Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงข่าว บก.สส.ภ.5 จับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางยาบ้า 2,494,000 เม็ด 

(29 ต.ค. 67) เวลา 09.30 น.ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  ผบ.ตร, พล.ต.อ.ธนา ชูวงค์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ มทภ.3 ได้รับบัญชาและข้อสั่งการนำไปสู่การปฏิบัติ

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร  ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร, พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง  รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ประจำฯ ช่วยราชการ ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 และพล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.3/ผบ.นบ.ยส.35ฝ่ายปกครอง โดย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผวจ.เชียงใหม่สำนักงาน ปปส.ภาค 5 โดย นายธันวา ผุดผ่อง ผู้เชี่ยวชาญฯ รรท.ผอ. สำนักงาน ปปส.ภาค 5 แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ ของ บก.สส.ภ.5 จับกุมผู้ต้องหา 3 คน ยาบ้าประมาณ 2.5 ล้านเม็ด ที่ อาคารหอประชุม ภ.จว.เชียงใหม่ 

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 22.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.ภ.5 บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 3 คน คือนายอัครชัย อายุ 27 ปี ภูมิลำเนา อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่, นายภูมิพัฒน์ อายุ 30 ปี ภูมิลำเนา อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ และนายดุสิต อายุ 48 ปี ภูมิลำเนา อ.ดอยเต่า จว.เชียงใหม่พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้าจำนวน 10 กระสอบ รวมประมาณ 2.5 ล้านเม็ด ที่บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ตั้งอยู่ที่ถนนเชียงใหม่ - หางดง หมู่ 6 ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ ต่อเนื่อง สวนลำไย พื้นที่หมู่ 6 ต.โปงทุ่ง อ.ดอยเต่า จว.เชียงใหม่

คดีนี้ พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.ภ.5 ติดตามพฤติการณ์กลุ่มลักลอบลำเลียงยาเสพติด ที่มีช่องทางนำเข้าจากแนวชายแดน ทาง อ.เวียงแหง จว.เชียงใหม่ แล้วลำเลียงมาจุดพักยาเสพติดในพื้นที่รอยต่อระหว่าง อ.เชียงดาว - อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ และจะมีกลุ่มลักลอบลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ

ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถจักรยานยนต์ PCX สีแดง ขับนำรถยนต์กระบะบรรทุกสิ่งของเต็มหลังกระบะ จากพื้นที่ อ.แม่แตง ผ่าน อ.แม่ริม - อ.เมืองเชียงใหม่ แล้ว วิ่งไปตามถนนสายเชียงใหม่ - หางดง จึงสกัดจับกุมที่บริเวณปั๊มน้ำมัน เขต ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ โดยมี นายภูมิพัฒน์ฯ ขับรถจักรยานยนต์ PCX สีแดง นำทาง และนายอัครชัยฯ ขับรถยนต์บรรทุกพบ ยาบ้าประมาณ 2.5 ล้านเม็ด บรรทุกอยู่บริเวณหลังรถ และต่อมาได้ขยายผลไปจับกุมนายดุสิตฯ ซึ่งเป็นคนว่าจ้าง/ติดต่อกลุ่มลำเลียงยาเสพติดที่บริเวณสวนลำไย พื้นที่หมู่ 6 ต.โปงทุ่ง อ.ดอยเต่า จว.เชียงใหม่ มาดำเนินคดีตามกฎหมาย จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลหาเครือข่ายและตรวจยึดอายัดทรัพย์สินมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘พิชัย’ จับมือทูตแคนาดา เร่งเครื่องเจรจาเอฟทีเอ อาเซียน-แคนาดา พร้อมนัดถกรัฐมนตรีการค้าแคนาดาช่วงประชุมเอเปคที่เปรู ขยายโอกาสการค้าในตลาดอเมริกาเหนือ

เมื่อวันที่ (28 ต.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการหารือกับนางสาวปิง คิตนีกอน (H.E. Ms. Ping Kitnikone) เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย ณ กระทรวงพาณิชย์ ว่าเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้พบกันหลังจากที่ได้เข้ารับตำแหน่ง โดยเน้นย้ำความพร้อมของไทยในการทำงานร่วมกับแคนาดาอย่างใกล้ชิด 
เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ระหว่างกัน

นายพิชัย กล่าวว่า ไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนจากแคนาดาที่มีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงการจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีศักยภาพ ซึ่งสอดรับกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ด้านพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล พร้อมต่อยอดความร่วมมือกับแคนดาด้าน AI และ Cybersecurity อีกทั้ง ไทยยังมีศักยภาพเป็นฐานการผลิตในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ มีโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคและระดับโลกได้นอกจากนี้ ไทยยังสามารถขยายโอกาสทางเศรษฐกิจกับแคนาดาเพื่อเชื่อมโยงไปยังกลุ่มประเทศ G7 ที่แคนาดามีความตกลงการค้าเสรีครบทุกประเทศแล้ว

นายพิชัย เสริมว่า ตนได้ขอบคุณแคนาดาที่มีแผนจะนำคณะนักธุรกิจแคนาดาสาขาต่าง ๆ มายังไทยช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 พร้อมทั้งได้เชิญชวนภาคธุรกิจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าของกระทรวงพาณิชย์ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศร่วมกับภาคเอกชน เช่น งานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX-ANUGA ASIA (27-31 พฤษภาคม 2568) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่ใหญ่ของเอเชีย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างกันด้วย
นายพิชัย กล่าวต่ออีกว่า ไทยและแคนาดาเห็นพ้องที่จะสนับสนุนการเจรจา FTA อาเซียน-แคนาดา ให้เสร็จตามเป้าหมายในปี 2568 ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจทั้งสองประเทศ และขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน สามารถเชื่อมโยงทั้งสองภูมิภาคให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และความตกลงดังกล่าวยังถือเป็น FTA แรกของไทยกับประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ

นอกจากนี้ ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ตนยังได้พบกับนายกรัฐมนตรีแคนาดา (นายจัสติน ทรูโด) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการส่งเสริมการส่งออก การค้าระหว่างประเทศ และการพัฒนาเศรษฐกิจ ของแคนาดา (นาง Mary Ng) และในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเอเปค (APEC Ministerial Meeting: AMM) ครั้งที่ 35 กลางเดือนพฤศจิกายน 2567 ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ที่จะถึงนี้ ตนจะมีโอกาสพบหารือกับ นาง Mary Ng อีกครั้ง เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในเชิงลึกระหว่างไทยและแคนาดาต่อไป

ในปี 2566 แคนาดาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 30 ของไทย โดยการค้ารวมของไทยและแคนาดา มีมูลค่า 2,933.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 10.41 โดยไทยส่งออกไปยังแคนาดามูลค่า 1,903.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 10.07 สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ข้าว เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์  เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน และผลิตภัณฑ์ยาง ขณะที่ไทยนำเข้าจากแคนาดามูลค่า 1,030.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 11.03 สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ

สตม. ทลายเครือข่ายต่างด้าวแสบ รวบเรียงตัว 5 ผู้ต้องหา หลอกลงทุน Crypto Currency ซื้ออสังหาฯหวังฟอกเงิน

(29 ต.ค. 67) สืบเนื่องจากเมื่อประมาณปลายปี 2566 มีกลุ่มแก๊งคนต่างด้าว ได้ร่วมกับชาวไทยกลุ่มหนึ่ง หลอกลวง นางสาวมัลลิกา (นามสมมติ) ผู้เสียหาย ให้ลงทุนเทรดหุ้นและคริปโตเคอร์เรนซี  โดยได้เปิดเพจเฟซบุ๊ก (Facebook) ใช้ชื่อ ห้องคุยนักลงทุน ซึ่งเปิดเป็นสาธารณะบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ แนะนำการลงทุนในการเทรดหุ้น ซึ่งได้รับผลตอบแทนสูง ผู้เสียหายจึงเข้าไปพูดคุยและสนใจ เมื่อกลุ่มผู้ต้องหาเห็นว่าผู้เสียหายสนใจ จึงได้ติดต่อมาทาง แอปพลิเคชันไลน์ และหลอกล่อจนกระทั่งผู้เสียหายยอมโอนเงินไปให้หลายครั้ง หลายบัญชี โดยคนร้ายจะมีการพูดหลอกล่อ เช่น ต้องค้างเงินไว้ในพอร์ตเป็นเวลาขั้นต่ำกี่วัน หรือต้องมีการโอนเพิ่มเพื่อให้สามารถทำการเทรดโดยใช้ leverage ได้ เมื่อผู้เสียหายเทรดได้กำไร มีการโอนผลกำไรกลับไปบางส่วน เป็นต้น ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ทั้งนี้ รวมยอดความเสียหายที่ผู้เสียหายโอนเงินไปทั้งสิ้น เป็นจำนวนเงิน 21 ล้านบาท ผู้เสียหายจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวน สน.บางรัก โดยจากการสอบสวนพบว่าผู้ต้องหาแก๊งนี้มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานตั้งแต่ระดับ สั่งการจนถึงบัญชีม้า ดังนี้ นายมูน ชาวกัมพูชา (ผู้ต้องหาที่ 1) และ นายโก ชาวเมียนมา (ผู้ต้องหาที่ 2) ทำหน้าที่เป็นบัญชีม้า รับโอนเงินต่อกัน โดยได้รับการชักชวนจากนายหน้าชาวเมียนมาอีกทอดหนึ่ง ก่อนจะมีการโอนเงินไปยัง นายวิน นักธุรกิจ ชาวเมียนมา (ผู้ต้องหาที่ 3) ซึ่งเปิดบริษัททำธุรกิจบังหน้าในประเทศไทยอีกทอดหนึ่ง ก่อนที่จะมีการโอนเงินไปให้ นางสาวซาน หญิงชาวเมียนมา (ผู้ต้องหาที่ 4) ที่ทำหน้าที่รับยอดเงินรวม ก่อนจะมีการนำไปรวมกับบัญชีของ นางสาวถ่วย หญิงชาวเมียนมา (ผู้ต้องหาที่ 5) เพื่อนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบคอนโดมิเนียมหรูย่านพระราม 9 มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท โดยจ่ายเป็นเงินสด และขายต่อให้บุคคลที่สามชาวเมียนมาทันที พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และร่วมกันนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน

ชุดสืบสวน กก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้สืบสวนหาข่าวเพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 5 รายดังกล่าวเรื่อยมา จนสามารถจับกุม นายโก ชาวเมียนมา ได้ที่บ้านพักส่วนตัว จว.ปทุมธานี จับกุมนายมูน ชาวกัมพูชา ได้ที่โรงงานแห่งหนึ่งใน จว.สระบุรี หลังสืบทราบว่าได้มีการหลบหนีไปสมัครงานที่โรงงานดังกล่าว จับกุมนางสาวซาน หญิงชาวเมียนมา ที่คอนโดมิเนียมหรู ริม ถ.รัชดาภิเษก จับกุมนางสาวถ่วย ชาวเมียนมา ขณะเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยที่ ท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อจะมาจัดการทรัพย์สิน และจับกุมนายวิน นักธุรกิจชาวเมียนมา ขณะเดินอยู่ที่บริเวณริม ถ.ราชดำริ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.บางรัก ดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งจากการสอบปากคำนายโก นายมูน และ นางสาวซาน ยังนำไปสู่การออกหมายจับบุคคลต่างด้าวชาวเมียนมาอีกหนึ่งรายหนึ่ง ซึ่งอยู่ในระหว่างสืบสวนจับกุม และจะได้ขยายผลสืบสวนจับกุมต่อไป

สมุทรปราการ-ทอท. ห่วงใย!! มอบเครื่องช่วยฟังให้กับประชาชนที่อยู่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

(29 ต.ค. 67) เวลา 10.00 น. ดร.กีรติ  กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เป็นประธานในพิธีมอบเครื่องช่วยฟังตามโครงการตรวจสมรรถภาพการได้ยิน และสนับสนุนเครื่องช่วยฟังให้กับประชาชนที่อยู่โดยรอบ ทสภ. ประจำปี 2567

โดยมี นายกิตติพงศ์  กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมด้วย นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) ทอท. เข้าร่วมพิธีฯ ด้วย ณ ห้องจัดเลี้ยง 1 ชั้น 5 อาคารสำนักงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (AOB) การมอบเครื่องช่วยฟังตามโครงการตรวจสมรรถภาพการได้ยินฯ ในครั้งนี้ เป็นโครงการที่ ทอท. โดยฝ่ายสิ่งแวดล้อม จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 1 ครั้ง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สูญเสียการได้ยินสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตด้านการได้ยินที่ผิดปกติให้ดีขึ้นหรือใกล้เคียงกับบุคคลทั่วไป รวมทั้งเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง ทอท. กับประชาชนที่อยู่โดยรอบ ทสภ. อย่างยั่งยืน

ในปี 2567 มีผู้เข้าร่วมโครงการตรวจสมรรถภาพการได้ยินฯ จำนวน 2,919 คน พบว่าเป็นผู้มีสมรรถภาพการได้ยินปกติ จำนวน 2,299 คน และเป็นผู้มีสมรรถภาพการได้ยินผิดปกติ จำนวน 620 คน และจากการตรวจสมรรถภาพการได้ยินอย่างละเอียดสำหรับผู้สูญเสียการได้ยินระดับหูตึงมาก - รุนแรงมาก โดย โสต ศอ นาสิกแพทย์ วินิจฉัยแล้ว มีผู้ที่บกพร่องทางการได้ยินสมควรได้รับเครื่องช่วยฟังมีจำนวน 10 ราย จากโรงเรียนสาธิตบางนา, ชุมชนประชาร่วมใจชุมชนเคหะนคร 2, หมู่บ้านรุ่งกิจวิลล่า 9, หมู่บ้านลาดกระบังการ์เด้น และหมู่บ้านจามจุรี รับคนละ 2 เครื่อง รวม 20 เครื่อง เป็นเงิน 600,000.-บาท

จนถึงปัจจุบัน ทอท. มอบเครื่องช่วยฟังให้กับประชาชนที่สูญเสียการได้ยินไปแล้ว จำนวน 69 ราย รวม 119 เครื่อง โดยใช้งบประมาณในการสนับสนุนเครื่องช่วยฟังดังกล่าว รวมเป็นเงิน 3,670,000.-บาท ที่ผ่านมา ทอท. ได้ให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบท่าอากาศยานให้ดีขึ้น รวมทั้งมีนโยบายให้ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบทั้ง 6 แห่ง คือ ทสภ. ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ท่าอากาศยานภูเก็ต และ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้แนวคิดการเป็นสนามบินที่เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมและเพื่อนบ้านที่ดีของชุมชน

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

จีน ยัน เตรียมส่งแพนด้ายักษ์คู่ใหม่มาไทย กระชับความสัมพันธ์ 50 ปีสองมิตรประเทศ

(29 ต.ค. 67) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) เป็นประธานการประชุมหารือเตรียมความพร้อมรับมอบสัตว์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมอบแพนด้ายักษ์คู่ใหม่จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ 50 ปี ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับประเทศไทย ในปี 2568

นายจตุพร ได้กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มีความพร้อมในการรับหมีแพนด้าคู่ใหม่จากจีนเข้ามาดูแลในนามของรัฐบาลไทย เพื่อเป็นทูตสันถวไมตรีที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันระหว่างสองประเทศ หลังจากที่องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย โดยสวนสัตว์เชียงใหม่ได้จัดส่งร่างหมีแพนด้าช่วงช่วงและหลินฮุ่ยกลับจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 พร้อมทั้งได้จัดทำรายงาน 20 ปีแพนด้าในไทยส่งให้ทางจีนประเมินโครงการ ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา 

ทางจีนได้ยืนยันที่จะนำแพนด้ายักษ์คู่ใหม่ให้เป็นทูตสัตถวไมตรีเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน ให้แก่ประเทศไทยอีกครั้ง สำหรับในการเตรียมความพร้อมรับแพนด้ายักษ์คู่ใหม่นี้ ได้สั่งการให้องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยเตรียมความพร้อมในด้านการออกแบบสถานที่สำหรับรับหมีแพนด้าคู่ใหม่ให้มีความเหมาะสม ทั้งในด้านความเป็นอยู่ และในส่วนของการจัดแสดงเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้เข้าชมกับหมีแพนด้ายักษ์อีกครั้ง โดยในการออกแบบจะต้องมีความสอดคล้องและเป็นไปตามหลักการของทางจีนเป็นสำคัญ 

แนะเพิ่มช่องทางหาเงินเข้ารัฐ ภาษีลาภลอย ช่วยรัฐบาลได้

(29 ต.ค. 67) ไม่แปลกนักที่ในห้วงระยะเวลานี้จะมีข่าวการเตรียมจัดเก็บค่าธรรมเนียม ภาษี หรือรายได้อื่น ๆ จากทางภาครัฐ เนื่องจากการทำรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

แต่มีอีก 1 ช่องทางในการสร้างรายได้อีก 1 ช่องทาง ที่เหมือนจะหลงลืมกันไป นั่นก็คือ ‘ภาษีลาภลอย’

ภาษีลาภลอย คือ ภาษีที่จะจัดเก็บจากผู้ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ทางด่วน รถไฟฟ้า สนามบิน หรืออื่น ๆ

เหตุผลที่มีแนวคิดในการจัดเก็บ เนื่องจากบรรดาที่ดินที่ได้รับประโยชน์เหล่านี้ อยู่ดี ๆ ก็มีมูลค่าสูงขึ้นจากการลงทุนของทางภาครัฐ 

ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีการเตรียมเสนอกฎหมายที่มีแนวคิดคล้าย ๆ กันมาแล้ว ร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐพ.ศ. …

โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ได้แก่ บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินหรือครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือเป็นเจ้าของห้องชุดที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาทและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเจ้าของห้องชุดรอการจำหน่ายซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการฯ

2.โครงการฯ ที่จัดเก็บภาษี คือ โครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ท่าเรือ สนามบิน โครงการทางด่วนพิเศษ และโครงการอื่น ๆ ที่กำหนดในกระทรวง

3.การจัดเก็บภาษีแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
3.1 ในระหว่างการดำเนินการจัดทำโครงการฯ จะจัดเก็บภาษีจากการขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือห้องชุดซึ่งตั้งอยู่รอบพื้นที่โครงการฯ ในรัศมีที่กำหนด
3.2 เมื่อการก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ จะจัดเก็บภาษีเพียงครั้งเดียวจาก
1) ที่ดินหรือห้องชุดเฉพาะส่วนที่ใช้ประชาชนในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาท (ยกเว้นภาษีให้แก่ที่ดินหรือห้องชุดที่ใช้เพื่อพักอาศัยและที่ดินที่ใช้ประกอบเกษตรกรรม)
2) ห้องชุดของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่รอจำหน่าย ซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการฯ

4.พื้นที่จัดเก็บภาษี กำหนดขอบเขตไว้ไม่เกินรัศมี 5 กิโลเมตร รอบพื้นที่โครงการฯ ทั้งนี้ กำหนดให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดพื้นที่จัดเก็บภาษี ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นกรรมการและเลขานุการออกประกาศกำหนดพื้นที่ที่จะจัดเก็บภาษีในแต่ละโครงการฯ

5.หน่วยงานจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมที่ดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีโครงการฯตั้งอยู่

6.ฐานภาษีเพื่อการคำนวณภาษี ให้จำนวนจากส่วนต่างของมูลค่าที่ดินหรือที่ขึ้นระหว่างวันที่รัฐเริ่มก่อสร้างโครงการฯ และมูลค่าในวันที่การก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ

7.การคำนวณภาษีให้ใช้ฐานภาษีของที่ดินหรือท้องที่ชุดคำนวณได้คุมด้วยอัตราภาภาษี

8.อัตราภาษี กำหนดเพดานอัตราสูงสุดของภาษีที่กรมที่ดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจจัดเก็บได้ ไม่เกินร้อยละ 5 ของฐานภาษี ทั้งนี้ อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริงจะกำหนดในพระราชกฤษฎีกา

9.ภาษีที่จัดเก็บได้ให้นำส่งเงินภาษีเข้าคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน

จะเห็นได้ว่าการเอาภาษีตัวนี้มาปัดฝุ่นอีกครั้ง สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันอย่างยิ่ง เนื่องจากหลายโครงการโครงสร้างพื้นฐานอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งรายได้ส่วนนี้จะสามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นด้านอื่น ๆ ของประเทศได้อีกด้วย

จีนเปิดตัวทีมนักบินอวกาศ 'เสินโจว-19' เตรียมปล่อยยานสู่ห้วงอวกาศพรุ่งนี้

(29 ต.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน ประกาศว่าทีมนักบินอวกาศของจีน ได้แก่ ไช่ซวี่เจ๋อ ซ่งลิ่งตง และหวังเฮ่าเจ๋อ จะเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจการบินในอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมเสินโจว-19 (Shenzhou-19) โดยจะทำหน้าที่ผู้บัญชาการ

หลินซีเฉียง โฆษกองค์การฯ กล่าวว่ายานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมเสินโจว-19 มีกำหนดปล่อยสู่ห้วงอวกาศจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ตอน 04.27 น. ของวันพุธ (30 ต.ค.) ตามเวลาปักกิ่ง

สำหรับ "ไช่ซวี่เจ๋อ" เคยร่วมปฏิบัติภารกิจเสินโจว-14 ในปี 2022 ส่วน "ซ่งลิ่งตง" และ "หวังเฮ่าเจ๋อ" ซึ่งทั้งสองเป็นนักบินอวกาศของจีน ชุดที่ 3 และเกิดในทศวรรษ 1990 จะเดินทางสู่อวกาศเป็นครั้งแรก

ซ่งเป็นอดีตนักบินของกองทัพอากาศก่อนได้รับคัดเลือกเป็นนักบินอวกาศ และหวังเคยเป็นวิศวกรอาวุโสประจำสถาบันเทคโนโลยีขับเคลื่อนการบินและอวกาศ สังกัดบริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการบินและอวกาศแห่งประเทศจีน (CASC)

ปัจจุบันหวังเป็นวิศวกรหญิงด้านการบินในอวกาศเพียงคนเดียวของจีน และจะเป็นผู้หญิงจีนคนที่ 3 ที่ได้ร่วมปฏิบัติภารกิจการบินในอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม

เจ๊ไฝ ยันไม่แขวนตะหลิวร้านประตูผี เดินหน้าขาย ‘ไข่เจียวปู’ ในตำนานต่อ

(30 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเป็นข่าวมากขึ้น มีสื่อมวลชนจำนวนมากแห่ไปสัมภาษณ์ เจ๊ไฝ กันไม่ขาดสาย ล่าสุด เจ๊ไฝ ออกมาเปิดว่า ไม่เป็นความจริง ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากที่ตนไปช่วยยูเอ็น หาเงินช่วยผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นงานใหญ่ มีทูต นักข่าวต่างประเทศมามาก ซึ่งสิ่งแรกที่ถามตนว่าอายุ 80 ปี แล้วยังไม่เลิกอีกเหรอ เลยตอบไปแค่ว่า มันก็มีโครงการอยู่ในใจ แค่นั้น แต่กลับกลายเป็นเรื่องบานปลายดังกล่าว

เจ๊ไฝ เผยอีกว่า ทั้งนี้ยืนยันว่า ยังขายต่อยังไม่เลิก อีกทั้งยังรับงานต่างประเทศอีกหลายงาน เช่นฝรั่งเศส ต้องไปทำอาหาร แล้วจะเลิกได้ยังไง เลิกไม่ได้ ยังติดพันอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ อายุ 81 ปีแล้วปีนี้ ยังยืนทำอาหารได้สบาย วันหนึ่งยืนทำอาหารประมาณ 15 ชั่วโมง ส่วนลูกสาวคงไม่สืบทอดต่อ แต่มีโครงการอย่างอื่นอยู่ในใจ เพราะคุยกันตลอด

เจ๊ไฝ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันร้านหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ เปิดขาย 4 วัน วันพุธ พฤหัสบดี ศุกร์ และ เสาร์ ถือว่าหยุดมากแล้ว นอกจากนี้ตนก็อยากให้รัฐบาลทำจริงจัง ทำเกี่ยวกับถนนคนเดินสัก 1 สาย ที่จัดให้มีการขายอาหารให้ชาวต่างชาติมาเดินเที่ยวกัน ส่วนที่ นายกฯอิ๊งค์ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเสียดายหากร้านจะปิดนั้น ตนยินดีให้นายกฯอิ๊งค์ มาชิมอาหารที่ร้าน ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมาก เพราะเป็นร้านเล็ก

จดหมายจาก ‘ขนุน-สิรภพ’ ผู้ต้องขังคดี 112 บรรยายถึง ‘ฤดูหนาวที่แสนร้อน’ ในโลกหลังกำแพง

(29 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กบัญชี Sirapob Phumphengphut ของ ขนุน สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ หนึ่งในแกนนำม๊อบเมื่อช่วงปี 2563 ซึ่งปัจจุบันถูกจำคุกจากการกระทำความผิดตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ได้โพสต์ว่า..

20 นาทีในทุกวันกับ จดหมาย 1 ฉบับที่มีค่าทางจิตใจ

ฤดูหนาวที่แสนร้อนนนนนนนนน

28/10/2024
สวัสดีครับแม่ เมื่อคืนที่ผ่านมาอากาศร้อนมากจนทำให้ การนอนนั้นยากมาก จากเหงื่อ ไอร้อน ทั้งสัญญาณที่บอกว่าฤดูหนาวกำลังจะมาเยือน (แม้จะเย็นแค่วันสองวันก็ตาม) อย่างพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว ฝนที่ค่อย ๆ จากไป ท้องฟ้าที่ค่อนข้างโปร่ง (จากบทสนทนาพี่อานนท์กับพี่หนุ่ม) แต่สิ่งหนึ่งที่หายไปคือ ความหนาวเย็น  นอนไม่หลับ ร้อน!!!!!!

รูปที่เห็นคือภาพที่หนุนวาดหลังพี่อานนท์ชี้ท้องฟ้าที่ค่อยๆมืด ไม่รู้สิถ้าหนุนได้อยู่บ้านคงดีกว่านี้ "ถึงจะร้อนก็มีแอร์เย็น ๆ" "ถึงจะร้อนก็มีน้ำเย็น ๆ ให้ดื่ม" "ถึงจะร้อนก็ได้ออกไปห้างฯ หอสมุด ร้านกาแฟเพื่อหลบร้อน" แต่พอหนุนถูก พรากสิทธิการประกัน สิ่งทั่วไปพวกนี้กลับดูราวเป็นเพียงความฝันที่ทำได้เพียง ระลึกถึง "ไม่มีที่ใดสุขเท่าบ้าน"

หนุนหวังว่า กระบวนการอำนวยความยุติธรรม จะเกิด/ ปฏิบัติกับ ผู้ต้องขังทางการเมือง ในเร็ววัน การประกัน คือหัวใจสำคัญที่จะสามารถ พาหนุนกลับบ้านได้ สุดท้ายหนุนไม่อยากอยู่ในสภาพอากาศร้อน ๆ แบบนี้ เพราะผื่นร้อนขึ้นง่ายมาก ทั้งการอ่านหนังสือก็ทำได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร หนุนอยากกลับบ้าน จะได้กลับไปทำตามความฝันดังที่ควรจะเป็นซักที

"คิดถึงแม่ ป๊า นะครับ"
ปล. เวลาร้อนชวนคิดอะไรไม่ออก

18.00 น. 27/10/2024
สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ
ณ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

‘เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ’ ยังคึกคัก พร้อมเดินหน้าต่อเนื่อง แม้เผชิญโควิด-เศรษฐกิจซบ

(30 ต.ค.67) เพจ Biz Laos ได้รายงานความเคลื่อนไหว เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ล่าสุด โดยระบุว่า โครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตลอดปี 2023 - 2024 

การก่อสร้างและพัฒนาโครงการ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้เผชิญปัญหาทั้งสถานการณ์โควิด ภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จนประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ส่วนของโครงการ อาทิ 

- โครงการขยายโครงสร้างพื้นฐานและซ่อมแซมถนนภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แล้วเสร็จ 90%

- โครงการก่อสร้างโรงแรมดอกงิ้วคำ, สนามกอล์ฟ รีสอร์ท พูกิ่วลม, สนามบินนานาชาติบ่อแก้ว, โรงเรียนประถมศึกษาดอกงิ้วคำ (อนุบาล-ทั่วไป), ท่าเรือน้ำลึกสามเหลี่ยมทองคำ เสร็จสมบูรณ์ 100% 

- ท่าเรือขนส่งสินค้า บ้านมอม อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

- โครงการก่อสร้างตลาดน้ำวัฒนธรรมนานาชาติ แล้วเสร็จ 70%

- โครงการก่อสร้างด่านตรวจสากลเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สร้าง และ โครงการก่อสร้างและปรับปรุงโรงแรมดอกงิ้วคำ ก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% 

- การก่อสร้างศูนย์บำบัดน้ำเสีย 80%

- โครงการก่อสร้างสวนสาธารณะแคมของ แล้วเสร็จ 80%, การก่อสร้างสำนักงานรักษาความปลอดภัย

- โครงการก่อสร้างโรงน้ำประปาใหม่ เสร็จสมบูรณ์ 100%

- โครงการก่อสร้างบ้าน และอื่น ๆ 

ปัจจุบันโครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเสร็จและบางโครงการยังอยู่ในช่วงดำเนินการทั้งการตกแต่งภายในและภายนอก ติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมด เพื่อเตรียมเปิดทดลองอย่างเป็นทางการ

สำหรับบางโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจะดำเนินการต่อเนื่อง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% ภายในสิ้นปี 2567 ตรงตามแผน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top