Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529 ในหลวง รัชกาลที่ 9 และ รัชกาลที่ 10 เสด็จฯ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) และ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร (ในหลวง รัชกาลที่ 10 พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จฯ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 

สำหรับการจัดตั้งโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ” ซึ่งสร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของทายาท มรว.สุวพรรณ สนิทวงศ์, ธนาคารทหารไทย จำกัด, มูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

โดยเสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529 โรงพยาบาลก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2530 และเปิดให้บริการประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2530 เพื่อถวายเป็นราชกุศลเนื่องในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ

ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2531 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ทรงประกอบพิธีเปิดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติอย่างเป็นทางการ โดยในระยะแรกมีเพียง 2 อาคารที่เปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่ประชาชนทั่วไป คือ

1. อาคาร มรว.สุวพรรณ สนิทวงศ์ เปิดให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยนอก และสำนักงานต่างๆ

2. อาคารธนาคารทหารไทย เปิดให้บริการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทุกประเภท

ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2533 โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนราชการหนึ่งซึ่งมีฐานะเทียบเท่าสถาน (ภาควิชา) ของคณะแพทยศาสตร์ เช่นเดียวกับสถานวิทยาศาสตร์พรีคลินิก และสถานวิทยาศาสตร์คลินิก โดยมีภารกิจในการให้บริการวิชาการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่ประชาชนโดยทั่วไป และเป็นแหล่งฝึกปฏิบัติภาคคลินิกของคณะแพทยศาสตร์ด้วย

‘แพขยะในมหาสมุทรแปซิฟิก’ เพิ่มขึ้น 10 เท่าในแต่ละทศวรรษ ขยะส่วนใหญ่กว่า 50% มาจากบนแผ่นดินในอเมริกาเหนือและเอเชีย

(The Great Pacific garbage patch : GPGP) 

The Great Pacific garbage patch หรือที่เรียกว่า วงแหวนขยะในมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นแพขยะขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นจุดที่มีกระแสน้ำวนของเศษขยะในทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง พิกัดอยู่ที่ประมาณ 135 ° W ถึง 155 ° W และ 35 ° N ถึง 42 ° N แหล่งรวมพลาสติกและถังขยะลอยน้ำซึ่งมีต้นกำเนิดจาก Pacific Rim รวมถึงประเทศต่าง ๆ ในเอเชียอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ แบ่งออกเป็นสองพื้นที่คือ "Eastern Garbage Patch" ระหว่างฮาวายและแคลิฟอร์เนีย และ "Western Garbage Patch" ซึ่งทอดตัวไปทางตะวันออก จากญี่ปุ่นไปยังฮาวาย

ขยะในทะเลเป้นอันตรายต่อระบบนิเวศน์ทางทะเลมาก ซากเต่าในภาพกินขยะทะเลจนตาย

แม้จะเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนทั่วไปเกี่ยวกับแพขยะขนาดใหญ่ที่มีอยู่ว่าเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีขยะลอยอยู่ แต่ความหนาแน่นต่ำมาก (4 อนุภาคต่อลูกบาศก์เมตร) ซึ่งสามารถป้องกันการตรวจจับด้วยภาพถ่ายดาวเทียม หรือแม้กระทั่งโดยชาวเรือหรือนักดำน้ำทั่วไป เนื่องจากแพขยะดังกล่าวเป็นบริเวณซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วย "พลาสติกขนาดเท่าเล็บมือหรือชิ้นเล็กกว่า" และมีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง โดยมักเป็นอนุภาคขนาดเล็กด้านบนของน้ำที่เรียกว่า "ไมโครพลาสติก" นักวิจัยจากโครงการ The Ocean Cleanup อ้างว่า แพขยะนี้ครอบคลุมพื้นที่ 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร พลาสติกบางส่วนในแพขยะมีอายุมากกว่า 50 ปีและรวมถึงสิ่งของต่างๆ (และเศษชิ้นส่วน) เช่น "ไฟแช็คพลาสติก แปรงสีฟัน ขวดน้ำ ปากกา ขวดนม โทรศัพท์มือถือ ถุงพลาสติก และหมอนรองศีรษะ" เส้นใยขนาดเล็กของเยื่อไม้ที่พบทั่วทั้งไป "เชื่อกันว่า มีต้นกำเนิดมาจากกระดาษชำระหลายพันตันที่ถูกทิ้งลงในมหาสมุทรทุก ๆ วัน"

วงแหวนขยะในมหาสมุทรทั่วโลก 

การวิจัยบ่งชี้ว่า แพขยะกำลังสะสมอย่างรวดเร็ว เชื่อกันว่า แพขยะจะเพิ่มขนาดขึ้น "10 เท่าในแต่ละทศวรรษ" ตั้งแต่ปี 1945 (พ.ศ. 2488) พบเศษพลาสติกลอยน้ำคล้าย ๆ กันในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเรียกว่า กองขยะแอตแลนติกเหนือ แพขยะที่กำลังเติบโตนี้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ต่อระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตที่มีสายพันธุ์ทางทะเล พื้นที่ของอนุภาคพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอยู่ใน วงแหวน North Pacific ซึ่งเป็นหนึ่งในวงแหวนมหาสมุทรที่สำคัญ 5 แห่ง มีบทความเมื่อ ปี 1988 อธิบายเกี่ยวกับแพขยะซึ่งจัดพิมพ์โดย National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA) การอธิบายนี้มาจากการวิจัยของนักวิจัยจากอะแลสกาหลายคนในปี 1988 ซึ่งวัดพลาสติก neustonic (รวบรวมสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วและขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บนหรือใต้พื้นผิวน้ำ) ในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ นักวิจัยพบว่า ขยะทะเลสะสมในพื้นที่ที่มีกระแสน้ำในมหาสมุทรค่อนข้างสูง จากการค้นพบในทะเลญี่ปุ่นนักวิจัยตั้งสมมติฐานว่า สภาวะที่คล้ายคลึงกันนี้จะเกิดขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งกระแสน้ำที่ไหลผ่านเป็นประโยชน์ต่อการสร้างวงแหวนขยะที่ค่อนข้างเสถียร พวกเขาระบุเฉพาะพิกัด วงแหวนขยะในแปซิฟิกเหนือ

มิถุนายน 2019 Ocean Voyages Institute ซึ่งเป็นองค์กรเดียวกับที่อยู่เบื้องหลังการสำรวจปี 2009, 2010 และ 2012 ได้ดำเนินการทำความสะอาดวงแหวนขยะ และโดยนำอวนโพลีเมอร์และขยะพลาสติกจากการบริโภคกว่า 84,000 ปอนด์ออกจากมหาสมุทร ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2020 สถาบัน Ocean Voyages ได้ดำเนินการสำรวจและทำความสะอาดวงแหวนขยะ ซึ่งนำพลาสติกจากการสำหรับบริโภคและอวนกว่า 170 ตัน (340,000 ปอนด์) ออกจากมหาสมุทร โดยใช้เครื่องติดตามด้วยสัญญาณดาวเทียม GPS ที่ออกแบบเอง ซึ่งติดตั้งในเรือ โอกาสที่สถาบัน Ocean Voyages สามารถติดตามและส่งเรือล้างทำความสะอาดเพื่อกำจัดอวนได้อย่างแม่นยำ เทคโนโลยีติดตามด้วย GPS ถูกรวมเข้ากับภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อเพิ่มความสามารถในการค้นหาขยะพลาสติกและอวนแบบเรียลไทม์ผ่านภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพในการล้างทำความสะอาดแพขยะด้วย

แหล่งที่มาของขยะพลาสติก ในปี 2015 การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science พยายามค้นหาว่าขยะทั้งหมดนี้มาจากไหน จากข้อมูลของนักวิจัยพบว่าพลาสติกที่ทิ้งแล้วและเศษขยะอื่น ๆ ลอยไปทางตะวันออกจากประเทศต่าง ๆ ในเอเชียจากแหล่งที่มาหลัก 6 แหล่ง ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ศรีลังกา และไทย ในความเป็นจริง Ocean Conservancy รายงานว่า จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ทิ้งพลาสติกในทะเลมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกัน เฉพาะจีนเท่านั้นที่ทิ้งขยะถึง 30% ของขยะมลพิษในมหาสมุทรพลาสติกทั่วโลก ความพยายามในการชะลอการสร้างเศษขยะบนบก และเกิดการสะสมของขยะในทะเลตามมาถูกดำเนินการโดย โครงการการอนุรักษ์ชายฝั่ง วันคุ้มครองโลก และวันทำความสะอาดโลก จากข้อมูลของ National Geographic "ประมาณ 54 % ของเศษขยะใน Great Pacific Garbage Patch มาจากขยะบนแผ่นดินในอเมริกาเหนือและเอเชีย เศษขยะที่เหลืออีก 20 % ใน Great Pacific Garbage Patch มาจากชาวเรือ แท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง และเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ที่ทิ้งปล่อยเศษขยะลงในน้ำโดยตรง เศษขยะส่วนใหญ่ประมาณ 705,000 ตันคืออวนจับปลา"

ในเดือนกันยายน 2019 เมื่อการวิจัยเปิดเผยว่า มลพิษจากพลาสติกในมหาสมุทรจำนวนมากมาจากเรือบรรทุกสินค้าของจีน โฆษกของ Ocean Cleanup กล่าวว่า: "ทุกคนพูดถึงการช่วยมหาสมุทรด้วยการหยุดใช้ถุงพลาสติกขุ่น และบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวเป้นเรื่องสำคัญ แต่เมื่อขยะในมหาสมุทรนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราพบเสมอไป ขนาด แพขยะ Great Pacific ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น อันเป็นผลมาจากมลพิษทางทะเลซึ่งรวมตัวกันด้วยกระแสน้ำในมหาสมุทร วงแหวนขยะอยู่ในบริเวณที่น้ำค่อนข้างนิ่งกลางมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือล้อมรอบด้วยวงแหวนแปซิฟิกเหนือในละติจูด Horse (ละติจูดม้า หรือ ฮอร์สละติจูด : แถบหรือบริเวณในละติจูดระหว่าง 30° องศาเหนือและ 30° องศาใต้ที่เป็นบริเวณที่มีลมฟ้าอากาศค่อนข้างสงบ) รูปแบบการหมุนของวงแหวนขยะประกอบด้วยวัสดุเหลือใช้จากทั่วแปซิฟิกเหนือโดยผสมผสานกันจากน่านน้ำชายฝั่งนอกอเมริกาเหนือและญี่ปุ่น เมื่อวัสดุถูกกระแสน้ำและกระแสพื้นผิวที่ถูกพัดด้วยลมจะค่อย ๆ พัดย้ายเอาเศษเล็กเศษน้อยไปยังศูนย์กลางทำให้ขยะจับและก่อตัว

ในการศึกษาในปี 2014 นักวิจัยได้สุ่มตัวอย่างจากพิกัด 1,571 แห่งจากมหาสมุทรทั่วโลก และระบุว่า อุปกรณ์จับปลาที่ถูกทิ้งเช่น ทุ่น สายเบ็ด และอวน คิดเป็นมากกว่า 60% ของเศษพลาสติกในทะเล ตามรายงานของ EPA ประจำปี 2011 "แหล่งที่มาหลักของขยะทะเลคือ การกำจัดขยะหรือการจัดการขยะและผลิตภัณฑ์จากการผลิตที่ไม่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงพลาสติก (เช่นการขนและทิ้งขยะอย่างผิดกฎหมาย) เศษขยะจากพื้นแผ่นดินตาม ท่าเรือริมแม่น้ำ ท่าเทียบเรือริมทะเล และท่อระบายน้ำ และเศษซากจากพายุต่าง ๆ เศษขยะถูกสร้างขึ้นในทะเลจากเรือประมง แท่นขุดเจาะ และเรือบรรทุกสินค้า" ซึ่งมีมากมายหลายขนาดตั้งแต่ อวนจับปลาที่ถูกทิ้งร้างยาวหลายไมล์ ไปจนถึงเม็ดพลาสติกขนาดเล็กที่ใช้ในเครื่องสำอาง และสารกัดกร่อน น้ำยาทำความสะอาด การศึกษาจากแบบจำลองคอมพิวเตอร์คาดการณ์ว่า เศษชิ้นส่วน(ที่สมมุติขึ้น)จากชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯจะมุ่งหน้าไปยังเอเชียและกลับมายังสหรัฐฯในหกปี เศษซากจากชายฝั่งตะวันออกของเอเชียจะไปถึงสหรัฐฯในหนึ่งปีหรือน้อยกว่านั้น ในขณะที่ไมโครพลาสติกคิดเป็น 94% ของชิ้นส่วนพลาสติกประมาณ 1.8 ล้านล้านชิ้น แต่มีปริมาณขยะพลาสติกเพียง 8% จาก 79,000 เมตริกตัน ขยะที่เหลือส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมการประมง ผลการศึกษาในปี 2017 สรุปได้ว่า พลาสติกจำนวน 9.1 พันล้านตันที่ผลิตตั้งแต่ปี 1950 เกือบ 7 พันล้านตัน ซึ่งไม่ถูกใช้งานอีกต่อไป ผู้เขียนประเมินว่า  9% ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ 12% ถูกเผา และอีก 5.5 พันล้านตันที่เหลือยังคงอยู่ในมหาสมุทรและบนบก

บ้านเราติดอันดับที่ 6 ของประเทศที่ปล่อยขยะลงสู่ทะเลมากที่สุดในโลก มากถึง 1 ล้านตันต่อปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชี้ว่า ขยะในทะเลส่วนใหญ่มาจากแหล่งท่องเที่ยว เช่น ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว โฟม เป็นต้น ถัดมาคือขยะจากการทำการประมง เช่น อวน เชือก เป็นต้น ยังไม่รวมขยะอื่น ๆ ที่พบได้ในทะเล เช่น ถุงพลาสติก ฝาน้ำ และเศษบุหรี่ไม่เฉพาะแค่การท่องเที่ยว แต่รวมไปถึงขยะที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นจากบุคคล ครัวเรือน อุตสาหกรรม ขยะเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะถูกปล่อยลงแหล่งน้ำต่างๆ จากลำคลอง สู่แม่น้ำ ท้ายที่สุดแล้วก็จะมีขยะส่วนหนึ่งลงสู่ท้องทะเล ปัจจุบันเรามีการลดการใช้ขยะอย่างจริงจัง เช่น การห้ามใช้ถุงพลาสติก หรือ การเพิ่มภาษีของบริษัทผู้ผลิตพลาสติก เป็นต้น แต่ยังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนในการลงทุนเพื่อการจัดการขยะอย่างถูกวิธีนวัตกรรมที่จะนำไปสู่การลดขยะยังไม่แพร่หลาย เช่น การออกแบบเพื่อใช้บรรจุภัณฑ์ให้น้อยที่สุด หรือการออกแบบบรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้จริง โดยไม่มีส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต แต่ท้ายที่สุดแล้วทางแก้ที่ยั่งยืนของปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งการแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ ไปจนถึงการเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมในระดับบุคคล เช่น มีการจัดการขยะที่ดี การออกแบบที่ใช้พลาสติกให้น้อยที่สุด หรือแม้แต่การที่สาธารณชนมีความตระหนักในการบริโภค ลดและเลิกใช้พลาสติกตั้งแต่ต้นทาง เพราะการจัดการที่ปลายเหตุหลังจากขยะเกิดขึ้นแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

อัตราการเกิดขยะของบ้านเราอยู่ที่คนละราวหนึ่งกิโลเศษต่อวัน หรือวันละกว่าเจ็ดสิบล้านกิโล หรือ 70,000 ตัน หรือปีละ 25.55ล้านตัน ดังนั้นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ต่างก็ต้องให้ความร่วมมือกันในการจัดการขยะเช่น คัดแยกขยะ และใช้กระบวนการ 3 R : Reduce Reuse และ Recycle ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหลายก็ต้องมีวิธี และมาตรการที่เอื้อต่อการคัดแยกขยะอย่างถูกต้องด้วย จิตสำนึกรับผิดชอบในการจัดการขยะของคนไทยเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง และมีผลอย่างมากที่สุดต่อการจัดการขยะทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้น ต้องช่วยกัน ร่วมมือกัน ไม่เช่นนั้นแล้ววันหนึ่งคนไทยจะได้เห็นวงแหวนขยะเกิดขึ้นในอ่าวไทย หรือในทะเลอันดามันอย่างแน่นอน

ย้อนรอย ‘จอมขมังเวทย์’ ร่ายอาคม ลอบปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง | THE STATES TIMES Story EP.156

เรื่องเวทมนตร์ ไสยศาสตร์ อาคม ล้วนแต่เป็นความเชื่อที่อยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน แม้ในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าล้ำสมัยมาก ๆ แล้ว แต่ความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ยังอยู่คู่คนไทยไม่จางหาย

ทั้งนี้ในอดีตประเทศของเรามี ‘กรมแพทยา’ ซึ่งคอยกำกับดูแลผู้ใช้จอมขมังเวทย์ คุณไสย และไต่สวนความผิดอันเนื่องมาจากการใช้เวทมนตร์ คาถา แต่สุดท้ายก็ถูกลดบทบาทและจางหายไปตามกาลเวลา

วันนี้ THE STATES TIMES Story มีเรื่องสนุกๆ เกี่ยวกับเวทมนตร์ คุณไสย และการใช้คุณไสย อาคมในการลอบปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง มีเกล็ดน่าสนใจมากมาย ไปฟังกัน…

'ลูเวิน' ทีมลีกเบลเยียม ยุติสัญญายืมตัว 'ศุภณัฏฐ์' คืนต้นสังกัด 'บุรีรัมย์' คาดจะถูกส่งลงเล่นถ้วยเอเชียทันที

(1 พ.ย. 67) โอเอช ลูเวน ทีมในลีกสูงสุดของเบลเยียม ประกาศยุติสัญญายืมตัว “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา กองหน้าทีมชาติไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย

ดาวยิง วัย 22 ปี ได้กล่าวอำลาเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอล หลังจากลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับ โอเอช ลูเวิน ในเกมเปิดบ้านชนะ อาร์เอฟซี เซแร็ง ในศึกฟุตบอลถ้วย โครกี้ คัพ ที่ คิง เพาเวอร์ แอท เดน ดรีฟ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

ศุภณัฏฐ์ ย้ายมาอยู่กับ โอเอช ลูเวน ทีมจูปิแลร์ลีก เบลเยียม เมื่อเดือนกันยายน 2023 ด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล ก่อน โอเอช ลูเวิน ยื่นข้อเสนอต่อสัญญายืมตัวอีก 1 ฤดูกาล

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2024/25 ศุภณัฏฐ์ ได้รับโอกาสลงสนามในลีกเพียง 61 นาที ก่อนตัดสินใจร่วมกันยกเลิกสัญญาด้วยดีทั้งสองฝ่าย

ศุภณัฏฐ์ ลงสนามให้ ลูเวน ไป 17 เกม ยิงไป 1 ประตู ตลอด 2 ฤดูกาลกับทีม โดยล่าสุดเจ้าตัวถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริง ในฟุตบอลโครกี้ คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้าย ที่ชนะ เซแร็ง 2-0 ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

สำหรับ “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา กองหน้าทีมชาติไทย จะกลับมาเล่นให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดอีกครั้ง และจะสามารถลงเล่นในเกม ACL Elite ได้ทันที

ลูกฮิปโปศรีสะเกษได้ชื่อแล้ว! เรียกหนูว่า ‘น้องหอมแดง’ พร้อมพ่วงชื่อพระราชทาน ‘สาวศรี’ จากทูลกระหม่อมฯ

(1 พ.ย. 67) น้องหอมแดง – ได้ชื่อแล้ว ‘น้องหอมแดง’ หลังเปิดให้ประชาชนร่วมโหวตนามเรียกขานของลูกฮิปโปโปเตมัสเกิดใหม่ แห่งสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศรีสะเกษ ลูกสาวของพ่อสมศรีและแม่เกศริน ที่ความน่ารักเริ่มฉายแสงมากขึ้นทุกวันๆ

โดยเปิดให้โหวตเป็นเวลา 4 วัน ระหว่างวันที่ 28-31 ตุลาคม จนถึงเวลา 24.00 น. ประกอบด้วย 5 ชื่อ คือ 1.น้องลำดวน ความหมายมาจากชื่อต้นไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ 2.น้องศรีเกษ ความหมาย มาจากพ่อชื่อสมศรี แม่ชื่อเกษริน และชื่อจังหวัดศรีสะเกษ 3.น้องสาวศรี ความหมาย สาว มาจาก สาวสวย เป็นการกลบเสียงบูลลี่ว่าน้องน่าเกลียด ส่วนคำว่า ศรี คือ ศรีสะเกษ เมืองที่น้องเกิด 4.น้องหอมแดง ความหมาย คือพืชเศรษฐกิจของจังหวัดศรีสะเกษ น้องตัวสีน้ำตาลแดงเหมือนหอมแดง 5.น้องหมูกระเทียม ความหมาย คือ พืชเศรษฐกิจของจังหวัดศรีสะเกษ และหมูกระเทียมอร่อย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน มีรายงานว่า มีประชาชนร่วมโหวตชื่อให้ลูกฮิปโปศรีสะเกษ รวม 4 วัน 83,931 คน โดย น.ส.ชนมณัฐ รอดบุญธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ชื่อที่มีคนโหวตมากที่สุด อันดับ 1 คือ น้องหอมแดง ซึ่งมียอดการโหวตจากประชาชนทั่วไปถึง 52,045 โหวต

นอกจากนี้ ยังมีชื่อพระราชทานจาก ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี คือ ชื่อ สาวศรี ทำให้ น้องฮิปโป มีทั้งหมด 2 ชื่อ คือ หอมแดง ซึ่งมาจากผลการโหวต และสาวศรี ชื่อพระราชทาน

สอดคล้องกับที่สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดศรีสะเกษ ได้เผยแพร่ข้อความระบุว่า “ชาวศรีสะเกษ ได้ชื่อน้องฮิปโปแล้วนะครับ น้องหอมแดง”

วันเดียวกัน ที่สวนสัตว์ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ น.ส.ชนมณัฐ รอดบุญธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ แถลงข่าวว่า ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ลูกฮิปโปคลอดออกมานั้น ทำให้ยอดผู้มาเข้าชมสวนสัตว์พระศรีนครินทร์ศรีสะเกษเพิ่มมากขึ้น จากเดิมวันละ 70-80 วัน เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 2,000-3,000 คน ยิ่งช่วงวันหยุดพุ่งขึ้นวันละ 4,000 คนเลยทีเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ทั้งนี้ มีการจับรางวัลให้กับผู้โชคดีที่โหวตชื่อได้อันดับ 1 ซึ่ง 3 คนแรกผู้โชคดี จะได้รางวัลเป็นกระเป๋าสุดพิเศษ นอกจากนี้ยังจับรางวัลอีก 150 รางวัลกับผู้ร่วมโหวต คือเสื้อน้องฮิปโปศรีสะเกษ จำนวน 150 ตัว โดยผู้โชคดีทั้งหมดสามารถมารับได้ที่สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ หรือ รอรับทางไปรษณีย์ภายในวันที่ 13 พฤศจิกายน 67

คนแบงก์ชาติไม่ทน!! ร่อนจดหมายค้านการเมืองแทรกแซง ปมตั้งบอร์ดและประธานแบงก์ชาติ

(1 พ.ย. 67) จดหมายเปิดผนึกจากอดีตพนักงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย จรรยาบรรณที่พึงมีสำหรับตำแหน่งประธานและกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย

ตามที่คณะกรรมการสรรหาฯ จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทยอีก 2 ท่าน ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากคณะศิษย์หลวงตามหาบัว กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ซึ่งรวมถึงอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึง 4 ท่าน ให้คณะกรรมการสรรหาฯ ได้พิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีความสุจริต เที่ยงธรรม โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองเข้าดำรงตำแหน่ง เพื่อให้ ธปท. สามารถดำเนินพันธกิจของธนาคารกลางตามที่กำหนดไว้ นั้น

พวกเราในฐานะอดีตพนักงาน ธปท. ขอเรียนยืนยันว่า คณะกรรมการ ธปท. มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางกรอบ และกำหนดนโยบายของ ธปท. โดย ธปท. ถือเป็นหน่วยงานของรัฐในรูปแบบองค์กรที่ต้องปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง เพื่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเงินที่มีเสถียรภาพต่อเนื่องในระยะยาว และมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนและทั่วถึง

แม้ว่าคณะกรรมการ ธปท. จะไม่มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการเงิน และนโยบายรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินโดยตรง แต่ พ.ร.บ. ธปท. ได้ระบุอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ให้พิจารณาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน คณะกรรมการระบบการชำระเงิน และแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงในตำแหน่งตั้งแต่ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ ขึ้นไป และที่สำคัญคือมีหน้าที่ กำหนดหลักเกณฑ์และกำกับดูแลการบริหารจัดการสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศ

ด้วยบทบาทหน้าที่ของประธานและกรรมการ ธปท. ข้างต้น บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งต้องไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด แต่ต้องปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณขั้นสูงสุดที่เป็นข้อบังคับ ธปท. ว่าด้วยจรรยาบรรณในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของกรรมการในคณะกรรมการ ธปท. พ.ศ. 2553 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ในข้อ 4.5 ที่ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ข้อ 4.7 พึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม เป็นกลางทางการเมือง และไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม และ ข้อ 4.11 พึงเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำรงตน รักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของ ธปท.

พวกเราจึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสรรหาฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ใช้วิจารณญาณพิจารณาด้วยความรอบคอบ รอบด้าน และโปร่งใส อย่างเป็นอิสระในการสรรหาประธาน ธปท. และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการ ธปท. เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีประวัติและพฤติกรรมที่ปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณที่ระบุไว้ เป็นที่ประจักษ์ในสังคมและไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 80 ปีของการก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการธนาคาร ผู้บริหาร และพนักงาน ต้องใช้ความพยายาม และความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างสูง เพื่อรักษาอธิปไตยและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินของไทยไว้ โดยป้องกันไม่ให้มีการแทรกแซงทางการเมือง

ผู้ว่าการเล้ง ศรีสมวงศ์ ผู้ว่าการคนแรกที่ทำงานเต็มเวลาที่ ธปท. ได้กล่าวในการเข้าร่วมประชุมกรรมการธนาคารเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2490 ว่า “ในฐานะที่ ธปท. เป็นนายธนาคารกลาง ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและจะดำเนินการอย่างอิสระ ตลอดจนทำหน้าที่ในการเหนี่ยวรั้งรัฐบาลในกิจการที่ธนาคารเห็นว่าจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศเป็นส่วนรวม……”

อดีตพนักงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย
 1 พฤศจิกายน 2567

ทั้งนี้ จดหมายฉบับดังกล่าว ยังมีการแนบรายชื่อของ พนักงานธปท. ซึ่งมีชื่อของอดีตผู้บริหาร ระดับรองผู้ว่าการ 4 คน ผู้ช่วยผู้ว่าการขึ้นไป 12 คน ได้แก่ อดีตรองผู้ว่าการ
1.ทองอุไร ลิ้มปิติ
2.รณดล นุ่มนนท์
3.ฤชุกร สิริโยธิน
1.วชิรา อารมย์ดี

และ อดีตผู้ช่วยผู้ว่าการ
1.กฤช ฟลอเล็ต
2.จันทวรรณ สุจริตกุล
3.นพมาศ มโนลีหกุล
4.นวอร เดชสุวรรณ
5.ผุสดี หมู่พยัคฆ์
6.เพิ่มสุข สุทธินุ่น
7.ศิริชัย สาครรัตนกุล
8.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา
9.สุภาวดี ปุณศรี
10.เสาวณี สุวรรณชีพ
11.อมรา ศรีพยัคฆ์
12.อรุณศรี ติวะกุล

โพลเผยคนอเมริกันกังขา กว่าครึ่งมองประเทศตัวเอง 'ประชาธิปไตยไม่จริง'

เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส เผยแพร่ผลสำรวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 20-23 ต.ค. จำนวน 2,516 คน ซึ่งพบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่เชื่อมั่นความสามารถของรัฐบาลในการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

รายงานระบุว่าผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 45 มองว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ล้มเหลวจะทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และร้อยละ 62 มองว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ทำเพื่อประโยชน์ของตนเองและชนชั้นนำเป็นหลัก โดยความคับข้องหมองใจนี้รวมกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ความแตกแยกทางการเมือง และปัญหาสังคมเรื้อรัง ฉุดความเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตยสหรัฐฯ

นอกจากนั้นผลสำรวจนี้ยังตอกย้ำความแตกแยกทางการเมืองที่ชัดเจน โดยร้อยละ 60 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งกล่าวโทษโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าทำให้ความแตกแยกทางการเมืองเลวร้ายกว่าเดิม ขณะร้อยละ 37 ชี้ความผิดไปที่กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ

แรนดัล พาร์ เกษตรกรวัยเกษียณคนหนึ่ง เผยว่าไม่ใช่พรรคเดโมแครตหรือพรรครีพับลิกัน แต่เป็นพวกชนชั้นนำในรัฐบาลวอชิงตันที่กำกับควบคุมทุกอย่างและมองข้ามความต้องการของประชาชน

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนผิดหวังกับการนิ่งเฉยของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดยซาราห์ วอชิงตัน พนักงานชั่วคราวคนหนึ่ง เผยว่าเกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนบ่อยครั้ง แต่ยังคงไม่มีการทำงานแก้ไขปัญหานี้ ได้แต่พูดถึงและปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำอีก

ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจราวหนึ่งในสามกังวลว่าปัญหาของสหรัฐฯ อาจร้ายแรงมากจนถึงขั้นประเทศชาติล้มเหลว ขณะร้อยละ 58 มองว่าต้องปฏิรูประบบการเงินและการเมืองของประเทศครั้งใหญ่หรือไม่ก็ยกเครื่องใหม่ทั้งหมด

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2567 : คนที่อยากเจริญ ต้องอยู่ให้ไกลจาก คนพาล ควรคบค้าแต่ คนดี หรือ บัณฑิต ถือเป็นมงคลชีวิตของคนเรา

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม : หลวงพ่อมักจะแนะนําทุกคนให้อธิษฐานว่าให้เจอกัลยาณมิตรที่ดี เป็นเพราะอะไร

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์  (หลวงพ่อโกวิท) : การได้เจอคนดีถือเป็นมงคลข้อที่สอง ต่อจากเว้นคนชั่วในมงคล 38  ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า อยากจะเจริญเรื่องแรกควรเว้นคนชั่ว ก็คือไม่คบคนพาล คนที่ไม่ดีทั้งหลาย

การสังเกตคนพาล ดูได้จากลักษณะง่าย ๆ คนที่คิดก็คิดแต่ชั่ว ๆ พูดก็พูดแต่เรื่องชั่ว ๆ พูดดีไม่เป็น พูดยังไงก็ได้ให้บาดหูคนอื่น กระแทกกระทั้นคนอื่น นี่เป็นคนพาล ทําเรื่องดีไม่เป็น

ยกตัวอย่าง การจอดรถ ไม่เอื้อเฟื้อใครเลย จอดคนเดียวคร่อม 3 ช่อง แบบนี้ก็คือเข้าลักษณะพาล ไม่ใช่คนดี

ส่วนคนดี หรือ พระพุทธเจ้า เรียกว่าบัณฑิตนั้น มักจะคิดอะไรก็จะคิดแต่เรื่องดี ๆ คิดเผื่อคนอื่น เช่นว่า การจอดรถแบบนี้มันคร่อมเลน ก็ขยับไปอีกหน่อย หรือไม่จอดในที่มีป้ายวีลแชร์ของคนพิการแบบนี้เป็นต้น ก็ไม่จอด

สิ่งเหล่านี้ บัณฑิต มักจะคิดได้ แต่คนพาลจะไม่สนใจเอาแค่ความสะดวกสบายส่วนตัวเท่านั้น

‘ลุงจรูญ’ ยังไว้ใจ ‘ทนายตั้ม’ ทำคดีต่อ ชี้ เป็นปัญหาส่วนตัวไม่ขอก้าวก่าย

‘ลุงจรูญ’ หวย 30 ล้าน เปิดใจยังไว้ใจ ‘ทนายตั้ม’ ทำคดีฟ้องกลับ ยืนยันไม่เคยถูกเรียกเงินเพิ่มเหมือนอย่างที่หลายคนโจมตี พร้อมไม่ขอก้าวก่ายปัญหาส่วนตัว

หลังจากที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ‘ทนายตั้ม’ กำลังถูกคู่กรณีหลายฝ่ายออกมาให้ข้อมูลเชิงลบ ทั้งเรื่องของการโอนเงิน 71 ล้านบาท จากเจ๊อ้อย รวมถึงถูกอดีตคู่กรณีหลายคน ออกมาแฉพฤติกรรมไม่เหมาะสม

ล่าสุดผู้สื่อข่าว ได้มีโอกาสพูดคุย กับร้อยตำรวจโทจรูญ วิมูล หรือ ‘ลุงจรูญ’ ที่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในคดีหวย 30 ล้านกับทนายตั้มมายาวนานกว่า 7 ปี จนชนะคดีไปแล้ว และยังเหลือคดีฟ้องกลับที่ยังมีการฟ้องร้องกันอยู่นั้น

โดยลุงจรูญ กล่าวว่า สำหรับกระแสข่าวที่ทนายตั้มโดนโจมตี อยู่ในขณะนี้ ตนเองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับทนายตั้ม ที่เดินทางมาว่าความให้ตนเองเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งทางทนายตั้มก็ยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกเครียดหรือหนักใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตนเองก็ได้แต่สอบถามว่ายังไหวหรือไม่ ซึ่งทนายตั้มก็ยืนยันกับตนเองว่าไม่มีปัญหาอะไร ไม่น่าหนักใจอะไร ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้นตนเองก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายมาก

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการทำคดีหวย 30 ล้าน ซึ่งทนายตั้มเป็นทนายให้กับลุงจรูญมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้กว่า 7 ปีแล้วนั้น ลุงจรูญยืนยันว่า การให้ทนายตั้มมาเป็นทนายให้ มีการพูดคุยตกลงราคากันไว้ตั้งแต่เริ่มแรก โดยไม่ได้มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรอะไร แต่ทนายตั้มก็ไม่ได้มีการเรียกเงินเพิ่ม หรือคิดเงินส่วนต่างใดๆเพิ่มเติมจากที่ตกลงกันไว้ในตอนแรก ซึ่งสำหรับตนเองแล้ว ถือว่าทนายตั้มเป็นคนรักษาสัญญาลูกผู้ชาย และตนเองยังยืนยันว่า ในส่วนของคดีที่จะฟ้องกลับคู่กรณี ในคดีหวย 30 ล้าน ทำคดีให้กับตนเองต่อไป ไม่มีความคิดจะเปลี่ยนแปลงทนายความ อย่างแน่นอน

'อินโดนีเซีย' สั่งแบนสมาร์ทโฟน 'Google Pixel' เหตุไม่ใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศอย่างน้อย 40%

(1 พ.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อินโดนีเซีย ได้สั่งห้ามจำหน่าย 'Google Pixel’ สมาร์ทโฟนที่ผลิตโดยบริษัทกูเกิล ที่เป็นบริษัทลูกของอัลฟาเบต เนื่องจากตามระเบียบแล้วกำหนดให้สมาร์ทโฟนจะต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศอินโดนีเซีย โดยก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน อินโดนีเซียก็เพิ่งสั่งห้ามจำหน่าย 'iPhone 16' ของบริษัทแอปเปิล ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้

อินโดนีเซีย ห้ามจำหน่ายโทรศัพท์ 'Google Pixel’ เนื่องจากทางบริษัทไม่ได้ทำตามระเบียบที่กำหนดให้สมาร์ทโฟนที่จำหน่ายในอินโดนีเซียจะต้องใช้ส่วนประกอบที่ผลิตในประเทศอินโดนีเซียอย่างน้อยร้อยละ 40

โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย กล่าวว่า รัฐบาลผลักดันระเบียบนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่นักลงทุนทุกคนในอินโดนีเซีย ซึ่งผลิตภัณฑ์ของกูเกิลไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ดังนั้น จึงไม่สามารถจำหน่ายในอินโดนีเซียได้

อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคสามารถซื้อ 'Google Pixel’ ในต่างประเทศได้ หากว่าชำระภาษีอย่างถูกต้อง แต่ว่าทางการกำลังพิจารณาปิดการใช้งานโทรศัพท์ที่จำหน่ายอย่างผิดกฎหมาย 

ในขณะเดียวกันกูเกิล ระบุว่า ในขณะนี้ยังไม่มีการจำหน่ายโทรศัพท์ 'Google Pixel’ ในอินโดนีเซีย อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

อินโดนีเซีย สั่งแบนโทรศัพท์ 'Google Pixel’  หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ก่อน อินโดนีเซียสั่งปิดกั้นการจำหน่ายโทรศัพท์ 'iPhone 16' ภายในประเทศมาแล้ว เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามระเบียบเรื่องชิ้นส่วนประกอบของโทรศัพท์ที่ต้องมีส่วนประกอบที่ผลิตในประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top