Wednesday, 18 June 2025
TheStatesTimes

'หนุ่มสาวเกาหลีใต้' ลังเล!! การ 'แต่งงาน' มากขึ้น หลังเศรษฐกิจไม่แน่นอน-ราคาบ้านสูง-ว่างงานพุ่ง

(10 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า สำนักงานสถิติของเกาหลีใต้ที่ได้รายงานว่า คนหนุ่มสาวในเกาหลีใต้ลังเลจะแต่งงานกันมากขึ้นในปี 2022 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

รายงานระบุว่า คนหนุ่มสาวช่วงวัย 25-39 ปี ที่มีคู่สมรสคิดเป็นร้อยละ 33.7 ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มอายุดังกล่าว มีจำนวนลดลงในปี 2022 โดยลดลง 2.4 จุดจากปีก่อนหน้า และต่ำกว่าปี 2020 ที่มีอยู่ร้อยละ 38.5 

ทั้งนี้ คนหนุ่มสาวในเกาหลีใต้เริ่มลังเลจะแต่งงานและมีลูกกันมากขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เช่น ราคาบ้านที่อยู่อาศัยที่สูง ปัญหาการว่างงานที่หนักขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูง 

นอกจากนี้ ในปี 2022 ร้อยละ 74.7 ของคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวมีลูกอยู่ที่ร้อยละ 74.7 ลดลงจากปี 2021 ที่มีอยู่ร้อยละ 75.6 และร้อยละ 76.6 ในปี 2020

ส้วนตัวเลขสัดส่วนของผู้มีอายุ 25-39 ปี ที่ไม่มีคู่สมรสและอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในปี 2022 อยู่ที่ร้อยละ 50.6

เชียงใหม่- จังหวัดเชียงใหม่ ประกาศเจตจำนง เป็นเมืองคาร์บอนต่ำ Chiang Mai Low Carbon City

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย.67) ณ ห้องประชุมทองกวาว สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (UNISERV) อำเภอเมืองเชียงใหม่ 

นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานใน พิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการ 'Chiang Mai Low Carbon City' พร้อมทั้งเป็นตัวแทนภาครัฐ ร่วมกับ ตัวแทนภาคสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และภาคประชาชน ประกาศเจตจำนงลงนามบันทึกข้อตกลง ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนมุ่งสู่เป้าหมายให้เป็น Chiang Mai Low Carbon City 

ภายในงานมีตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการ ศึกษา และภาคประชาชน ร่วมจัดนิทรรศการ จำนวน 27 บูธ และเข้าร่วมงานสัมมนา ปาฐกถาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนจังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองคาร์บอนต่ำ Chiang Mai Low Carbon City รวมกว่า 250 คน

การจัดงานสัมมนาวิชาการฯ ครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างจังหวัดเชียงใหม่ สำนักบริการ วิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (UNISERV) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายเขียว สวยหอม และสภาลมหายใจเชียงใหม่ โดยมีศูนย์ประสานงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ เป็นตัวแทนการจัดงานสัมมนาฯ 

โดยมีเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ มีความรู้ และเพิ่มความตระหนักเกี่ยว กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการแก้ไข เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้น ในเรื่องความสำคัญของการดำเนินการเชิงนโยบาย และการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนในการรับมือ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของจังหวัดเชียงใหม่อีกทั้งเพื่อเป็นการเปิดเวทีให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กร ภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ในการขับเคลื่อนการเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ Chiang Mai Low Carbon City

จังหวัดเชียงใหม่ ได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการเร่งแก้ไขปัญหาทางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศที่เกิดขึ้น จึงได้มีการปรับกระบวนทัศน์การพัฒนาและขับเคลื่อนตามนโยบายระดับประเทศ คือ การขับเคลื่อนไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการยกระดับขีดความสามารถในการรับมือและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อให้จังหวัดเชียงใหม่ สามารถดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว ได้อย่างเป็นรูปธรรม 

จึงมีการพัฒนามาตรการลดก๊าซเรือนกระจก 30 มาตรการ และมาตรการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ใน 6 สาขา เพื่อเป็นกรอบและแนวทางการดำเนินงานให้แก่ ทุกภาคส่วนซึ่งหากดำเนินการได้ครบถ้วนและบรรลุผลสำเร็จตามแผนที่กำหนดไว้ จะช่วยให้จังหวัดเชียงใหม่ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี พ.ศ.2573 ลงได้มากถึงร้อยละ 21

'พีระพันธุ์' ย้ำ!! กม.ใหม่ คิดราคาน้ำมันตามต้นทุนแท้จริง แทนอิงราคาต่างชาติ พร้อมกำหนดให้การปรับราคาน้ำมันทำได้เดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับทุกวัน

(10 ก.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับกฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ หลังจากได้เรียกประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและด้านพลังงาน เพื่อตรวจทานรายละเอียดของกฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันที่ผมได้ยกร่างขึ้นมาในเบื้องต้นทั้งหมด 180 มาตรา 

โดยกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดให้การปรับราคาน้ำมันทำได้เดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับทุกวัน และให้ปรับราคาได้ตามความเป็นจริงของต้นทุนน้ำมัน โดยจะนำระบบ Cost Plus ซึ่งหมายถึงระบบที่คิดราคาตามต้นทุนที่แท้จริง เข้าใช้แทนระบบอ้างอิงราคาน้ำมันต่างประเทศ และจะกำกับดูแลไปถึงเรื่องของการจำหน่ายก๊าซหุงต้มด้วย

ในกฎหมายฉบับนี้ ยังจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง เพราะถือเป็นการค้าเสรีอย่างแท้จริง ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีในการหาพลังงานของตัวเอง ถ้าหากผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันมาใช้เองได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายหน้าปั๊ม ก็สามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย และเมื่อภาระต้นทุนน้ำมันของผู้ประกอบการลดลงแล้ว ก็จะอ้างต้นทุนค่าขนส่งแพงไม่ได้ และจะนำไปสู่การปรับลดราคาสินค้าตามมาด้วย  ซึ่งจะเป็นการลดภาระของประชาชนในอีกทางหนึ่ง

"ผมใช้เวลาร่างกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 หลังจากที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับต้นทุนราคาน้ำมันที่กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี และคาดว่าการตรวจสอบร่างกฎหมายนี้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ภายในปีนี้ พร้อม ๆ กับกฎหมายกํากับดูแลการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์บนหลังคาบ้าน และขอให้เชื่อมั่นว่า ผมจะเร่งผลักดันกฎหมายทั้งสองฉบับนี้ รวมทั้งกฎหมายด้านพลังงานอื่น ๆ ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุดเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และเพื่อให้การ 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ระบบพลังงานไทย เพื่อความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมครับ" นายพีระพันธุ์ กล่าว

‘แม่สาย’ อ่วม!! น้ำป่าไหลทะลักเขตชุมชนตลอดทั้งคืน ‘น้ำ-ไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต’ ถูกตัดขาด เข้าช่วยเหลือยากลำบาก

(11 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วม อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยเฉพาะบริเวณด่านพรมแดน เทศบาล ต.แม่สาย พบว่าระดับน้ำที่ไหลมาจากลำน้ำสายที่ขุ่นคลั่ก ยังคงเพิ่มสูงขึ้นและเชี่ยวกราก ส่งผลทำให้บ้านเรือน ห้างร้าน อาคารพาณิชย์ ฯลฯ ถูกน้ำท่วมและปิดล้อมออกไปไหนไม่ได้หลายพันหลังคาเรือน

จุดวิกฤตตั้งแต่ชุมชนสายลมจอย ชุมชนหัวฝาย ชุมชนผามควาย ชุมชนไม้ลุงขน ชุมชนเกาะทราย ชุมชนเหมืองแดง ชุมชนเหมืองแดงใต้ ระดับน้ำสูงประมาณ 1-2 เมตรขึ้นไปและไหลเชี่ยว ทำให้การหนีน้ำออกจากอาคาร หรือการเข้าไปช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำได้ กระแสไฟฟ้า-น้ำประปาถูกตัดติดต่อกันเป็นวันที่สอง และสัญญาณโทรศัพท์-อินเทอร์เน็ตใช้ไม่ได้เป็นบางช่วง

วิกฤตน้ำสายล้นทะลักท่วมชายแดนไทย-เมียนมารอบนี้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนภายในเขตชุมชนหนาแน่นของเขตเทศบาล ต.แม่สายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงคืนที่ผ่านมา (10-11 ก.ย.) ระดับน้ำไม่ได้ลดลง แต่กลับเพิ่มสูงขึ้น เสียงน้ำไหลเชี่ยวกระทบบ้านเรือน อาคารและสิ่งของต่าง ๆ ดังก้องตลอดทั้งคืน

ล่าสุดเช้านี้ระดับน้ำท่วมตามชุมชนต่าง ๆ หลายแห่งลึก 2-3 เมตร ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ลุ่มต้องอพยพออกมายังที่สูง ส่วนผู้ที่ติดอยู่ตามอาคารสูงต่าง ๆ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามนำอาหารและน้ำดื่มไปแจกจ่ายแต่ก็ทำได้เพียงบางส่วนเนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงหลายชุมชนที่ประกาศเป็นพื้นที่สีแดงได้ คือ ชุมชนสายลมจอย ชุมชนหัวฝาย ชุมชนผามควาย ชุมชนไม้ลุงขน ชุมชนเกาะทราย ชุมชนเหมืองแดง ชุมชนเหมืองแดงใต้ ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้

ด้านนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โดยมีการระดมกำลังทหารจากมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช และ ฉก.ทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง ประมาณ 200 นาย เข้าไปสนับสนุนเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) หน่วยกู้ภัย ฯลฯ และเปิดสถานที่ให้ประชาชนได้ไปอาศัยอยู่ชั่วคราวหลายจุดและตั้งโรงครัวบริเวณที่ว่าการ อ.แม่สาย

รวมทั้งระดมเรือท้องแบน เรือยนต์ ฯลฯ เพื่อนำอาหารและน้ำดื่ม รวมทั้งเข้าไปช่วยเหลือผู้อยู่ตามจุดต่าง ๆ หลายจุด อาทิ หลังคาบ้าน ซึ่งปฏิบัติการเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากน้ำที่เข้าท่วมมีลักษณะเป็นน้ำป่าไหลหลากที่ไหลเชี่ยวทำให้รถยกสูงของทหารหรือแม้แต่เรือท้องแบนไม่มีเครื่องยนต์ ก็ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้

'สส.พรรคส้ม-แม่สาย' โพสต์สร้างความเกลียดชังเจ้าหน้าที่ ทั้งที่รู้ความยากจากกระแสน้ำแรง จนท.ต้องเตรียมการให้พร้อม

(11 ก.ย. 67) จากกรณี 'หญิง-จุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม' สส.เชียงราย พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า "น้ำท่วมแม่สายอ่วม พี่น้องติดอยู่ในอาคาร เจ้าหน้าที่พร้อมช่วย แต่รอคำสั่งจากผู้บัญชาการ จะสั่งการกี่โมง?"

ทั้ง ๆ ที่ต่อมา สส.คนดังกล่าว ก็ยังกล่าวเองว่า "การทำงานครั้งนี้ค่อนข้างยากลำบาก เนื่องจากกระแสน้ำแรง การเข้าถึงจุดต่าง ๆ ต้องถูกประเมินจากทางเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างเข้มงวด มีระบบเชือกอย่างเดียวที่สามารถทำงานได้ หลายหน่วยงานกำลังระดมกำลังและยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่กันอยู่"

จากโพสต์ดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ในโลกโซเชียล โดยส่วนใหญ่มองว่า ทำไม สส.ไม่ลงพื้นที่เข้าไปช่วยเองเสียเลย ถ้าเจ้าหน้าที่เขารอคำสั่งไม่รู้เมื่อไหร่ สส.ของประชาชนก็ลงไปช่วยเองเลย ไม่ใช่ลงไปมองตาตอนน้ำลดแล้วบอกไปร่วมทุกข์ร่วมสุข

ด้านเพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ก็ได้โพสต์วิจารณ์เช่นกัน โดยระบุว่า...

#ทุกคนคะ สส.พรรคส้ม โพสต์ทำร้ายน้ำใจคนทำงานมาก ทุกหน่วยงานมีผู้บัญชาเหตุการณ์ในพื้นที่ที่ทำงานได้ทันที ไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง เพราะเป็นเหตุฉุกเฉิน 

เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเขาถูกฝึกมา ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ต้องประเมินสถานการณ์ กระแสน้ำ การลำเลียงคน ไม่ใช่เข้าพื้นที่มั่ว

สส. พรรคส้ม แต่ละคน ยิ่งกว่าลุ้นกล่องสุ่มอีก เฮ้อ 

#น้ำท่วม #น้ำท่วมเชียงราย

‘อนุทิน’ สั่ง!! 'มท.' ทุกหน่วยฯ หนุนช่วยเหตุน้ำท่วมแม่สาย ย้ำ!! ภารกิจสูงสุด เน้นช่วยเหลือชีวิตประชาชนก่อน

(11 ก.ย.67) ‘นายอนุทิน ชาญวีรกูล’ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ได้มีข้อกำชับไปยังผู้บริหารทุกหน่วยงานเกี่ยวข้องของกระทรวงมหาดไทย ให้พร้อมเข้าสนับสนุนให้ความช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบความเดือดร้อนจากน้ำท่วมหนักในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย และ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการเข้าช่วยเหลือชีวิตประชาชน

ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งเชียงใหม่ และเชียงราย ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมดำเนินการตามแผนป้องกันสาธารณภัย ลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ได้มากที่สุด หลังจากที่ได้รับรายงานจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ว่าขณะนี้มีฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ทั้ง 2 จังหวัด โดยเฉพาะใน อ.แม่อาย, จ.เชียงใหม่, อ.แม่สาย, อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย และทราบว่าในส่วนของ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่นั้น ได้เกิดเหตุดินสไลด์ และมีรายงานว่ามีประชาชนเสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว 1 ราย และยังสูญหายอีก 4 ราย

"ทราบว่าขณะนี้ในพื้นที่ อ.แม่สาย มีสถานการณ์น้ำที่ค่อนข้างรุนแรง มีกรณีประชาชนติดบนหลังคาเจ้าหน้าที่ใช้เรือเข้าช่วยเหลือลำบาก ผมขอให้ส่วนงานของมหาดไทย เช่น ปภ.ที่มีอุปกรณ์เครื่องจักรที่เอื้ออำนวยพิจารณาเข้าช่วยเหลือ ประชาชนอย่างเต็มที่ จากที่ได้รับรายงาน ปภ. พร้อมเข้าช่วยเหลือแต่ต้องพิจารณาความปลอดภัยของผู้เข้าช่วยเหลือด้วย และขอกำชับให้ท่านผู้ว่าเชียงใหม่ และเชียงราย ให้ติดตามข้อมูลน้ำอย่างใกล้ชิด ในสถานการณ์ที่มีภัยพิบัติขอให้ท่านอยู่ในพื้นที่ พร้อมเป็นตัวกลางในการประสานงานกับทุกภาคส่วนเพื่อจัดการปัญหากรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ทางด้านเหตุดินสไลด์ใน อ.แม่อาย เชียงใหม่ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสียจากภัยพิบัติในครั้งนี้ ขอย้ำให้พื้นที่ช่วยกันดูแลเรื่องการให้ข้อมูลข่าวสารแจ้งเตือนระวังอันตรายอย่าให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก" นายอนุทิน กล่าว 

สำหรับรายงานผลกระทบจากน้ำท่วมล่าสุด ปภ. รายงานว่าได้เกิด สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา มีบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 14,328 ครัวเรือน

มุกดาหาร ทหารไทย - ลาว กระชับสัมพันธ์ ยกระดับความร่วมมือปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด สินค้าหนีภาษี โจรกรรมรถ และดูดทรายผิดกฎหมาย 

เมื่อวานนี้ (10 ก.ย. 67)ที่ห้องประชุมตรวจคนเข้าเมืองมุกดาหาร ด่านพรมแดนมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร พันเอก ศิวดล ยาคล้าย ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ประธานฝ่ายไทย และ พันเอก พันวิไล ลาดสะยน หัวหน้ากองบัญชาการทหารแขวงสะหวันนะเขด ประธานฝ่ายลาว พร้อมด้วยคณะประสานงานประจำพื้นที่ชายแดน ไทย - ลาว ร่วมประชุมพบปะหารือเพื่อประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนข่าวสารด้านยาเสพติด ภัยพิบัติ การลักลอบสินค้าหลบเลี่ยงภาษี การโจรกรรมรถยนต์ข้ามแดน การลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และด้านความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน โดยสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายในระดับกองร้อย สถานีเรือ สามารถติดต่อสื่อสารและจัดกิจกรรมพบปะสัมพันธ์ หากเกิดภัยพิบัติต่างๆ และกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน สามารถเข้าดำเนินการช่วยเหลือประชาชนได้ทันที รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด และการสกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

และกรณีที่มีประชาชนของทั้งสองประเทศประสบภัยพิบัติ หรือต้องการความช่วยเหลือให้สามารถประสานงานผ่านประสานงานประจำพื้นที่ชายแดน ไทย - ลาว ทางโทรศัพท์มือถือ หรือ โปรแกรม WhatsApp ได้ทันที รวมทั้งการประสานข้อมูลเกี่ยวกับการลักลอบขนย้ายยาเสพติด หมายจับและการตรวจยึดจับกุมคดีสำคัญ การลักลอบขนสินค้าหลบเลี่ยงภาษี การลักลอบนำรถยนต์ข้ามแดนโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร การหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทั้งนี้ทางฝ่ายไทยได้ขอให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการลาดตระเวนร่วมกันอย่างเป็นทางการ 6 เดือนต่อ 1 ครั้ง และจัดการประชุมพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร 3 เดือนต่อครั้งโดยผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ

อีกทั้ง ขอให้ร่วมกันดำเนินการตรวจสอบกิจการท่าทรายของผู้ประกอบการหรือการจัดตั้งของบริษัทเหมืองแร่(ดูดทราย) ตามแนวชายแดนแม่น้ำโขงที่เห็นว่าดำเนินการไม่ถูกต้องตามระเบียบกฎหมายของแต่ละประเทศ รวมทั้งส่งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้แก่กันและกันทั้งสองฝ่าย เมื่อมีการประสานขอรับทราบข้อมูล และกรณีมีการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ให้ร่วมกันตรวจสอบพื้นที่จริงบริเวณแนวชายแดน เพื่อมิให้เกิดปัญหาเป็นวงกว้างในพื้นที่ชายแดนต่อไป 

‘นายกฯ อิ๊งค์’ เผย!! แถลง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ 12 ก.ย.นี้ ยัน!! เงินหมื่นช่วยกระตุ้น-หมุน ศก.ไทยได้ทั้งระบบ

(11 ก.ย. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าอาคารชินวัตร 3 โดยมี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ามาด้วยเพื่อเตรียมความพร้อมข้อมูลต่าง ๆ ในการแถลงนโยบายคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ในวันที่ 12-13 ก.ย.

โดย น.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ได้กำชับรัฐมนตรีทุกกระทรวงชี้แจงทันทีในข้อสงสัยของสมาชิกรัฐสภาที่อภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯเพื่อความเข้าใจ ว่า ใช่ เพราะจริง ๆ แล้วรัฐมนตรีทุกท่านตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมา ก็ทำงานกันอยู่แล้ว จึงอยากให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ ได้ตอบเอง 

ในส่วนของนายกฯ ตอบภาพรวมได้ แต่ดีเทลการทำงานของแต่ละกระทรวง เขามีดีเทลที่เขาทำจริง ๆ ซึ่งจะชัดเจนกว่าและจะสามารถให้ข้อมูลประชาชนได้ชัดเจน และจะได้ไม่เกิดข้อสงสัยหรือเข้าใจผิดกัน จึงคิดว่าอยากให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบได้ตอบงานของตัวเอง

เมื่อถามว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเกิดความชัดเจนจากเวทีนี้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ใช่ แน่นอนวันที่ 12 ก.ย.แถลงแล้ว จะแถลงภาพรวมของนโยบาย แต่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต รมว.การคลังจะเป็นคนแถลงรายละเอียดทั้งหมด

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ 10,000 บาทได้ทั้งหมดก้อนเดียวดิจิทัลวอลเล็ต แต่วิธีการทำกับการหาเสียงแตกต่างกัน จะสามารถอธิบายประชาชนอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า มันมีความแตกต่างแน่นอน พอได้ลงมือทำจริง ๆ เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลมันมีเรื่องของระบบที่จะต้องติดตั้งอีกนาน ฉะนั้นเราคิดว่าเมื่อระบบและสิ่งอื่น ๆ ยังมีข้อพิพาทต่าง ๆ ซึ่งมันต้องรอ แต่เศรษฐกิจรอไม่ได้ประชาชนรอไม่ไหว ฉะนั้นต้องปรับเปลี่ยนในจุดนี้ให้ประชาชนก่อน เพราะเรื่องเศรษฐกิจเป้าหมายของเราในการทำดิจิทัลวอลเล็ตนั่นคือการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ หากกระตุ้นไม่พอ เรายังพร้อมที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในแบบดิจิทัลด้วย แต่ว่ามันมาช้ากว่า แต่เศรษฐกิจต้องถูกกระตุ้นก่อน เราทำอันนี้เสร็จไม่ใช่มีแค่นโยบายเดียว เรามีอีกหลายอันที่สามารถเศรษฐกิจได้ แต่อันนี้เป็นอันหลัก เร่งด่วนและเห็นผลทันทีจึงอยากรีบทำ

เมื่อถามว่า รัฐบาลวันนี้สานต่องานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ซึ่งเคยมีนโยบายจ่ายเงินดิจิทัล รอบเดียวไม่แบ่งจ่ายกระตุ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาพใหญ่ แต่วันนี้เปลี่ยนไปการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นตามเป้าหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า การวางแผนเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจมีหลายเฟสที่ต้องกระตุ้น อย่าง 10,000 บาท ที่ได้แถลงไปแล้วว่าจะจ่ายก่อน ก็เป็นการกระตุ้นอันหนึ่ง ภาพใหญ่หนึ่งภาพก่อน แต่ส่วนหลังจากนั้นก็ไม่ลืมทิ้งโครงสร้างดิจิทัลที่เราจะต้องทำต่อด้วย อันนี้สำคัญ ตอนแรกเราจะไม่ให้เป็นเงินสดเลยทั้งหมด จะเป็นเงินดิจิทัลทั้งหมด แต่อย่างที่บอกเศรษฐกิจรอไม่ได้ เราก็เลยต้องแบ่งเฟส ดิจิทัลยังอยู่แต่เราอาจจะเปลี่ยนเป็นว่า 5,000 บาทไหม หรืออย่างไร เดี๋ยวให้ รมว.การคลังแถลงรายละเอียด

เมื่อถามว่า พอแบ่งจ่ายอาจจะไม่ใช่พายุหมุนเหมือนที่เราตั้งใจไว้ หลายคนมองว่าเหลือเพียงแค่หย่อมความกดอากาศต่ำ นายกฯ กล่าวว่า มันเป็นการกระตุ้นแน่นอนแต่รูปแบบเปลี่ยนไป ฉะนั้นขอให้ รมว.การคลัง แจงในรายละเอียดอีกที

เมื่อถามว่าเป้าในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะลดลงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ค่ะ เพราะเราแบ่งเฟสแล้วและอย่างที่บอกไม่ได้มีนโยบายเดียว ที่จะให้การกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดขึ้น ฉะนั้นการแบ่งทีละเฟสควบคู่กับนโยบายอื่น ๆ ก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจดูดี

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยหาเสียงจ่ายเงินดิจิทัลขณะที่ยังไม่ศึกษารายละเอียดจึงทำให้การจ่ายเงินล่าช้า นายกฯ กล่าวว่า มันล่าช้าเพราะเราเข้ามาเราคิดว่าจริง ๆ แล้วระบบมันจะสามารถดำเนินไปได้เลย แต่มันต้องมีการรับฟัง แน่นอนถ้าไม่เกิดการรับฟังมีปัญหาอย่างแน่นอน ซึ่งต้องรับฟังหลาย ๆ ฝ่ายว่ามีข้อกังวลหรือข้อสงสัยอะไร อันนี้คือสิ่งที่เราพยายามทำให้รัดกุม และดีที่สุดสำหรับประเทศด้วย

เมื่อถามว่า ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภามีความมั่นใจเต็มที่หรือไม่ เนื่องจากทั้งฝ่ายค้านและ สว.จองคิวไว้เต็มที่ นายกฯ กล่าวว่า “เหรอคะ เราก็ทำเต็มที่ แต่จริง ๆ แล้วขอโฟกัสเรื่องน้ำท่วม หลังการแถลงก่อน”

เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นถึงกับจะต้องมีองครักษ์พิทักษ์นายกฯ หรือไม่ นายกฯ ไม่ตอบได้แต่ร้องอ๋อ

เมื่อถามว่า ยังมีเสียงข้อครหารัฐบาลแพทองธาร ไม่ต้องนับปีเอาแค่นับเดือนจะรอดหรือไม่ นายกฯ ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ก็ช่วยกันนับ”

'รมว.เอกนัฏ' เปิดฉาก!! 'ปฏิรูปอุตสาหกรรม' หลังเข้ากระทรวงอุตฯ วันแรก พร้อมเตรียมงานเชิงรุก ก่อนลุยเก็บข้อมูลกากของเสียรั่วไหลที่ระยอง

(11 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะ เดินทางเข้ากระทรวงอุตสาหกรรมเป็นวันแรก เพื่อเตรียมการทำงาน แลกเปลี่ยนมุมมองกับคณะผู้บริหารระดับสูง โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำเสนอภาพรวมการดำเนินงาน พร้อมแนะนำผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม

โดยนายเอกนัฏ กล่าวถึง 'การปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย' (Industrial Reform) เพื่อรับโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของโลกใน 3 พันธกิจสำคัญเร่งด่วน ดังนี้...

1. จัดการกากอุตสาหกรรมตกค้างทั้งระบบอย่างเข้มงวด

2. ปกป้องอุตสาหกรรมไทยจากการทุ่มตลาด: ช่วยผู้ประกอบการรายย่อย ที่รับผลกระทบจากการทะลักเข้าของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และยกระดับขีดความสามารถ SME ไทย

3. สร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้าง New S-Curve กับประเทศ ด้วยสินค้าเกษตรเทคโนโลยีสูง พลาสติกชีวภาพ โอลีโอเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง อุตสาหกรรมยานยนต์ EV ชิพเซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมที่จะรื้อปรับปรุง กฎหมาย กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง พร้อมผสานความร่วมมือกับภาคประชาชน เอกชน ท้องถิ่น และกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการงานให้สำเร็จตามเป้าหมายภายในระยะเวลาที่ชัดเจน

รวมถึงการจัดตั้ง 'กองทุนเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม' แบบครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการไทย อัปสกิลผลิตแรงงานคุณภาพสูง ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยี บริหารจัดการค่าจับปรับด้านสิ่งแวดล้อมแบบไม่ต้องพึ่งพางบกลาง

"ผมจะทำทันที ทำทุกวินาที ไม่ยอมจนกว่าจะทำให้สำเร็จ" รมว.อุตสาหกรรม กล่าวเสริม

หลังจากประชุมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแล้วนายเอกนัฏ และคณะ ได้ออกเดินทางทันที เพื่อสำรวจพื้นที่ที่มีสารเคมีรั่วไหลใน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ตามข้อร้องเรียนของประชาชน

‘อ.เดชา’ ยก ‘หลานม่า’ สะท้อนคุณค่าวัตถุดิบชั้นดีที่มีอยู่เกลื่อนเมืองไทย แถมตอกย้ำให้เห็นมิติดีๆ จากการทำงานร่วมกัน ระหว่างคนต่างรุ่น

เมื่อวานนี้ (10 ก.ย. 67) นายเดชา ศิริภัทร เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Deycha Siripatra’ กล่าวถึงภาพยนตร์ไทยเรื่อง ‘หลานม่า’ ที่ประสบความสำเร็จทำรายได้รวมทั่วโลกกว่า 1,800 ล้านบาท ระบุว่า…

วันนี้ ขอเขียนถึงภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้ตำแหน่ง ภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุด

นั่นคือภาพยนตร์เรื่อง 'หลานม่า' ที่ทำรายได้รวมทั่วโลก กว่า1,800 ล้านบาทแล้ว

นับเฉพาะประเทศจีน (ที่ยังฉายอยู่ตอนนี้) ประเทศเดียว ก็ทำรายได้เกิน 500 ล้านบาท

ในประเทศไทย 'หลานม่า' ทำรายได้รวม 300 กว่าล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าประเทศจีน

และในประเทศอินโดนีเซีย ก็ทำรายได้รวม มากกว่าในประเทศไทย (กว่า 400 ล้านบาท)

ต่อจากนี้ จะมีโปรแกรมเข้าฉายในทวีปยุโรป และประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

รวมถึงเข้าฉายใน เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) เร็วๆ นี้ ผู้ชมคงกระจายไป กว้างขวางทั่วโลก

สิ่งที่อยากตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับ 'หลานม่า' ก็คือ คนดูส่วนใหญ่ร้องไห้กันอย่างหนัก

โดยเฉพาะในประเทศจีน แม้ทางโรงภาพยนตร์แจกทิชชูให้ผู้ชมทุกคน ก็ยังไม่พอซับน้ำตา

เพราะเนื้อเรื่องชีวิตช่วงสุดท้ายของ 'อาม่า' (ยาย) กับหลานชายนั้น กระทบจิตใจมาก

เป็นความสัมพันธ์ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ซึ่งยังมีอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนอยู่

แม้ยายกับหลานชาย จะเป็นคนที่อยู่ต่างรุ่นกัน มีวิถีชีวิตต่างกัน แต่ยังมีสายใยเชื่อมโยง

คนเชื้อสายจีน (ที่มีอยู่ทั่วโลก) จะรู้สึกซาบซึ้งกับ 'หลานม่า' เป็นพิเศษ เพราะเข้าใจได้ดี

แม้คนที่อยู่ต่างวัฒนธรรม ก็เข้าใจสิ่งที่สื่อออกมาได้ไม่ยาก แม้จะไม่ลึกซึ้งเท่าคนเชื้อจีน

จึงนับได้ว่า เนื้อเรื่องของ 'หลานม่า' เป็น 'ซอฟต์พาวเวอร์' ที่มีผลเป็นรายได้ ชัดเจนยิ่ง

ดังนั้น ภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ จากประเทศไทย จึงมีศักยภาพเป็น 'ซอฟต์พาวเวอร์' ที่ดี

เพราะคนไทยมีวัตถุดิบในประเทศ ที่นำมาเป็นเนื้อเรื่อง (Story) เสนอชาวโลกได้อีกมาก

เช่นภาพยนตร์เรื่อง 'วิมานหนาม' ที่นำเสนอเรื่อง 'ทุเรียน' ก็กำลังได้รับความนิยม

เพราะ 'ทุเรียน' เป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงระดับโลกแล้ว โดยเฉพาะทุเรียนจากประเทศไทย

ประเทศไทยยังมี อาหารไทย มวยไทย วัดไทย วัฒนธรรมไทยด้านต่างๆ อีกมากมาย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็น 'ซอฟต์พาวเวอร์' ชั้นดี รอให้คนไทยที่มีฝีมือ นำมาเสนอชาวโลก

ดังเช่น การนำชิวิตในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน มาเสนอในภาพยนต์เรื่อง 'หลานม่า'

ต้องยอมรับว่า ผู้เขียนบทฯ ผู้กำกับฯ และผู้แสดงภาพยนตร์เรื่อง 'หลานม่า' เป็นคน 'มีฝีมือ'

หวังว่า คนไทยที่ 'มีฝีมือ' จะช่วยกันนำสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในประเทศ ออกมานำเสนอต่อชาวโลก

โดยเรียนรู้จากความสำเร็จของ 'หลานม่า' เป็นตัวอย่างของการทำงานต่อไป ให้ดียิ่งขึ้น

และสิ่งหนึ่งที่เรียนรู้ได้จาก 'หลานม่า' ก็คือ การทำงานร่วมกัน ระหว่างคนต่างรุ่น

ระหว่างคนรุ่นเก่า คุณอุษา เสมคำ (ยายแต๋ว) และคุณ พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล (บิวกิ้น)

ภาพของทั้งสองคน ในภาพยนตร์เรื่อง 'หลานม่า' คงอธิบายทุกสิ่งได้ดีกว่าคำพูดใดๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top