Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

ประหาร 5 ยุวกษัตริย์ เส้นทางครองอำนาจสีโลหิต สู่การเถลิงราชบัลลังก์สมัยกรุงศรีอยุธยา

ถ้าใครได้ชมซีรี่ส์เรื่อง 'แม่หยัว' ในตอนแรก จะปรากฏฉากการประหารยุวกษัตริย์พระองค์หนึ่งด้วยท่อนจันทน์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ตามประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงในสมัยกรุงศรีอยุธยา และการประหารยุวกษัตริย์ที่เราได้เห็นนั้นไม่ใช่แค่พระองค์เดียว แต่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นรวม 5 ครั้ง ตลอด 200 กว่าปีแห่งความเป็นราชธานีของกรุงศรีอยุธยา มีพระองค์ใดบ้าง ? และเหตุแห่งการประหารเกิดขึ้นเพราะอะไร ? ผมเรียบเรียงมาให้อ่านกันดังนี้ครับ 

ยุวกษัตริย์พระองค์แรกแห่งกรุงศรีอยุธยาที่ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์คือ 'สมเด็จพระเจ้าทองจันทร์' หรือ 'สมเด็จพระเจ้าทองลัน'พระราชโอรสใน 'สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1' หรือ 'ขุนหลวงพะงั่ว' กษัตริย์พระองค์แรกจากวงศ์สุพรรณภูมิและพระองค์ที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์เป็นพระมาตุลาของ 'สมเด็จพระราเมศวร' พระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา) ซึ่งครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาอยู่ราว 1 ปี 'ขุนหลวงพะงั่ว' จึงเสด็จ ฯ มาถึงกรุงศรี ฯ (น่าจะยกกองทัพมาด้วยเพื่อทวงราชบัลลังก์) ด้วยความเกรงในพระราชอำนาจ 'สมเด็จพระราเมศวร' จึงถวายพระราชบัลลังก์ให้กับพระมาตุลาของพระองค์ส่วนพระองค์ก็เสด็จฯ กลับลพบุรี โดย 'สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1' หรือ 'ขุนหลวงพะงั่ว' ครองบัลลังก์อยู่ 18 ปี ก็สวรรคต บรรดาขุนนางจึงได้อัญเชิญ 'สมเด็จพระเจ้าทองจันทร์' องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์สืบต่อในปี พ.ศ 1931 แต่ผ่านไปเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น 'สมเด็จพระราเมศวร' ก็ทรงยกกองกำลังมาจากลพบุรี แล้วเข้ายึดอำนาจอย่างเสร็จสรรพ ตามสิทธิธรรมที่พระราชบัลลังก์นี้ เป็นของพระองค์มาก่อน โดยพระองค์รับสั่งให้กุมตัว 'สมเด็จพระเจ้าทองจันทร์' ยุวกษัตริย์วัย 15 พรรษา ไปสำเร็จโทษ ณ วัดโคกพระยา ซึ่งพงศาวดารบันทึกไว้ว่า 

“สมเด็จพระราเมศวรเสด็จฯ ลงมาแต่เมืองลพบุรี เข้าในพระราชวังได้ กุมเอาเจ้าทองจันทร์ได้ ให้พิฆาตเสียวัดโคกพระยา แล้วพระองค์ได้เสวยราชสมบัติ” 

ยุวกษัตริย์พระองค์ที่ 2 ที่ทรงตกเป็นเหยื่อแห่งการช่วงชิงราชบัลลังก์ก็คือ 'สมเด็จพระรัษฎาราช' ผู้มีพระชนมายุเพียง 5 พรรษา พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 12 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสใน 'สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4' หรือ 'สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร' ซึ่งทรงครองราชย์อยู่เพียง 4 ปี ก็สวรรคตด้วยไข้ทรพิษในปี พ.ศ. 2076 และไม่ได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทไว้ บรรดาขุนนางได้สนับสนุนให้ 'สมเด็จพระรัษฎาราช' ขึ้นครองราชย์ ซึ่งในเหล่าขุนนางทั้งหลายนั้น เชื่อกันว่ามีโต้โผใหญ่ที่อาจจะมีศักดิ์เป็น 'ตา' ของ 'สมเด็จพระรัษฎาราช' เป็นผู้ผลักดัน เพียงเพราะอยากได้อำนาจผ่านหลาน โดยมองข้าม 'พระไชยราชา' พระอนุชาของสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรอันเกิดจากพระสนม ผู้ครองเมืองพิษณุโลก ซึ่งเรื่องราวก็เป็นไปตามคาดเวลาผ่านไปเพียงไม่เกิน 5 เดือน 'พระไชยราชา' ก็ยกทัพมายึดกรุงศรีอยุธยา พร้อมกับกุมตัว 'สมเด็จพระรัษฎาราช' ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ณ วัดโคกพระยา ซึ่งเป็นฉากที่เราได้เห็นในซีรี่ย์เรื่อง 'แม่หยัว' นั่นเอง จากนั้นพระไชยราชาก็ปราบดาภิเษกเป็น 'สมเด็จพระไชยราชาธิราช' 

แต่ทว่าเหมือนกรรมจะตาม 'สมเด็จพระไชยราชาธิราช' ทัน เพราะยุวกษัตริย์พระองค์ที่ 3 ที่ต้องเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งการแย่งชิงอำนาจนั้นก็คือ 'สมเด็จพระยอดฟ้า' หรือ 'สมเด็จพระแก้วฟ้า' พระราชโอรสของ 'สมเด็จพระไชยราชาธิราช' กับ แม่อยู่หัว (แม่หยัว) ศรีสุดาจันทร์ นั่นเอง โดย 'สมเด็จพระยอดฟ้า' ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาของพระองค์ในปี พ.ศ. 2089 ในขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 11 พรรษา ซึ่งอำนาจที่แท้จริงนั้นไม่น่าจะเป็นของพระองค์เพราะในพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) บันทึกว่า 

"นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ผู้เป็นสมเด็จพระชนนีช่วยทำนุบำรุงประคองราชการแผ่นดิน การเมืองยามนั้นยังวุ่นวาย พระเฑียรราชา เชื้อพระวงศ์ฝ่ายสมเด็จพระไชยราชาธิราช น่าจะเป็นกำลังสำคัญในการประคับประคองราชการแผ่นดินได้ แต่กลับเกรงราชภัย หนีไปผนวชที่วัดราชประดิษฐาน ตำบลท่าทราย ในกรุงศรีอยุธยา ตลอดรัชกาลสมเด็จพระยอดฟ้า.....” 

นั่นก็คืออำนาจทั้งหมดอยู่ที่ 'แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์' ซึ่งพระองค์มีเรื่องลับลมคมนัยอยู่กับ 'ขุนวรวงศา' และเรื่องกำลังแดงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปฏิปักษ์บางกลุ่มก็กำจัดได้ บางกลุ่มก็ยังคงเป็นเสี้ยนหนาม และถ้า 'สมเด็จพระยอดฟ้า' ทรงเติบใหญ่จนคุมไม่ได้การณ์ข้างหน้าก็จะเป็นภัย ทำให้ 'แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์' ออกอุบายดำเนินการรุกฆาตด้วยการเอา 'ขุนวรวงศา' ขึ้นเป็นกษัตริย์ พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวไว้ว่า

“....จึงมีพระเสาวนีย์ตรัสปรึกษาด้วยหมู่มุขมนตรีทั้งปวงว่า พระยอดฟ้าโอรสเรายังเยาว์นัก สาละวนแต่จะเล่น จะว่าราชการแผ่นดินนั้น เห็นเหลือสติปัญญานัก อนึ่งหัวเมืองฝ่ายเหนือเล่าก็ยังมิปกติ จะไว้ใจแต่ราชการมิได้ เราคิดจะให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการแผ่นดิน กว่าราชบุตรเราจะจำเริญวัยขึ้น จะเห็นเป็นประการใด ท้าวพระยามุขมนตรีรู้พระอัชฌาสัยก็ทูลว่า ซึ่งตรัสโปรดมานี้ก็ควรอยู่....” 

ซึ่งแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ก็รวบรัดตัดตอนตั้งพระราชพิธีราชาภิเษก ยกขุนวรวงศาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินจากนั้นก็ดำเนินการสำเร็จโทษ 'สมเด็จพระยอดฟ้า' โดยมีบันทึกไว้ว่า

“ครั้นศักราช 891 ปีฉลู เอกศก (พ.ศ.2072) ณ วันอาทิตย์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 ขุนวรวงศาธิราชเจ้าแผ่นดิน คิดกันกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ให้เอาพระยอดฟ้าไปประหารชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา แต่พระศรีศิลป์น้องชายพระชนม์ได้เจ็ดพรรษานั้นเลี้ยงไว้ สมเด็จพระยอดฟ้าอยู่ในราชสมบัติปีกับสองเดือน” 

ต่อมาอีกราวเกือบ 100 ปี ยุวกษัตริย์พระองค์ที่ 4 ที่ต้องมีชะตากรรมถูกสำเร็จโทษก็คือ 'สมเด็จพระเชษฐาธิราช' หรือ 'สมเด็จพระบรมราชาที่ 2' พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ใน 'สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม' ขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 14 พรรษาเศษ โดยพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ด้วยการสนับสนุนจาก “ออกญากลาโหมสุริยวงศ์” ขุนนางสำคัญตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าท่านออกญาฯ คือโอรสลับของ 'สมเด็จพระเอกาทศรถ' ซึ่งในกาลต่อมาท่านออกญาฯ ก็ยึดอำนาจขึ้นครองราชย์เป็น 'สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง'

จุดหักเหของ 'สมเด็จพระเชษฐาธิราช' เกิดขึ้นเมื่อพระองค์ทรงครองราชย์ผ่านไปแล้ว 4 เดือน มารดาของ “ออกญากลาโหมสุริยวงศ์” ได้ถึงแก่กรรม จึงมีขุนนางน้อยใหญ่ไปช่วยงานกันมาก ครั้นเมื่อ “สมเด็จพระเชษฐาธิราช” เสด็จ ฯ ขึ้นว่าราชการจึงทำให้มีขุนนางเข้าเฝ้าฯ เป็นจำนวนน้อย ด้วยความเยาว์หรืออย่างไรก็ไม่ทราบเมื่อมีขุนนางเพ็ดทูลว่า “ออกญากลาโหมคิดกบฏเป็นแน่แท้” พระองค์ก็ทรงเชื่อตามนั้น ก็เลยทรงรับสั่งให้ทหารขึ้นประจำป้อมล้อมวัง พร้อมรับสั่งให้ขุนมหามนตรีไปลวงออกญากลาโหม ว่าพระองค์รับสั่งให้เฝ้า ฯ แต่ฝั่งออกญา ฯ ได้ทราบแผนเสียก่อน จนออกปากว่า "เจ้าแผ่นดินว่าเราเป็นกบฏแล้ว เราจะทำตามรับสั่ง" ว่าแล้วจึงยกกองกำลัง 3,000 นาย เข้ายึดวังหลวงพร้อมกับไล่ตามจับกุมตัว “สมเด็จพระเชษฐาธิราช” ซึ่งเสด็จฯ หนีไปได้ที่ป่าโมกน้อย ก่อนกุมตัวพระองค์ไปสำเร็จโทษ โดย “สมเด็จพระเชษฐาธิราช” ทรงครองราชย์อยู่ราว 1 ปีเศษ 

ยุวกษัตริย์พระองค์ที่ 5 ซึ่งเป็นพระองค์สุดท้ายคือ “สมเด็จพระอาทิตยวงศ์” ทรงเป็นพระราชโอรสใน “สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม” เป็นพระราชอนุชาของ “สมเด็จพระเชษฐาธิราช” ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบรมเชษฐาด้วยพระชนมายุเพียง 9 พรรษา ในปี พ.ศ. 2172 ด้วยพระองค์ยังทรงพระเยาว์ ก็คงไม่ต่างจากเด็กทั่วไปที่ทรงเล่นสนุกไปตามประสา จนผ่านไปราว 30 กว่าวัน เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างอดรนทนไม่ได้ จึงรวมตัวกันพร้อมด้วยเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไปขอร้อง “ออกญากลาโหมสุริยวงศ์” ให้ขึ้นครองราชย์ เพื่อเห็นแก่อาณาประชาราษฎร์และสมณชีพราหมณ์ทั้งหลาย (ตรงนี้อยากให้อ่านเพลิน ๆ โดยผมแนะนำว่าควรหาเอกสารอื่นประกอบ เนื่องจากมีบางอย่างบ่งชี้ว่าอาจจะเป็นแผนการทางการเมืองของออกญาฯ มีชื่อท่านนั้น) เมื่อเป็นดังนี้ท่านออกญาฯ จึงไม่สามารถปฏิเสธการร้องขอได้ จึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็น “สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง” แล้วทรงถอด “สมเด็จพระอาทิตยวงศ์” ออกจากกษัตริย์ แต่ยังคงให้ทรงประทับอยู่ภายในพระราชวังหลวงกับพระนมพี่เลี้ยงก่อนที่ต่อมาจะถูกไล่ออกจากวัง ไปปลูกเรือนเสาไม้ไผ่ 2 ห้อง 2 หลัง อยู่ข้างวัดท่าทราย มีคนรับใช้ตักน้ำหุงข้าวให้ 2 คน เท่านั้น ถึงตรงนี้เดาได้เลยว่า “สมเด็จพระอาทิตยวงศ์” คงทำตัวไม่ถูก และคงจะทรงอึดอัดขัดข้องพระทัยมิใช่น้อย จนถึงปี พ.ศ. 2172 เมื่อ พระองค์เจริญพระชนมายุได้ 16 พรรษา จึงทรงเกิดทิฐิมานะขึ้น โดยพระองค์ทรงรวบรวมขุนนางที่ถูกออกจากราชการได้ราว 200 คน เป็นกองกำลังยกเข้าไปในวังเพื่อหมายจะยึดอำนาจคืน แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ โดนทหารของ “ออกญากลาโหมสุริยวงศ์” หรือในขณะนั้นคือ “สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง” จับกุมได้จึงถูกนำตัวไปสำเร็จโทษเฉกเช่นเดียวกับพระบรมเชษฐาของพระองค์ 

มาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงสังเกตได้ว่าบรรดายุวกษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ล้วนแล้วแต่ตกเป็นเหยื่อของการช่วงชิงอำนาจของผู้มากบารมีที่เข้มแข็งที่สุดในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งแน่นอนว่ายุวกษัตริย์ทั้งหลายแม่จะครองราชย์ตามโบราณราชประเพณี แต่กระนั้นก็คงไม่มีพลังใด ๆ พอที่จะปกป้องตนเอง จึงทำให้ต้องถูกสำเร็จโทษตกไปตามกัน ซึ่งการแย่งชิงอำนาจราชบัลลังก์ของกรุงศรีอยุธยานั่นเอง ที่เป็นปัจจัยให้ราชธานีแห่งนี้ ค่อย ๆ เสื่อมถอย อ่อนแอ จนถึงกาลล่มสลายในปี พ.ศ. 2310

‘นักวิทย์โปแลนด์’ พบโครงกระดูกถูกโซ่คล้องเท้า-คอตรึงวิญญาณ ตำนานท้องถิ่นชี้อาจเป็น 1 ใน 10 คนที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็น 'แวมไพร์'

(1 พ.ย. 67) ทีมนักวิทยาศาสตร์จากประเทศโปแลนด์พบโครงกระดูกไร้ชื่อที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ ถูกฝังไว้ในสุสานแห่งหนึ่งในเมือง Pien ทางตอนเหนือของประเทศโปแลนด์ โดยข้ออิงจากหลักฐานตำนานท้องถิ่นเชื่อว่า อาจเป็น 1 ใน 10 คนที่ชาวบ้านยุคนั้นเชื่อว่าอาจจะเป็น 'แวมไพร์'

รายงานระบุว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ ได้ใช้วิธีการสแกนโครงการดูกเพื่อสร้างรูปแบบจำลอง 3 มิติ  เผยให้เห็นสภาพโครงกระดูกอายุ 400 ปีที่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนที่บริเวณคอและข้อเท้า 

ออสการ์ นิลส์สัน หัวหน้านักโบราณคดีชาวสวีเดนกล่าวว่า "เป็นเรื่องน่าตลกที่จากสภาพศพของเธอเชื่อว่า มีผู้คนพยายามฝังเธอพร้อมสะกดวิญญาณไม่ให้ฟื้นจากความตาย ... แต่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเราพยายามสร้างภาพจำลองของเธอเหมือนกับปลุกให้เธอคืนชีพอีกครั้ง"

ทีมนักโบราณคดีตั้งชื่อโครงกระดูกนี้ว่า Zosia เธอถูกขุดค้นเมื่อปี 2022 โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Nicolaus Copernicus ในเมือง Torun 

จากการสันนิษฐานคาดว่าเธออาจเสียชีวิตช่วงวัย 18-20 ปี โดยจากการวิเคราะห์กะโหลกศีรษะชี้ให้เห็นเธอมีอาการเจ็บป่วยบางอย่าง ซึ่งอาจทำให้เป็นลมและปวดศีรษะรุนแรง รวมถึงอาจมีปัญหาสุขภาพจิตด้วย นิลส์สันกล่าว 

Zosia ถูกฝังพร้อมกับ เคียว, กุญแจล็อค และไม้บางชนิดที่พบในหลุมศพในสมัยนั้นที่มีคุณสมบัติพิเศษในการป้องกันแวมไพร์ ตามที่ทีมวิจัยของนิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัสกล่าว ซึ่งในบริเวณสุสานเดียวกันยังพบศพเด็กที่ถูกฝังคว่ำหน้าพร้อมใส่กุญแจที่ข้อมือและเท้าไว้เช่นกัน 

ทั้งนี้ ในช่วงยุคกลางของยุโรปมักมีความเชื่อว่าสตรีบางคนอาจเป็นแม่มด จากรูปลักษณะของใบหน้าที่มีจมูกแหลม หรือใบหน้าที่เรียวเล็กผิดปกติ ขณะเดียวกันสตรีที่มีพฤติกรรมผิดปกติทางจิตก็อาจถูกมองว่าเป็นแวมไพร์เช่นกัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน 5 ผีร้ายฮาโลวีน!! ที่จะมาหลอกหลอนคุณจนหมดตัว

(31 ต.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพที่ก่ออาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลฮาโลวีน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอเตือนระวังภัย 5 ผี มิจฉาชีพ ที่พี่น้องประชาชนต้องระวัง อย่าให้มาหลอกหลอน สร้างความเสียหายในสังคม

1. ผีขายของ - โฆษณาขายสินค้าราคาถูก หากหลงเชื่อจะถูกหลอก ได้แค่วิญญาณของสินค้า (ไม่รับสินค้าจริง) หรือได้รับสินค้าที่ไม่ตรงปก

2. ผีดูดทรัพย์ - ชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจที่อ้างว่าผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ ใช้ระยะเวลาสั้น สุดท้ายเป็นแชร์ลูกโซ่ หรือหลอกเอาเงิน

3. ผีหลอกรัก - แอบอ้างเป็นชาวต่างชาติหน้าตาดี มีฐานะ ทักมาสร้างสัมพันธ์ จากนั้นจะอ้างเหตุสารพัด หลอกให้โอนเงินไปให้

4. ผีทักแชต - ส่งข้อความหลอกลวงแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการ หรือเอกชน แนบลิงก์ให้กด ติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน หรือหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล

5. ผีชวนเปิด - ชักชวนให้เปิดซิมผี บัญชีม้า ให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ แลกกับค่าตอบแทน จากนั้นจะถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด ทำให้เจ้าของซิมผี บัญชีม้า ถูกดำเนินคดี

นอกจากนี้ พี่น้องประชาชนยังต้องระมัดระวังในการเดินทางและท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลฮาโลวีน โดยควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และสังเกตทางออกฉุกเฉินอยู่เสมอ เพื่อจะได้หนีออกจากสถานที่ดังกล่าวได้หากเกิดเหตุไม่คาดคิด รวมไปถึงการดูแลบุตรหลานของท่านอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการผลัดหลง หรือถูกผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสล่อลวงบุตรหลานของท่านไป

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นการหลอกลวง หรือเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 และหากท่านตกเป็นเหยื่อ หรือได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผบ.ทร. มอบประกาศเกียรติคุณยกย่องชมเชย กำลังพล ประกอบคุณงามความดี

(31 ต.ค. 67) พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานในพิธี มอบประกาศเกียรติคุณชมเชยกำลังพลกองทัพเรือ ที่ประกอบคุณงามความดี เสียสละช่วยเหลือสังคม และสร้างชื่อเสียงให้กับกองทัพเรือ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กำลังพลของกองทัพเรือ มีความเสียสละช่วยเหลือสังคม ณ ห้องประชุมสุพรรณหงส์ อาคารส่วนบัญชาการ กองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน กรุงเทพมหานคร

กำลังพล ที่เข้ารับมอบประกาศเกียรติคุณยกย่องชมเชย จากผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนอันแสดงถึงความกล้าหาญและความเสียสละ ในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในทันที ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมและได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพเรือ ให้ปรากฏต่อสาธารณชน โดยเป็น  กำลังพลจากหน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง จำนวน 3 นาย ได้แก่
1.พันจ่าเอก คมสันต์ เสาทอง สังกัด กรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง
2.จ่าเอก พัทธดนย์ จงใจรักษ์ สังกัด กรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง
3.จ่าเอก สิฐิชัย รุ่งเรือง  สังกัด กรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

ปธ.คณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา พร้อมคณะเดินทางไปติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จ.ระยอง

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ (31 ต.ค.67) ที่อาคารเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกัมพล สุภาแพ่ง ปธ.คณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา พร้อมคณะ ได้เดินทางมาศึกษาดูงาน และติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จ.ระยอง มีนายกัฬชัย เทพวรชัย รอง ผวจ.ระยอง น.ส.สายฝน โชชัย คลังจังหวัดระยอง นายวิจิตร พาพลงาม นอภ.วังจันทร์ พร้อมเจ้าหน้าที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้การต้อนรับ พร้อมบรรยายสรุป แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้รับทราบ โดยเฉพาะในเรื่องของ การส่งเสริมการลงทุน และมูลค่าการลงทุนในปัจจุบัน รวมทั้งประเด็นแนวทางการเจรียมความพร้อมและมาจนการรองรับการปฏิรูประบบภาษีอากรที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในพื้นที่ EEC และติดตามความก้าวหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โดยการเดินทางมาศึกษาดูงานรับทราบข้อมูลของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และติดตามโครงการดังกล่าว จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการลงทุนในการพัฒนาประเทศต่อไป

นอกจากนี้คณะกรรมาธิการ การเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ยังได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 ในประเด็นการเยียวยาผู้ประกอบอาชีพประมงในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากการก่อสร้างที่สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อีสเทิร์นซีบอร์ดด้วย

นายปฏิมา จีระแพทย์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ เปิดเผยว่า การเดินทางมาติดตามโครงการใน EEC ในวันนี้ เนื่องจากคณะกรรมาธิการฯ เห็นความสำคัญในเรื่องของการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย และโครงการ EEC เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์อย่างมากเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งมีความล่าช้ามาในระยะหนึ่ง ซึ่งการมาติดตามความคืบหน้าดังกล่าว เพื่อให้มาเห็นพื้นที่ว่ามีการพัฒนาไปอย่างไรบ้าง มีผู้สนใจเข้ามาขอรับสิทธิพิเศษเข้ามาประกอบกิจการอุตสาหกรรมพื้นที่ EEC มากน้อยแค่ไหน ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินมีความคืบหน้าเพียงใด ซึ่งก็ได้มารับฟังข้อเท็จจริงจากผู้บริหาร EEC ซึ่งทางคณะกรรมาธิการฯ จะได้นำเอาข้อมูลในเรื่องของการศึกษาในพื้นที่นั้นไปวิเคราะห์ และจะจัดทำข้อเสนอแนะให้กับทางฝ่ายบริหารของประเทศต่อไป ในส่วนของท่าเรือมาบตาพุด ก็ได้มาเห็นหนึ่งในท่าเรือที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยในส่วนของที่เป็นพื้นที่สำรองพลังงานที่สำคัญของประเทศ ซึ่งจากนี้ก็คงจะต้องเดินหน้าต้อนรับนักลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งพลังงานก็ต้องสำรองไว้ใช้ให้เพียงพอ ซึ่งทางคณะกรรมาธิการฯ ก็ได้รับฟังปัญหาจากทางผู้บริหารท่าเรือฯ ซึ่งปัญหาล่าช้าที่พบเกิดจากมติ ครม. ในอดีตที่ต้องการหาผู้ร่วมทุน ซึ่งผ่านมานานพอสมควร ในเรื่องนี้ทางคณะกรรมาธิการฯ จะนำการสูญเสียโอกาสดังกล่าว นำไปทบทวนศึกษาแนวทางที่จะนำเสนอฝ่ายบริหารให้เสนอคณะรัฐมนตรีแก้มติ หรือทำมติใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับการบริหารจัดการ เพื่อที่จะยกระดับเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นต่อไป

เรือยาวมังกรทีมชาติไทย คว้าเหรียญทอง เรือมังกรชิงแชมป์โลก ICF 2024 ได้โควต้าชิงแชมป์โลก 2025 ประเทศจีน

นักกีฬาเรือยาวมังกรทีมชาติไทย 'ผงาดคว้าเหรียญทอง' การแข่งขันเรือยาวมังกรชิงแชมป์โลก ICF 2024 และคว้าโควต้า เข้าสู่การแข่งขันเรือมังกรชิงแชมป์โลก The World Games 2025 

หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ขอแสดงความยินดีกับ กำลังพลของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ที่เข้าเป็นตัวแทน การแข่งขันกีฬาเรือยาวมังกร ในนามทีมชาติไทย ที่ได้คว้าโควต้า Qualifier ในมหกรรมกีฬาเวิลด์เกมส์ 2025 (The World Games) ที่จะจัดขึ้นในเมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 7 - 17 สิงหาคม 2568 ได้สำเร็จ

โดยคิดคะแนนรวมประเภทเรือ 10 ฝีพายผสม (ระยะ 2000 /500/200) และในการแข่งขันครั้งนี้ มีทีมที่ได้รับโควต้าผ่านเข้าสู่การแข่งขันเรือมังกรชิงแชมป์โลก The World Games 2025 จำนวน 2 ทีม เท่านั้น ซึ่งทีมชาติไทยคะแนนรวมเท่ากับทีมชาติอินโดนีเซีย และคว้าโควต้า สู่มหกรรมกีฬาเวิลด์เกมส์ 2025 (The World Games) ในปีถัดไป โดยมีผลการแข่งขัน ดังนี้

คว้า 3 เหรียญทอง 
- ประเภทเรือ 10 ฝีพายผสม ระยะ 2000 เมตร
- ประเภทเรือ 8 ฝีพายทั่วไป ระยะ 200 เมตร
- ประเภทเรือ 8 ฝีพายทั่วไป ระยะ 500 เมตร

คว้า 2 เหรียญเงิน 
- ประเภทเรือ 10 ฝีพายผสม ระยะ 500 เมตร
- ประเภทเรือ 8 ฝีพายทั่วไป ระยะ 2000 เมตร

คว้า 1 เหรียญทองแดง
- ประเภทเรือ 10 ฝีพายผสม ระยะ 200 เมตร 
มีรายชื่อ เจ้าหน้าที่ทีมและนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 5 นาย ดังนี้
1. เรือโท พรชัย เทศดี สังกัด ศูนย์การฝึกต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (เจ้าหน้าที่ทีม)
2. เรือตรี เกษมสิทธิ์ บริบูรณ์วศิน สังกัด กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 (เจ้าหน้าที่ทีม)
3. จ่าเอก สมชาย สังข์เมือง สังกัด กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 (นักกีฬา)
4. จ่าเอก ภัทร สังข์เดช  สังกัด ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (นักกีฬา)
5. จ่าโท ณัฐพล กลืบกำไร สังกัด กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 (นักกีฬา)

สำหรับนักกีฬาชุดนี้ จะเดินทางไปแข่งขันต่อที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน เรือยาวมังกร ชิงแชมป์โลก รายการ 2024 ICF Dragon Boat World Championships ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม - 4 พฤศจิกายน 2567 ต่อไป

เล็งเปิดซื้อขายไอพีโอในตลาดหุ้นฮ่องกง คาด China Telecom เข้าถือหุ้นใหญ่

(1 พ.ย. 67) Honor แบรนด์โทรศัพท์สมาร์ทโฟนจากจีน ประกาศความพร้อมในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) โดยได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหม่ที่คาดว่าอาจจะเป็นบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของจีน

รายงานระบุว่า Honor ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของในฐานะบริษัทลูกของ Huawei กระทั่งทั้งสองบริษัทแยกจากกันเมื่อปี 2020 หลังจากที่ Huawei เผชิญการคว่ำบาตรจากรัฐบาลสหรัฐฯ

Honor ประกาศความตั้งใจในการเปิดตัวซื้อขายในตลาดหุ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา โดยบริษัทระบุว่าจะเริ่มกระบวนการเปิดซื้อขาย IPO ได้หลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างผู้ถือหุ้นเสร็จสิ้นช่วงไตรมาส 4 ของปี 2024 แต่ไม่ได้ระบุถึงมูลค่าการเปิดขาย IPO ในครั้งนี้ แต่คาดว่าจะเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่เปิดซื้อขาย IPO ต่อสาธารณะเป็นมูลค่ามากที่สุด

รายงานได้อ้างแหล่งข่าวระดับสูงของบริษัทว่า มีความเป็นไปได้ที่ Honor จะเข้าเทรดซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ต่างจากกระแสข่าวเมื่อปลายปีก่อนที่ระบุว่าอาจเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากว่าตลาดหุ้นฮ่องกงมีข้อบังคับบางประการที่เข้มงวดน้อยกว่าตลาดเซี่ยงไฮ้ สะท้อนจากบรรดาบริษัทเทคโนโลยีใหญ่หลายแห่งของจีนที่นิยมจดทะเบียนในตลาดฮ่องกง 

รายงานข่าวยังระบุว่า หนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ที่เล็งเข้าซื้อหุ้นคือบริษัท China Telecom ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่รายหนึ่งของประเทศ นอกจากนั้นยังมีกลุ่ม CICC Capital บริษัทบริหารเงินทุนของจีน Cornerstone และ SDG ซึ่งเป็นกองทุนที่เชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น

สำหรับแบรนด์ Honor ถือเป็นผู้ผลิตสามารถโฟนรายใหญ่อันดับ 3 ของจีน โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายมือถือไปแล้วกว่า 10.3 ล้านเครื่อง ชิงส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสามที่ 15% รองจากแบรนด์ Vivo และ Huawei 

ชาวมาเลย์แห่แบนร้าน Starbucks อาจต้องปิดเกือบ 100 สาขาทั่วประเทศ เหตุบริษัทกาแฟหนุนยิวทำสงครามกาซา

(1 พ.ย.67) มาเลเซียรายงานว่า บริษัท Berjaya Group บริษัทเครือข่ายธุรกิจยักษ์ใหญ่ ผู้ดูแลกิจการ Starbucks ในมาเลเซียได้รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรกของ ปี 2024 พบว่าขาดทุนสุทธิอยู่ถึง 91.5 ล้านริงกิต และมีรายได้ลดลงจากปีก่อนถึง 35% จากเดิม 1.1 พันล้านริงกิต เหลือเพียง 730.3 ล้านริงกิตในปีนี้  

ผลประกอบการที่ลดลงเชื่อว่ามาจากสาเหตุที่แบรนด์ร้านกาแฟยักษ์ใหญ่ระดับโลกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์สินค้าชาติตะวันตกที่ให้การสนับสนุนอิสราเอลในการโจมตีฉนวนกาซาและชาวปาเลสไตน์ ส่งผลให้ Starbucks กระทบยอดขายกาแฟกว่า 400 สาขาทั่วประเทศ ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่าโดยจำนวนนี้มีความเป็นไปได้ที่อาจต้องปิดสาขาเป็นการถาวรเกือบ 100 สาขา

นอกเหนือจาก Starbucks แล้ว แบรนด์ใหญ่ ๆ อย่าง KFC, McDonald's และ Nestle ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกันในตลาดมาเลเซีย ที่มีจำนวนไม่น้อยเข้าร่วมกระแสการต่อต้านสงครามของอิสราเอล ที่ใช้กำลังทหารรุกรานพื้นที่พลเรือนในเขตฉนวนกาซา และ เลบานอน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว มากกว่า 50,000 ราย

MalaysiaNow ยังได้สำรวจข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ของ Starbuck พบว่ามีร้านกาแฟอย่างน้อย 60 สาขา ที่จะต้องถูกปิดในระยะเวลาอันใกล้ แม้บางแห่งจะเป็นการปิดเพื่อปรับปรุง แต่บริษัทก็ยังต้องแบกรับค่าเช่าที่ราคาสูง 

อย่างไรก็ตาม Starbucks มาเลเซียได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือเรื่องการปิดสาขาเกือบ 100 แห่งแล้ว ยืนยันว่าจะปิดปรับปรุงแค่บางสาขาเท่านั้น

โดยทางแบรนด์ระบุผ่านแถลงการณ์ว่า 'Starbucks' ไม่เคยอยู่ในเป้าหมายของกระแสการบอยคอตโดยชาติมุสลิมในประเด็นเรื่องสงครามในกาซา นอกจากนี้ยังยืนยันด้วยว่า ผลประกอบการเริ่มกระเตื้องขึ้นแล้วเนื่องจากผู้บริโภคเริ่มตระหนักรู้ว่าข้อกล่าวหาที่ว่าธุรกิจของ Starbucks มีส่วนสนับสนุนกองทัพอิสราเอลนั้น 'ไม่เป็นความจริง'

ก่อนหน้านี้ วินเซนท์ ทาน เจ้าของกิจการ Berjaya Group ผู้ดูแล Starbucks ในมาเลเซีย ได้ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกกระแสคว่ำบาตร Starbucks ที่มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการคว่ำบาตรกลุ่มนายทุนชาวยิว เพราะจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของ Starbucks ในมาเลเซียกว่า 5,000 คน

ทั้งนี้ นอกเหนือจากกระแสบอยคอตสินค้าที่สนับสนุนอิสราเอลแล้ว ธุรกิจ Starbucks ในมาเลเซียยังเผชิญแรงดันรูปแบบอื่นเช่นกัน โดยเฉพาะการแข่งขันอย่างดุเดือดของตลาดร้านกาแฟในประเทศต่างหาก ที่ส่งผลต่อยอดขายของ Starbucks โดยตรง ซึ่งตอนนี้ ZUS Coffee ร้านกาแฟสัญชาติมาเลเซีย ได้โค่น Starbucks คว้าตำแหน่งร้านกาแฟยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไปแล้ว

4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 ‘พายุไต้ฝุ่นเกย์’ ซัดถล่มฝั่งอ่าวไทย เสียชีวิตกว่า 500 คน สูญเสียนับหมื่นล้านบาท

ช่วงปลายเดือนตุลาคม 2532 มีหย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นที่บริเวณปลายแหลมญวน ชายฝั่งประเทศเวียดนาม และเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวไทย ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก หย่อมความกดอากาศต่ำนี้ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นดีเปรสชัน เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2532 บริเวณตอนใต้ของอ่าวไทย และทวีกำลังแรงต่อเนื่องเป็นพายุโซนร้อนในเวลาต่อมา โดยถูกตั้งชื่อเรียกว่าพายุโซนร้อน 'เกย์' ซึ่งยังคงทวีกำลังแรงขึ้นอีกจนกลายเป็นพายุไต้ฝุ่นอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ต่อมาพายุไต้ฝุ่น 'เกย์' ได้ทวีกำลังแรงขึ้น โดยมีอัตราเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางพายุถึง 100 นอต หรือประมาณ 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วของพายุไต้ฝุ่นระดับ 3 ก่อนเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่บริเวณรอยต่อระหว่าง อ.ปะทิว กับ อ.ท่าแซะ จังหวัดชุมพร ในตอนเช้าของวันที่ 4 พฤศจิกายน 2532 เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. แล้วเคลื่อนผ่านลงทะเลอันดามันในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2532 ต่อไปยังมหาสมุทรอินเดียเหนือและถูกเปลี่ยนชื่อเป็นพายุไซโคลน KAVALI หลังจากนั้นได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นซุปเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 ก่อนเคลื่อนขึ้นฝั่งไปยังรัฐอานธรประเทศ รัฐที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศอินเดีย แล้วสลายตัวไปบริเวณเหนือเทือกเขากัตส์ตะวันตก เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2532

สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย พายุไต้ฝุ่น 'เกย์' ส่งผลทำให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง ที่ อ.บางสะพานน้อย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อ.ท่าแซะ อ.ปะทิว จ.ชุมพร และจังหวัดใกล้เคียงตามแนวชายฝั่งอ่าวไทย รวมถึงจังหวัดตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออก มีผู้เสียชีวิตถึง 446 คน บาดเจ็บ 154 คน สูญหายมากกว่า 400 คน บ้านเรือน เสียหาย 38,002 หลัง ประชาชนเดือดร้อน 153,472 คน เรือกสวนไร่นาเสียหายมากกว่า 9 แสนไร่ เรือประมงจมลงสู่ใต้ท้องทะเลประมาณ 500 ลำ ศพลูกเรือลอยเกลื่อนทะเล และสูญหายไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งพายุลูกนี้ได้เคลื่อนตัวผ่านฐานขุดเจาะน้ำมันของบริษัทยูโนแคล ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย ทำให้เรือขุดเจาะชื่อ 'ซีเครสต์' (Sea Crest) พลิกคว่ำ มีเจ้าหน้าที่ประจำเรือเสียชีวิต 91 คน รวมมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 537 คน มูลค่าความเสียหายประมาณ 11,257,265,265 บาท นอกจากนี้ยังสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับปะการังนอกชายฝั่งประเทศไทย พายุไต้ฝุ่นเกย์ถือเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยมากที่สุด นับตั้งแต่พายุโซนร้อนแฮเรียตถล่มแหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. 2505 

ยังมีรายงานเรือขุดเจาะน้ำมันซีเครสต์อับปางลงนอกชายฝั่ง มีลูกเรือเสียชีวิต 91 คน รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมด 537 คน เช่นเดียวกับความเสียหายอย่างหนักที่เกิดขึ้นกับปะการังนอกชายฝั่งประเทศไทย พายุไต้ฝุ่นเกย์ถือเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยมากที่สุดในรอบ 27 ปี นับตั้งแต่พายุโซนร้อนแฮเรียต ทำลายล้างและซัดใส่แหลมตะลุมพุก ในปี พ.ศ. 2505 หรือในปี 1962 (โดยเหตุการณ์นี้ เคยถูกถ่ายทอด ผ่านภาพยนตร์ ตะลุมพุก มหาวาตภัยล้างแผ่นดิน (2002) ด้วย) เป็นพายุลูกเดียวในประวัติศาสตร์ที่พัดเข้าสู่ไทยในระดับไต้ฝุ่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top