยู่ ณ จุดนั้นด้วย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้าน 700 เมตร และได้หาดอกบัวสาย สีชมพูให้แม่เฒ่ามาถวาย 3 ดอก แล้วพาไปนั่งแถวหน้าสุดเพื่อให้ได้โอกาสเข้าเฝ้าใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท 

ตั้งแต่เช้าจนบ่าย แม้ความร้อนจากแสงแดดจะทำให้ดอกบัวในมือของแม่เฒ่าเหี่ยวเฉา แต่ก็ไม่อาจจะแผดเผาให้หัวใจแม่เฒ่าวัย 102 ปีเหี่ยวเฉาไปได้ จะขอเฝ้าล้นเกล้าฯทั้งสองพระองค์สักครั้งในชีวิต 

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงตรงหน้า แม่เฒ่ายกดอกบัวสายที่เหี่ยวทั้ง 3 ดอกนั้นขึ้นเหนือหัว แสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง 

พระเจ้าอยู่หัวทรงหยุดพระราชดำเนินที่แม่เฒ่า และโน้มพระองค์ลงจนพระพักตร์แทบแนบชิดศีรษะแม่เฒ่า แย้มพระสรวลด้วยความเมตตา พระหัตถ์แตะมืออันกร้านของแม่เฒ่าด้วยความอ่อนโยน รับดอกบัวทั้ง 3 ดอกไว้ด้วยพระหัตถ์ 

ขอบพระคุณ ที่วินาทีนั้น คุณอาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์ ได้กดชัตเตอร์บันทึกภาพนี้ไว้ได้ในนาทีประวัติศาสตร์ 

ไม่ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะมีรับสั่งกับแม่เฒ่าอย่างไร ภาพนี้ก็ไม่ต้องการคำอธิบายใด ๆ ทั้งสิ้น และบอกถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ที่ทรงมีกับราษฎรของพระองค์ ได้มากกว่าคำอธิบายใด ๆ เป็นล้านคำ 

หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯแล้ว สำนักพระราชวังยังได้ส่งภาพนี้ พร้อมด้วยพระบรมรูปหล่อด้วยปูนปลาสเตอร์ พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนม ให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึกด้วย และนั่นอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้แม่เฒ่าวัย 102 ปียังคงมีชีวิตยืนยาวอย่างชุ่มชื่นหัวใจต่อมาอีก 3 ปี 

ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของพวกเราคงไม่เคยพบเห็นภาพ ประมุขหรือผู้นำของประเทศไหน ๆ ในโลกใบนี้ ได้แสดงออกถึงความรักและให้ความใกล้ชิดกับประชาชนของตนอย่างมากในลักษณะเช่นนี้อีกแล้ว ภาพนี้จึงมักเป็นภาพแรกๆ ที่ปรากฏในห้วงความทรงจำของคนไทยเมื่อยามที่ระลึกถึงพระองค์ท่าน....

14 พฤศจิกายน ของทุกปี วันพระบิดาแห่งฝนหลวง น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ร.9

สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จเยี่ยมราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 พระองค์ทรงพบว่าราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมและฝนแล้ง ทำให้ทรงมีพระราชดำริในการแก้ปัญหาความทุกข์ร้อนของราษฎรอย่างฉับพลันในขณะนั้นว่า "สมควรที่จะสร้างฝายหรือเขื่อนขนาดเล็ก และอ่างเก็บน้ำจำนวนมากขวางทางน้ำ เพื่อป้องกันหรือลดความรุนแรงการไหลบ่าของน้ำ และกักเก็บน้ำไว้ในฤดูแล้งซึ่งเป็นการบรรเทาสภาวะแห้งแล้งได้ทางหนึ่ง" ที่สำคัญทรงเกิดประกายความคิดด้วยความมั่นพระราชหฤทัยว่าน่าจะนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาช่วยให้เกิดฝนได้ และน่าจะมีวิธีการที่จะรวมเมฆที่กระจายอยู่ในท้องฟ้า ไปรวมตัวกันเกิดเป็นฝนตกลงสู่พื้นที่แห้งแล้ง

จาก พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าและวิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยาและการดัดแปรสภาพอากาศ เมื่อทรงมั่นพระราชหฤทัยแล้ว ทรงพระราชทานแนวคิดนี้แก่หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยสิ่งประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในขณะนั้น และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทำการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1 – 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 โดยใช้พื้นที่บนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นพื้นที่ทดลองโดยทดลองหยอดก้อนน้ำแข็งแห้งขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่ทดลอง ทำให้กลุ่มเมฆทดลองมีการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ของเมฆทำให้เกิดการกลั่นรวมตัวกันอย่างหนาแน่น และต่อยอดสูงขึ้นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว และจากการติดตามผล ก็ได้รับรายงานว่าเกิดฝนตกลงสู่พื้นที่บริเวณวนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในที่สุด การทดลองดังกล่าวจึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่บ่งชี้ให้เห็นว่าการบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และความสำเร็จดังกล่าวยังส่งผลให้มีการพัฒนา ปรับปรุง และต่อยอดโครงการฝนหลวงเรื่อยมา 

จากการที่ทรงศึกษาค้นคว้า ทรงทดลองทางวิทยาศาสตร์ และปฏิบัติการทำฝนที่ประสบความสำเร็จมาโดยลำดับ โดยทรงประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีในการทำฝนเบื้องต้น และทรงบัญญัติคำศัพท์ การทำฝน 3 ขั้นตอน เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและการสื่อสารคือ 'ก่อกวน เลี้ยงอ้วน และโจมตี' โดยเฉพาะเทคนิคการโจมตีให้ฝนตกลงสู่พื้นที่เป้าหมายอย่างแม่นยำ และเพิ่มปริมาณฝนตกให้สูงขึ้น โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เรียกว่า เทคนิคการโจมตีแบบแซนด์วิช (SANDWICH) และพระราชทานให้ใช้เป็นเทคโนโลยีการทำฝนตั้งแต่ พ.ศ. 2516 เป็นต้นมา

พ.ศ. 2542 ได้เกิดสภาวะแห้งแล้งรุนแรงต่อพื้นที่เกษตรกรรม และราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดารขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดส่งคณะปฏิบัติการฝนหลวงกู้ภัยแล้ง โดยในการปฏิบัติการนี้ ทรงพัฒนาเทคนิคการโจมตีที่เรียกว่า 'เทคนิคการโจมตี แบบ SUPER SANDWICH' อันเป็นนวัตกรรมใหม่ที่พระราชทานให้ใช้เป็นเทคโนโลยีฝนหลวงที่สามารถกู้ภัยแล้งให้คืนสู่สภาวะปกติได้อย่างทันท่วงที จึงเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวงให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง และพระราชทานให้ใช้เป็น 'ตำราฝนหลวงพระราชทาน' ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2542 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่เป็นองค์กรที่ได้ดำเนินงานโครงการพระราชดำริฝนหลวงมาตั้งแต่เริ่มแรกโครงการได้เสนอให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็น 'วันพระบิดาแห่งฝนหลวง' ในการประชุมคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2545

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงคิดค้น วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวงจนประสบผลสำเร็จสามารถช่วยเหลือประชาชนให้รอดพ้นจากภัยแล้งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้จนถึงปัจจุบัน

‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ ยอมรับอ้างชื่อ ‘หนุ่ม กรรชัย’ จริง แต่ถูกตัดต่อ แจงปมเรียกเงิน 20 ล้าน ยัน! แค่อยากได้งานพีอาร์เท่านั้น

(13 พ.ย. 67) ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ ยอมรับทำผิดจริง ปมอ้างชื่อ หนุ่ม กรรชัย และรายการ โหนกระแสยันไม่เจตนาตบทรัพย์ เรียกเงิน 20 ล้าน เป็นเพียงค่าทำพีอาร์เท่านั้น

หลังจากที่ทาง หนุ่ม กรรชัย ออกมาเปิดคลิปเสียง ศิลปินชาย ร่วมมือนักร้องหญิง ตบทรัพย์ 20 ล้านบาท จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักในขณะนี้ ซึ่งหลายคนก็ตั้งคำถามว่าศิลปินดังคนนั้นคือใคร สุดท้ายหวยไปออกที่ ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ และเจ้าตัวก็รีบติดต่อรายการดังทางช่อง 8 เพื่อชี้แจงความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดในทันที ทั้งยืนยันว่าเป็นเสียงของตนจริง แต่ถูกตัดต่อให้เข้าใจผิดว่าเป็นการเรียกเงิน 20 ล้านบาท

ฟิล์ม รัฐภูมิ ติดต่อไปที่รายการ คนดังนั่งเคลียร์เพื่อที่จะออกมาชี้แจงถึงประเด็นที่มีเสียงตัวเองโผล่อยู่ในคลิปเสียงตบทรัพย์ 20 ล้าน โดยเจ้าตัวเผยว่า ได้รับการติดต่อให้ทำพีอาร์ให้กับทางดิไอคอนผ่าน คุณกฤษอนงค์ ตอนนั้นยังไม่เกิดคดีความขึ้น ตนอยู่ในสถานะของผู้ถูกจ้าง

โดยคนกลางกำหนดงบประมาณมาให้เองว่ามีงบ 20 ล้านบาท และจากที่ฟังเรื่องที่เขาเล่ามาตนก็ไม่ได้ตกใจอะไร ก็คิดว่าเป็นบริษัทที่ขายของเท่านั้น ไม่ได้ทราบว่า ดิไอคอนกรุ๊ป คืออะไร ตนมีหน้าที่แค่วางแพลนมาร์เก็ตติ้งเพื่อให้เขาได้ไปดีแคร์ตัวเองผ่านทางรายการโทรทัศน์เท่านั้น เพราะเขาอ้างว่ากำลังถูกสื่อและสังคมโจมตีอย่างหนัก

ส่วนประเด็นที่อ้างชื่อ หนุ่ม กรรชัย นั้น ศิลปินดัง ยอมรับว่าในเรื่องนี้ตนผิดจริง ๆ พิธีกรดังโทรศัพท์มาหาแล้วตั้งแต่เมื่อคืน (11 พ.ย. 67) ตนก็โดนด่าเหมือนที่พี่เขาด่าในรายการวันนี้เลย อยากจะขอโทษที่กล่าวอ้างไปแบบนั้นไม่ได้มีเจตนาทำให้เสียชื่อเสียง น้อมรับทุกสิ่งที่เขาต่อว่ามา และพร้อมจะปรับปรุงให้ดีขึ้น 

สาเหตุที่เอ่ยชื่อ หนุ่ม กรรชัย ไปแบบนั้น เพราะหลงเชื่อคนกลาง เพื่อต้องการจะขายงานของตัวเองให้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วบริษัทดิไอคอนก็ไม่ได้ซื้องานของตน ตนไม่ได้รับเงินก้อนนี้ และไม่ทราบว่าใครได้งานนี้ไป ยืนยันว่าไม่ได้ตบทรัพย์หรือรีดทรัพย์ 20 ล้านตามที่คลิปเสียงถูกตัดต่อจนคนมองผิดไปแน่นอน ย้ำว่าเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้าที่บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จะถูกดำเนินคดี ถือว่าเป็นบทเรียนให้ต้องมีสติในการรับงานมากกว่านี้

ย้ายประเทศหลังทรัมป์คัมแบ็ก ยกย่อง 'วัฒนธรรม-การแพทย์' โดดเด่น

(13 พ.ย. 67) หลังการเลือกตั้ง สหรัฐฯ พบกระแสการย้ายถิ่นฐานในกลุ่มเศรษฐีชาวอเมริกันที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงในต่างประเทศ โดยเฉพาะใน 10 ประเทศยอดนิยมที่พวกเขาต้องการย้ายไปมากที่สุด

บริษัท Henley & Partners ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวางแผนการลงทุนเพื่อขอพลเมืองและถิ่นพำนักในต่างประเทศ สำหรับบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (High-Net-Worth Individuals) รายงานว่า ความต้องการหนังสือเดินทางที่สองหรือการตั้งถิ่นฐานระยะยาวในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยในครั้งนี้หลายคนได้เริ่มดำเนินการจริง

Dominic Volek หัวหน้าฝ่ายลูกค้าส่วนบุคคลของ Henley & Partners เผยว่า ขณะนี้ชาวอเมริกันที่มีฐานะมั่งคั่งได้กลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก คิดเป็นสัดส่วน 20% ของธุรกิจบริษัท และเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% จากปีก่อน

David Lesperance ผู้บริหาร Lesperance and Associates ระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ติดต่อเขาเพื่อเตรียมโยกย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

การสำรวจจาก Arton Capital พบว่า 53% ของเศรษฐีชาวอเมริกันมีแนวโน้มย้ายออกนอกประเทศหลังการเลือกตั้ง โดยเศรษฐีวัยหนุ่มสาวสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 18-29 ปี ซึ่ง 64% สนใจโปรแกรมถิ่นพำนักผ่านการลงทุนในต่างประเทศ

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศน่าลงทุนเพื่อการย้ายถิ่นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยข้อมูลจาก Henley & Partners ระบุว่า ชาวต่างชาติที่มีรายได้สูงสามารถลงทุนเพื่อขอวีซ่าผู้มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทยได้ ด้วยงบประมาณเริ่มต้นประมาณ 900,000 บาท หรือ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับวีซ่าระยะยาว

ในกลุ่มประเทศยอดนิยมที่เศรษฐีอเมริกันสนใจย้ายไป ได้แก่ แคนาดา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ สเปน และฝรั่งเศส โดยใน 25 อันดับแรกยังมีประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ (อันดับ 21), ฟิลิปปินส์ (อันดับ 22), ไทย (อันดับ 23), สิงคโปร์ (อันดับ 28), เวียดนาม (อันดับ 29) และอินโดนีเซีย (อันดับ 33)

เหตุผลหลักในการเลือกประเทศใหม่ คือ "วัฒนธรรม" ตามด้วย "โอกาสการทำงาน" และ "ระบบเฮลท์แคร์" โดยมีผู้ให้ความสำคัญกับเรื่อง "ภาษี" และ "ระบบการศึกษา" อยู่ที่ประมาณ 3%

สวนทางต่างชาติสนใจย้ายมาไทย ชอบคุณภาพชีวิต-ค่าครองชีพไม่สูง

(13 พ.ย. 67) คนไทยสมองไหล? Gen Z 79% อยากย้ายประเทศเพื่อโอกาสงานที่ดีขึ้น

ปรากฏการณ์ “สมองไหล” ในไทยกำลังทวีความรุนแรง ล่าสุดรายงานจาก Jobsdb by Seek เผยว่า 66% ของคนไทยสนใจย้ายไปทำงานต่างประเทศเพื่อหางานที่มีเงินเดือนสูงขึ้นและคุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ที่มีถึง 79% อยากหาประสบการณ์ทำงานระดับนานาชาติ

รายงาน Global Talent Survey 2024 จาก Jobsdb เผยว่าแรงงานไทยมากถึง 66% สนใจย้ายไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ให้ความสนใจสูงถึง 79% ความต้องการย้ายประเทศนี้มีสาเหตุจากความต้องการก้าวหน้าในอาชีพ รายได้ที่สูงขึ้น และประสบการณ์ทำงานระดับโลก 

แม้จะยังไม่มีตัวเลขแน่ชัดของผู้ต้องการย้าย แต่แนวโน้มนี้มีการเติบโตอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด โดยหลังจากการระบาด ความสนใจย้ายประเทศเพื่อหางานของคนไทยพุ่งสูงขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณถึงปรากฏการณ์สมองไหลที่เพิ่มขึ้น

ประเทศปลายทางที่แรงงานไทยต้องการย้ายไป ได้แก่ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งการเลือกเหล่านี้อาจมีปัจจัยจากความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค ศักยภาพทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม 60% ของผู้ที่ได้ไปทำงานในต่างประเทศมีแผนจะกลับมาทำงานในไทยในอนาคต ส่วนอีก 18% ต้องการอยู่ต่างประเทศอย่างไม่มีกำหนด อาชีพยอดนิยมที่แรงงานไทยสนใจไปทำในต่างประเทศ ได้แก่: การศึกษาและการฝึกอบรม (85%): ผู้สอนต้องการขยายประสบการณ์ในสายการสอนระหว่างประเทศ, กฎหมาย (73%): นักกฎหมายไทยมองหาบทบาทระดับนานาชาติ, การจัดการธุรกิจ (73%): ผู้จัดการธุรกิจต้องการโอกาสด้านการตลาด สื่อดิจิทัล และ AI โดยเฉพาะในสิงคโปร์และฮ่องกง, ไอที (72%): ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีมุ่งหวังทำงานในสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มพูนทักษะด้านซอฟต์แวร์และการวิเคราะห์ข้อมูล, วิศวกรรมและเทคนิค (69%): วิศวกรไทยมุ่งหวังทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ที่ครบวงจร

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสแรงงานไทยแห่ไปทำงานต่างแดน แต่สวนทางแรงงานต่างชาติที่ให้ความสนใจเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น โดยไทยขึ้นจากอันดับ 39 เป็นอันดับ 31 ในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของแรงงานต่างชาติในปี 2023 แรงงานเหล่านี้ชื่นชอบคุณภาพชีวิต ค่าครองชีพที่ไม่สูง และวัฒนธรรมที่เป็นมิตรและครอบคลุม โดยข้อมูลจากกระทรวงแรงงานเผยว่า ไทยมีแรงงานต่างชาติ 2.7 ล้านคน คิดเป็น 7% ของแรงงานในประเทศ

‘เอกนัฏ’ สั่งปรับปรุง มอก. 2333 ย้ำ รถแก๊สต้องปลอดภัยกว่าเดิม เพิ่มวาล์วตัดแก๊สอัตโนมัติรถ NGV คาดเริ่มประกาศใช้ใน ก.พ. 68

(13 พ.ย. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี) ได้มีการยื่นหนังสือขอให้ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ทบทวนมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.2333 เล่ม 1 และ 2-2550 (ระบบการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ เล่ม 1 ข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เล่ม 2 วิธีทดสอบ) เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์) จึงได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.2333 ให้ทันต่อสถานการณ์และเพื่อความปลอดภัยและประโยชน์สุขของประชาชนที่โดยสารรถที่ใช้ CNG (COMPRESSED NATURAL GAS) เป็นเชื้อเพลิง หรือเรียกกันว่ารถ NGV (NATURAL GAS VEHICLE)

ทาง สมอ. ได้ยกเลิกและปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.2333 เพื่อให้ กรมการขนส่งทางบก นำไปอ้างอิง บังคับใช้ตามกฎหมาย โดยอ้างอิง ISO 15501 ฉบับล่าสุด ซึ่งกำหนดให้รถติดตั้งระบบ CNG ต้องมีวาล์วเปิด-ปิดอัตโนมัติที่หัวถัง ทุกถังเท่านั้น โดยเตรียมนำเสนอคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) หรือ บอร์ด สมอ. เพื่อพิจารณาในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เมื่อมีมติเห็นชอบคาดว่าจะสามารถประกาศใช้งานมาตรฐานดังกล่าวได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568

“การแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เป็นการกำหนดแนวทางให้ผู้ผลิตต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ปลอดภัย เพื่อประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญ และนับเป็นอีกก้าวในการสร้างอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของประชาชน ตามนโยบาย "การปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส“ เลขาฯ พงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย

นิตยสาร Travel + Leisure ยกย่อง ธรรมชาติสวย - 4 ภาคเอกลักษณ์เด่น

(13 พ.ย. 67) ไทยคว้ารางวัลจุดหมายปลายทางแห่งปี 2025 จาก Travel + Leisure - ประกาศศักยภาพ Soft Power สู่สายตาชาวโลก

ประเทศไทยได้รับรางวัล “จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวแห่งปี 2025” (Destination of the Year 2025) จากนิตยสาร Travel + Leisure สื่อท่องเที่ยวทรงอิทธิพลระดับโลก โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชี้ว่า นี่เป็นสัญญาณเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาการท่องเที่ยวในปีหน้า

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า Travel + Leisure เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกสำหรับปี 2025 ด้วยความครบครันในด้านแหล่งท่องเที่ยว ทั้งความงามตามธรรมชาติอย่างอ่าวพังงา การอนุรักษ์ช้างไทย และเสน่ห์ของกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยสีสัน ทั้งด้านวัฒนธรรม อาหารอันเลื่องชื่อ และการเปิดกว้างสำหรับชุมชน LGBTQ+

การได้รับตำแหน่งนี้จาก Travel + Leisure ซึ่งจัดอันดับจุดหมายปลายทางแห่งปีมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก โดยในอดีตประเทศที่ได้รับรางวัลนี้ เช่น คอสตาริกา อิตาลี และญี่ปุ่น ต่างก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม

นิตยสาร Travel + Leisure ประเมินว่าประเทศไทยโดดเด่นด้วยความผสมผสานของความเป็นไทยและความทันสมัยได้อย่างลงตัว ฌัคกี กิฟฟอร์ด บรรณาธิการใหญ่ของ Travel + Leisure กล่าวว่า “การประกาศให้ไทยเป็นจุดหมายแห่งปี 2025 เป็นความตื่นเต้นสำหรับเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการชิมอาหารในกรุงเทพฯ พักผ่อนบนเกาะงดงามกว่า 1,430 เกาะ หรือสัมผัสการบริการระดับโลก เมืองไทยมีทุกสิ่งให้คนทุกสไตล์ได้ค้นพบ”

นอกจากนี้ แต่ละภูมิภาคของไทยยังมีเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าประทับใจ ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม และการผจญภัย อย่างกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารชั้นเลิศและชุมชน LGBTQ+ ที่มีชีวิตชีวา ขณะเดียวกัน เกาะสมุยยังเป็นจุดถ่ายทำซีรีส์ดังอย่าง *The White Lotus* ของ HBO ซึ่งต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรีสอร์ตหรูและบรรยากาศอันเงียบสงบ และอ่าวพังงาก็มีทัศนียภาพเขาหินปูนที่งดงามเป็นเอกลักษณ์

ททท. มองว่าการได้รับรางวัลครั้งนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งต่อเป้าหมายการท่องเที่ยวในปี 2025 โดยนโยบายภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท และยกระดับประเทศไทยให้เป็น “ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬายิ่งใหญ่” (Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025)

ประเทศไทยยังดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า โดยเฉพาะการดูแลช้างไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งสามารถเยี่ยมชมได้ตามศูนย์อนุรักษ์ช้างทั่วประเทศ 

การคว้าตำแหน่งจุดหมายปลายทางแห่งปี 2025 แสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ Soft Power ของไทยที่ยังคงตรึงใจนักเดินทางทั่วโลกและตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าค้นหาในปีหน้า

'เยอรมนี' ชาติยอดนิยมในยุโรป นักศึกษา 'อินเดีย-จีน' แห่ไปเรียนมากสุด

(13 พ.ย. 67) เยอรมนีพบจำนวนนักศึกษาต่างชาติเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยในภาคการศึกษาฤดูหนาวปี 2023-2024 มีนักศึกษาต่างชาติกว่า 380,000 คนลงทะเบียนเรียน เพิ่มขึ้น 3% จากปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลของ DAAD (German Academic Exchange Service) นักศึกษาต่างชาติเหล่านี้คิดเป็นเกือบ 13% ของนักศึกษาทั้งหมดในเยอรมนี

นักเรียนจากอินเดียมีจำนวนมากที่สุด โดยมีนักเรียนลงทะเบียนประมาณ 49,000 คน รองลงมาคือจีน (38,700 คน) ตุรกี (18,100 คน) ออสเตรีย (15,400 คน) และอิหร่าน (15,200 คน) ขณะที่ซีเรีย ซึ่งเคยอยู่ในห้าอันดับแรก ปัจจุบันมีนักเรียนประมาณ 13,400 คนหล่นอยู่ในอันดับที่หก

นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่อยู่ในรัฐนอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย (78,500 คน) รองลงมาคือบาวาเรีย (61,400 คน) และเบอร์ลิน (40,800 คน)

ศาสตราจารย์ Monika Jungbauer-Gans ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์ศูนย์วิจัยอุดมศึกษาและการศึกษาวิทยาศาสตร์เยอรมัน กล่าวว่า จำนวนผู้ลงทะเบียนนักศึกษาต่างชาติในเยอรมนีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 15 ปี นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความน่าดึงดูดของมหาวิทยาลัยในเยอรมนี โดยเฉพาะหลักสูตรปริญญาโทที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ “เพื่อเพิ่มจำนวนการลงทะเบียน เราจำเป็นต้องยกระดับการสนับสนุนนักศึกษาในทุกระดับการศึกษา” เธอกล่าวในแถลงการณ์ของ DAAD

ปัจจุบัน หลักสูตรวิชาการในเยอรมนีราว 10% ใช้การสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับหลักสูตรภาษาอังกฤษที่เพิ่มขึ้นจนเกิดข้อจำกัดในบางประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ ตามรายงานของ The PIE News

การสำรวจจาก Study in Germany เว็บไซต์การศึกษาต่อเยอรมนี ระบุเหตุผลสำคัญสามประการที่ดึงดูดนักเรียนต่างชาติ ได้แก่ 1.การเรียนฟรี มหาวิทยาลัยของรัฐในเยอรมนีไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียน โดยนักศึกษาชำระเพียงค่าธรรมเนียมการบริหารปีละประมาณ 150-250 ยูโร (160-268 ดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรกว่า 500 หลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ และมหาวิทยาลัยเยอรมนี 49 แห่งติดอันดับโลกโดย Times Higher Education

2.ค่าครองชีพต่ำ นักศึกษาต่างชาติใช้ชีวิตด้วยงบประมาณเฉลี่ย 930 ยูโร (1,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกามาก 3.โอกาสทำงานหลังเรียนจบ นักศึกษาสามารถอยู่ในเยอรมนีได้นานถึง 18 เดือนเพื่อหางาน โดยผลสำรวจยังชี้ว่านักศึกษาต่างชาติ 70% ต้องการทำงานในเยอรมนีหลังเรียนจบ

Kai Sicks เลขาธิการ DAAD กล่าวถึงความสำคัญของการสนับสนุนหลักสูตรภาษาอังกฤษพร้อมกับการส่งเสริมการเรียนภาษาเยอรมันเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ “นักเรียนต่างชาติที่ประสบความสำเร็จในเยอรมนีมักจะเป็นผู้ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและมหาวิทยาลัยได้ดี” เขากล่าวกับ The PIE

นอกจากนี้ เยอรมนี เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป กำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะถึง 7 ล้านคนภายในปี 2035 เนื่องจากประชากรสูงวัย DAAD ได้เรียกร้องให้รัฐบาล มหาวิทยาลัย และธุรกิจต่างๆ เพิ่มอัตราการคงอยู่ของบัณฑิตต่างชาติ โดยตั้งเป้ารักษาบัณฑิตไว้ประมาณ 50,000 คนต่อปีภายในปี 2030

ในปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Steffen Kaupp รองผู้อำนวยการสถาบันเกอเธ่ ฮานอย เปิดเผยว่า จำนวนนักศึกษาชาวเวียดนามในเยอรมนีเพิ่มขึ้นเกือบ 30% จากช่วงก่อนโควิด-19 โดยส่วนใหญ่สนใจการฝึกอาชีวศึกษาในสาขาการพยาบาลและการบริการ

เจาะเบื้องลึกหลังม่านแคมเปญเลือกตั้งสหรัฐฯ กับ ‘วินท์ สุธีรชัย‘ การป้ายสีให้ทรัมป์เป็นปิศาจ vs นโยบายแก้ปัญหาพื้นฐานสหรัฐฯ

(13 พ.ย. 67) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาผ่านพ้นไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ เป็นที่แน่นอนว่า ‘โดนัลด์ เจ ทรัมป์’ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ท่ามกลางความโกลาหลของโลก

THE STATES TIMES ได้รับโอกาสนั่งจิบกาแฟพร้อมกับคุยถึงสถานการณ์การเมืองของสหรัฐอเมริกา รวมถึงผลกระทบต่อโลก และไทย ภายหลังการรับตำแหน่งของทรัมป์กับ ‘วินท์ สุธีรชัย‘ หนึ่งในนักการเมืองไฟแรง ความสามารถสูงโดยเฉพาะในส่วนของด้านเศรษฐกิจ 

บทสนทนาแรกเริ่มต้นจากการที่วินท์ได้เริ่มอธิบายภาพรวมการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมา ผ่านวิธีคิดของพรรคการเมืองทั้ง 2 ขั้วบนเวทีการเมือง

การเลือกตั้งครั้งนี้นับว่าเป็นความประสบสำเร็จเป็นอย่างสูงของทรัมป์ และพรรครีพับลิกัน เพราะสามารถชนะได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผู้แทนรัฐสำหรับเลือกประธานาธิบดี(Electoral College) คะแนนรวม(Popular Vote) สว. และ สส. 

เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ที่พรรครีพับลิกันสามารถเอาชนะได้ทั้งการเลือกตั้งผู้แทนรัฐสำหรับเลือกประธานาธิบดี(Electoral College) คะแนนรวม(Popular Vote)

ก่อนวินท์จะเริ่มเล่าถึงกลยุทธ์ในการทำแคมเปญหาเสียง

พรรคเดโมแครตพยายามใช้กลยุทธ์คล้าย ๆ กับการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คือสร้างภาพทรัมป์ให้เป็นเผด็จการที่จะมาทำลายระบอบประชาธิปไตยในอเมริกา เป็นคนบ้า เป็นคนเลวร้าย เป็นปิศาจ การสร้างแคมเปญแบบนี้ในการเลือกตั้งคือการสร้างภาพว่าทรัมป์คือ อดอร์ฟ ฮตเลอร์คนที่สอง และพยายามให้ภาพแบบนี้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ 

จนกระทั่งวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 ทรัมป์ถูกลอบสังหารระหว่างการปราศรัยหาเสียงที่ เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนน์ซิลเวเนีย

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เดโมแครตต้องลดโทนการหาเสียงลง เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น 

ทำให้คนเริ่มสงสัยว่าหากทรัมป์เป็นปีศาจเผด็จการจริง ต้องฆ่าให้ตายสิ แต่นี่มาปกป้อง แสดงว่าทรัมป์ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เขาไม่ใช่ปิศาจเผด็จการ เป็นคนธรรมดาที่มีความดีความชั่วปน ๆ กันไม่ต่างจากประชาชนทั่ว ๆ ไป

การใช้แนวคิดหาเสียงแบบนี้ของเดโมแครตไม่ต่างอะไรกับการสร้าง ‘ปิศาจที่ไม่มีจริง’

พรรคเดโมแครตยังมีข้อครหาเรื่อง ‘กมลา แฮร์ริส’ ที่มาแทนที่ ‘โจ ไบเดน’ เพราะแม้ไบเดนจะชนะการเลือกตั้งไพรมารี่ภายในพรรคด้วยเสียงถึง 14 ล้านเสียง แต่พอการดีเบตออกมาไม่ดี ก็มีนายทุนพรรคไม่กี่คนมาบีบให้ลาออกและชูแฮร์ริสขึ้นมาแทนโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งภายในพรรค

ที่ไบเดนต้องยอมถอยก็เพราะว่า แค่มีคำขู่ว่าถ้าไม่ยอมถอยออกไป เม็ดเงินในการเลือกตั้งจะหายไป 

นอกจากนี้แนวคิดในการหาเสียงของทีมกมลา แฮริส ยังมุ่งไปที่พยายามจะชูอัตลักษณ์ของตนเอง ที่เป็นผู้หญิงผิวสี มีเชื้อสายชนพื้นเมือง แต่ไม่ได้บอกอะไรเลยว่าจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวสหรัฐอย่างไร 

กมาลา แฮริส ไม่ได้โชว์ศักยภาพว่านโยบายของตัวเองดีอย่างไร หรือตัวเองที่เป็นตัวแทนของอัตลักษณ์จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขายังไง ดังนั้นไม่แปลกเลยที่แฮริสจะได้คะแนนน้อยทั้งในสัดส่วนผู้หญิง และอัตลักษณ์ต่าง ๆ

กลับกันการหาเสียงของทรัมป์ถึงจะดูรุนแรง แต่ยังไงก็ตามล้วนแต่จี้เข้าไปที่ปัญหาพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่มีสวัสดิการดูแลอย่างดี แต่ประชาชนอเมริกันแท้ ๆ กลับมีหลายคนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก 

ดังนั้นนโยบายการผลักดันผู้อพยพอย่างผิดกฎหมายออกนอกประเทศอาจจะถูกโจมตีบ้าง แต่คนอเมริกันล้วนแต่ต้องการ เพราะตรงกับความรู้สึกที่ว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมตลอดเวลา ซึ่งนโยบายนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างมากแม้แต่กับชาวต่าชาติที่ได้รับสิทธิพลเมืองสหรัฐแล้ว 

นอกจากนี้ ‘วินท์’ ยังได้ยกตัวอย่างอีก 1 ปัญหาสำคัญของสหรัฐอเมริกา นั่นคือ ปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงอย่างต่อเนื่อง 

นโยบายของทรัมป์จี้ไปที่เรื่องนี้ผ่าน 2 เรื่อง คือ การสร้างกำแพงภาษีจากสินค้านำเข้า เพื่อดึงโรงงาน ดึงธุรกิจ กลับมาบนแผ่นดินอเมริกา เพื่อสร้างงานให้กับพลเมืองอเมริกา 

ไม่ใช่การอุดหนุนสวัสดิการอย่างเดียว ข้อความ(Message)หลักของทรัมป์คิดว่า บนแผ่นดินของอเมริกาคนสามารถหางานดี ๆ มีเงินเดือนดี ๆ และศักดิ์ศรีในหน้าที่การงาน ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้

กาแฟแก้วแรกหมดลงไปสำหรับการได้รับคะแนนเสียงถล่มทลายของทรัมป์ สำหรับกาแฟแก้วต่อไปจะเป็นการพูดคุยถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายหลังการดำรงตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์

ภูฏานปิ๊งเมกะโปรเจกต์ สร้างเมืองสีเขียวส่งเสริมสมาธิ

(13 พ.ย. 67) ภูฏาน ประเทศเจ้าของไอเดีย GDPความสุข เผยแนวคิดพัฒนาโครงการเมกะโปรเจกต์สร้าง "เมืองแห่งสติ" ในเมืองเกเลพู ผ่านการระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ 

สำหรับเมืองเกเลพูจะได้รับการจัดตั้งให้เป็นพื้นที่บริหารพิเศษที่มีกฎหมายและกฎระเบียบแยกเฉพาะ มีเป้าหมายให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจเชื่อมภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เมืองนี้จะเน้นการส่งเสริมการเดินและการขี่จักรยานเพื่อลดมลพิษ รวมถึงจัดสรรพื้นที่สีเขียวสำหรับการทำสมาธิและการผ่อนคลาย ระบบการศึกษาจะมุ่งเน้นการปลูกฝังสติและส่งเสริมกิจกรรมชุมชน สุขภาพ สาธารณสุข การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ

เมืองเกเลพูจะครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,500 ตารางกิโลเมตร ติดชายแดนอินเดีย โดยเปิดกว้างสำหรับธุรกิจด้านการเงิน การท่องเที่ยว พลังงานสีเขียว เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ เกษตรกรรม การบิน โลจิสติกส์ การศึกษา และการพัฒนาจิตวิญญาณ

เมื่อ 11 พ.ย. ผ่านมา ภูฏานได้ประกาศเริ่มโครงการระดมทุนจากชาวภูฏานในต่างประเทศ เพื่อนำเงินมาสร้างสนามบินนานาชาติและโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ในเกเลพู การระดมทุนนี้จะอยู่ในรูปแบบพันธบัตรระยะ 10 ปี

อดีตนายกรัฐมนตรี โลเท เชอร์ริง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเมืองเกเลพู กล่าวว่า โครงการนี้จะเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจของภูฏาน โดยเน้นดึงดูดการลงทุน พัฒนาทักษะ และสร้างงานเพื่อความเจริญรุ่งเรือง

การพัฒนาเมืองเกเลพูจะดำเนินไปหลายระยะ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 21 ปี โดยการลงทุนจากเอกชนจะครอบคลุมการก่อสร้างถนน สนามบิน ที่อยู่อาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล และธุรกิจต่าง ๆ คาดว่าจะมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 150,000 คนภายใน 7-10 ปีแรก

เจ้าหน้าที่ระบุว่า อินเดียซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของภูฏาน ได้ให้การสนับสนุนโครงการนี้ โดยมีแผนขยายถนนและทางรถไฟเชื่อมต่อมายังเมืองเกเลพู


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top