Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

CEO HYBE ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แดนกิมจิ รุด ขอโทษ หลังเอกสารบูลลี่ศิลปิน-อุตสาหกรรม K-Pop หลุด

(30 ต.ค. 67) CEO ของ HYBE Lee Jae-Sang ได้ออกมาขอโทษต่อสาธารณชนหลังจากที่รายงานภายในของบริษัท 'Weekly Music Industry Report' ได้รั่วไหลออกมาบางส่วน ซึ่งรายงานดังกล่าวได้อวดอ้างถึงสิ่งที่บางคนเรียกว่าคำพูดที่ดูหมิ่นอุตสาหกรรม K-pop ซึ่งรวมถึงศิลปินรุ่นใหม่ด้วย

จดหมายดังกล่าวมีที่มาจากการพิจารณาคดีในวันพฤหัสบดี (24 ต.ค.) เกี่ยวกับการตรวจสอบของ HYBE ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวของสมัชชาแห่งชาติเกาหลีใต้ The Korea Herald รายงานว่า Min Hyung-bae ได้เปิดเผยเอกสารรายสัปดาห์ดังกล่าวในระหว่างการประชุม โดยมีรายงานว่าเอกสารดังกล่าวมีความยาวประมาณ 18,000 หน้า 

สส. Min ตั้งข้อสังเกตว่าเอกสารดังกล่าวมีข่าวลือที่ไม่ได้รับการยืนยันและบางครั้งก็มีการวิจารณ์ที่รุนแรงต่อศิลปินที่อายุน้อยมาก รวมถึงผู้เยาว์ โดยมีคำกล่าวอ้างว่า “พวกเขาเดบิวต์ในช่วงอายุที่พวกเขาไม่น่าดึงดูดที่สุด” และ “น่าแปลกใจที่ไม่มีใครสวยเลย” 

เพื่อตอบสนองต่อการรั่วไหลของจดหมาย ลีได้โพสต์บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของบริษัทในวันอังคาร (29 ต.ค.) เสนอคำขอโทษ "ถึงศิลปิน ผู้ถือผลประโยชน์ในอุตสาหกรรม และแฟน ๆ" ที่ไม่พอใจต่อการเปิดเผยดังกล่าว

"เอกสารนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในการรวบรวมปฏิกิริยาย้อนหลังและความคิดเห็นของสาธารณชนเกี่ยวกับแนวโน้มและปัญหาในอุตสาหกรรม" ลีเขียนชี้แจงว่ามีการแบ่งปันเอกสารนี้กับ 'ผู้นำจำนวนจำกัด' เท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า "ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง" ที่เอกสารจะมี "การแสดงออกที่ยั่วยุและชัดเจนที่มุ่งเป้าไปที่ศิลปินเคป๊อป" และเสริมว่า "ในฐานะตัวแทนของบริษัท ผมยอมรับข้อผิดพลาดทั้งหมดและรับผิดชอบเต็มที่"

ลีกล่าวเสริมว่า HYBE "กำลังติดต่อแต่ละบริษัทต้นสังกัดโดยตรงเพื่อขอโทษ" และกล่าวต่อว่า "ผมขอแสดงความขอโทษอย่างเป็นทางการอย่างจริงใจต่อศิลปินทุกคนของ HYBE Music Group ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากบริษัท" 

นอกจากนี้ ลียังสัญญาว่า “จะกำหนดแนวทางปฏิบัติและเสริมการควบคุมภายในเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก” และเสริมว่าบริษัทได้หยุดการจัดทำเอกสารดังกล่าวแล้ว เมื่อใกล้จะสิ้นสุด เขาได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ HYBE ต่อความเป็นอยู่ที่ดีของศิลปินทุกคนและการเคารพแฟนๆ โดยมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปเพื่อมีส่วนสนับสนุนอุตสาหกรรม K-pop ในเชิงบวก

อ่านคำชี้แจงฉบับเต็ม (พร้อมคำแปลที่จัดทำโดย Soompi) ด้านล่างนี้:
ในฐานะซีอีโอของ HYBE ฉันขอแสดงความเสียใจอย่างจริงใจเกี่ยวกับเอกสารการตรวจสอบของ HYBE เกี่ยวกับเอกสารการตรวจสอบของเราที่ได้รับการเน้นย้ำในระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ฉันขอโทษอย่างสุดซึ้งต่อศิลปิน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรม และแฟน ๆ

เอกสารนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเพื่อรวบรวมปฏิกิริยาและความคิดเห็นของสาธารณชนเกี่ยวกับแนวโน้มและปัญหาในอุตสาหกรรมย้อนหลัง แม้ว่าจะตั้งใจให้แบ่งปันกับผู้นำจำนวนจำกัดเท่านั้นเพื่อทำความเข้าใจความรู้สึกของตลาดและแฟน ๆ แต่เนื้อหาดังกล่าวไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง 

เอกสารดังกล่าวมีเนื้อหาที่ยั่วยุและชัดเจนที่มุ่งเป้าไปที่ศิลปิน K-pop รวมถึงความคิดเห็นส่วนตัวและการประเมินของผู้เขียน และถูกเก็บรักษาไว้ในรูปแบบลายลักษณ์อักษร ในฐานะตัวแทนของบริษัท ฉันยอมรับข้อผิดพลาดทั้งหมดและรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ฉันรู้สึกเสียใจและวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งกับความสงสัยที่ไม่มีมูลความจริงเกี่ยวกับการตลาดแบบไวรัลย้อนกลับ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและอันตรายต่อศิลปินและบุคคลที่บริสุทธิ์

ฉันขอโทษอย่างเป็นทางการและด้วยความเคารพต่อศิลปินภายนอกที่กล่าวถึงในเอกสารซึ่งได้รับความเสียหายและความทุกข์ยาก นอกจากนี้ เรายังติดต่อแต่ละเอเจนซี่เป็นรายบุคคลเพื่อขอโทษโดยตรง นอกจากนี้ ฉันยังขอโทษอย่างเป็นทางการอย่างจริงใจต่อศิลปินทุกคนของ HYBE Music Group ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากบริษัท

ฉันยอมรับว่าผู้บริหารที่ได้รับเอกสารดังกล่าวขาดความตระหนักรู้ และในฐานะซีอีโอ ฉันได้หยุดการสร้างเอกสารตรวจสอบดังกล่าวทันที ฉันสัญญาว่าจะกำหนดแนวทางปฏิบัติและเสริมการควบคุมภายในเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก 

ฉันขอโทษศิลปิน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม แฟน ๆ และทุกคนที่รักและสนับสนุน K-pop สำหรับความเจ็บปวดที่เกิดจากเหตุการณ์นี้ ในฐานะตัวแทนของบริษัท ฉันมุ่งมั่นที่จะไตร่ตรองและตรวจสอบตัวเองอย่างถี่ถ้วนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีตและให้ความสำคัญกับสิทธิของศิลปิน K-pop ทุกคนและการเคารพแฟน ๆ เราจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาอย่างแข็งแรงของอุตสาหกรรม K-pop

ขอบคุณ
อีแจซัง ซีอีโอ HYBE

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เตือน ‘ขายบัญชีม้า’ โทษหนัก จำคุก 3 ปี เผยในรอบ 1 ปี (ต.ค.66 - ก.ย.) จับแล้ว 2,900 ราย  

(30 ต.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากมาตรการการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเน้นให้ความสำคัญกับมาตรการการตรวจสอบและปราบปรามบัญชีม้า ซึ่งเป็นช่องทางหลักการหลอกลวงรับเงินของมิจฉาชีพ  กระทรวงดีอี ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการระงับบัญชีม้า ตัดเส้นทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีสถิติการระงับบัญชีม้าจนถึง ตุลาคม 2567 รวมกว่า 1,100,000 บัญชี พร้อมกับการขยายผลดำเนินการจับกุมเจ้าของบัญชีม้าอย่างเข้มข้น 

ทั้งนี้สถิติผลการจับกุมบัญชีม้า ซิมม้าที่เป็นความผิดตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 พบว่าตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนกันยายน 2567 (12 เดือน) มีจำนวนรวม 2,897 ราย เฉพาะในเดือนกันยายน 2567 มีจำนวน 497 ราย 

ที่ผ่านมา อาจเห็นว่าการขายบัญชีธนาคารเป็นวิธีการที่ได้เงินมาง่าย และไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากบัญชีธนาคารดังกล่าวถูกนำไปใช้โดยกลุ่มมิจฉาชีพ ต่อมาเมื่อรัฐบาลออก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 เพื่อกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยได้กำหนดโทษของการยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากฯ หรือที่เรียกว่า บัญชีม้า จะถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และยังอาจถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีนั้นไปใช้ ในฐานะเป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด และอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหาย 

นอกจากนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินงานการตามนโยบายปราบปรามภัยออนไลน์ของรัฐบาล เพื่อลดปัญหา พยายามหยุดการหลอกลวงที่สร้างความเสียหายจากบัญชีม้า ซึ่งต่อมาธนาคารแห่งประเทศไทย ได้พิจารณายกระดับมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน โดยออกเป็นหนังสือเวียน เลขที่ ธปท.ฝตท. (01) ว. 384/2567 แจ้งต่อสถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ทุกแห่ง ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน เรื่อง การเพิ่มความเข้มงวดในการจัดการบัญชีเงินฝาก หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ในกรณีลูกค้ามีความเสี่ยงสูงหรือใช้บัญชีที่มีลักษณะหรือพฤติกรรมผิดปกติ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 เพื่อเป็นการจัดกลุ่มบัญชีม้า โดยยกระดับการจัดการ 'บัญชี' เป็นระดับ 'บุคคล' (ระงับช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกบัญชี ทุกธนาคาร ถ้ามีชื่อว่าเป็นผู้ขายบัญชี ให้คนร้าย หรือ บัญชีม้า) และดำเนินการเข้มข้นขึ้นทั้งบัญชีในปัจจุบันและการเปิดบัญชีใหม่ 

“นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับเรื่องปราบโจรออนไลน์ จึงขอแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชนว่า การขายบัญชีธนาคารไม่ว่าจะในรูปแบบใด มีโทษจำคุกถึง 3 ปี ทั้งนี้หากหลงเชื่อขายบัญชีธนาคารให้กับบุคคลอื่นไปแล้ว ให้รีบติดต่อกับธนาคารเพื่อขอปิดบัญชีธนาคารดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อไม่ให้มีรายชื่ออยู่ในลิสต์ว่าขายบัญชี และถูกระงับทุกบัญชีธนาคารของทุกธนาคารที่มี รวมทั้งไม่ให้ถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีไปใช้ ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว

คาดผู้โดยสารปี 67 แตะ 120 ล้าน AOT ยกระดับการให้บริการ นำระบบไบโอเมตริกมาใช้ทดแทนการเช็กอินใน 6 สนามบิน

(30 ต.ค. 67) นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ทอท. สร้างประสบการณ์การให้บริการท่าอากาศยานที่ทันสมัย นำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System: Biometric) ด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition มาใช้ในการระบุตัวตนของผู้โดยสาร 

โดยพัฒนาและทดสอบระบบฯ ให้มีความพร้อมใช้งานเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว รวมทั้งช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวของแต่ละจุดบริการภายในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) ซึ่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เปิดให้ใช้งานสำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ และในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 พร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้โดยสารจำเป็นต้องยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล

สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการใช้งานระบบ Biometric สามารถลงทะเบียนใช้งานเมื่อมาเช็กอินที่สนามบินโดยมี 2 วิธี ได้แก่ 

1) เช็กอินที่เคาน์เตอร์เช็กอิน ผู้โดยสารแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินให้ลงทะเบียนใบหน้าในระบบBiometric ผ่านเครื่องตรวจบัตรโดยสาร (เครื่อง CUTE) โดยระบบฯ จะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token ไว้ในระบบฯ 

2) เช็กอินที่เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (เครื่อง CUSS) โดยหลังจากเช็กอินเสร็จแล้ว ให้ผู้โดยสารเลือกสายการบินที่เดินทาง ต่อด้วยเลือก “Enrollment” จากนั้นสแกน barcode จากบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) เสียบหนังสือเดินทาง (Passport) หรือบัตรประชาชน และสแกนใบหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ถือเป็นการเสร็จสิ้นการลงทะเบียน ซึ่งระบบฯ จะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token ไว้ในระบบฯ เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้วถือว่าผู้โดยสารได้ให้ความยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแล้ว เมื่อผู้โดยสารจะโหลดกระเป๋าสัมภาระผ่านเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (เครื่อง CUBD) ตลอดจนผ่านจุดตรวจค้น รวมทั้งขั้นตอนขึ้นเครื่อง ไม่ต้องแสดง Passport และ Boarding Pass อีกต่อไป ทั้งนี้ เป็นการยินยอมให้ใช้ข้อมูล Biometric สำหรับการเดินทางเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

นายกีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบ Biometric จะช่วยเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วให้กับผู้โดยสารตั้งแต่การเช็กอินจนถึงการขึ้นเครื่อง โดยผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนใบหน้าผ่านเครื่องเช็กอินและจุดบริการต่าง ๆ ทำให้ไม่จำเป็นต้องแสดงพาสปอร์ตและบัตรโดยสารในแต่ละจุดอีกต่อไป เนื่องจากระบบ Biometric สามารถรองรับและเชื่อมต่อกับระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง หรือ CUPPS (Common Use Passenger Processing System) ที่ ทอท. ได้ติดตั้งและใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ทั้ง 5 ระบบ ได้แก่ 

1) เครื่อง CUTE หรือเครื่องตรวจบัตรโดยสารซึ่งใช้งานโดยเจ้าหน้าที่สายการบิน 

2) เครื่อง CUSS หรือ เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ 

3) เครื่อง CUBD หรือเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ 

4) ระบบ PVS (Passenger Validation System) สำหรับตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร 

5) ระบบ SBG (Self-Boarding Gate) หรือระบบประตูทางออกขึ้นเครื่อง ทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ถูกเชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่ายอย่างสมบูรณ์

นายกีรติ ได้กล่าวถึงปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ว่า ในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 - กันยายน 2567) มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวมกว่า 119.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 72.67 ล้านคน เพิ่มขึ้น 34.82% และผู้โดยสารภายในประเทศ 46.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.01% และมีเที่ยวบินรวม 732,690 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.5% แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศ 416,190 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 29.63% และเที่ยวบินภายในประเทศ 316,500 เที่ยวบิน ลดลง 0.73% โดยเฉพาะที่ ทสภ. มีผู้โดยสาร 60 ล้านคน เพิ่มขึ้น 24.04% และมีเที่ยวบิน 346,680 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 17.88% ทดม. มีผู้โดยสาร 29.15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.25% และมีเที่ยวบิน 197,250 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 11.47% ทชม. มีผู้โดยสาร 8.82 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.14% และมีเที่ยวบิน 57,780 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.68% ทชร. มีผู้โดยสาร 1.9 ล้านคน ลดลง 1.96% และมีเที่ยวบิน 12,260 เที่ยวบิน ลดลง 3.37% ทภก. มีผู้โดยสาร 16.40 ล้านคน เพิ่มขึ้น 25.94% และมีเที่ยวบิน 98,710 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 19.97% และ ทหญ. มีผู้โดยสาร 3.03 ล้านคน ลดลง 5.14% และมีเที่ยวบิน 19,730 เที่ยวบิน ลดลง 5.84% ทั้งนี้ มีผู้โดยสารแยกตามสัญชาติ 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ รัสเซีย และญี่ปุ่น

ทั้งนี้ จากข้อมูลการจัดสรรตารางบินฤดูหนาว 2024/2025 (W2024/2025) ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง มีเที่ยวบินได้รับการจัดสรรเวลารวม 370,239 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากฤดูหนาวในปีที่ผ่านมา (W2023/2024 ) 22.1% แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศ 222,780 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 33.1% เที่ยวบินภายในประเทศ 147,459 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.5% มีแนวโน้มจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งระหว่างประเทศและในประเทศเพิ่มขึ้น 23% และเส้นทางระหว่างประเทศที่มีผู้โดยสารเดินทางเข้าประเทศไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย สิงคโปร์ และฮ่องกง

สำหรับในปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 - กันยายน 2568) ทอท. คาดว่าจะผู้โดยสารมาใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง รวมกว่า 129.97 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น ผู้โดยสารระหว่างประเทศ ประมาณ 78.61 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.17% และผู้โดยสารภายในประเทศ ประมาณ 51.36 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10.18% ขณะที่คาดว่าจะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 808,280 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.32% แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศประมาณ 453,750 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.02% และเที่ยวบินภายในประเทศประมาณ 354,530 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12.02% โดยเฉพาะที่ ทสภ. คาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 64.44 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.40% และมีเที่ยวบินประมาณ 376,820 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.69% ทดม. มีผู้โดยสารประมาณ 33.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.91% และมีเที่ยวบินประมาณ 223,200 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 13.00%

ทอท. มุ่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในท่าอากาศยานให้ทันสมัยทันต่อความต้องการของผู้ใช้บริการท่าอากาศยาน เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ทอท. ที่จะเป็นผู้ดำเนินการและจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก

‘กรณ์’ ออกปากชมรัฐบาลแพทองธาร ยัน! การให้สัญชาติไทยลอตนี้ถูกต้อง

(30 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงการให้สัญชาติไทยตามมติคณะรัฐมนตรี ว่า...

ผมเห็นนโยบายนี้ของรัฐบาลแล้วชื่นชมนะครับ เหตุผลที่ให้ฟังขึ้นหมด ไม่ว่าจะเป็นมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ ความเป็นธรรม และสิทธิมนุษยชน 

ผมอยากจะเสริมว่านี่คือ Soft Power ของสังคมเราด้วย ที่พร้อมให้โอกาสคนต่างด้าวมาผสมผสานเติมพลังความเป็นไทยมาหลายยุคหลายสมัย เรากี่คน (ผมด้วย) ที่คงไม่มีวันนี้หากสังคมไทยในอดีตไม่ให้โอกาสบรรพบุรุษเรา

เอาละ แต่ละประเทศก็มีบริบทที่ต่างกันไป แต่ท่าทีของเราวันนี้ต้องบอกว่าสวนทางกระแสการเมืองหลักของโลก โดยเฉพาะโลกตะวันตก ที่บางประเทศถึงขั้นมีการหาเสียงว่าจะขับต่างด้าวออกนอกประเทศแม้ว่าบางคนได้เข้ามาอยู่ในประเทศเขานานแล้ว 

แนวของเรากลับเป็นตัวยืนยันความมั่นใจในตัวเราเอง เราไม่มีปมด้อยที่จะทำให้เราต้องมากลัวหรือรังเกียจผู้ที่มาพึ่งพาอาศัย และทำมาหากินอย่างสงบอยู่กับเรา

โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนออนุมัติหลักเกณฑ์ เพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหาสัญชาติ และสถานะของกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาในไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย ซึ่งจากการสำรวจตั้งแต่ พ.ศ. 2527 จนถึง 2542 มีกลุ่มผู้อพยพเข้ามาเป็นเวลานานประมาณ 120,000 คน และเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน ซึ่งมีการสำรวจตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2554 มีประมาณ 215,000 คน กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของชนกลุ่มน้อย 29,000 คน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของบุคคลที่ไม่มีสถานะตามทะเบียนประมาณ 113,000 คน รวมทั้งหมดประมาณ 483,000 คน

โดยการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันนี้เป็นการลดขั้นตอนมอบสัญชาติให้กับบุคคลเหล่านี้ ที่ต้องใช้ระยะเวลาถึง 44 ปี ปัจจุบันการให้สัญชาติไทยกับบุคคลข้างต้นจะเป็นการยกเลิกขั้นตอนต่าง ๆ จำนวนมาก โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ข้อสังเกต 2-3 ข้อ หากให้สัญชาติไทยกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน จะเกิดผลกระทบใดตามมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่ สมช.เสนอ และส่งให้กระทรวงมหาดไทยประกาศบังคับใช้ในรายละเอียดไม่น้อยกว่า 30 วันไม่เกิน 60 วัน

สำหรับประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจำนวนกว่า 400,000 คนที่อยู่ในไทย ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่มานานและมีบ้านอาศัย สามารถทำงานได้ตามปกติ เมื่อทำให้ถูกต้อง บุคคลเหล่านี้ก็จะสามารถสัญจรไปมาได้ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ และรู้ถิ่นฐานที่อยู่ของบุคคลเหล่านี้ได้ ซึ่งที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี เล็งเห็นว่าเป็นประโยชน์และมีการสอบถามความรอบคอบจากหลายหน่วยงานมาก่อนแล้ว

‘รองนายกฯ ภูมิธรรม’ ให้การต้อนรับ ‘ทูตรัสเซีย’ ร่วมหารือทั้งเศรษฐกิจ - การค้า – การลงทุน - ความมั่นคง

‘ภูมิธรรม’ ต้อนรับ นาย Evgeny Tomikhin (เยฟเกนี โตมีฮิน) เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย พร้อมร่วมหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจ - การค้า – การลงทุน - ความมั่นคง

(30 ต.ค.67) ที่กระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นาย Evgeny Tomikhin (เยฟเกนี โตมีฮิน) เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าแนะนำตัวและแสดงความยินดีในโอกาสได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม 

โดยรมว.กลาโหม ได้กล่าวต้อนรับและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับ เอกอัครราชทูต สหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้หารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อแสวงหาแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน

ทั้งนี้ ไทยและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสอง ประเทศได้ก้าวเข้าสู่ปีที่127 ในปีนี้(เริ่มตั้งแต่ 3 ก.ค.2440) ซึ่งทั้งสองฝ่ายยึดถือการเสด็จประพาสรัสเซีย ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ โดยทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในทุกมิติทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงความร่วมมือที่ใกล้ชิด ในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ทั้งยินดีที่ปี 2567 เป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ไทย - รัสเซีย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการส่งเสริมพลวัตความร่วมมือที่สร้างสรรค์ อันเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจ และความใกล้ชิดในระดับประชาชนของทั้งสองประเทศ 

นอกจากนี้ รมว.กลาโหม ยังได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ทางทหารระหว่าง ไทย - รัสเซีย ที่มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายหลังจากที่มีการลงนามความตกลงระหว่าง รัฐบาลไทยกับรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านการทหาร เมื่อปี 2559 ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการขยายขอบเขตกิจกรรมความร่วมมือระหว่างกันให้มีพลวัตมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ในห้วงที่ผ่านมา กองทัพไทยและกองทัพ รัสเซียได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนและกิจกรรมความร่วมมือที่สำคัญต่าง ๆ ทั้งด้านการฝึก ศึกษาทางทหาร ด้านการส่งกำลังบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การประชุมระดับฝ่ายเสนาธิการของกองบัญชาการ กองทัพไทยและเหล่าทัพ การแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ การเยี่ยมเยือนเมืองท่า ตลอดจน กิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนถึงการมีพลวัตมากขึ้นของความสัมพันธ์ระหว่างกัน

'ผู้ช่วยอ้อ' สั่งประชุม พนง.สืบสวน คดีทองแม่ตั๊ก เร่งรัดสำนวนพร้อมส่งไม้ต่อ พนง.อัยการ

ที่ห้องประชุมรังสิพราหมณกุล ชั้น 2 กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 4) (สส 2) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เป็นประธานการประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง ตร. ที่ 500/2567 ลง 11 ต.ค.67 เพื่อเร่งรัดติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีบริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด (คดีทอง น.ส.กรกนก หรือตั๊ก สุวรรณบุตร กับพวก) ซึ่งเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและมีผู้เสียหายจำนวนมาก

โดยมี พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.สรัลพัฒน์ ยศสมบัติ รอง ผบก.กต.7, พ.ต.อ.ศราวุธ สวัสดิชัย รอง ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พร้อมคณะพนักงานสอบสวนสังกัด บช.ก. และ บก.ปคบ. เข้าร่วมประชุม

ซึ่งในการประชุมในครั้งนี้ เป็นการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินคดีบริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด กับพวก โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาพยานหลักฐานที่รวบรวมมาได้และร่วมกันกำหนดประเด็นการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความถูกต้อง รัดกุมและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย จากนั้นจะได้สรุปสำนวนการสอบสวนพร้อมมีความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการตามกฎหมายต่อไป

THE STATES TIMES ผนึกกำลัง SPUTNIK เชื่อมเครือข่ายข้อมูลข่าวสารข้ามโลก

(31 ต.ค. 67) สำนักข่าว THE STATES TIMES ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ(Memorandum of Understanding : MOU) ร่วมกับสำนักข่าว SPUTNIK ประเทศรัสเซีย 

การลงนามใน MOU ครั้งนี้ จะทำให้ทั้ง 2 สำนักข่าวสามารถใช้ทรัพยากรโดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารระหว่างกันได้ เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอข่าวระหว่างประเทศของทั้ง 2 สำนักข่าว

นายณัฐภูมิ รัฐชยากร กรรมการผู้จัดการ นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป ได้เปิดเผยว่า ในปัจจุบันข่าวสารจากประเทศรัสเซียในประเทศไทยยังขาดความหลากหลหายในการนำเสนอ ทางสำนักข่าว The States Times หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงนามในบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้จะสามารถทำให้ประชาชนชาวไทยรับข่าวสารจากทางประเทศรัสเซียได้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น

อีกทั้งตนยังมีความเชื่อว่าการที่ทางสำนักข่าว SPUTNIK ได้นำเสนอข่าวสารจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้นนั้นจะช่วยสร้างความเข้าใจในประเทศไทยให้แก่ชาวรัสเซีย นำมาซึ่งความร่วมมือกันระหว่างไทยและรัสเซียในด้านต่าง ๆ ในอนาคต อาทิ การลงทุน การท่องเที่ยว 

และเพื่อให้การร่วมมือในครั้งนี้ประสบความสำเร็จทางสำนักข่าว THE STATES TIMES จึงได้เชิญ ผศ.ดร.กฤษฎา พรหมเวค คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นที่ปรึกษาในความร่วมมือครั้งนี้

ด้าน Vasily Pushkov ผู้อำนวยการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของสำนักข่าว SPUTNIK เปิดเผยว่า ปัจจุบันข่าวสารของประเทศไทยที่มีการเผยแพร่ในประเทศรัสเซียมีจำนวนไม่มากนัก สวนทางกับจำนวนผู้คนที่สนใจ จากที่มีชาวรัสเซียจำนวนมากได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศไทย แม้ว่าทางสำนักข่าวของเราจะมีผู้สื่อข่าวประจำที่ประเทศไทย 1 ตำแหน่งแล้วแต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ

ดังนั้นการลงนามในบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้จึงเป็นไปเพื่อกระจายข่าวสารของประเทศไทยในรัสเซีย นอกจากนี้ทางประเทศไทยยังสามารถสื่อสารเรื่องราวของประเทศรัสเซียได้มากยิ่งขึ้น 

ในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักข่าว THE STATES TIMES ร่วมกับสำนักข่าว SPUTNIK ในครั้งนี้ ได้มีนายพรภิชิต สมัครธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักข่าว  THE STATES TIMES และ ผศ.ดร.กฤษฎา พรหมเวค คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงร่วมเป็นพยานในการลงนามดังกล่าว

ยกเลิกคอนเสิร์ต Micheal Learn to Rock แฟนเพลงครวญ โปรโมทไม่ดีทำให้ซื้อไม่ทัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ไทยทิกเกตเมอเจอร์ได้ประกาศยกเลิกการจัดคอนเสิร์ต ไมเคิล เลิร์นส์
ทู ร็อค 'Take Us To Your Heart Tour' ที่กรุงเทพฯ

เราเสียใจที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า ด้วยสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ไมเคิล เลิร์นส์ ทู ร็อค 'Take Us To Your Heart Tour' ที่กรุงเทพฯ กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ที่ยูเนี่ยนฮอลล์ กรุงเทพมหานคร จะไม่เกิดขึ้นตามแผนอีกต่อไป

หากคุณซื้อตั๋วผ่านแพลตฟอร์มตั๋วอย่างเป็นทางการ thaiticketmajor.com การคืนเงินจะดำเนินการตามวิธีการชำระเงินเดิมของคุณระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม - 30 พฤศจิกายน 2024

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บูธไทยทิคเก็ตเมเจอร์ 11 บูธ หรือ
Facebook: thaiticket major, Line: @thaiticket major หรือ call center
โทร. 02-262-3456 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 น. - 19.00 น.

ขณะนี้เรากำลังมองหาทางเลือกในการกำหนดตารางการแสดงใหม่ในวันถัดไป และหวังว่าจะนำประสบการณ์นี้มาสู่แฟน ๆ ในกรุงเทพฯ ในอนาคตอันใกล้นี้

เราขออภัยสำหรับความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้นและขอขอบคุณในความอดทนและความเข้าใจของคุณ

ขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของคุณ

โดยมีแฟนเพลงเข้ามาคอมเมนต์เสียดายในการประกาศข่าวครั้งนี้เป็นจำนวนมาก เช่น ไม่เคยทราบมาก่อนว่าจะมีคอนเสิร์ตนี้, ประกาศยกเลิกดังกว่าประกาศจัดคอนเสิร์ต เป็นต้น 

‘ซูนึง’ สอบเข้ามหาวิทยาลัยเกาหลีใต้ วันชี้อนาคตเด็กเกาหลีที่ทั้งประเทศแทบหยุดนิ่ง

(31 ต.ค. 67) ในโอกาสครบรอบ 2 ปี เหตุการณ์โศกนาฏกรรมฝูงชนเบียดกันเสียชีวิตมากถึง 158 คน ที่ย่านอิแทวอน กรุงโซล เกาหลีใต้ 

เหตุการณ์โศกนาฏกรรมฮาโลวีนอีแทวอนในครั้งนั้น คือภาพสะท้อนสังคมเกาหลีใต้ได้ชัดเจน

โดยเพจเฟซบุ๊กของ Pornpichit Samaktham ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2565 หรือวันนี้ เมื่อ 2 ปีก่อนไว้อย่างน่าสนใจว่า วันนี้ขอพูดเรื่องต้นตอการศึกษาของประเทศเกาหลีใต้

คนเกาหลีไม่กลัวคนเยอะ เพราะสังคมสอนให้ผู้แกร่งถึงจะรอด ไม่กลัวคิว 3 ชม. ไม่กลัว ยัดแย่งกันบนรถไฟฟ้า ไม่กลัวเรียนหนัก ทำงานหนัก หรือ แม้กระทั่งบนรถไฟฟ้า ไม่มีผู้ชายหนุ่มๆ เสียสละให้คนแก่ นักเรียน ผู้หญิง นั่งก่อน ต้องแย่งกันนั่ง

ทำให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่อิแทวอน เบียดเสียดแย่ง เป็นเรื่องธรรมดา คนยิ่งเยอะยิ่งชอบ

เท่าที่คุยกับคนเกาหลีมา ผมขอสรุปภาษาชาวบ้านง่ายๆ ว่าคนเกาหลีสะสมความเครียดจากการศึกษา ทำงาน สังคม ต้องปลดปล่อยในเรื่องบันเทิงแบบสุดๆ เพราะเก็บสะสมความเครียดมาจากเรื่องข้างต้น

คนเกาหลีดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก มากกว่าคนรัสเซียเสียอีก ดื่มกันตั้งแต่เด็ก นักศึกษาจนวัยทำงาน ทั้งเพศชายและหญิง

มาดูเรื่องการศึกษา

จีนสอบเกาเข่า ไทยสอบ GAT - PAT ส่วนเกาหลีใต้ก็มีสอบซูนึง ในการเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย

"การสอบซูนึง"

นี่คือการวัดอนาคต นักเรียนมัธยมปลาย ใช้เวลา แค่ 8 ชั่วโมง บ่งบอกทั้งชีวิตของคนเกาหลีใต้

การสอบซูนึง ของเด็ก ม.6 หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว วัดทุกอย่างที่เรียนมาทั้งชีวิต ไม่มีโอกาสให้แก้ตัว เป้าหมายการเข้ามหาวิทยาลัยดัง มีเวลาแค่ 8 ชั่วโมงเท่านั้น

เพราะฉะนั้น วันสอบซูนึง คือวันสำคัญของประเทศเกาหลีใต้ แนะนำนักท่องเที่ยวควรเลี่ยงวันนี้ เพราะจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติของประเทศนี้เกิดขึ้น เด็กกว่า 600,000 คน แยกย้ายกันไปกว่า 1,200 สนามสอบทั่วประเทศ 

วันนี้เครื่องบินไฟล์ต่างประเทศ ในประเทศ ตลาดหุ้น ช็อปปิ้งมอลล์ ต้องเลื่อนเวลาทำการ เพื่อไม่ให้กระทบสมาธิของเด็ก

รถไฟฟ้า รถเมล์ ขนส่งสาธารณะ ขยายเวลาทำการ เพื่อบริการเด็กมาถึงสนามสอบให้ทัน 

ส่วนตำรวจห้ามลาเด็ดขาด ทุกคนต้องมาประจำบนถนน เพื่อรับส่งเด็กเข้าห้องสอบให้ทันทุกกรณี

ส่วนผู้ปกครองปู่ย่าตายาย มีหน้าที่สวดมนต์ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่ออนาคตของลูกหลาน จะได้ประสบความสำเร็จ ต่างคนต่างต้องช่วยกัน

และแน่นอนว่า ถ้าใครไม่ทันสนามสอบในวันนี้

หมายถึงอนาคตดับวูบไม่ได้แก้ตัว ไม่มีมหาวิทยาลัยรองรับ  ต้องสอบใหม่ปีหน้า หรือไปเรียนต่างประเทศ หรือ ไม่เรียนต่อเลย 

ส่วนวันเวลาสอบ คือ สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี

มาดูกันเขาสอบซูนึงหรือ CSAT ( College Scholastic Ability Test) มีวิชาอะไรกันบ้าง

ภาษาเกาหลี คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ นี่เป็น 3 วิชาหลัก และมีวิชาเลือกอื่น ๆ ตามสาขา เช่น วิทยาศาสตร์ สังคม ประวัติศาสตร์เกาหลี และภาษาที่ 3 อื่นๆ

ที่นั่นแบ่งเป็นสายวิทยาศาสตร์ และสายศิลป์เหมือนบ้านเรานี่แหละ

นักเรียนเกาหลีใต้ออกจากบ้านไปติว 7-8 โมงเช้ากลับมาบ้านก็ 4 ทุ่มเข้านอนกันเลย เรียกว่าเด็กไทยชิดซ้าย

ขนาดซีรีส์เกาหลียังทำหนังเกี่ยวกับเส้นทางเข้า 3 มหาวิทยาลัยดังชั้นนำของประเทศเลย อย่างเรื่อง Reach for the Sky  
https://youtu.be/JCVI4b96m5I
นี่คือวาระแห่งชาติเกาหลีใต้จริงๆ

4 อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติจับมือกลุ่มนักวิชาการ ออกแถลงการณ์ค้านการเมืองครอบ ปธ.แบงก์ชาติ

(31 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 277 นักวิชาการ และกลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม โดยมี 4 อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล, นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล, นายวิรไท สันติประภพ และนางธาริษา วัฒนเกส รวมถึงนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียง อาทิ  รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง (อดีตรองศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มธ.), ดร. สมชัย จิตสุชน (ในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานสังกัด), รศ. ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ (อดีตคณบดีคณะ เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์) ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการครอบงำธนาคารแห่งประเทศไทยโดยกลุ่มการเมือง ว่า

ในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมเพื่อคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสองท่านในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางว่า รัฐบาลได้เสนอชื่อบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายการเมือง เพื่อดำรงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย

กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมและภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม  มีความกังวลอย่างยิ่งถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศถูกครอบงำโดยฝ่ายการเมือง ซึ่งโดยทั่วไปฝ่ายการเมืองมักให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ในระยะสั้น เพื่อแสดงผลงานที่รวดเร็วเพราะมีความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจดำรงตำแหน่งได้ไม่ยืนยาวนัก จึงอาจส่งผลให้เกิดผลเสียหายรุนแรงต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจระยะยาว

ซึ่งเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามรูปแบบของสากลประเทศที่ธนาคารกลางของประเทศที่ดีจะต้องมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้เหมาะสมตามสถานการณ์และสถานภาพของประเทศ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศที่มั่นคงยั่งยืนในระยะยาว

บทบาทของคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยครอบคลุมภารกิจสำคัญ ได้แก่ การกำกับดูแลการบริหารงาน การจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศ การคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการต่างๆ โดยเฉพาะคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน อันเป็นเครื่องมือสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงิน  หากคณะกรรมการใช้อำนาจที่มีนี้เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ระยะสั้นของฝ่ายการเมือง ย่อมส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และอาจเกิดความเสียหายที่ไม่สามารถย้อนกลับได้

นอกจากนี้ หากการครอบงำครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ก็มีแนวโน้มว่าฝ่ายการเมืองจะใช้วิธีเดียวกันในการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงกลางถึงปลายปีหน้า โดยส่งบุคคลที่มีความสนิทใกล้ชิดทางการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่งเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ขอเรียกร้องต่อคณะกรรมการคัดเลือก ที่จะพิจารณาในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล โดยไม่ยอมรับแรงกดดันทางการเมือง เพื่อร่วมรักษาสถาบันที่สำคัญคือธนาคารแห่งประเทศไทยที่บุคคลสำคัญในอดีตได้ร่วมกันพัฒนามาอย่างดี และเชิญชวนภาคส่วนอื่นในสังคมร่วมแสดงจุดยืน (โดยการร่วมลงนามข้างท้าย) เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยให้หลุดพ้นจากผลประโยชน์ระยะสั้นทางการเมือง และธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของนานาอารยประเทศ

กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม
ปลายตุลาคม พุทธศักราช 2567


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top