Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

Starbucks โตสดใสในจีน ทั้งปีเปิดสาขาใหม่แล้ว 790 แห่ง เจาะตลาดระดับอำเภอ สะท้อนนอกเมืองใหญ่กำลังซื้อสูง

เมื่อวานนี้ (31 ต.ค.67) สตาร์บัคส์ (Starbucks) เผยแพร่รายงานงบการเงินประจำปีที่ระบุว่าสตาร์บัคส์สร้างสถิติเปิดร้านสาขาใหม่รวม 790 แห่ง และเข้าสู่ตลาดระดับอำเภอใหม่ 166 แห่ง บนแผ่นดินใหญ่ของจีนในปีงบการเงินที่สิ้นสุดวันที่ 29 ก.ย. 2024 แม้ยอดจำหน่ายของร้านสาขาที่เปรียบเทียบได้ทั่วโลกลดลง

ยอดจำหน่ายของร้านสาขาที่เปรียบเทียบได้ทั่วโลกของสตาร์บัคส์ในไตรมาสสี่ของปีงบการเงินข้างต้นลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเป็นผลจากธุรกรรมที่เปรียบเทียบได้ลดลงร้อยละ 8 โดยยอดจำหน่ายของร้านสาขาที่เปรียบเทียบได้ในตลาดจีนลดลงร้อยละ 14 ซึ่งเป็นผลจากยอดซื้อเฉลี่ยต่อใบเสร็จลดลงร้อยละ 8 และธุรกรรมที่เปรียบเทียบได้ลดลงร้อยละ 6

แม้ยอดจำหน่ายของร้านสาขามีแนวโน้มลดลง แต่สตาร์บัคส์เพิ่มร้านสาขาใหม่บนแผ่นดินใหญ่ของจีนในไตรมาสสี่ 290 แห่ง ซึ่งคิดเป็นกว่าร้อยละ 40 ของร้านสาขาเปิดใหม่ทั่วโลก 722 แห่ง โดยตัวเลขนี้ทำให้จำนวนร้านสาขาบนแผ่นดินใหญ่ของจีนรวมอยู่ที่ 7,596 แห่ง ครอบคลุมตลาดระดับอำเภอราวหนึ่งในสามของทั้งหมดในจีน

ทั้งนี้ จำนวนร้านสาขาในสหรัฐฯ และจีนคิดเป็นร้อยละ 61 ของร้านสาขาสตาร์บัคส์ทั่วโลก เมื่อนับถึงสิ้นไตรมาสสี่

จูตานเผิง นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมอาหาร กล่าวว่าตลาดระดับอำเภอกลายเป็น 'น่านน้ำสีน้ำเงิน' (blue ocean) หรือตลาดที่ยังมีคู่แข่งน้อยสำหรับการบริโภคกาแฟในจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของสตาร์บัคส์สะท้อนความเชื่อมั่นในตลาดกาแฟของจีน

มอลลี หลิว ซีอีโอของสตาร์บัคส์ ไชน่า เน้นย้ำว่าธุรกิจของสตาร์บัคส์ยังคงแข็งแกร่งและยืดหยุ่น โดยสตาร์บัคส์ยังคงมุ่งมั่นดำเนินการพัฒนาระยะยาวในตลาดจีนต่อไป

‘บีโอไอ’ เคาะลงทุน!! Data Center 6 หมื่นล้าน พร้อมขยายมาตรการ!! กระตุ้นลงทุน เร่งฟื้นเศรษฐกิจ

(2 พ.ย. 67) บอร์ดบีโอไอ ไฟเขียวลงทุน Data Center 2 โครงการใหญ่ ของบริษัทในเครือ Google และ GDS มูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท และอนุมัติบริษัท เฉิงยี่ เทคโนโลยี ผู้ผลิตวัตถุดิบสำคัญ PCB อันดับ 2 ของโลก ลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย และต่ออายุมาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงการขนาดใหญ่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อเนื่องถึงปี 2568  

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center 2 โครงการใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท ประกอบด้วยบริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด ในเครือ Google มูลค่าลงทุน 32,760 ล้านบาท และบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด ในเครือ GDS มูลค่าลงทุน 28,000 ล้านบาท

สำหรับโครงการ Data Center ของบริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง ในเครือ Alphabet Inc. (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google เป็นการลงทุนตามแผนธุรกิจที่ Google ได้ประกาศระหว่างการพบนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ว่าจะสร้าง Data Center และ Cloud Region แห่งใหม่ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าเงินลงทุนเฟสแรก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะเป็นศูนย์ Data Center แห่งที่ 5 ในเอเชียของ Google ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2570 

ส่วนโครงการ Data Center ของบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส ในเครือ GDS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Data Center ชั้นนำระดับโลก ที่ให้บริการทั้งในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโครงการใหม่ในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในปี 2569

ทั้งสองโครงการจะเป็น Data Center ขนาดใหญ่ระดับ Hyperscale ที่มีขีดความสามารถในการประมวลผลสูง และสามารถรองรับการขยายตัวของการใช้บริการ Cloud Services ทั้งจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีอัตราการใช้บริการออนไลน์และการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลในสัดส่วนที่สูง รวมทั้งมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G, Cloud Computing, Internet of Things (IoT) และ AI เพื่อต่อยอดธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร รวมทั้งไทยยังสามารถเป็นฐานในการให้บริการ Data Center แก่ประเทศอื่น ๆ เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการเชื่อมต่อกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

“กระแสการลงทุนในกิจการ Data Center ในประเทศไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ของบริษัทระดับโลกทั้งสองโครงการนี้ เป็นการตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ รองรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลของทั้งภาคธุรกิจและองค์กรภาครัฐ อีกทั้งยังช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Digital Innovation Hub ของภูมิภาคอาเซียนด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโครงการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service ได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 47 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 173,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่ทั้งสัญชาติอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้อนุมัติให้การส่งเสริมลงทุนโครงการผลิตวัตถุดิบตั้งต้นสำคัญของแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) อย่าง Prepreg และ Copper Clad Laminate (CCL) มูลค่าลงทุน 6,150 ล้านบาท ของบริษัท เฉิงยี่ เทคโนโลยี โดยเป็นผู้ผลิตอันดับ 2 ของโลก ซึ่งตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย เพราะมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม PCB ในประเทศไทย โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ผลิต PCB รายใหญ่ เช่น KCE, APEX, MFLEX เป็นต้น การลงทุนของเฉิงยี่ เป็นข้อต่อสำคัญในการสร้างซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม PCB ที่กำลังจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศไทย โดยโครงการนี้จะตั้งที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะมีการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 200 คน 

นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ ยังได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและสนับสนุนให้ฟื้นฟูธุรกิจได้โดยเร็ว โดยจะยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรที่นำเข้ามาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหาย รวมถึงอนุญาตให้ตัดบัญชีเครื่องจักรและวัตถุดิบที่ได้รับความเสียหายหรือสูญหายจากน้ำท่วม โดยไม่มีภาระภาษีอากร โดยต้องยื่นเอกสารเข้ามาที่บีโอไอภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ออกประกาศ หรือหากเป็นกรณีประสบอุทกภัยหลังวันที่ออกประกาศ ให้ยื่นเอกสารภายใน 6 เดือน นับจากวันที่สิ้นสุดสถานการณ์อุทกภัย

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้ขยายระยะเวลาและปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุน 4 มาตรการสำคัญที่จะสิ้นสุดในปี 2567 ได้แก่ มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม (Retention and Expansion Program) มาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร (Relocation Program) มาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยให้ขยายเวลาทั้ง 4 มาตรการถึงสิ้นปี 2568 และได้ปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนจริงขั้นต่ำจาก 1,000 เป็น 2,000 ล้านบาท เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย

‘China Airlines’ เจอพายุ ลงจอดไม่ได้ บินวน เปลี่ยนเส้นทาง ผู้โดยสารชั้นธุรกิจ!! โกรธจัด ลั่น!! ให้พนักงาน ‘คุกเข่าขอโทษ’

เมื่อวานนี้ (1 พ.ย. 67) ที่ไต้หวัน China Airlines เที่ยวบิน CI782 โฮจิมินห์ซิตี้ ประเทศเวียดนาม เที่ยวบินเวลา 11.00 น. กำหนดถึงสนามบินเถาหยวนเวลา 15.15 น. เนื่องจากพายุ กองเร็ยขึ้นฝั่ง เครื่องบินไม่สามารถลงจอดได้ บินวน 3 รอบ ก่อนเปลี่ยนเส้นทางลงจอดสนามบินเกาสง 31.10.2024

หลังเครื่องลงจอด เกาสง ผู้โดยสารชั้นธุรกิจโกรธจัดให้พนักงานภาคพื้นคุกเข่าขอโทษ และให้อธิบาย ผู้โดยสารชายชั้นธุรกิจที่โกรธแสดงพฤติกรรมและท่าทางในลักษณะวางมือบนเอว จ้องไปที่พนักงาน คลิปถูกบันทึกจากผู้โดยสารท่านอื่น และแชร์บนโซเซียล 

หลังคลิปเผยแพร่ชาวเน็ตเดือด แสดงความเห็นจำนวนมากอาทิ เรียกร้องให้สายการบินออกมาปกป้องพนักงาน ปกป้องศักดิ์ศรี ,และบอกพนักงานไม่ผิดอย่าคุกเข่าจะทำให้ผู้โดยสารนิสัยเสีย คนอื่นๆทำตาม , ผู้โดยสารชั้นธุรกิจไม่ใช่พระเจ้า , รู้ทั้งรู้ว่ามีพายุไต้ฝุ่น พนักงานผิดอะไร…? , ทั้งพนักงานสายการบิน และพนักงานภาคพื้นต่างทำงานหนักช่วงพายุ เขาไม่ผิด ทำไมต้องให้คุกเข่า แค่ทำงานก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว

กระบวนท่าใหม่!! ..พรรคบ้านในป่า ออกจากมุม..ประดาบ จันทร์ส่องหล้า

(2 พ.ย. 67) มหากาพย์ดิ ไอคอน  ทำให้พรรคบ้านในป่า..พลังประชารัฐเอียงกะเท่เร่หวิดมอดม้วยมรณา...ถูกกล่าวหาว่าเป็นที่สิงสถิตของเทวดา...

พรรคพปชร.นั้นเหมือนถูกต้อนเข้ามุม ส.สามารถลาออกยังไม่พอ..ยังออกจากมุมไม่ได้ กระทั่งต้องใช้กระบวนท่าของพล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรค ออกมาตอบโต้ปล่อยชื่ออักษรย่อนักการเมือง ม.ม้า สองคนและพูดโยงใยไปถึงกลุ่มสามมิตร อักษรย่อส.และอักษรต่างๆ

แม้จะเป็นลีลาแบบเก่าๆ แต่ต้องยอมรับ..ได้ผล  เพราะตั้งแต่โฆษกพรรค รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยต้องพล่านเรียงหน้ากันมาตอบโต้ชี้แจง...และบางคนถึงขั้นขู่จะฟ้อง ‘บิ๊กต๊ะ’

งานนี้ ‘บิ๊กต๊ะ’ อดีตผบช.ภ.5 ที่ดูแลภาคเหนือตอนบน..ผลงานเข้าตากรรมการ  ทำให้พรรคพปชร.ออกจากมุมอับของมหากาพย์ดิ ไอคอนได้...ในจังหวะเดียวกันกับที่ฝ่ายวิชาการ-เศรษฐกิจของพรรคเปิดแนวรบแนวรุกในบริบทของตนได้อย่างน่าชื่นชม...

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีพื้นที่ทับซ้อน-ไทยกัมพูชา ที่อ.ธีรชัย  ภูวนารถนรานุบาล -มล.กรกสิวัฒน์  เกษมศรีและสส.ของพรรคบุกสภาแถลงข่าวเรียกร้องให้ยกเลิก MOU2544 ไทย-กัมพูชา ที่มีขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ  ชินวัตร...

ในขณะที่ดร.อุตมะ สาวนายน อดีตขุนคลัง กับคณะออกมากระโดดขวางรัฐบาลเพื่อไทยจะส่งคนการเมืองอย่าง ‘โต้ง’ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ไปเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ..

ทั้งสองกรณีสร้างแรงสั่นสะท้านให้บ้านจันทร์ส่องหล้าทั้งโดยอ้อมและโดยตรง..

บทบาททำนองนี้ของพปชร. บวกกับความคมชัดในการคัดค้านการนิรโทษกรรมความผิดมาตรา 112  ทำให้พรรคพปชร.ในส่วนที่เป็นฝ่ายค้านหรือปีกลุงป้อม..ดูดีมีราคา สวนทางกับเสียงปรามาสที่ว่า..หมดท่าหมดราคา...สมัยหน้าไม่มีคนดีๆหรือมือทำงานอีกแล้ว..

นี่ก็แว่วว่า..ลุงป้อมกำลังมียาบำรุงกำลังสองขวดใหญ่..เมื่อพี่ชายของวราเทพ  รัตนากร คือ ‘สุนทร รัตนากร’ ชิงลาออกจากนายกอบจ.กำแพงเพชร เพื่อลงสมัครใหม่ เช่นเดียวกับ อัครเดช  ทองใจสด   นายกอบจ.6สมัยของเพชรบูรณ์..ที่อยู่ในกลุ่มของสันติ  พร้อมพัฒน์   

เชื่อขนมกินได้ว่า..ทั้งสองบ้านใหญ่จะได้เป็นนายกอบจ.อีกครั้ง.. เป็นหน้าเป็นตาเสริมบารมีให้กับลุงป้อมและพรรคพปชร.เกิด”ใจบันดาลแรง”กันโดยทั่วถ้วน...

มีรายงานข่าวระบุด้วยว่า  นอกเหนือจะสร้างผลงานประเด็นเศรษฐกิจ  สังคมและการเมืองแล้ว  เปิดสภาสมัยหน้าพรรคพปชร.จะร่วมวงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจสร้างชื่อให้กับพรรคครั้งสำคัญ..

รวมความแล้ว...การสรุปว่าพปชร.กำลังป้อแป้เหมือนท่าเดิน”ลุงป้อม”และฟันธงว่าลุงป้อมเป็นยาหมดอายุ เป็นตะเกียงไร้น้ำมันแล้วนั้นจะต้องคิดใหม่...

ประเมินกันว่า อนาคตอาจจะมี ‘บิ๊กเนม’ บางคนบินออกไปซบบ้านใหญ่บุรีรัมย์ และบ้านจันทร์ส่องหล้า..แต่ยังจะมีแก่นแกนของพรรคและลุงป้อมอยู่ที่บ้านในป่า...ตรึงแนวรบพปชร.ในสมรภูมิการเมืองต่อไป!!  

‘เอกนัฏ’ เอาจริง ลั่น!! ปราบโรงงาน ‘เถื่อน-ผิดกฎหมาย’ ย้ำ!! เร่งบริหารจัดการ กากอุตสาหกรรม อย่างเป็นรูปธรรม

(2 พ.ย. 67) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์) ได้สั่งการให้ลงพื้นที่บริษัท ที แอนด์ ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกั ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นายอำเภอศรีมหาโพธิ์ เข้าร่วมตรวจสอบ ซึ่งประชาชนในพื้นที่ืได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม โดยบริษัทประกอบกิจการทำเชื้อเพลิงทดแทน สกัดโลหะมีค่าจากน้ำยาชุปโลหะ อบกากตะกอนที่มีโลหะมีค่า บดย่อยชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นำกรดและด่างที่ใช้แล้วมาผ่านกรรมวิธีทางอุตสาหกรรมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ทำเชื้อเพลิงผสม ซ่อมและล้างบรรจุภัณฑ์ หลอมหล่อทองแดงจากกากตะกอนของเสียที่มีทองแดงเป็นส่วนประกอบ คัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย 

กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้มีคำสั่งปิดโรงงานของบริษัทและเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวแล้ว ซึ่งทางโรงงานได้ฝ่าฝืนคำสั่งและยังคงประกอบกิจการอยู่ จึงได้ขอหมายค้นจากศาลจังหวัดปราจีนบุรีเข้าตรวจสอบภายในโรงงาน ผลการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมวิศวกรชาวจีนผู้ดูแลโรงงานดำเนินคดี 1 ราย และคนงานต่างด้าว 4 ราย รวมทั้งพบความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1) ข้อหาตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต 2) ข้อหาประกอบกิจโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต 3) ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งปิดโรงงาน 

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบสิ่งของที่ยึดและอายัดไว้ในทุกอาคาร พบว่ามีการสูญหายและมีการเคลื่อนย้ายสิ่งของออกไปนอกพื้นที่ จึงได้ดำเนินการเอาผิดเพิ่มเติม ดังนี้ 1) ความผิดข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานตามมาตรา 56 พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 2) ความผิดข้อหาทำลายหรือเคลื่อนย้ายของกลางที่ยึดอายัดตามมาตรา 141 และมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายอาญา 3) เจ้าหน้าที่ดำเนินการนำตัวอย่างวัตถุดิบหรือสิ่งของต่าง ๆ ภายในอาคารมาทดสอบ พบเป็นวัตถุอันตรายและไม่มีใบอนุญาตครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 และเป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจจับได้ทันทีเป็นเหตุให้จับวิศวกรชาวจีนดำเนินคดี และดำเนินคดีกับกรรมการบริษัทและผู้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิดอย่างถึงที่สุด

รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้เน้นย้ำตามนโยบาย การปฏิรูปอุตสาหกรรม การจัดการกาก สารพิษ ที่ทำร้ายชีวิตประชาชน โดยปรับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบ เพื่อคืนน้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ให้ประชาชน โดยการแก้ไขกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืน การเพิ่มโทษอาญา เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชนโดยรอบ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้อยู่ระหว่างดำเนินการร่าง พรบ.ว่าด้วยการจัดการกากอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เพื่อยกระดับการจัดการกับผู้กระทำผิดต่อไป หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีฯ ฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

ALL NEW MG3 HYBRID+ กวาดยอดขายกว่า 3 หมื่นคัน ย้ำ!! ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดดเด่นด้วย ‘นวัตกรรมไฮบริด’

(2 พ.ย. 67) บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ย้ำภาพความสำเร็จของโกลบอลโมเดลรุ่นยอดนิยม ALL NEW MG3 HYBRID+ สร้างยอดขายทั่วโลกสองไตรมาสรวมกว่า 32,000 คัน พร้อมการันตี ความเชื่อมั่นด้วยรางวัลชั้นนำ อาทิ Affordable Car of the year 2024 จาก Auto Express UK และ รางวัล Best Value Car จาก The Business Car Awards ในสหราชอาณาจักร หลังปรากฏตัวครั้งแรกในงาน GENEVA INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2024 และในประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ALL NEW MG3 HYBRID+ หนึ่งในโกลบอลโมเดลที่เป็นยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนแบรนด์ เอ็มจี ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดดเด่นด้วยนวัตกรรม และแนวทางการพัฒนายนตรกรรมพื้นฐานที่เริ่มต้นจากรถยนต์ไฮบริด และเป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นล่าสุดของ เอ็มจี ที่มีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีก้าวหน้าภายใต้การพัฒนาของ SAIC MOTOR และนับเป็นโมเดลแรกที่ผสานระบบ HYBRID+ ที่สะท้อนความตั้งใจในการมอบความสมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านสมรรถนะและประสิทธิภาพการขับขี่ที่เหนือกว่า และยังเป็นเครื่องยืนยันให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นว่า ไฮบริดที่ดีกว่าต้อง HYBRID+ ของเอ็มจีเท่านั้น

ALL NEW MG3 HYBRID+ โดดเด่นด้านการผสานพลังงานระหว่างเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าอย่างลงตัว ทำให้สมรรถนะใกล้เคียงกับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังคงความรู้สึกขับสนุกด้วยโกลบอลจูนนิ่งจากวิศวกรระดับโลกมาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดที่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ของการขับขี่ได้ถึง 8 รูปแบบ โดยมีอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้สูงสุดถึง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร ทำระยะทางได้ไกลสูงสุดมากกว่า 800 กิโลเมตร มาพร้อมกับความแรง ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที และอัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 5 วินาที มาพร้อมดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย รุ่นเริ่มต้นหรือรุ่น D อยู่ที่ 579,900 บาท และรุ่น X ในราคา 619,900 บาท

จุดเด่นหลักๆ ของรถยนต์ ALL NEW MG3 HYBRID+

• ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นโมเดลที่ผู้บริโภคต่างให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี และได้ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยถือเป็นรถแฮทช์แบคไฮบริดรุ่นล่าสุดของ เอ็มจี และเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นที่สองที่ผลิตจากโรงงาน เอสเอไอซี มอเตอร์- ซีพี ณ จังหวัด ชลบุรี

• ALL NEW MG3 HYBRID+ ได้ทำการพัฒนาและปรับจูนทุกระบบโดยทีมวิศวกรระดับโลกเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานจริงบนถนนทั่วโลก โดยผ่านการทดสอบในทุกสภาพเส้นทาง สภาพอากาศ รวมถึงวิ่งทดสอบในสถานการณ์ที่หลากหลาย พร้อมการออกแบบห้องโดยสารภายในให้มีความเงียบกว่ารถทุกรุ่นในระดับเดียวกัน

• ALL NEW MG3 HYBRID+ ให้มากกว่าในกลุ่มรถขนาดเล็ก B-Segment ด้วยการยกระดับระบบการทำงานของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าให้มีการทำงานที่อิสระ ครอบคลุมโหมดการขับเคลื่อนที่หลากหลาย นำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่ครบครัน ทั้ง ประหยัดกว่า – ด้วยอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้สูงสุดถึง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร*กับน้ำมันหนึ่งถัง 36 ลิตร สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดมากกว่า 800 กิโลเมตร* แรงกว่า - แรงสุดในกลุ่มสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที และอัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 5 วินาที มอบความคล่องตัวให้ความรู้สึกเหมือนขับรถไฟฟ้าโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ กว้างกว่า - กว้างที่สุดในคลาสเดียวกัน โดยเฉพาะห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร ปลอดภัยกว่า - ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งรวมระบบADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) หรือระบบอำนวยความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 8 ระบบ พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System) เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหารถยนต์ในกลุ่ม City Car ที่มาพร้อมฟังก์ชันระบบความปลอดภัยที่ครบครัน และเทคโนโลยีที่โดดเด่นด้วยความประหยัด

• ALL NEW MG3 HYBRID+ การันตีความเชื่อมั่นด้วยรางวัลชั้นนำ อาทิ รถยนต์ที่มอบความคุ้มค่าที่สุด “Affordable Car of the year 2024” จาก Auto Express UK และ “รางวัล Best Value Car” จาก The Business Car Awards ในสหราชอาณาจักร พร้อมยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนกันยายน รวมกว่า 32,000 คัน ทั้งยังเป็นรถยนต์ที่ผ่านคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ในการเข้ารับคัดเลือกรอบแรก และได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 รุ่น ให้เข้าสู่รอบสุดท้ายของการตัดสิน รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2567 (THAILAND CAR OF THE YEAR 2024) โดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย - สรยท. (THAI AUTOMOTIVE JOURNALISTS ASSOCIATION – TAJA)

• ALL NEW MG3 HYBRID+ อีกหนึ่งรุ่นที่ตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจของแบรนด์ เอ็มจี ครบหนึ่งศตวรรษ ในการยกระดับผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ และเป็นโมเดลที่สะท้อนภาพแนวทางการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในการนำเสนอยนตรกรรมไฮบริดประสิทธิภาพสูงที่จะเข้ามาแทนที่รถยนต์สันดาปภายใน โดยถือเป็นยนตรกรรมไฮบริดที่รวมทุกข้อดีของไฮบริดที่มี สู่ความลงตัวที่สุดในรุ่นนี้

รัฐบาลปลื้ม ไทยติดอันดับ 8 ‘ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรม’ มากที่สุดในโลก ชี้!! มาถูกทาง เตรียมขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม ให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่

(2 พ.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผลสำเร็จการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ไทย ของในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นยกระดับศักยภาพของคนไทย และทุนทางวัฒนธรรมของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล สร้างความประทับใจให้คนทั่วโลก

ส่งผลต่อการจัดอันดับในหัวข้อ ‘ประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก’ ประจำปี 2567 บนเว็บไซต์ U.S. News & World Report ประเทศไทยติดอันดับที่ 8 จากทั้งหมด 89 ประเทศ ถือเป็นอันดับสูงสุดของประเทศแถบเอเชีย

นายจิรายุ กล่าวว่า หลักเกณฑ์พิจารณา จะพิจารณาจากคุณลักษณะของประเทศ 5 ประการ ได้แก่ มีวัฒนธรรมที่เข้าถึงได้, มีประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง, มีอาหารที่ยอดเยี่ยม, มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย และมีสถานที่ท่องเที่ยวทางภูมิศาสตร์เป็นจำนวนมาก จากรายละเอียดการจัดอันดับระบุว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพและเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม

และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดในโลก ผสมผสานระหว่างศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมกับบ้านเมืองที่ทันสมัย มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และทางธรรมชาติ หาดทรายและวัดวาอารามที่งดงาม และมีชื่อเสียงด้านการนวดแผนไทยและอาหารที่มีรสชาติยอดเยี่ยม

“สะท้อนให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเดินมาถูกทาง นายก ฯ แพทองธาร เตรียมขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม ให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ในการสร้างรายได้ในประเทศเร่งเดินหน้าผลักดันประเทศไทยให้เป็น 1 ใน 25 ประเทศที่มีอิทธิพลด้าน Soft Power ในมิติวัฒนธรรม ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ให้มาสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยววัฒนธรรมของไทย” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย

‘มาริษ’ ไม่อยู่เฉย ร่อน ‘หนังสือประท้วง’ ทางการอิสราเอล หลัง ‘แรงงานไทย’ เสียชีวิตแล้ว!! 4 ราย บาดเจ็บ 1 ราย

(2 พ.ย. 67) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงเหตุยิงจรวดเข้าไปในเขตประเทศอิสราเอล และทำให้คนไทยเสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย ว่าขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจตั้งแต่เริ่มมีความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างยิ่งที่จะชะลอการเดินทางของแรงงานไทยไปยังภูมิภาคดังกล่าว และกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ เข้าใจดีว่าการเข้าไปทำงานของแรงงานไทยเพราะต้องการมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า

แต่อยากจะขอความร่วมมือทุกภาคส่วนรวมทั้งประชาชนชาวไทยว่า ณ ขณะนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางไม่ใช่สถานการณ์ธรรมดา แต่มีความขัดแย้งรุนแรง ดังนั้นขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายและประชาชนไม่เดินทางไปยังประเทศอิสราเอลและภูมิภาคตะวันออกกลาง

รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุเสียชีวิตของแรงงานไทย สถานทูตได้ทำการประท้วงไปยังหน่วยราชการของอิสราเอล เนื่องจากพื้นที่ที่แรงงานไทยเสียชีวิตนั้น เป็นพื้นที่ที่ทางการอิสราเอลประกาศเป็นพื้นที่ทางทหาร แต่มีความพยายามของนายจ้างชาวอิสราเอลที่นำแรงงานเข้าไปทำงานเป็นการชั่วคราวระยะสั้น 2-3 ชั่วโมง แม้จะเป็นระยะสั้นแต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีการโจมตีเกิดขึ้นเมื่อใด จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราได้รับข่าวร้ายและมีการสูญเสีย ที่สำคัญตนไม่ต้องการเห็นแรงงานไทยเสียชีวิตในภูมิภาตะวันออกกลางอีก จึงขอให้หน่วยราชการไทยร่วมกันช่วยชะลอการเดินทางเข้าไปทำงานของคนไทยในภูมิภาคดังกล่าว

เมื่อถามว่าประเมินสถานการณ์แล้วมีความน่าเป็นห่วงใช่หรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า สถานการณ์น่าเป็นห่วงแน่นอน กรณีการขยายตัวของสงครามมีแน่นอน แต่คงไม่อยู่ในสเกลที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นหรือมีการปะทะกันเป็นกรณี แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนที่ไม่ทราบเรื่อง ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ จึงใช้กรณีนี้เรียกร้องรัฐบาลอิสราเอลยุติการนำแรงงานไทยเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยหรือพื้นที่ที่อิสราเอลประกาศเป็นพื้นที่ต้องห้าม

นายมาริษ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนยังได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลแล้ว ในฐานะที่ประเทศไทยเพิ่งได้รับเลือกเป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เราจึงมีหน้าที่ต้องแสดงจุดยืนในเรื่องสำคัญ จึงขอให้ช่วยใช้ความยับยั้งชั่งใจเพื่อพยายามป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัวมากยิ่งขึ้น พร้อมขอให้ทุกฝ่ายหยุดการกระทำที่จะนำไปสู่การขยายตัวของสงคราม และต้องมานั่งเจรจาเพื่อหาทางยุติข้อขัดแย้ง บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติเป็นหลัก เพราะจุดยืนของไทยคือยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง

“พิชัย” หารือประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ชวนนักธุรกิจญี่ปุ่นลงทุนอุตสาหกรรมไฮเทค PCB - Data Center เพิ่ม หวัง ญี่ปุ่นกลับมาเป็นนักลงทุนอันดับ 1 ของไทยอีกครั้ง

(2 พ.ย. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับนายอิชิอิ เคตะ (Ishii Keita) ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น และคณะผู้บริหารบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ ITOCHU Cooperation, Kawasaki Heavy Industries (Thailand) Co., Ltd., Sumitomo Corporation Thailand Ltd., Knowledge Creation Technology Co., Ltd., Japan Airlines Co., Ltd. และ Toyota Tsusho (Thailand) Co., Ltd. ว่าเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้พบหารือกันหลังจากที่ได้เข้ารับตำแหน่ง โดยเน้นย้ำว่าไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่ดีมาอย่างยาวนาน ลึกซึ้งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทยมาโดยตลอด นอกจากนี้ ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญของไทยมีการลงทุนสะสมในไทยมากเป็นอันดับ 1 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการลงทุน 1 ใน 4 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด มีบริษัทญี่ปุ่นลงทุนในไทยเกือบ 6,000 บริษัท หลังจากที่การลงทุนจากญี่ปุ่นจางหายไปช่วงระยะเวลากว่า 10 ปี จนกระทั่งได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

พร้อมทั้งชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นมาลงทุนธุรกิจ เป็นฐานการผลิตในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่น เช่น แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ ดิจิทัล AI ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมส่งเสริมการลงทุนจากญี่ปุ่น โดยไทยมีศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงได้ นอกจากนี้ ไทยยังมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางความมั่งคงทางอาหาร (Food Security Hub) โดยเป็นคลังสินค้าและส่งออกอาหารให้กับทุกประเทศที่ต้องการรวมถึงญี่ปุ่น สอดคล้องกับนโยบายบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นที่เข้าพบหารือในวันนี้ ซึ่งผู้บริหารบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นได้แสดงความพร้อมในสนับสนุนภาคเอกชนของญี่ปุ่น ให้เข้ามาลงทุนในสาขาเหล่านี้ในไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงสาขาอื่นๆ ที่อยู่ในแผนการขยายการลงทุนในไทยของคณะฯ เช่น ไฮโดรเจน พลังงานสีเขียว ธุรกิจบริการ ด้วยเช่นกัน โดยฝ่ายญี่ปุ่นได้แสดงความตั้งใจที่จะขยายการลงทุนให้กลับมาเป็นผู้นำในการลงทุนในไทยอีกครั้ง

ทั้งนี้ หอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (Japan Chamber of Commerce and Industry: JCCI) เป็นองค์กรทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ประกอบด้วยสภาท้องถิ่น 515 แห่ง และ มีจำนวนสมาชิกทั่วโลกกว่า 1.25 ล้านราย ตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็กและขนาดกลาง คิดเป็น 1 ใน 3 ของบริษัททั้งหมดในญี่ปุ่น โดยประเทศญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญยิ่งของไทยด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทย ในปี 2566 ไทยและญี่ปุ่นมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 55,861 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปญี่ปุ่น 24,670 ล้านเหรียญสหรัฐ (สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องจักร แผงวงจรไฟฟ้า) และการนำเข้าของไทยจากญี่ปุ่นมูลค่า 31,191 ล้านเหรียญสหรัฐ (สินค้านำเข้าสำคัญของไทย ได้แก่ เครื่องจักรกล เหล็ก เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า)

 สสส.-มสส.จับมือสมาคมสื่อมวลชนพิษณุโลกเปิดเวทีถก ปัญหาเหล้า-บุหรี่เมืองสองแควแก้อย่างไรให้ตรงจุด 

(2 พ.ย. 67) พบดื่มแอลกอฮอล์สูงกว่าค่าเฉลี่ยแถมมีร้านเหล้ารอบมหาวิทยาลัยสูงสุดของประเทศ รักษาราชการแทนผู้ว่าฯชี้ปี 68 มุ่งเป้าป้องกันนักสูบนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มทักษะชีวิต ด้านสื่อมวลชนแฉมีตำรวจเกี่ยวข้องขบวนการขายบุหรี่ฟ้าให้นักศึกษาม.ดังเมืองสองแคว

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ที่ห้องอุทัยธานี โรงแรมท็อปแลนด์ จ.พิษณุโลก มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.) ร่วมกับสมาคมสื่อมวลชนพิษณุโลก โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดประชุมโฟกัส กรุ๊ป เรื่อง “ปัญหา เหล้า-บุหรี่เมืองสองแคว...แก้อย่างไรให้ตรงจุด” โดยมี นายทรงพล วิชัยขัทคะ รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานเปิดการประชุมมีสื่อมวลชน ทุกแขนง ในจังหวัดพิษณุโลกเข้าร่วมประชุม

นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)กล่าวต่อที่ประชุมว่าว่าสสส.มีบทบาทในการสานและเสริมพลังบุคคล ชุมชนและองค์กรทุกภาคส่วนเพื่อสร้างสรรค์ระบบสังคมที่สนับสนุนการมีสุขภาวะที่ดี โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ  บุหรี่และแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่เด็กผู้หญิงสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึงร้อยละ 15 มากกว่าหลายประเทศในเอเชียและล่าสุดบุหรี่ไฟฟ้าได้แพร่กระจายไปสู่เด็กชั้นประถมแล้ว เช่นเดียวกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีผลกระทบหลายด้าน การดื่มแล้วขับทำให้เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตในปี 2565 ถึง 2,390 คน คิดเป็นร้อยละ 14.1 ของการตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนจำนวน 16,957 คน สสส.จึงทำงานร่วมกับสื่อมวลชนและองค์กรสื่อมวลชนทั้งส่วนกลางและภูมิภาคสร้างการรับรู้และรู้เท่าทันให้กับประชาชน การผลักดันมาตรการ นโยบายและกฎหมายเพื่อป้องกันแก้ไขลดผลกระทบที่เกิดขึ้น ท่ามกลางความพยายามของธุรกิจบุหรี่ที่ต้องการให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งถูกกฎหมาย การรุกของธุรกิจแอลกอฮอล์แก้ไขพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ.2551 เพื่อปลดล็อกให้สามารถขายและดื่มได้อย่างเสรีมากขึ้น

นายทรงพล วิชัยขัทคะ  รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกรักษาราชการแทนผู้ว่าพิษณุโลกกล่าวเปิดการประชุมว่าขอชื่นชมว่าหัวข้อการจัดประชุมดีมากว่าปัญหาเหล้าบุหรี่จะแก้อย่างไรให้ตรงจุด เพราะที่ผ่านมาทุกฝ่ายก็พยายามร่วมกันแก้ปัญหาแต่อยู่ที่ว่าตรงจุดหรือไม่ ทุกฝ่ายเห็นพ้องกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหสำคัญที่จะต้องช่วยกันแก้ไข แต่เวลาลงมือปฎิบัติจะต้องทำอย่างมีจุดเน้นเช่นควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายไปเลยว่าในปี 2568 เราจะมุ่งไปที่กลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนเพื่อป้องกันนักสูบนักดื่มหน้าใหม่ แล้วกำหนดบทบาทให้ชัดเจนว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องทำอะไร ครูต้องทำอะไร กำกัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ตำรวจจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เห็นผลแล้วปี 2559 ก็กำหนดกลุ่มเป้าหมายใหม่ว่าจะมุ่งไปสู่กลุ่มไหน ตนเองลงพื้นที่ชุมชนยังพบว่าร้านค้าในชุมชนยังคงขายบุหรี่ขายเหล้าอยู่ทั้งๆที่เป็นหมู่บ้านศีล 5 เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากนี้ยังเป็นห่วงเรื่องอิทธิพลของโทรศัพท์มือถือเพราะพ่อแม่ผู้ปกครองมักจะเลี้ยงลูกด้วยโทรศัพท์มือมือโยนภาระให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในขณะที่พิษภัยของบุหรี่และแอลกอฮอล์แฝงตัวซึมลึกผ่านมือถือ ดังนั้นควรให้ความรู้และเพิ่มทักษาะในชีวิตเพื่อปฏิเสธสิ่งเหล่านี้กับเด็กด้วย

ดร.ไพรัตน์  อ้นอินทร์  นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่2    กล่าวว่าสถานการณ์ในจังหวัดพิษณุโลก ปี 2564 พบว่า ประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป มีอัตราการดื่มสุรา ร้อยละ 30.70 อยู่ในอันดับที่ 29 ของประเทศ เป็นกลุ่มนักดื่มประจำ ร้อยละ 52.90 เป็นนักดื่มหนักร้อยละ 40.60 และดื่มแล้วขับ ร้อยละ 43.30 สำหรับกลุ่มเยาวชน อายุ 15-19 ปี มีอัตราการดื่มสุราร้อยละ 13.60 อยู่อันดับที่ 16 ของประเทศ ซึ่งถือว่ายังมีอัตราที่สูงกว่าระดับประเทศ ส่วนสภาพปัญหาในพื้นที่ พบว่า มีร้านจำหน่ายสุรารอบมหาวิทยาลัยมากที่สุดในประเทศ มีสถานบันเทิงจำนวนมากในเขตเมือง ทำให้กลุ่มนักศึกษาเข้าถึงได้ง่าย แต่จุดแข็งของ จ.พิษณุโลกคือความร่วมมือของภาครัฐและประชาคมเครือข่ายองค์กรงดเหล้าทั้งการเฝ้าระวังสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย การปรับแนวทางการทำงานมองว่าผู้ประกอบการคือมิตรโดยให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องปกป้องการถูกจับปรับ  มีเครือข่ายครูร่วมมือกับภาครัฐ ป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ ขับเคลื่อนสถานศึกษาปลอดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นางสาวภัทรินทร์ ศิริทรากุล นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่2   กล่าวว่าจากข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากรไทย พ.ศ. 2564 พบว่าจังหวัดพิษณุโลก อัตราการสูบอยู่ที่ร้อยละ 17.0 สูงเป็นอันดับที่ 3 ของเขตสุขภาพที่ 2  กลยุทธ์ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้ามุ่งเป้าที่กลุ่มเยาวชนทำให้การบริโภคยาสูบในกลุ่มเยาวชนอายุ 15 – 19 ปีลดลงเพียงเล็กน้อยยกเว้นจังหวัดอุตรดิตถ์ และสุโขทัยที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ภาพรวมการสูบบุหรี่ลดลงแต่การใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผลการสำรวจการบริโภคยาสูบของเยาวชนในสถานศึกษา (GYTS) ปี 2565  ในกลุ่มเด็กนักเรียน อายุ 13-15 ปี พบว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 5.3 เท่า ในระยะเวลา 7 ปี จากร้อยละ 3.3 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 17.6 ช่องทางในการซื้อบุหรี่ไฟฟ้า ร้อยละ 75.7 ซื้อผ่านออนไลน์ ดังนั้นทุกหน่วยงานควรผลักดันให้เกิดนโยบายการป้องกันนักสูบ นักดื่มหน้าใหม่ให้เกิดผลเชิงประจักษ์

พ.ต.อ.ธัชพงศ์ วงศ์พัฒนานิวาศ ผู้กำกับการตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก กล่าวว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้นโยบายตำรวจทั่วประเทศแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า 4 เรื่องคือ 1.ทำให้โรงเรียนและสถานศึกษาปลอดบุหรี่ไฟฟ้าเน้นกวดขันจับกุมร้านจำหน่ายรอบสถานศึกษา 2.ทุกหน่วยต้องมีผลการจับกุมที่เป็นรูปธรรม 3.ตัดวงจรรายใหญ่ จับกุมการจำหน่ายช่องทางออนไลน์ที่เป็นเครือข่ายระดับประเทศเพื่อตัดวงจรการกระจายสินค้าและ 4.การประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้ตำรวจชุมชนสัมพันธ์เข้าไปให้ความรู้แก่ชุมชนและสถานศึกษาเกี่ยวกับข้อกฎหมายและอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนผลการจับกุมผู้จำหน่วยและครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่สภ.เมืองพิษณุโลกตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ถึงปัจจุบันจับกุมได้ 44 ราย เป็นผู้ครอบครองไว้สูบ 42 ราย เป็นผู้ครอบครองไว้เพื่อจำหน่าย 2 ราย เช่นวันที่ 30 พ.ค.2567 จับได้ 179 ชิ้น วันที่ 14 มิถุนายน 2567 จับกุมจากการจำหน่ายช่องทางออนไลน์ เป็นหัวpod บุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง 516 ชิ้น เครื่องบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง 264 ชิ้น เครื่องบุหรี่ไฟฟ้าแบบเปลี่ยนหัวและหยดสูบ 22 ชิ้น น้ำยาชนิดเติมบุหรี่ไฟฟ้า 26 ขวด

นายประดับ สุริยะ กรรมการฝ่ายวิชาการ สมาคมสื่อสารมวลชนพิษณุโลกผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบจังหวัดพิษณุโลกกล่าวว่าได้เข้าไปมีบทบาทในคณะกรรมการระดับจังหวัดทั้งบุหรี่และแอลกอฮอล์มีการบูรณาการการทำงานทั้ง 2 ประเด็นเน้นการเฝ้าระวังและการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดปัจจัยเสี่ยง นอกจากนี้ยังมีมาตรการป้องกันนักสูบนักดื่มหน้าใหม่ สร้างชุมชนให้ปลอดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ด้านนายมังกร จีนด้วง นายกสมาคมสื่อสารมวลชน ได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมผ่านผู้กำกับการสภ.เมืองพิษณุโลกว่ามีข่าวซุบซิบกันว่ามีนายตำรวจคนหนึ่งเข้าไปมีส่วนกับขบวนการขายบุหรี่ออนไลน์ให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังของพิษณุโลกด้วยซึ่งผู้กำกับสภ.เมืองพิษณุโลกรับที่จะไปดูแลเรื่องนี้ ในขณะที่สื่อมวลชนหลายสำนักเสนอว่านอกจากการสร้างภูมิคุ้มกันแก่เด็กและเยาวชนแล้วตำรวจและฝ่ายปกครองควรบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง  นายศักดา  แซ่เอียว  ประธาน สสสย. เห็นว่ามาตรการร้อยแปดประการที่ทุกภาคส่วนมาร่วมกันระดมสรรพกำลังกันมายาวนาน  ซึ่งต้นตอมาจากผู้ประกอบการที่มีผลประโยชน์  สื่อจะมาช่วยกันชะลอภัยพิบัตินี้อย่างไร โดยเฉพาะกับเด็กเยาวชนไม่ใช่ต้องวิ่งไล่ตามแก้ปัญหา เป็นหน้าที่ของสื่อมวลชน ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันให้ตระหนักรู้ ถึงพิษภัยเหล่านี้ โดยใช้เครื่องมือและสื่อสมัยใหม่เพื่อให้เข้าถึงเด็กรุ่นใหม่

นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.)กล่าวปิดการประชุมและขอบคุณรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก วิทยากรและสื่อมวลชนที่ร่วมสะท้อนปัญหาและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ โดยกำหนดจุดเน้นชัดเจนในการปกป้องนักดื่มนักสูบหน้าใหม่ทั้งการรู้เท่าทัน การสร้างภูมิคุ้มกันและการบังคับใช้กฎหมายและหวังว่าจะมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top