Friday, 20 June 2025
TheStatesTimes

‘Xiaomi’ ทำยอดขายแซง iPhone รั้งเบอร์ 2 ของโลกในเดือนสิงหาคม ฟาก 'นักวิเคราะห์' ชี้!! คงเป็นช่วงสั้นๆ แต่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญพลิกตลาด

(23 ก.ย. 67) ไม่นานมานี้ Counterpoint Research บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำ ได้เปิดเผยว่า Xiaomi สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนอันดับ 2 ของโลกในเดือนสิงหาคม 2567 โดยมียอดจัดส่งสมาร์ตโฟนแซงหน้า Apple เป็นครั้งแรก ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Xiaomi ที่มียอดจัดส่งสมาร์ตโฟนเพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม การครองอันดับ 2 ของ Xiaomi อาจเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เนื่องจากในเดือนต่อมา คือเดือนกันยายน Apple มีกำหนดเปิดตัว iPhone 16 ซึ่งคาดว่าจะทำให้ยอดขายของ Apple พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และน่าจะกลับมาครองตำแหน่งอันดับ 2 อีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน ทางด้านของ Samsung ยังคงครองตำแหน่งผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายใหญ่ที่สุดของโลกไว้ได้ แม้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้จะเคยสูญเสียตำแหน่งให้กับ Apple ไปเป็นเวลาหลายเดือนก็ตาม ปัจจุบัน Samsung สามารถกลับมาครองบัลลังก์อีกครั้งด้วยส่วนแบ่งตลาดที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน

สำหรับการก้าวกระโดดของ Xiaomi ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยเฉพาะในตลาดเอเชียและยุโรป ที่ Xiaomi สามารถนำเสนอสมาร์ตโฟนที่มีคุณภาพสูงในราคาที่แข่งขันได้ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการสมาร์ตโฟนประสิทธิภาพสูงแต่ราคาไม่แพงจนเกินไป

นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมมองว่า แม้การขึ้นแท่นอันดับ 2 ของ Xiaomi จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบริษัท และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดสมาร์ทโฟนโลก

'ปลัดแรงงาน' รับ!! ขึ้น 'ค่าแรง 400' สะดุด ไม่ทัน 1 ต.ค.นี้ อ้าง!! รอ 'ธปท.' ส่งตัวแทนคนใหม่ร่วมคณะกรรมการไตรภาคี

(23 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการนัดประชุมคณะกรรมการไตรภาคี ถึงการพิจารณาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ว่า ในวันที่ 24 กันยายน นี้ ไม่สามารถประชุมได้แล้ว เนื่องจากนายเมธี สุภาพงษ์ ตัวแทนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้เป็นแล้ว เนื่องจากลาออกจาก ธปท.ไปแล้ว ซึ่งในการประชุมครั้งที่แล้ว ธปท.ก็ไม่ได้ส่งคนมาเข้าร่วมประชุม พร้อมระบุว่า ไม่รับผิดชอบการกระทำของนายเมธี ที่ร่วมประชุมก่อนหน้านี้ ซึ่งตนได้ทำหนังสือไปยัง ธปท. เพื่อยืนยันเป็นหลักฐานว่า นายเมธีไม่เกี่ยวกับ ธปท.แล้ว ธปท.ต้องส่งผู้แทนคนใหม่มา เพราะเป็นการแต่งตั้งตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะฉะนั้น หากจะแต่งตั้งคนใหม่ได้ บุคคลเดิมก็ต้องลาออกจากตำแหน่งก่อน

เมื่อถามย้ำว่าคาดว่าดำเนินการไม่ทันภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ตามที่เคยประกาศไว้ใช่หรือไม่ นายไพโรจน์ กล่าวว่า “น่าจะไม่ทัน เว้นแต่ว่าหากนายเมธีลาออก และมีการเสนอคนมาแทนนายเมธี และเข้า ครม. อาจจะเลื่อนไปอีก 1-2 สัปดาห์”

เมื่อถามว่ากระบวนการหลังนายไพโรจน์ เกษียณอายุราชการ จะเป็นอย่างไรต่อไป นายไพโรจน์ กล่าวว่า ก็เป็นหน้าที่ของ ปลัดกระทรวงแรงงานคนใหม่ ที่จะทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งตนก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และเต็มที่แล้ว

เมื่อถามว่าสรุปแล้วการขึ้นค่าแรง 400 บาท จะทำได้หรือไม่ นายไพโรจน์ กล่าวว่า เรื่องค่าแรงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าไม่อยู่ในห้องประชุม ไม่รู้หรอกว่าการพิจารณาแต่ละประเด็น ฝ่ายนายจ้างก็มีมุมมองหนึ่ง แต่ละคนมีเหตุผล ลูกจ้างเองก็มีเหตุผล ซึ่งภาครัฐต้องผสมผสานมิติความคิดของทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงฝ่ายราชการ มารวมและคิดรูปแบบในการขึ้นค่าแรง ว่าจะขึ้นเท่าไร ซึ่งตนรู้ว่าผู้ใช้แรงงาน ก็รอคำตอบนี้อยู่

'สวีเดน' ยอมจ่ายเงินกว่า 1 ล้านต่อหัว จูงใจกลุ่มผู้อพยพกลับไปยังบ้านเกิด

ไม่นานมานี้ นิวยอร์กไทม์ส ได้รายงานว่า สวีเดนเสนอเงิน 34,000 ดอลลาร์ (ราว 1 ล้านบาท) ผ่านโครงการส่งกลับผู้อพยพโดยสมัครใจแบบจ่ายครั้งเดียว แก่ครอบครัวผู้อพยพในประเทศ เพื่อให้กลับไปยังประเทศบ้านเกิด ตามแผนการปฏิรูปนโยบายผู้ลี้ภัยของสวีเดน ซึ่งถือเป็นวิธีการที่บางชาติในตะวันตกใช้ เพื่อลดจำนวนผู้ลี้ภัยด้วยนั้น

ทั้งนี้ นโยบายใหม่ดังกล่าว ทางรัฐบาลสวีเดนจะจ่ายเงินสูงถึง 350,000 โครนาสวีเดน หรือคิดเป็นเงินไทยที่ 1,135,631 บาท ให้กับผู้อพยพที่เลือกเดินทางกลับบ้านเกิดโดยสมัครใจ ตั้งแต่ปี 2026 (พ.ศ. 2569) ซึ่งจากเดิมเม็ดเงินในการชดเชยเมื่อปีก่อนหน้าอยู่ที่ ผู้ใหญ่ราว 970 ดอลลาร์ (3.2 หมื่น) และเด็กราว 485 ดอลลาร์ (1.6 หมื่น) จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไรนัก

ย้อนไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน Johan Forssell รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอพผู้ลี้ภัยในสวีเดน กล่าวในแถลงว่า นโยบายใหม่นี้เป็น ‘การก้าวสู่กระบวนทัศน์ใหม่’ หรือการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก โดยในปี 2015 ได้เปิดพรมแดนรับผู้อพยพจำนวน 162,877 คน ส่วนมากประกอบด้วย ชาวซีเรีย, อัฟกานิสถาน และอิรัก

Johan กล่าวต่อว่า ระบบเงินช่วยเหลือนี้ เริ่มใช้ในปี 1984 ซึ่งการให้เงินช่วยเหลือ ถือเป็นแรงจูงใจให้ผู้อพยพยินยอมกลับบ้านเกิดด้วยความสมัครใจ

ขณะที่ Ludvig Aspling จากพรรคสวีเดนเดโมแครต กล่าวว่า หากมีคนทราบนโนบายดังกล่าว และเงินช่วยเหลือ ก็น่าจะทำให้ผู้อพยพยอมรับข้อเสนอมากขึ้น

นอกจากนี้ นายอุล์ฟ คริสเตอช็อน ที่ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2565 เคยให้คำมั่นไว้ว่า จะดำเนินอย่างเข้มงวดในเรื่องการย้ายถิ่นฐานและอาชญากรรมด้วย

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างตั้งข้อสงสัยว่าจำนวนเงินที่มากขึ้นจะสามารถดึงดูดใจพวกผู้ลี้ภัยให้เดินทางออกไปได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากมีเพียงส่วนน้อย (1 ราย) ที่ยอมรับประโยชน์จากข้อเสนอนี้เมื่อปีที่แล้วเท่านั้น

'มาครง' ผ่าทางตัน!! เขี่ยพรรคอันดับ 1 เป็นฝ่ายค้าน แต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ด้วยนักการเมืองฝ่ายขวา

(23 ก.ย. 67) เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 67 ว่า ในที่สุดฝรั่งเศสก็ได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว หลังจากยืดเยื้อมานานตั้งแต่การเลือกตั้งที่ไม่มีผู้ชนะเด็ดขาดในเดือนกรกฎาคม

คณะรัฐมนตรีที่ประกาศโดยประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ได้มีแชล บาร์นีเย อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศวัย 73 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวเรือใหญ่ในการนำรัฐบาลเสนอแผนงบประมาณปี 2568 เพื่อแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินของฝรั่งเศสซึ่งเข้าขั้นเลวร้าย

บาร์นีเย ผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวาและอดีตผู้เจรจาของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับเบร็กซิต ต้องทำหน้าที่อันยากลำบากในการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มาครงอนุมัติ ขณะที่พันธมิตรฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเสียงมากที่สุดในรัฐสภาพร้อมบดขยี้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ด้วยญัตติไม่ไว้วางใจ หลังจากผิดหวังที่กลุ่มของตนไม่ได้เป็นแกนหลักในรัฐบาลชุดใหม่

กลุ่มแนวร่วมฝ่ายซ้ายกลายเป็นพลังทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสหลังการเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้รับที่นั่งมากเพียงพอต่อการตั้งรัฐบาล

ทั้งนี้ พันธมิตรฝ่ายซ้ายเป็นกลุ่มที่มีเสียงมากที่สุดในรัฐสภา โดยมีฝ่ายกลางของมาครง และฝ่ายขวาจัดได้คะแนนไล่เรียงกันลงมา แต่ไม่มีฝ่ายใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ และทั้งสามฝ่ายไม่มีใครยอมจับมือร่วมกันตั้งรัฐบาลผสม ตลอดจนการนำเสนอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะมาทำงานร่วมกับมาครง เป็นเหตุให้ฝรั่งเศสต้องรอรัฐบาลใหม่นานกว่า 11 สัปดาห์

มาครงชั่งน้ำหนักทางการเมืองอย่างรอบคอบก่อนเลือกฝ่ายขวามากกว่าฝ่ายซ้าย เขายอมเลือกนายกรัฐมนตรีจากฝั่งขวาเพื่อหวังให้รัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากทั้งสายกลางของเขาและฝ่ายอนุรักษนิยม

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่ได้รับเสียงตอบรับไม่ค่อยดีนักจากฝ่ายขวาจัดที่เรียกคณะรัฐมนตรีชุดนี้ว่าเป็นสัญญาณของการกลับคืนสู่ลัทธิมาโครนิสต์และดูไม่มีอนาคตเลย

ขณะที่ฝ่ายซ้ายจัดเรียกคณะรัฐมนตรีชุดนี้ว่า "รัฐบาลของผู้แพ้การเลือกตั้ง และรัฐบาลหัวรุนแรงที่ไม่สนใจประชาธิปไตย"

ก่อนการประกาศคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ ผู้คนหลายพันคนออกมาเดินขบวนบนท้องถนนในกรุงปารีสและเมืองอื่น ๆ ของฝรั่งเศสเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย

พวกเขาคัดค้านคณะรัฐมนตรีซึ่งพวกเขาบอกว่าไม่สะท้อนผลที่แท้จริงของการเลือกตั้ง และรัฐบาลชุดใหม่ไม่มีบุคลากรจากฝ่ายซ้ายเลย ทั้งๆที่ได้ที่นั่งเป็นอันดับหนึ่งในรัฐสภา

มีแชล บาร์นีเยจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 1 ตุลาคม จากนั้นเขามีหน้าที่เร่งด่วนในการส่งแผนงบประมาณไปยังสมัชชาแห่งชาติโดยมุ่งเป้าไปที่การควบคุมการขาดดุลงบประมาณและหนี้สินของฝรั่งเศสที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นด่านทดสอบสำคัญครั้งแรกของรัฐบาลชุดใหม่

ก่อนที่บาร์นีเยจะได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ารัฐบาล ฝรั่งเศสกำลังเข้าใกล้สถานะละเมิดกฎงบประมาณของสหภาพยุโรป โดยคาดการณ์ไว้ว่าการขาดดุลภาคสาธารณะของฝรั่งเศสจะสูงถึง 5.6% ของจีดีพีในปีนี้ และสูงเกิน 6% ในปี 2568 ขณะที่กฎของสหภาพยุโรปกำหนดเพดานการขาดดุลไว้ที่ 3% เท่านั้น

บาร์นีเยกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันพุธว่า "ผมค้นพบว่าสถานการณ์งบประมาณของประเทศนั้นเลวร้ายมาก และสถานการณ์นี้ต้องการมากกว่าแค่คำแถลงที่สวยหรู"

ทั้งนี้ กำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ครั้งแรกจะเริ่มในช่วงบ่ายวันที่ 23 กันยายน

‘พิมพ์มาดา’ ร่วมไว้อาลัย ‘อ๋อม อรรคพันธ์’ หลังจากไปด้วยโรคมะเร็ง พร้อมแชร์ความน่ากลัวของมะเร็ง แนะทุกคนใส่ใจ-ตรวจสุขภาพ

(23 ก.ย. 67) หลังจากที่โรคมะเร็งร้ายได้คร่าชีวิตพระเอกชื่อดัง 'อ๋อม อรรคพันธ์ นะมาตร์' จากไปอย่างไม่มีวันกลับในวัยเพียง 39 ปี สร้างความตกใจให้กับเพื่อน ๆ ในวงการบันเทิง รวมไปถึงเหล่าแฟนละครของพระเอกชื่อดัง 

ด้าน 'พิมพ์' พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร หรือ พิมพ์  ZAZA นักร้อง-นักแสดงชื่อดังที่เคยป่วยโรคมะเร็ง ได้ออกมาโพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว @pimmada พร้อมระบุข้อความว่า… 

"ไม่มีโอกาสได้รู้จักคุณอ๋อมส่วนตัว แต่พิมพ์ก็เป็นคนนึงที่เคยสัมผัสกับโรคนี้ มันน่ากลัวค่ะ มันพรากคนที่เรารักไปนักต่อนัก พิมพ์ยังคงเป็นผู้โชคดี แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ยังคงขอเป็นกระบอกเสียงให้ทุกคนใส่ใจสุขภาพ อย่าละเลยนะคะ ไปตรวจสุขภาพกันค่ะ ขอส่งคุณอ๋อมไปพักผ่อนในที่ที่สบายที่สุด เสียใจกับครอบครัวด้วยนะคะ"

26 กันยายน พ.ศ. 2430 ‘ไทย-ญี่ปุ่น’ ลงนามปฏิญญาทางพระราชไมตรี จุดเริ่มความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ

ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับไทย มีประวัติยาวนานหลายร้อยปี แต่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการโดยการลงนามในปฏิญญาทางไมตรี และการพาณิชย์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2430

จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อันดีในครั้งนั้น ได้ทำให้ไทยและญี่ปุ่น มีระดับความใกล้ชิดที่ราบรื่น จนเกิดความร่วมมือของทั้งสองประเทศครอบคลุมทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ และไทยเองก็ได้มุ่งกระชับความสัมพันธ์ และความร่วมมือกับญี่ปุ่นให้พัฒนาไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ (strategic and economic partnership)

โดยมีการเยือนสำคัญในระดับพระราชวงศ์ ที่สำคัญ คือในช่วงต้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ เพื่อทรงเจริญสัมพันธไมตรี พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และหนึ่งในประเทศที่พระองค์เลือกเสด็จพระราชดำเนินเยือน คือ ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2506

ในครั้งนั้น พระองค์ทรงเสด็จเยือนกรุงโตเกียว เมืองนาโงยา จังหวัดเกียวโต และนารา และฝ่ายญี่ปุ่นได้ถวายการต้อนรับ ด้วยการนำเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงงานผลิตกล้องถ่ายรูป และวิทยุ เพื่อทอดพระเนตรเทคโนโลยีการผลิตของญี่ปุ่น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าฝ่ายญี่ปุ่นทราบถึงความสนพระราชหฤทัยของพระองค์เป็นอย่างดี

การเสด็จพระราชดำเนินเยือนญี่ปุ่นในครั้งนั้น เป็นจุดเริ่มต้นแห่งพระราชไมตรีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ซึ่งในขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะ

โดยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ เพื่อทรงตอบแทนพระราชไมตรี มกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะ พร้อมด้วยเจ้าหญิงมิชิโกะ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ที่ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2507 ซึ่งในครั้งนั้นมีเหตุการณ์อันเป็นที่ระลึกแห่งพระราชไมตรี และพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และนับเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ขณะที่ความสัมพันธ์ระดับประชาชนของทั้งสองประเทศก็มีความใกล้ชิดแนบแน่น โดยปัจจุบัน มีชาวไทยที่พำนักอยู่ในญี่ปุ่นในปี 2019 ประมาณ 86,666 คน ในขณะที่มีชาวญี่ปุ่นที่พำนักอยู่ในประเทศไทยในปี 2021 จำนวน 82,574 คน 

‘ผลวิจัย’ ชี้!! ‘เมือง-บริษัท’ กว่า 40% ทั่วโลก ยังนิ่งเฉย ไร้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

(23 ก.ย. 67) เน็ต ซีโร่ แทร็กเกอร์ (Net Zero Tracker) กลุ่มความร่วมมือด้านการติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก เปิดเผยว่า เมืองและบริษัทมากกว่า 40% ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

จากรายงานเผยอีกว่า แม้รัฐบาลและบริษัทจำนวนมากขึ้นให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) แต่ความตั้งใจดังกล่าวถูกเบี่ยงเบนจากสงคราม การเลือกตั้ง และความท้าทายทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างความมุ่งมั่นกับความเป็นจริง

กลุ่มวิจัยระบุว่า ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เตรียมนำเสนอเป้าหมายสภาพภูมิอากาศปี 2578 แก่สหประชาชาติ (UN) นั้น ผู้กำหนดนโยบายของรัฐบาลและบอร์ดบริหารของบริษัทต่าง ๆ กำลังพยายามเปลี่ยนเป้าหมายระยะยาวให้เป็นการดำเนินงานอย่างมีรูปธรรม แต่แผนการเปลี่ยนผ่านยังขาดความชัดเจนและรายละเอียด

รายงานดังกล่าวได้จากการสำรวจความมุ่งมั่นและแผนการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ จากประเทศต่าง ๆ 198 ประเทศ ส่วนภูมิภาค 706 แห่ง เมือง 1,186 เมือง และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เกือบ 2,000 บริษัท โดยรายงานระบุว่า แม้จะมีบริษัท 1,750 แห่งจากทั้งหมดกว่า 4,000 แห่งให้คำมั่นอย่างเป็นทางการที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ แต่ในขณะเดียวกัน พบว่า บริษัทเกือบ 1,700 แห่งยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายใด ๆ ไว้เลย ขณะที่มีบริษัทจดทะเบียนไม่ถึง 60% ที่กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์เอาไว้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับรายงานของปีที่แล้ว โดยเฉพาะบริษัทจากเอเชียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เน็ต ซีโร่ แทร็กเกอร์ ระบุว่า จำนวนบริษัททั้งหมดที่ไม่ได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดลงมาอยู่ที่ 495 แห่ง จาก 734 แห่งในปีที่แล้ว ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเทสลา (Tesla) และบีวายดี (BYD) บริษัทเกมอย่างนินเทนโด (Nintendo) และบริษัทลงทุนอย่างบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ (Berkshire Hathaway)

นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าญี่ปุ่น 8 เดือนแรกปี 67 ทะลุ 24 ล้าน เติบโต 58% คนไทยติดท็อป 10 ไปเยือนกว่า 7 แสนคน แต่ยอดยังไม่แซงก่อนช่วงโควิด

(23 ก.ย. 67) รายงานองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ระบุว่า สถิตินักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) ของปี 2567 พบว่ามีจำนวนกว่า 706,500 คน เพิ่มขึ้น 21.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 แต่ยังติดลบ 12.4% หรือคิดเป็นการฟื้นตัวแล้ว 87.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562

เฉพาะเดือน ส.ค. ซึ่งตรงกับโลว์ซีซันฤดูร้อนของญี่ปุ่น มีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้า 34,700 คน เพิ่มขึ้น 4.6% เทียบกับจำนวน 33,166 คนของเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามยังติดลบ 30% หรือคิดเป็นการฟื้นตัว 70% เมื่อเทียบกับจำนวน 49,589 คนของเดือน ส.ค. 2562

ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่น 8 เดือนแรกยังคงเติบโตแรงต่อเนื่อง ด้วยจำนวนกว่า 24,007,900 คน เพิ่มขึ้น 58% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเติบโต 8.4% แซงช่วงเดียวกันของปีก่อนโควิดระบาดอีกด้วย

สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 อันดับแรกที่เดินทางเข้าญี่ปุ่นสูงสุด ได้แก่...

1. เกาหลี 5,811,900 คน

2. จีน 4,595,200 คน

3. ไต้หวัน 4,115,200 คน

4. ฮ่องกง 1,801,800 คน

5. สหรัฐ 1,768,100 คน

6. ไทย 706,500 คน

7. ออสเตรเลีย 551,600 คน

8. ฟิลิปปินส์ 496,300 คน

9. เวียดนาม 434,000 คน

10. แคนาดา 367,400 คน

27 กันยายน พ.ศ. 2448 ‘อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์’ นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก เสนอสมการก้องโลก ‘E=mc2’ เป็นครั้งแรก

27 กันยายน ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448) อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก เผยแพร่บทความเรื่อง ‘Does the Inertia of a Body Depend Upon Its Energy Content ?’ (จริงหรือไม่ที่ความเฉื่อยขึ้นอยู่กับพลังงานภายในของวัตถุ) เป็นครั้งแรก ซึ่งได้นำเสนอสมการก้องโลก E=mc2 สมการนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน อธิบายได้ว่า เมื่อให้พลังงานกับมวลเพื่อให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น มวลนั้นก็จะมีค่าเพิ่มขึ้นด้วย จากทฤษฎีนี้ทำให้นำสู่ผลที่ว่าไม่มีอะไรเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสง หลักการนี้จึงเป็นหลักการเบื้องต้นของ ‘ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป’ (theory of relativity) 

แม้ว่าไอน์สไตน์จะใช้เวลาเพียงแค่ 4 เดือน ในการสร้างผลงานปฏิวัติโลกด้วยผลงานเด่น ๆ 3 ผลงานในปีนี้ คือ ‘ปรากฏการณ์โฟโตอิเลกตริก’ (Photoelectric Effect) / ‘การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน’ (Brownian Motion) และ ‘ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ’ (special relativity) แต่โลกต้องใช้เวลาอีกหลายทศวรรษเพื่อทำความเข้าใจและเห็นคุณค่าในผลงานเหล่านี้ 

ต่อมาได้มีการประกาศให้ปี 2448 เป็นปีมหัศจรรย์ของไอน์สไตน์และในปี 2548 วงการวิทยาศาสตร์โลกได้ประกาศให้เป็น ‘ปีฟิสิกส์โลก’ (World Year of Physics 2005) และมีการจัดงานฉลองครบรอบ 1 ศตวรรษปีมหัศจรรย์ไอน์สไตน์

28 กันยายน พ.ศ. 2460 ครบรอบ 107 ปี ในหลวง ร.6 ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็น ‘ธงชาติไทย’ สะท้อนถึงความเป็นเอกราช ไม่ตกเป็นเมืองขึ้น อาณานิคมของชาติใด

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2460 โดยให้ตราพระราชบัญญัติธงขึ้นใหม่ เนื่องจากในสมัยนั้นไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 กับประเทศสัมพันธมิตร ซึ่งส่วนใหญ่ธงจะมีสามสี ธงชาติไทยในสมัยนั้นจึงเป็นรูปสี่เหลี่ยมรี ขนาดกว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน มีแถบสีน้ำเงินแก่กว้าง 1 ส่วน ซึ่งแบ่ง 3 ของขนาดกว้างแห่งธงอยู่กลาง มีแถบขาวกว้าง 1 ส่วน ซึ่งแบ่ง 6 ของขนาดความกว้างแห่งธงข้างละแถบ แล้วมีแถบสีแดงกว้างเท่าแถบขาวประกอบชั้นนอกอีกข้างละแถบ และเรียกธงนี้ว่า ‘ธงไตรรงค์’ 

ทั้งนี้ ทรงกำหนดความหมายของสีธงชาติไว้ว่า สีแดง หมายถึง ชาติ คือประชาชน สีขาว หมายถึง ศาสนา และสีน้ำเงิน หมายถึง พระมหากษัตริย์ ซึ่งธงไตรรงค์ หรือธงชาติไทย ถือเป็นสัญลักษณ์อันสูงสุดของชาติเป็นสิ่งเตือนใจให้อนุชนได้รำลึกถึงการเสียสละเลือดเนื้อของบรรพบุรุษเพื่อรักษาไว้ซึ่งแผ่นดิน และร้อยดวงใจคนทั้งชาติให้เป็นหนึ่ง หล่อหลอมความรักสามัคคี สร้างเสริมความภูมิใจในความเป็นชาติ ก่อเกิดเป็นพลังยิ่งใหญ่ในการพัฒนาชาติไทยให้วัฒนาสถาพร

จากนั้นคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557 ได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 28 กันยายน ของทุกปีเป็นวันพระราชทานธงชาติไทย (Thai National Flag Day) และเริ่มในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นวันแรก โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ รวมทั้งกำหนดให้มีการชักและประดับธงชาติไทยในวันดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างความภาคภูมิใจของคนในชาติและเป็นการน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานธงไตรรงค์ เป็น ‘ธงชาติไทย’ และถือเป็นประเทศที่ 54 ของโลก ที่มีวันธงชาติอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top