Friday, 20 June 2025
TheStatesTimes

🔎ส่อง 5 ปัจจัยขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงโลกในปัจจุบันและผลกระทบต่อ ‘ประเทศไทย’

THE STATES TIMES ชวนส่อง 5 ปัจจัยขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงโลกในปัจจุบันและผลกระทบต่อ ‘ประเทศไทย’ โดยคุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

🔎ส่อง 5 ขุมกำลัง!! ชิงไลเซนส์ 'ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา' ในไทย (Virtual bank)

(23 ก.ย. 67) นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลัง และ ธปท. ได้ เปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) มายัง ธปท. จนถึงวันที่ 19 กันยายน 2567 นั้น

บัดนี้ ธปท. ได้ปิดรับคำขอแล้ว โดยมีผู้ยื่นคำขอจำนวนทั้งสิ้น 5 ราย ซึ่ง ธปท. จะพิจารณาคุณสมบัติ ศักยภาพ และความสามารถที่จะประกอบธุรกิจ Virtual Bank ของผู้ขออนุญาต ให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ที่เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567

โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจการเงินไทยโดยรวม และความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน ก่อนเสนอรายชื่อผู้ที่สมควรได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้จัดตั้ง Virtual Bank ได้ภายในช่วงกลางปี 2568

โดยผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถเปิดดำเนินธุรกิจได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ที่ทยอยออกมาประกาศแล้ว ในการเข้าร่วมชิงไลเซนส์ Virtual bank มีด้วยกัน ทั้งหมด 5 กลุ่มทุน 

1. ‘บมจ.เอสซีบี เอกซ์’ (SCB) ที่มีพันธมิตรใหญ่ ‘WeBank’ ธนาคารดิจิทัลชั้นนำในจีน และ ‘KakaoBank’ ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้

2. ‘กรุงไทย-เอไอเอส-กลุ่มกัลฟ์-โออาร์’ ที่มองตลาดนี้มีโอกาสอีกมากในการเข้ามาทำธุรกิจ 

3. ‘กลุ่มแอสเซนด์ มันนี่’ ผู้ให้บริการอีวอลเล็ต ภายใต้ชื่อ ‘ทรูมันนี่’ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในเครือของ ‘เครือเจริญโภคภัณฑ์’ (ซีพี) จับมือ ‘แอนท์ กรุ๊ป’ (Ant Group) ซึ่งเป็นผู้นำในฟินเทค เป็นบริษัทลูกของอาลีบาบา (Albaba) จากจีน 

4. ‘ซี กรุ๊ป’ ผนึก 4 พันธมิตร ชิงเวอร์ชวลแบงก์ ทั้งธนาคารกรุงเทพ (BBL) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง หรือ BTS ที่ส่งบริษัทลูกอย่าง บริษัท วีจีไอ หรือ VGI เป็นผู้ลงสนามดังกล่าว, เครือสหพัฒน์ และไปรษณีย์ไทย 

5. กลุ่ม Lightnet ภายใต้ ‘ชัชวาลย์ เจียรวนนท์’ จับมือ WeLab ผู้นำด้าน Virtual Bank ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

'รองนายกฯ ประเสริฐ' เผยผลกวาดล้าง 'บัญชีม้า' ไปแล้วกว่า 1 ล้านบัญชี เร่งขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนรัฐบาลแพทองธาร ปราบ 'อาชญากรรมออนไลน์' พร้อมออกกฎหมายพิเศษ ช่วยเหลือ 'ผู้เสียหาย' ให้ทันท่วงที

(23 ก.ย. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่าการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งตนเป็นประธาน เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี เป็นรองประธานกรรมการฯ , นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดีอี เป็นเลขานุการคณะกรรมการฯ และผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) , ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) , สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) , สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ,สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมหารือ เพื่อดำเนินงานการตามนโยบายปราบปรามภัยออนไลน์ของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

นายประเสริฐ กล่าวว่าที่ประชุมได้พิจารณาผลดำเนินการและมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ 8 เรื่องที่สำคัญ โดยสรุปได้ดังนี้

1. การแก้กฎหมายเร่งด่วนช่วยผู้เสียหายและป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อสนองนโยบายรัฐบาลแพทองธาร แก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และเพิ่มความรับผิดชอบผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และสถาบันการเงิน กระทรวง ดีอี เร่งยกร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ฉบับที่ 2 ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ

 - การเร่งคืนเงินผู้เสียหาย
- การเพิ่มสิทธิ์ผู้เสียหายและเพิ่มความรับผิดชอบผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และสถาบันการเงิน 
- การเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล และบทลงโทษผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.
- การป้องกันการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างผิดกฎหมาย
- การระงับการใช้ ซิม ที่ต้องสงสัย

ทั้งนี้ จากการดำเนินการถึงเดือน สิงหาคม 2567 กระทรวงดีอี ได้ดำเนินการปรับเป็นพินัยกับผู้ให้บริการโทรคมนาคม หรือ ISP ที่ไม่ดำเนินการตามกฎหมาย โดยได้แจ้งข้อกล่าวหา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมหรือ ISP จำนวน 4 ราย และได้มีคำสั่งปรับพินัย ผู้ให้บริการโทรคมนาคมหรือ ISP จำนวน 4 ราย ทั้งสิ้น 677,500 บาท

2. การปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ ในเดือนสิงหาคม (ข้อมูล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ)
- การจับกุมคดีออนไลน์รวมทุกประเภท สิงหาคม 2567 มีจำนวน 1,945 ราย ลดลงร้อยละ 22.04 เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 2,495 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567
- การจับกุมคดีเว็บพนันออนไลน์ สิงหาคม 2567 มีจำนวน 732 ราย ลดลงร้อยละ 31.20 เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 1,064 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567
- การจับกุมคดีซิมม้า บัญชีม้า สิงหาคม 2567 มีจำนวน 122 ราย ลดลงร้อยละ 49.17 เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 240 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567

3. การปิดโซเชียลมีเดีย เว็บผิดกฎหมาย และเว็บพนัน โดยกระทรวงดีอี ได้ปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ/URLs ที่ไม่เหมาะสม ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 สิงหาคม 2567  (ระยะเวลา 11 เดือน) โดย 1) ดำเนินการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ/URLs ผิดกฎหมายโดยรวมทุกประเภท จำนวน 138,660 รายการ เพิ่มขึ้น 11 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบ 2566 , 2) ปิดกั้นเพจ/URLs ที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ จำนวน 58,273 รายการ เพิ่มขึ้น 34.3 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบ 2566

4. การแก้ปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด ตัดตอนการโอนเงิน
ผลการดำเนินงานถึง 31 สิงหาคม 2567 มีการระงับบัญชีม้ารวมกว่า 1,000,000 บัญชี แบ่งเป็น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ปิด 450,000 บัญชี ธนาคาร 300,000 บัญชี และศูนย์ AOC 1441 ระงับ 291,256 บัญชี

นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ยกระดับการป้องกันการเปิดบัญชี และ จัดการบัญชีม้า โดยเฉพาะบุคคล ที่ยินยอมเปิดบัญชีธนาคารให้คนร้ายใช้ อาทิ การออกมาตราการ ระงับบัญชีของผู้ที่เปิดบัญชีให้คนร้ายทุกบัญชี และการใช้มาตรการ CDD การตรวจสอบข้อมูลอย่างเข้มข้นตามระดับความเสี่ยงของผู้เปิดบัญชีใหม่ เป็นต้น

5.การแก้ไขปัญหาซิมม้า และ ซิมม้าที่ผูกกับ mobile banking โดยผลการดำเนินงานที่สำคัญถึง 31 สิงหาคม 2567 มีดังนี้
- การกวาดล้างซิมม้าและซิมต้องสงสัย โดย สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการโทรคมนาคมรได้ระงับซิมม้าแล้ว จำนวนกว่า 2.8 ล้านเลขหมาย 
- การระงับหมายเลขโทรออกเกิน 100 ครั้ง/วัน แล้ว 80,731 เลขหมาย มีผู้มายืนยันตัวตน 418 เลขหมาย ไม่มายืนยันตัวตน 80,313 เลขหมาย 
- มาตรการคัดกรองผู้ใช้งาน Mobile Banking ที่ต้องสงสัย โดยใช้ระบบคัดกรองผู้ใช้งาน (Sim Screening) ตรวจสอบหมายเลขบัตรประชาชนผู้ครอบครองหมายเลขโทรศัพท์ตรงกับหมายเลขโทรศัพท์ที่ลงทะเบียน Mobile Banking กับธนาคารหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2567 เพื่อตรวจสอบกลุ่มบัญชีที่มีความเสี่ยงถูกใช้เป็นบัญชีม้า ในเบื้องต้นประเมินว่า มีผู้ใช้งาน Mobile Banking จำนวน 18 ล้านบัญชี เข้าข่ายต้องตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกหรือต้องทำการยืนยันตัวตนใหม่ ซึ่งจะต้องจัดทำแนวทางดำเนินงานในรายละเอียดต่อไป 

6. การดำเนินการเรื่องเสา โทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

จากยุทธการ “ระเบิดสะพานโจร” เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 กสทช. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ให้บริการโทรคมนาคมในพื้นที่ ร่วมกันตรวจสอบการลักลอบลากสายสัญญาณข้ามแดนโดยไม่ได้รับอนุญาต 
ณ ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร และสะพานมิตรภาพไทย –ลาว แห่งที่ 2 จากตรวจสอบพบมีการลักลอบลากสายสัญญาณจากบ้านเช่าในตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการบริการอินเทอร์เน็ต 3 ราย นำมาทำ Load Balance และลากสายสัญญาณไฟเบอร์ออฟติกขนาด 12 Core ไปยังตู้ชุมสายสัญญาณไฟเบอร์ออฟติก(ODF) ของบริษัทฯ ผู้รับใบอนุญาตประเภท 1 และ 3 บริเวณสะพานมิตรภาพไทย –ลาว แห่งที่ 2 โดยบริษัทฯ ดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้บริการโทรคมนาคมออกนอกราชอาณาจักรไทย ต่อมาที่ตู้ของบริษัทฯ ดังกล่าวตรวจพบการติดตั้งอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเพิ่มเติมอีก 3 ราย โดยสายสัญญาณที่ลากออกจากตู้ฯ ดังกล่าวนั้นมีการลากต่อไปยังสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 2 และเชื่อมต่อไปสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

นอกจากนี้สำนักงาน กสทช. อยู่ระหว่างการจัดทำ MOU ด้านการป้องกันการให้บริการระบบโทรคมนาคมข้ามพรมแดนเพื่อการก่อการร้ายทางเศรษฐกิจและสนับสนุนการค้ามนุษย์ กับกองทัพไทย ซึ่งประกอบด้วย กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ โดยจะดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกองทัพไทยช่วยสนับสนุนลาดตระเวนพื้นที่ชายแดนและตรวจสอบการใช้สัญญาณโทรคมนาคมข้ามพรมแดนที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ กำหนดการลงนาม ภายในเดือนตุลาคม 2567

7. การแก้ปัญหาหลอกลวงขายสินค้าออนไลน์ มาตรการแก้ไขกฎหมาย COD หรือ ซื้อสินค้าแบบเก็บเงินปลายทาง โดย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ดำเนินการออก “ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการบริการขนส่งสินค้าโดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ.2567 โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป เพื่อแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินค้าหรือบริการออนไลน์แบบใช้บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) ตามที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาภายใต้ สคบ. มีมติเห็นชอบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือน กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา 

8. การบูรณาการข้อมูล โดยศูนย์ AOC 1441 โดยกระทรวงดีอี ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตร. สมาคมธนาคารไทย สมาคมโทรคมนาคม ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ศูนย์ AOC 1441 เป็นแพลตฟอร์มรับและแลกเปลี่ยนข้อมูลบูรณาการข้อมูลหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการจัดการบัญชีม้า ซิมม้า และคนร้ายได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

“ในภาพรวม จากการดำเนินงานแบบบูรณาการ สามารถกวาดล้างบัญชีม้าและซิมม้า และเร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ตัดเส้นทางการเงิน การปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ พร้อมทั้งการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้แก่ประชาชน ส่งผลให้ มูลค่าความเสียหายจากคดีออนไลน์ ในเดือนสิงหาคม 2567 ลดลง 36% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของเดือน มกราคม - มิถุนายน 2567 ในขณะเดียวกันจำนวนการแจ้งความคดีออนไลน์ก็ลดลงในเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ตาม การปราบปรามจับกุมให้ถึงต้อตอคนร้ายทั้งที่อยู่ในไทยและอยู่ในต่างประเทศยังไม่น่าพอใจ เรายังต้องเร่งรัดการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาสำหรับประชาชนให้เป็นรูปธรรมตามนโยบายรัฐบาลแพทองธาร” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ต่อยอดโอกาส สร้างชีวิต ให้แก่เยาวชนที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์... มอบทุนการศึกษา ทุกระดับปีสุดท้าย และทุนฯ ต่อเนื่องทุกระดับชั้น ประจำปี 2567 รวมงบประมาณกว่า 12.6 ล้านบาท

(23 ก.ย. 67) เวลา 10.00 น. มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ  นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ คณะกรรมการมูลนิธิฯ และผู้ช่วยกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีมอบทุนการศึกษาทุกระดับปีสุดท้าย และทุนการศึกษาต่อเนื่องทุกระดับชั้น ประจำปี 2567 ให้แก่นักเรียน นักศึกษาที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในระดับชั้นมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา รวม 156 สถาบัน จำนวน 910 ทุน รวมเป็นจำนวนเงิน 12,615,000 บาท (สิบสองล้านหกแสนหนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยมีเยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นตัวแทนรับมอบ ณ ห้องประชุมชั้น 2  อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า  การมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน นิสิต และนักศึกษา เยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เป็นหนึ่งในนโยบายหลักในงานสังคมสงเคราะห์ของมูลนิธิฯ ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้วเป็นเวลากว่า 50 ปี เป็นความมุ่งหวังของมูลนิธิฯ ในการช่วยเหลือปกป้องสังคม ช่วยให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสเท่าเทียมทางการศึกษา สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาได้จนสำเร็จการศึกษา สร้างเยาวชนให้มีความรู้ เป็นคนดีของสังคม สามารถสร้างอนาคตตามที่มุ่งหวังของตนเองและครอบครัว เป็นทรัพยากรมีคุณภาพของสังคมและประเทศชาติ

โดยเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมอบทุนฯ แก่เยาวชนในระดับชั้นประถมศึกษาไปแล้ว 1,500 ทุน และในวันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดลงพื้นที่จังหวัดพัทลุง เพื่อมอบทุนการศึกษาในส่วนภูมิภาค (ทุนสัญจร) แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาในภาคใต้ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช ตรัง สงขลา และ สตูล รวมจำนวน 53 สถาบัน รวม 265 ทุน เป็นลำดับต่อไป

รวมงบประมาณการมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชน นิสิต นักศึกษา ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประจำปี 2567 
เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 17,870,000 บาท (สิบเจ็ดล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นบาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง 
ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” 

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก 
แฟนเพจ http://www.facebook.com/pohtecktungofficial

‘เคทีซี’ จับมือพันธมิตรร้านมือถือและไอทีชั้นนำ จัดดีลเด็ดซื้อ iPhone16 ผ่อน 0% นานสูงสุด 24 เดือน

(23 ก.ย. 67) นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “Apple เป็นแบรนด์เลิฟที่เป็นที่นิยมและคอยติดตามกระแสความเคลื่อนไหวในสินค้าและบริการใหม่ ๆ อยู่เสมอ สำหรับประเทศไทยกลุ่มสาวก Apple มีทุกเจนเนอเรชั่น โดยเฉพาะไอโฟนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงมาก 

และในโอกาสเปิดตัว iPhone 16 ครั้งนี้ เคทีซีได้เตรียมสิทธิพิเศษเพื่อให้สมาชิกบัตรเคทีซีได้เป็นเจ้าของ iPhone 16 โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถผ่อน 0% ได้นานสูงสุด 10 เดือนพร้อมรับเครดิตเงินคืนหรือส่วนลดรวมสูงสุด 35% และสมาชิกบัตรกดเงินสด ‘เคทีซี พราว’ สามารถผ่อน 0% ได้นานถึง 24 เดือน ด้วยซึ่งเป็นการสร้างความคุ้มค่าสูงสุด 

โดยสามารถรับสิทธิพิเศษได้ทั้งการซื้อผ่านช่องทางหน้าร้านและออนไลน์ ณ ร้านมือถือและไอทีชั้นนำที่ร่วมรายการ ได้แก่  Advice, Jaymart, True, Dtac, iStudio by Uficon, Power Mall, JIB, iStudio by Copperwired, .life, iStudio by SPVI, Studio7, BaNANA, IT city | CSC, Power Buy, AIS และ TG” 

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/iphone16/index หรือติดต่อ KTC PHONE 02 123 5000 สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี สำหรับผู้ถือบัตรกดเงินสด ‘เคทีซี พราว’ ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว 

'ในหลวง' ทรงรับ 'ลูกชาย' ของอาสากู้ภัยฯ ที่เสียชีวิตหลังช่วยน้ำท่วม เป็นนักเรียนทุนพระราชทาน จนกว่าจะจบการศึกษา

(23 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก 'มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์' ได้เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับเด็กชายจีรพัฒน์ แจ้งรู้สุข บุตรชายของ นางสาวจันทิมา ครุฑหมื่นไวย อาสากู้ภัยหน่วยเจริญธน 19-146 ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังเดินทางกลับจากช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ไว้เป็นนักเรียนทุนพระราชทานเพื่อการศึกษาสงเคราะห์ ของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จนกว่าจะจบการศึกษา

‘พีระพันธุ์’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เดินทางมาเป็นประธานในพีธีเบิกเนตรและเปิดแพรคลุมป้ายวิหารองค์พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมพันกร

เมื่อวันที่ (22 ก.ย. 67) นาย พีระพันธุ์ สาลีรัฐภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  ได้เดินทางมาเป็นประธานในพีธีเบิกเนตรและเปิดแพรคลุมป้ายวิหารองค์พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมพันกรและวิหารหลวงปู่ไต่ฮงกง ที่อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ซึ่งจัดสร้างโดยนายวุฒิพงศ์ และนางสมจิตต์ วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานบริษัทในเครือวงษ์พิทักษ์ และเป็นประธานในการจัดสร้างวิหารองค์พระมหาพระโพธิสัตว์กวนอิมพันกร และวิหารหลวงปู่ไต่ฮงกง รวมถึงหล่อองค์พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมพันกรและหลวงปู่ไต้ฮงกง โดยมีนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ (สส.มุ่ง) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรีเขต 4 และประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมสภาผู้แทนราชฎร เป็นที่ปรึกษาการจัดสร้างโครงการดังกล่าว 

โดยพิธีเบิกเนตรและเปิดแพรคลุมป้ายวิหารมีพระเดชพระคุณ พระราชวชิรานุสิฐ เจ้าคณะจังหวัดราชบุรี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และได้รับเกียรติจาก นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ,นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา สส.ราชบุรี เขต2 ,นางสาวกุลวลี นพอมรบดี  สส.ราชบุรี เขต1 ,นายชัยทิพย์ กมลพันธ์ทิพย์ สส.ราชบุรี เขต5นายจตุพร กมลพันธ์ทิพย์  สส.ราชบุรี เขต3 , นายวิวัฒน์ นิติกาญจนานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี , พล.ต.ต.วชิรพงศ์ อมราพิทักษ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดราชบุรี ผู้นำท้องถิ่น และพี่น้องประชาชนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก

โดยครอบครัววงษ์พิทักษ์โรจน์ได้จัดสร้างวิหารดังกล่าวเพื่อการจัดตั้งมูลนิธิวงษ์พิทักษ์ร่วมประชาสงเคราะห์ที่อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ยากไร้และประสบภัยในเขตจังหวัดราชบุรี
ในงานดังกล่าวได้มีการแจกข้าวสารและอาหารสำเร็จรูปเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน กลุ่มเปราะบางจำนวน 600 ชุด 

จึงขอเชิญชวนพี่น้องที่มีจิตศรัทธาในองค์พระมหาพระโพธิสัตว์กวนอิ่มพันกร และหลวงปู่ไต่ฮงกง  ขอเชิญมากราบไหว้ สักการระ และมาทำบุญได้ตั้งแต่ วันที่ 22 กันยายน 67 เป็นต้นไป

'รมว.เอกนัฏ' มอบรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียว 2024 เชิดชูผู้ประกอบการใส่ใจ 'ดูแลชุมชน-สิ่งแวดล้อม'

เมื่อวานนี้ (23 ก.ย.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน มอบรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียว ประจำปีงบประมาณ 2567 'ก้าวสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน..คู่ไปกับการดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อม..ด้วยอุตสาหกรรมสีเขียว' ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก (วิภาวดี) กรุงเทพฯ

รมว.เอกนัฏ เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีความมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และทักษะคุณภาพแรงงานให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงได้กำหนดนโยบายมุ่งเน้นการปฏิรูป 3 ด้าน ได้แก่...

(1) การจัดการกาก สารพิษ ที่ทำร้ายชีวิตประชาชน 
(2) Save อุตสาหกรรมไทย
(3) การสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ 

โดยจะดำเนินการใน 3 แนวทาง คือ 
(1) การสร้างความร่วมมือ พันธมิตรห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สมบูรณ์แบบ 
(2) การจัดตั้งกองทุนเพื่อการปฏิรูประบบอุตสาหกรรม 
(3) การปรับกฎหมายและภารกิจเข้าสู่ภาครัฐดิจิทัล สร้าง Ease of Doing Business

การส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม มุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานให้บรรลุตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียวใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน ส่งเสริมและยกระดับสถานประกอบการให้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นไปตามเป้าหมายการลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ตามแนวคิด BCG เพื่อการขับเคลื่อนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ที่ตอบโจทย์ประเทศไทยและประชาคมโลก มีความรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่กับการกระจายรายได้สู่ชุมชน ตลอดจนแข่งขันได้ในระดับสากล 

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมสีเขียว โดยมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักให้บุคลากรในทุกระดับมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เผยแพร่องค์ความรู้ แนวคิด และประสบการณ์จากองค์กรที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้เป็นตัวอย่างและแนวทางในการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมแก่สถานประกอบการผ่านสื่อต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างและพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ ผู้ตรวจประเมิน และการให้บริการช่วยเหลือแก่สถานประกอบการให้สามารถพัฒนาไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยให้สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีหรือแนวโน้มการค้าโลก 

นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า สำหรับงานรับรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียวในครั้งนี้ ได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 6 โดยในปีนี้เป็นการมอบรางวัลให้แก่สถานประกอบการที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 และระดับที่ 5 ในปี พ.ศ. 2566-2567 จำนวน 325 ราย ประกอบด้วย อุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network) จำนวน 36 ราย และอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) จำนวน 289 ราย เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสและส่งเสริมสถานประกอบการในการให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความปลอดภัยในการประกอบกิจการ มีความรับผิดชอบต่อสังคม นำไปสู่การอยู่ร่วมกันระหว่างโรงงานอุตสาหกรรม สังคม และชุมชนที่อยู่โดยรอบอย่างยั่งยืน 

สิทธิประโยชน์ สำหรับโรงงานที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไป เช่น การใช้โลโก้ GI บนผลิตภัณฑ์ ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้รับโอกาสทางการตลาด และการสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน 

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 กันยายน 2567) มีสถานประกอบการที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวจำนวน 57,663 ใบรับรอง แบ่งเป็น...

(1) ระดับที่ 1 ความมุ่งมั่นสีเขียว (Green Commitment) จำนวน 50,591 ใบรับรอง
(2) ระดับที่ 2 ปฏิบัติการสีเขียว (Green Activity) จำนวน 3,112 ใบรับรอง 
(3) ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) จำนวน 3,455 ใบรับรอง 
(4) ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) จำนวน 429 ใบรับรอง 
(5) ระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network) จำนวน 76 ใบรับรอง 

'พรรคส้ม' ถาม "ควรส่งผู้สมัครชิงเก้าอี้นายกอบจ.หรือไม่?" เสียงแตก!! โอกาสชนะน้อยมาก VS ควรทำให้เต็มที่ดีที่สุด

(24 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกโซเชียลกำลังมีประเด็นร้อนแรง และเป็นที่จับตาของกลุ่มการเมืองท้องถิ่นหลายฝ่าย หลังในเพจเฟซบุ๊กของพรรคประชาชนสุโขทัย ได้มีการโพสต์ข้อความเชิญชวนชาวจังหวัดสุโขทัย ร่วมแสดงความคิดเห็น ว่าพรรคประชาชนควรส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ในนามพรรคประชาชนหรือไม่ พร้อมเหตุผลประกอบ

ทำให้มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ก็สนับสนุนให้พรรคประชาชนส่งตัวแทนลงสมัครชิงชัย โดยให้เหตุผลว่า ควรทำให้เต็มที่ดีที่สุด ชนะหรือไม่ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่เริ่มก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ถ้าส่งลงเลือกแน่นอน แต่ถ้าไม่ส่งก็ไม่รู้จะเลือกใคร เบื่อการเมืองแบบเดิม และบ้างก็ว่าอยากให้ช่วยกันรณรงค์ให้คนที่ทำงานต่างจังหวัดกลับมาเลือกตั้ง คะแนนเสียงในกลุ่มวัยทำงานมีอยู่มาก

ขณะที่บางความเห็นบอกว่า ถ้าจะส่งลงสนามนี้ คิดว่าโอกาสชนะน้อยมาก ถ้าจะให้มีลุ้นก็ต้องจับมือกับกลุ่มการเมืองอีกฝ่าย และบางคนก็ว่าไม่น่าส่งลงแข่ง เพราะชุดที่ผ่านมาทำไว้ดีมาก ทั้งถนนลาดยาง ไฟฟ้า ตอนนี้สว่างทั่วทุกตำบล มีผลงานเป็นที่ประจักษ์

อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชนจังหวัดสุโขทัย ระบุว่า ได้เสนอต่อกรรมการบริหารพรรคประชาชนเป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อให้พิจารณาส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สุโขทัย และยืนยันมีความพร้อมในทุกด้าน รวมทั้งได้ร่างนโยบาย 3 เสาหลัก ประกอบด้วย ด้านบริหารจัดการน้ำ น้ำสะอาด ภัยแล้ง น้ำท่วม, ด้านสวัสดิการ จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน และด้านเศรษฐกิจ เพื่อปากท้องประชาชน ซึ่งจะแก้ปัญหาให้ตรงกับความต้องการ และมีแกนนำอาสาสมัครที่ครอบคลุมทั้ง 9 อำเภอ เพื่อแนะนำนโยบายต่อประชาชน

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ก่อนหน้านี้ทางพรรคประชาชนจังหวัดสุโขทัย ยังได้มีประกาศเรื่องการแอบอ้างเป็นว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.สุโขทัย ในนามพรรคประชาชน จึงแจ้งเตือนอย่าได้หลงเชื่อ เพราะทางพรรคยังไม่ได้มีการประกาศรับรองแต่อย่างใด ทำให้เป็นที่จับตาและน่าสนใจว่า ในที่สุดแล้วใครจะเป็นตัวจริงที่จะลงชิงเก้าอี้นายก อบจ.สุโขทัย ในนามพรรคประชาชนครั้งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top