Wednesday, 18 June 2025
TheStatesTimes

รรท.รอง ผบ.ตร. เปิดอบรมยกระดับการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต พร้อมแสวงหาความร่วมมือทุกภาคส่วน ร่วมขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ

(9 ก.ย. 67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาล ที่ตระหนัก และให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์  และภาคประมง ซึ่งได้มีการกำหนดไว้ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยมุ่งหวังให้ ตร.มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาล มาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค)/ผอ.ศพดส.ตร.
ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

ต.ท.ประจวบฯ เปิดโครงการสัมมนาพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศ  ต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 - 11 ก.ย.67 ณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ  โดยมีผู้เข้ารับการอบรมเป็น รอง ผบก.สส. และ รอง สว. - ผบ.หมู่ ผู้รับผิดชอบงานล่วงละเมิด  ทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ทุก บก./ภ.จว. ในสังกัด บช.น. และ ภ.1 - 9 รวม 180 คน

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กในโลกออนไลน์ เป็นปัญหาระดับโลกที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยต้องมีการเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาศักยภาพของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการป้องกันปราบปรามการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กในโลกออนไลน์ ปัจจุบันรูปแบบของการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กในโลกออนไลน์ ได้แก่ สื่อแสดงการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก การตระเตรียมเด็กออนไลน์เพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ       การส่งข้อความหรือรูปภาพยั่วยุทางเพศ การแบล็คเมล์ทางเพศออนไลน์ การถ่ายทอดสดการละเมิดทางเพศต่อเด็ก และการกลั่นแกล้งรังแกกันในโลกออนไลน์ ซึ่งการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในโลกออนไลน์ เป็นตัวชี้วัดหนึ่งในการจัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ของสหรัฐอเมริกา โดยในปี 2024 ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ใน Tier 2 ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม    ดังนั้น การสัมมนาในวันนี้จึงมีความสำคัญ และเป็นการมุ่งพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในโลกออนไลน์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยึดหลักเด็กเป็นศูนย์กลาง วิเคราะห์เป้าหมายและข้อมูลเบาะแส รับแจ้งเหตุและการบริหารจัดการเคสอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความรู้ความเชี่ยวขาญและทักษะในการสืบสวนพยานหลักฐานทางดิจิทัล นำความรู้ในการสืบสวนทางเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้กับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มีความรู้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน

จากนั้น พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ร่วมกับ พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง จตร./หน.ชป.TICAC, นางเตือนใจ คงสมบัติ ผู้ตรวจราชการ พม., นายรัชพล มณีเหล็ก ผอ.กองต่อต้านการค้ามนุษย์, นายวิจิตา รชตะนันทิกุล อดีตที่ปรึกษาวิชาการ พม. และ NGOs ได้แก่ ผู้แทนมูลนิธิไอเจเอ็ม, คลินิก กม.แรงงาน HRDF แม่สอด, ศูนย์พิทักษ์เด็กพัทยา มูลนิธิ A21, โครงการ ASEAN - ACT ประจำประเทศไทย, ไซเบอร์ วินร๊อก อินเตอร์เนชั่นแนล, องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ประจำประเทศไทย และ มูลนิธิ Spring เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการปราบปรามการค้ามนุษย์และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการแสวงหาความร่วมมือต่างๆ ในการปฏิบัติงาน

สำหรับความผิดฐานค้ามนุษย์ในรูปแบบต่างๆ ได้กำหนดให้มีการระดมกวาดล้างจับกุมในระหว่างวันที่ 15 - 30 ก.ย.67 ส่วนความผิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต ได้ส่งการระดมกวาดล้างจับกุม ในระหว่างวันที่ 20 ส.ค. - 30 ก.ย.67 ด้วยการป้องกันปราบปรามที่เข้มข้น ได้มุ่งเน้นผลการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม

พล.ต.ท.ประจวบฯ รรท.รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการระดมสรรพกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกภาคส่วน ในการเร่งรัดปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว  การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมงจะประสบผลสำเร็จ ตอบสนองนโยบายรัฐบาล เสริมสร้างความเสมอภาค  เท่าเทียม และรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ภายใต้กรอบของกฎหมาย ประชาชนและสังคมมีความสงบเรียบร้อยสืบไป

รอง ผบ.ตร.สั่งการมอบเงินช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะปฏิบัติหน้าที่ปะทะต่อสู้ระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งข่มขู่ใช้อาวุธมีดทำร้ายบุคคลในครอบครัว

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) เวลา 14.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.(ปป)/ผอ.ศอ.ปส.ตร.)  มอบหมายให้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าส่วนอำนวยการและสนับสนุน ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปมอบเงินกองทุนสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ให้แก่ ร.ต.ต.นิรันด์ วังใน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม  สถานีตำรวจภูธรเวียงแหง  จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 200,000 บาท จากกรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะปฏิบัติหน้าที่ปะทะต่อสู้ระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งข่มขู่ใช้อาวุธมีดทำร้ายบุคคลในครอบครัว บริเวณบ้านเวียงแหง หมู่ 4 ต.เวียงแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โดย ร.ต.ต.นิรันด์ฯ ได้รับบาดเจ็บบริเวณหลัง และจมูกถูกมีดตัดเกือบขาดเป็นแผลฉกรรจ์ (หากแพทย์ห้ามเลือดไม่ทัน จะทำให้เลือดลงปอดแล้วเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้) แพทย์จึงได้รีบทำการรักษาห้ามเลือด และเย็บจมูกส่วนดังกล่าวกลับคืน และส่งมาทำการรักษาต่อยัง รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ เพื่อทำการผ่าตัดซ่อมแซมแล้วต่อโพรงจมูกให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ หลังรับการผ่าตัดต้องระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อเป็นอย่างมาก ปัจจุบันอาการบาดเจ็บดีขึ้น สามารถเข้าเยี่ยมได้ แต่ยังคงต้องใส่ท่อเพื่อช่วยพยุงทางเดินหายใจ ไม่ให้โพรงจมูกล้ม และสามารถหายใจได้ตามปกติ

ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธร ฯ กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนของผู้บังคับบัญชา ขอแสดงความห่วงใย เป็นกำลังใจ และขอชื่นชมการทำงานเป็นทีมของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าร่วมระงับเหตุบุคคลคลุ้มคลั่ง ร่วมกับ ร.ต.ต.นิรันต์  ในการจับกุมคนร้าย และสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามหลักยุทธวิธี ได้เป็นอย่างดี  สมกับความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ไม่ทำให้ผู้กระทำผิดเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต แม้ว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บ ขณะเข้าระงับเหตุก็ตาม  และหวังว่าเงินช่วยเหลือนี้ จะตัวช่วยเสริมสร้างกำลังใจในการฟื้นฟูร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดงบกว่า 4 ล้านบาท เร่งฟื้นฟูหลังน้ำลด และช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ 5 จังหวัด พร้อมติดตามสถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบันเพื่อประเมินการช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

(10 ก.ย. 67) ระหว่างวันที่ 4-10 กันยายน 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วยนางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีมลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด ในโครงการฟื้นฟูหลังน้ำลด แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช และน้ำปลา ให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน สุโขทัย และแพร่ รวม 5 จังหวัด เครื่องอุปโภคบริโภคจำนวน 8,500 ชุด นอกจากนี้ยังได้ มอบเงินสงเคราะห์ค่าฌาปนกิจให้แก่ญาติผู้เสียชีวิตจำนวน 9 รายๆ ละ 20,000 บาท รวมงบประมาณการช่วยเหลือทั้งสิ้น 4,005,000 บาท (สี่ล้านห้าพันบาทถ้วน) โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมลงพื้นที่แจกจ่ายมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

นอกจากนี้ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้นำทีมหน่วยแพทย์ฯ และเจ้าหน้าที่กู้ชีพ แผนกบรรเทาสาธารณภัยฯ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา คัดกรองเบาหวาน ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย แพร่ และน่าน โดยมีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก

เมื่อเกิดอุทกภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมบรรเทาสาธารณภัย พร้อมเรือท้องแบน และ โรงครัวเคลื่อนที่เพื่อประกอบอาหารกล่อง พร้อมถุงยังชีพ ชุดยาเวชภัณฑ์ และอาหารสุนัขและแมว นำแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย เพื่อการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ในเบื้องต้น หลังจากนั้น ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท ทั้งนี้ หากมีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถขอรับเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์

ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการภารกิจในพื้นที่ และเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินและเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านต่าง ๆ ต่อไป

ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง #ช่วยชีวิต #รักษาชีวิต #สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน #ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

สำรวจ 'สเปก-ราคา-สี-ความจุ' iPhone 16 เปิดจอง 13 วางจำหน่ายจริง 20 ก.ย.นี้

(10 ก.ย. 67) TNN Tech เปิดเผยว่า Apple ได้ประกาศเปิดตัว iPhone 16 ทั้ง 4 รุ่น อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 10 ก.ย. ตามเวลาในประเทศไทย

โดยในปีนี้ iPhone 16 มาพร้อมวัสดุอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับอุตสาหกรรมการบินและมีสีใหม่ ๆ มากขึ้น ได้แก่ 'อุลตรามารีน' / 'เขียวอมฟ้า' และสีชมพู 

Apple ยังคงจุดเด่นด้านความทนทานกันน้ำและฝุ่นได้มากขึ้น และมีหน้าจอเซรามิกกระจกแบบใหม่ แข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อนหน้า 50% และแข็งแกร่งกว่า 'สมาร์ตโฟนอื่น ๆ' ถึงสองเท่า หน้าจอสามารถแสดงความสว่างได้ระหว่าง 2,000 นิตถึง 1 นิต

ขนาดหน้าจอ iPhone 16 มีให้เลือกทั้งขนาด 6.1 นิ้วและ 6.7 นิ้วในรุ่นพื้นฐานและรุ่น Plus ทั้งสองรุ่นจะมีปุ่ม Action ที่ปรับแต่งได้ใหม่ทางด้านซ้าย 

เทคโนโลยีประมวลผลข้อมูลขับเคลื่อนด้วยชิป Apple Silicon รองรับฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ Apple Intelligence พร้อมติดตั้งชิปเปลี่ยนจาก A16 Bionic เป็น A18 บน iPhone 16 ใช้พลังงานน้อยกว่าชิป A16 Bionic ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เทียบชั้นคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป

การถ่ายภาพยังคงเป็นจุดเด่นด้วย 'ระบบอัจฉริยะด้านภาพ' ที่มาพร้อมกับระบบควบคุมกล้องใหม่ของ iPhone 16

กล้องบน iPhone 16 ติดตั้งเลนส์เทเลโฟโต้ 2x 12MP ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์หลักมารวมกับเลนส์ พร้อมกล้อง Fusion 48MP ถ่ายวิดีโอ 4K 60p พร้อมรองรับ HDR และกล้อง Ultrawide

ความคมชัดกล้องถ่ายภาพหลัก 48MP Fusion Camera กล้อง Tele Photo 12MP รองรับภาพถ่าย Macro และวิดีโอแบบ Spatial Video

การเชื่อมต่อข้อมูลรองรับการส่งข้อมูลไร้สาย Wi-Fi 7 ความจุเริ่มต้น 128GB ทั้ง 2 รุ่น

จุดเด่นมาพร้อมกับปุ่ม Camera Control ช่วยให้ถ่ายภาพและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทันทีทำงานร่วมกับ ChatGPT และ Google กดถ่ายรูปง่ายมากขึ้น 

ราคาจำหน่าย
iPhone 16 
- 128GB: 29,900 บาท
- 256GB: 33,900 บาท
- 512GB: 41,900 บาท

iPhone 16 Plus
- 128GB: 34,900 บาท
- 256GB: 38,900 บาท
- 512GB: 46,900 บาท

โดยจะเริ่มเปิดให้จองสั่งซื้อล่วงหน้าในวันที่ 13 กันยายน ตั้งแต่เวลา 19.00 น และ เริ่มวางจำหน่ายจริง 20 ก.ย.นี้

‘สุชาติ’ ยกย่อง ‘ภูมิธรรม’ มุ่งมั่นทำเพื่อชาติบ้านเมือง ยก!! เป็นคนดี-มีวิสัยทัศน์-เป็นผู้นำ ยินดีนั่งกลาโหม

(10 ก.ย. 67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุผ่านแฟนเพจ ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ เผยความประทับใจที่ได้ร่วมงานกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อครั้งนายภูมิธรรมดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ 

โดยระบุว่า “ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ผมได้อยู่ใต้ร่มเงา ‘พี่อ้วน ภูมิธรรม’ ซึ่งเป็นเจ้ากระทรวงพาณิชย์ ผมมีเพียงความรู้สึกประทับใจในบทบาทการทำงาน ที่พี่ทำไว้เป็นแบบอย่าง เป็นต้นแบบการทุ่มเทกำลังแรงใจ เพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ ทำให้พี่อ้วนเป็นเจ้ากระทรวงที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง และผมขอแสดงความยินดีกับการไปดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ครับ…

‘เฮ้ง’ สุชาติ ชมกลิ่น”

'ปิยบุตร' อบรม 'พรรคส้ม' ทำการเมืองแบบโดดเดี่ยวตัวเอง หากปี 2570 ได้เสียงไม่ถึงครึ่งสภาอีก จะเป็นรัฐบาลได้อย่างไร

(10 ก.ย. 67) ขณะนี้กลุ่มชาวเน็ต ได้แชร์คลิปความเห็นทางการเมืองของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตสส.บัญชีรายชื่อ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่พูดในช่องสื่อออนไลน์แห่งหนึ่ง ถึงการเมืองในระบบรัฐสภา และวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกล (ปัจจุบันชื่อพรรคประชาชน) กรณีการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมีความยาว 2 นาที

โดยในคลิปมีเนื้อหาดังนี้ "...เราก็ต้องยอมรับ นี่ผมเตือน เดี๋ยวคนจะบอกว่าผมพูดเหมือนนางแบก ต้องยืนยันว่าระบบรัฐสภาทั่วโลก ไม่ได้หมายความว่าพรรคที่ได้ที่ 1 จะต้องเป็นรัฐบาลเสมอไป มันอยู่ที่คุณตั้งได้หรือตั้งไม่ได้ อย่างนายกฯ นิวซีแลนด์ ผมเข้าใจว่าเขาก็ไม่ได้ที่ 1 แต่เขาตั้งได้ เพราะระบบรัฐสภา คือการรวมเสียงข้างมากในสภา…

“ก้าวไกลมีความชอบธรรมสูงที่สุดในการตั้งรัฐบาลก่อน เพราะคุณได้ที่ 1 ตามธรรมเนียม แต่พอตั้งไม่ได้ หาไม่ได้ แล้วอีกข้างหนึ่งหาได้ แม้จะมี สว.พิเรนทร์โผล่มาด้วย ก็ว่ากันไป แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่ระบบรัฐสภา ต้องยึดว่า พรรคที่ได้ที่ 1 อาจจะไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ได้ ถ้าคุณรวมเสียงไม่ได้…

“ดังนั้น เวลาเราบอกว่า ก้าวไกลชนะแล้วไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็มันรวมไม่ได้ แม้จะมีรัฐธรรมนูญที่พิการ เพราะมี สว. แต่ก็เหมือนกัน ผมพูดถึงการเลือกตั้ง 2570 ที่ไม่มี สว. มาโหวตนายกฯ แล้ว เกิดวันนั้นก้าวไกล (ปัจจุบันชื่อพรรคประชาชน) ได้ 200 กว่า แล้วคุณตั้งไม่ได้อีกจะทำยังไง…

“คุณมั่นใจได้ยังไงว่าครั้งหน้าคุณจะเกิน 250 ถ้ามันไม่ถึง คุณจะเดินการเมืองเพื่อมัดตัวเองตั้งแต่วันนี้ทำไม พูดในมุมของคนที่ชอบการปฏิวัติ ไม่ชอบระบบพ่อปกครองลูกในระบบรัฐสภา แต่ชวนให้คิดว่า ถ้าคุณอยากเป็นรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้ โครงสร้างแบบนี้ ที่คุณยังไปไม่ถึงครึ่งหนึ่ง คุณจะทำยังไง…

“ถ้าคุณล่อตั้งแต่วันนี้ ผมนึกไม่ออกเลยว่างวดหน้าจะเป็นยังไง จะคุยกับใครได้ มันคือเล่นการเมืองแบบโดดเดี่ยวตัวเองออกมา ถ้าคุณเล่นแบบนี้ คุณต้องเลิกคิดเรื่องนี้แล้ว พูดง่าย ๆ คุณเป็นรบทุกสนาม เพื่อการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ แต่ถ้ายังเชื่อว่า 2570 กำลังยังไม่พอ เราได้แค่นี้ ต้องคิดอีกมุมหนึ่ง ถ้าอยากเป็นรัฐบาล"

‘อดีตทูตนริศโรจน์’ ชี้!! ‘จนท.สายการบิน’ มีการควบคุมข้อมูลแบบเป๊ะๆ ‘เครื่องถึง-ดีเลย์-ปิดเคาน์เตอร์’ ตอนไหน? และคุณมาถึงเวลาเท่าไหร่?

(10 ก.ย. 67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Fuangrabil Narisroj' ระบุว่า…

เห็นมาหลายรายแล้ว พวกที่ชอบเปิดศึกกับสายการบิน คือ ถ้าข้อมูลของคุณไม่แม่นแล้ว คุณจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่า

เพราะ จนท.สายการบินเขาคุมข้อมูลแบบเป๊ะ ๆ อยู่กับมือว่าเครื่องถึงเมื่อไหร่ ดีเลย์เท่าไหร่ ปิดเคาน์เตอร์ เมื่อไหร่ คุณมาถึงเวลาเท่าไหร่ ก่อนหรือหลังเคาน์เตอร์ปิดกี่นาที บวกกับมีกฎการบินสากล ที่คุมบังคับทุกสายการบินในภาพรวม

ยังไง ๆ คุณก็ไม่ชนะครับ !!

ยกเว้น คุณถูก treat แบบไม่เป็นธรรม มีการลงไม้ลงมือ มีการเลือกปฏิบัติต่อเชื้อชาติ ศาสนา ผิว เพศสภาพอย่างดูหมิ่นเหยียดหยาม แบบนี้มีโอกาสชนะมากกว่า 

หมายเหตุ พวกที่ชอบโอดครวญว่า ลูกเรือไม่มีน้ำใจช่วยยกกระเป๋าขึ้นช่องเก็บของก็เช่นกัน ! ตามกฎการบินสากล ลูกเรือไม่มีหน้าที่ยกกระเป๋าผู้โดยสารขึ้นเก็บให้ เพราะถ้าคุณ handle กระเป๋าไม่ได้เพราะหนักเกินไป คุณเตี้ยเกินไป คุณต้องโหลดลงเก็บใต้ท้องเครื่องครับ

เพราะกระเป๋าที่คุณถือขึ้นเครื่องเอง คุณก็ต้องรับผิดชอบว่าคุณสามารถยกขึ้นเก็บได้เอง 

ทำไมกฎการบินถึงห้ามลูกเรือยกกระเป๋าให้ผู้โดยสาร เพราะหากเกิดพลาดพลั้งกระเป๋าใบนั้นสร้างความบาดเจ็บกับลูกเรือคนใดคนนึง เที่ยวบินนั้นจะต้องถูกดีเลย์หรือยกเลิกเพื่อเปลี่ยนลูกเรือคนใหม่  

อย่าลืมว่าผู้โดยสารมีเป็นร้อย ๆ คน แต่ลูกเรือมีไม่กี่คน ถ้าเขาต้องมาช่วยยกกระเป๋าผู้โดยสารขึ้นลง โอกาสเกิดอุบัติเหตุทำให้บาดเจ็บมีสูงมาก ส่วนกรณีที่ลูกเรือบางคนช่วยผู้โดยสารที่มีเหตุสุดวิสัยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แบบกะทันหันนั้นเป็นข้อยกเว้นแต่ละกรณีไปครับ 

และโปรดจำไว้เสมอว่า ลูกเรือบนเครื่องบิน เขามิใช่ ‘ขี้ข้าหรือคนรับใช้ส่วนตัวบนเครื่องบินของคุณ’ แต่พวกเขาเป็น ‘ผู้อำนวยความสะดวกให้การเดินทางโดยเครื่องบินของคุณเป็นไปโดยราบรื่นถูกต้องตามกฎการบินสากล’ พวกเขาต้อง operate เครื่องไม้เครื่องมือบนเครื่องบินที่ ผู้โดยสารไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้ฝึกมาแบบลูกเรือ

เมื่อขึ้นเครื่องก็แค่ทำตามคำแนะนำของลูกเรือทุกอย่างก็จะ smooth ผมเองเดินทางโดยเครื่องบินมานับเป็นพันครั้งแล้วกระมัง ทุกครั้งที่ขึ้นผมจะทำตัวลีบ ๆ ไม่ demand มากถ้าไม่จำเป็น เพราะเห็นใจว่าลูกเรือเขามี ผดส.เป็นร้อย ๆ คน เขาเหนื่อยกว่าเราเยอะ

จึงเป็นเหตุว่าผมแทบไม่เคยเจอปัญหาอะไรเลยกับการเดินทางโดยเครื่องบิน

มีเพื่อนผมบางคน ค่อนข้างโรคจิตประเภทชอบจับผิด ยิ่งถ้าขึ้นเครื่อง TG พอเห็นลูกเรือไทย อาการจะกำเริบ จับผิด จิก กัด demand ต่าง ๆ แค่เขาไม่ยิ้มก็เป็นเรื่อง แล้วก็เอามานินทาว่า TG ห่วยอย่างนั้นอย่างนี้ 

แต่พอไปเจอลูกเรือสายการบินต่างชาติเงียบกริบไม่หือไม่อืออะไรเลย มีจริง ๆ ครับคนแบบนี้ ทำให้เวลาเดินทางจะไม่มีความสุข

ส่วนผมสบายมาก enjoy การบินด้วย TG เกือบทุกครั้ง มีบางครั้งที่ขลุกขลักแต่ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ และผมได้รับการบริการด้วยดีจากลูกเรือ TG ทุกครั้งครับ

'บอสณวัฒน์' ฉะ!! 'กามิน' ถ้าไม่มีคนไทย ป่านนี้ยังไงก็ไม่ดัง ลั่น!! จ่ายเงินให้ไลฟ์ครั้งละ 1 ล้าน เสียภาษีบ้างหรือไม่

(10 ก.ย. 67) หลังจาก ‘แน็ก ชาลี’ นักแสดงชื่อดัง ไลฟ์มาราธอน พูดถึงเรื่องของ ‘กามิน’ หลังมีข่าวลือเลิกรากัน บอกว่า ขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ออกมาพูดหมดทุกเรื่องเผยสาเหตุการเลิกรา กามิน ทั้งที่ยังรัก ขอโทษที่ดูแลไม่ดี มีบ้านให้อยู่ มีโรงแรมอีก มีรถรับส่งตลอด พามาทำงานได้เงินชั่วโมงละ 4 แสน บางงานถ่ายวันหนึ่งได้เป็นล้าน แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้รับโดนด่าโดนประณาม

ขณะเดียวกัน กามิน ก็เคลื่อนไหว ทั้งลบรูปคู่ ลบคลิปคู่กับ แน็ก ชาลี รวมทั้งอินสตาแกรม และ TikTok ทุกแพลตฟอร์ม และยังปิดคอมเมนต์ที่เข้าไปถล่มดรามา

นอกจากนี้ กามิน ยังออกมาไลฟ์เปิดกล่องของที่ขนกลับจากเมืองไทยว่ามีอะไรบ้าง ที่ถูกหาว่าขโมยของอะไรมา ส่วนใหญ่เป็นของที่เอฟซีให้ เสื้อผ้า ทั้งยังไลฟ์ขณะร้องไห้หนักด้วย ทำเอาแฟน ๆ ส่งกำลังใจจำนวนมาก

ล่าสุด เหมือนจะมีดรามาครั้งใหม่ เมื่อ ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กถึงกามิน โดยระบุว่า “ผมจ่ายเงินให้กามินไลฟ์ครั้งละ 1,000,000 ควรสำนึกบ้างถ้าไม่มีคนไทยยังไงก็ไม่ดังและมีเงิน”

จากนั้นก็ได้คอมเมนต์เพิ่มเติมอีกว่า “และเชิญมามอบรางวัลบนเวทีมิสแกรนด์ ให้ทั้งโปรโมตให้ทั้งเงิน จ้างไม่รู้กี่ครั้งทำงานในเมืองไทยเสียภาษีหรือเปล่าไม่รู้” หลังจากนั้นก็มีบรรดาแฟนคลับ และชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์กันถล่มทลาย

'ยุโรป' ทดสอบ 'ไฮเปอร์ลูป' สำเร็จเป็นครั้งแรก ที่ความเร็ว 30 กม./ชม. คาด!! พัฒนาสู่ 100 กม./ชม. ในสิ้นปีนี้ และ 700 กม./ชม.ในปี 2030

(10 ก.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ความฝันที่จะเดินทางภาคพื้นดินระหว่างเมืองต่าง ๆ ของยุโรปด้วยความเร็วมากกว่า 700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขยับเข้าใกล้ไปอีกก้าว หลังจากการทดสอบยาน ณ ศูนย์ไฮเปอร์ลูปยุโรป ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์ (9 ก.ย.) เป็นการทดสอบต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติ 300 คน ในนั้นรวมถึงเจ้าชายคอนสแตนติน แห่งเนเธอร์แลนด์ ที่ทอดพระเนตรผ่านจอยักษ์

แคปซูลลอยได้ ลายสีเทาอ่อนและเทาเข้ม ลอยอยู่ภายในอุโมงค์สีขาวความยาว 420 เมตร ตามคำสั่งของศูนย์ควบคุมภารกิจ ก่อนพุ่งออกไปด้วยแรงขับเคลื่อนพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม การทดสอบครั้งนี้ไม่มีมนุษย์อยู่ในแคปซูลแต่อย่างใด

ณ เวลานี้ แคปซูลทำความเร็วได้ค่อนข้างต่ำ แค่ราว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ฝ่ายปฏิบัติการหวังว่ามันจะสามารถทำความเร็วแตะระดับ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในสิ้นปี ในขณะที่พวกเขาพยายามเร่งมือหาทางเปิดตัวระบบขนส่งล้ำสมัยนี้ภายในปี 2030

"เราจะพร้อมสำหรับขนส่งผู้โดยสารภายในยาน ราวปี 2030" โรเอล ฟาน เดอ ปาส ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าของ Hardt Hyperloop บริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี

ฟาน เดอ ปาส เชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีนี้จะเป็นตัวปฏิวัติการเดินทางในยุโรป สามารถเดินทางจากอัมสเตอร์ดัมไปยังเบอร์ลิน เพียง 90 นาที หรือไปมิลาน ใน 2 ชั่วโมง

อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งสเปซเอ็กซ์และเทสลา นำพาไฮเปอร์ลูปเข้าสู่วัฒนธรรมประชานิยม ด้วยเอกสารฉบับหนึ่งในปี 2013 เสนอ ‘การขนส่งชนิดที่ 5’ เชื่อมซานฟรานซิสโกกับลอสแองเจลิส แต่ความพยายามเปิดตัวเทคโนโลยีนี้หลายต่อหลายครั้งประสบความล้มเหลว 

โดย ริชาร์ด แบรนสัน มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ และพวกนักวิจารณ์ต่างพากันพูดว่า คำว่า "hype (เกินจริง)" เป็นคำที่ตรงประเด็นที่สุดของชื่อ ‘ไฮเปอร์ลูป (hyperloop)’

ฟาน เดอ ปาส กล่าวว่า "ไม่ได้จะบอกว่ามันกำลังเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่เรามีภายในยุโรป แต่มันจะเป็นการบูรณาการทวีปแห่งนี้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง"

ก้าวย่างถัดจากนี้จะเป็นการทดสอบภายใต้สภาพแวดล้อมสุญญากาศโดยสมบูรณ์ อากาศเกือบทั้งหมดจะถูกดูดออกจากท่อเพื่อลดแรงต้านของอากาศ และค่อย ๆ เพิ่มความเร็วอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ศูนย์ไฮเปอร์ลูปยุโรป (European Hyperloop Centre) เป็นโรงงานเพียงแห่งเดียวของโลก ที่มีฟีเจอร์ ‘เปลี่ยนเลน’ หรืออุโมงค์สาขาที่แยกออกมาจากเส้นทางหลัก เปิดทางให้นักวิทยาศาสตร์ทดสอบการเปลี่ยนเส้นทางด้วยความเร็ว ซึ่งสำคัญมากสำหรับการสร้างเครือข่ายอุโมงค์ไฮเปอร์ลูป

Hardt Hyperloop หวังเริ่มทำการทดสอบการเปลี่ยนเลนด้วยแคปซูลอย่างเร็วที่สุด และท้ายที่สุดแล้วก็จะสร้างศูนย์อีกแห่งที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อที่สามารถทดสอบแคปซูล ไปให้ถึงระดับความเร็งสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ฟาน เดอ ปาส ระบุว่าเป้าหมายในท้ายที่สุดของไฮเปอร์ลูป คือทดแทนเที่ยวบินยุโรประยะใกล้และการขับรถระยะไกลข้ามทวีป ซึ่งบางทีค่าตั๋วอาจพอ ๆ กับเครื่องบินสายการบินต้นทุนต่ำ

ความสำเร็จในการสร้างเครือข่ายไฮเปอร์ลูปที่ชุมชนอาจเป็นการช่วยรักษาสภาพแวดล้อมอย่างยั่งยืนเช่นกัน โดยระบบไฮเปอร์ลูปใช้พลังงานเพียงแค่ 1 ใน 10 ของธุรกิจการบิน และ 1 ใน 3 ของการขนส่งทางราง และปราศจากเสียงรบกวนโดยสิ้นเชิง เนื่องจากมันเดินทางอยู่ในอุโมงค์ปิด

เครือข่ายอุโมงค์สามารถนำไปวางตามถนนมอเตอร์เวย์สายต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และศูนย์ไฮเปอร์ลูปยุโรป เคยทดลองมาแล้ว ในการสร้างความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ด้วยการทาสีอุโมงค์ช่วงหนึ่ง ทำให้มันดูเหมือนกับป่า

หนึ่งในความกังวลที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้งก็คือประสบการณ์ของผู้โดยสาร การกรีดร้องขณะที่พุ่งผ่านอุโมงค์แคบ ๆ ด้วยความเร็วเสียง ดังนั้นแนวคิดนี้คงไม่ใช่การเดินทางที่สะดวกสบายสำหรับทุกคน

อย่างไรก็ตาม ทาง ฟาน เดอ ปาส ให้สัญญาว่าการเดินทางด้วยไฮเปอร์ลูปจะเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบาย เขาชี้แจงว่าไฮเปอร์ลูป ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะบรรทุกผู้โดยสารได้ราว 50 คนหรือมากกว่านั้น จะมีระดับการสั่นสะเทือนและสะดวกสบายพอ ๆ กับรถไฟสมัยใหม่

ก่อนหน้านี้ ‘จีน’ ได้ทำการทดสอบไฮเปอร์ลูปในโรงงาน ที่สามารถพุ่งด้วยความเร็วสูงสุด 700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ ฟาน เดอ ปาส ยินดีต่อการแข่งขันในระดับนานาชาติ "เราต้องการการแข่งขันที่ดี และเรากำลังเดินหน้าในภารกิจเดียวกัน เราอยากทำให้การเดินทางในระยะไกลเช่นนี้ ก่อมลพิษเป็นศูนย์" เขาบอกกับเอเอฟพี "เราจับตามองในสิ่งที่คู่แข่งกำลังทำอยู่ และพวกเขาก็มองมาที่เราเช่นกัน และเมื่อรวมกันแล้ว พวกเขากำลังสร้างอุตสาหกรรมหนึ่ง ๆ ขึ้นมา"

📌‘ภูมิธรรม’ โชว์ผลงาน 1 ปี ส่งท้ายเก้าอี้ รมว.พาณิชย์ สำเร็จตามเป้า

1 ปี บนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของ ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ ก่อนจะลุกไปครองเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม ก็ได้สร้างภาพจำไว้ได้ไม่น้อย 

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้เดินทางเข้ากระทรวงฯ เพื่ออำลาตำแหน่ง และแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ถือเป็นภารกิจสุดท้าย ในฐานะเจ้ากระทรวงฯ โดยมี 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการ นภินทร ศรีสรรพางค์ และ สุชาติ ชมกลิ่น คณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนถึง พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศและทูตพาณิชย์ที่ร่วมรับฟัง ทั้งในห้องประชุม และผ่านทางระบบ ZOOM  

นายภูมิธรรม ได้กล่าวถึงผลงานในรอบ 1 ปี ว่า ได้กำหนดนโยบายในการทำงานในช่วงบริหารงานกระทรวงพาณิชย์ไว้ 7 ด้าน ได้แก่ 

1.ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส 
2.บริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกร ผู้ประกอบการ 
3.ทำงานเชิงรุกระหว่างพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ 
4.แก้ไขข้อจำกัดของกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายที่เก่าล้าสมัย 
5.ร่วมขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต 
6.เร่งผลักดันส่งออกจากติดลบให้เป็นบวก 
7.ผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA 

ซึ่งปรากฏผลการทำงานประสบความสำเร็จในทุกด้าน สามารถดูแลตั้งแต่เกษตรกร ที่เป็นคนฐานรากของประเทศ ดูแลประชาชนผู้บริโภคให้มีภาระค่าครองชีพลดลง และดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยเพิ่มรายได้

นอกจากนี้ ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการ ‘ทีมพาณิชย์’ เพื่อบูรณาการการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ 9 คณะ ได้แก่ 

1. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรเพื่อการพาณิชย์ 
2.ส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย 
3.ส่งเสริมและขับเคลื่อนการค้าและเศรษฐกิจเชิงรุกไทย-จีน-อาเซียน 
4.ขับเคลื่อนการทำงานเพื่อบูรณาการตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์  
5.ขับเคลื่อนนโยบายโลจิสติกส์ทางการค้า 
6.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Big data และอินฟลูเอนเซอร์เพื่อการค้า 
7.พัฒนากฎหมายกระทรวงพาณิชย์ 
8.พัฒนาการค้าตามระเบียบการค้าโลกใหม่ 
9.สร้างการรับรู้และภาพลักษณ์กระทรวงพาณิชย์ 

นอกจากนี้ยังเน้นการทำงานเชิงรุก โดยพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ต้องรู้จักสินค้า เข้าใจความต้องการตลาด เข้าถึงช่องทางการค้ายุคใหม่ บริหารจัดการประโยชน์ของทุกกลุ่มทุกภาคส่วนให้มีความสมดุล ทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ และ ผู้บริโภค 

สำหรับนโยบายเพิ่มรายได้ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนล้านบาท จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพืชผลทางการเกษตร โดยพืชหลัก ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มัน ปาล์ม ยางพารา ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 8 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตเกือบ 90 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายข้าวเปลือกเจ้าได้สูงสุดในรอบ 20 ปี พืชรอง ได้แก่ ผลไม้ พืช 3 หัว และผัก ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 1.5 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตกว่า 8 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายสับปะรด กระเทียม หอมแดง สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 

ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน และ SME โดยผลักดันการค้า E-Commerce ทั้งในและต่างประเทศ เกิดมูลค่าการซื้อขาย 2,347.70 ล้านบาท อาทิ ทำ MOU กับ Rakuten ญี่ปุ่น เพื่อจำหน่ายสินค้าไทย ร่วมมือกับ Amazon ขายออนไลน์ นำสินค้าไทยขายบน Shopee มียอดขาย 71.44 ล้านบาท เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับตลาดต้องชม 251 แห่ง เพิ่มรายได้ 1,987 ล้านบาท พัฒนาหมู่บ้านทำมาค้าขาย เพิ่มรายได้ 185 ล้านบาท ผลักดันเพิ่มมูลค่าสินค้า GI สร้างรายได้ 71,000 ล้านบาทต่อปี ใช้ร้านอาหาร Thai SELECT ในต่างประเทศเป็นโชว์รูม เพื่อเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการและผลักดัน Soft Power ทั้งอาหาร ดนตรี เชื่อมโยงร้านอาหาร Thai SELECT กับการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้ และเพิ่มรายได้ให้ร้านธงฟ้า จัดไปรษณีย์@ธงฟ้า อำนวยความสะดวกผู้ค้าออนไลน์ และประชาชน ให้บริการ Drop Off ให้บริการรับพัสดุแล้วกว่า 1 แสนชิ้น 

จัดกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผ่านการจัดตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ โดยประสานพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ในช่วง 1 ส.ค.-30 ส.ค. จำนวน 318 ครั้ง มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 4,683 ราย สร้างรายได้ 373 ล้านบาท ตั้งเป้าจัดตลาดพาณิชย์ 935 ครั้ง ในช่วง ส.ค.-พ.ย.67 คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เป็นจำนวนมาก และยังเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า อาทิ HoReCa 2024, THAIFEX - Anuga Asia 2024 และ STYLE Bangkok 2024 สร้างมูลค่าซื้อขายกว่า 1 แสนล้านบาท จัด Thailand SME Synergy Expo 2024 สร้างมูลค่าการค้ากว่า 200 ล้านบาท 

ส่วนนโยบายลดรายจ่าย ได้จัดโครงการ ‘พาณิชย์สั่งลุย...ลดราคา’ ลดราคาสินค้าจำเป็น ช่วงเทศกาลสำคัญ ปีใหม่ ตรุษจีน กินเจ ก่อนเปิดภาคเรียน ลดสูงสุด 60-85% รวม 8 กิจกรรม ลดค่าครองชีพได้ 8,060 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 13,400 ล้านบาท จัด ‘โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ลดค่าครองชีพประชาชน’ จำหน่ายสินค้าจำเป็นราคาต่ำกว่าท้องตลาด 20-40% รวม 1,134 ครั้ง ลดค่าครองชีพ 130 ล้านบาท 

จัดจำหน่ายสินค้าผ่านรถโมบายในแหล่งชุมชน 450 จุด ลดค่าครองชีพ 122.09 ล้านบาท จัดโครงการร้านอาหารธงฟ้า มีจำนวน 5,607 ร้าน ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนประมาณวันละ 2.63 ล้านบาท หรือ 960 ล้านบาท จัดพาณิชย์สั่งลุยราคาปุ๋ย ลดต้นทุนให้เกษตรกร 102 ล้านบาท ลดต้นทุนให้ร้านค้า ผู้ประกอบการ 14,000 ราย มูลค่า 53 ล้านบาท ด้วยการงดจัดเก็บค่าเช่าพื้นที่ในกระทรวง และขอความร่วมมือตลาดในสังกัด กทม.ไม่เก็บด้วย งดการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ผู้ประกอบการใช้เพลงที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง ฟรี 3 เดือน ตั้งแต่ ธ.ค.66-มี.ค.67 และมอบส่วนลดค่าลิขสิทธิ์เพลง 50–55% ต่อเนื่องอีก 1 ปี ลดต้นทุนผู้ประกอบการ SME ที่ใช้งานเพลง 400,000 ราย มูลค่า 3,300 ล้านบาท และขอฝากกรมการค้ารวบรวมร้านค้า เพื่อเข้าสู่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 

สำหรับการขยายโอกาสทางการค้า ได้เดินหน้าเจาะตลาดหลัก โดยจีน นำเข้าผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน CAEXPO สหรัฐฯ นำเอกชนลงนาม MOU ซื้อขายข้าวและอาหาร ญี่ปุ่น ผลักดันอาหาร ผลไม้ ผ้าไทย ซีรีส์วายในงาน Thai Festival Tokyo ฝรั่งเศส นำเอกชนเข้าร่วมงาน Cannes Film Festival 2024 คาดมูลค่าเจรจาการค้ากว่า 11,000 ล้านบาท ใช้แคมเปญ Think Thailand Next Leve ในการบุกตลาดอินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย และแอฟริกาใต้ รวมทั้งผลักดันการค้าชายแดน และแก้ไขอุปสรรคทางการค้า โดยเฉพาะการเจรจาเปิดด่าน เพื่อรองรับฤดูกาลผลไม้ไทย 

การลงนาม FTA ไทย-ศรีลังกา ผลักดันการเจรจา FTA ไทย-EFTA ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 เปิดเจรจา FTA ใหม่ อาทิ ไทย-เกาหลีใต้ ไทย-ภูฏาน และไทย-บังกลาเทศ การรุกตลาดเมืองรอง โดยต่อยอด MOU ที่ลงนามไปแล้ว สร้างมูลค่าการค้ากว่า 5,500 ล้านบาท อาทิ ความร่วมมือกับมณฑลกานซู่ ปูซาน โคฟุ โดยนายภูมิธรรม ได้ฝากให้ รมช.พาณิชย์ทั้งสองท่าน และปลัดกระทรวงพาณิชย์ สานงานต่อด้วย 

และยังได้เพิ่มโอกาสทางการค้าผ่านกลยุทธ์ตลาดแนวใหม่ โดยใช้ซีรีส์วาย ซีรีส์ยูริ ดึงมาย-อาโป ฟรีน-เบ็คกี้ ยกระดับสินค้าชุมชน อาทิ สมุนไพร สุราชุมชน ขนมขบเคี้ยว Tie-in เข้าสู่ตลาดโลกผ่านซีรีส์ และนำเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ฮ่องกง เวียดนาม ฝรั่งเศส เกิดการจับคู่ธุรกิจ 756 คู่ มูลค่า 4,102 ล้านบาท ใช้เครือข่าย KOL จีนไลฟ์สดขายสินค้าและบริการไทย เพื่อสร้างรายได้ให้คนตัวเล็ก กำหนดจัดวันที่ 25-29 ก.ย.67 คาดการณ์มูลค่า 1,500 ล้านบาท 

และได้จัดทำ MOU กับ Sinopec นำสินค้าไทยจำหน่ายใน Easy Joy ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน คาดการณ์มูลค่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี การเจรจาธุรกิจออนไลน์ (OBM) เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ฮาลาล สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น คาดการณ์มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท และยังทำงานเชิงรุกทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัด ขายกล้วยหอมเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น ขายลำไยเข้าสู่ตลาดจีน ขายมังคุดไปจีนและญี่ปุ่น และเปิดตลาดผ้าไทยในญี่ปุ่น เป็นต้น รวมไปถึงการช่วยสร้างโอกาสทางการค้า จากการใช้ประโยชน์จาก Big Data คิดค้า.com เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ มีสินค้าเกษตร 13 ชนิด เศรษฐกิจการค้ารายจังหวัด และเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น มีผู้ใช้งานกว่า 220,000 คน เฉลี่ย 22,000 คนต่อเดือน

“1 ปีที่ผ่านมา ผมได้วางรากฐานการทำงานเป็นทีม การคิดนอกกรอบเพื่อสร้างสรรค์งานในเชิงรุก การบริหารจัดการประโยชน์ที่ให้ความสำคัญกับคนตัวเล็ก และผมขอฝาก อนาคตกระทรวงพาณิชย์ใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ 1. เข้าถึง เครือข่ายเพื่อร่วมผลักดันการค้า 2.ขับเคลื่อน โดยทีมพาณิชย์บูรณาการร่วมกับทีมประเทศไทย และ 3. เคียงข้างไปด้วยกัน คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก เพื่อขับเคลื่อนพลังคนรุ่นใหม่” นายภูมิธรรม กล่าว 

นอกจากนี้ยังได้ย้ำถึง โครงการเงิน ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า รัฐบาลยืนยันเดินหน้าโครงการซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและวางรากฐานนำประเทศเข้าสู่ระบบดิจิทัล แน่นอน โดยจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.นัดแรก ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หลังจากรับฟังความเห็นแล้ว เพื่อให้ทุกคนสบายใจ ในรอบแรกจะเป็นกลุ่มเปราะบาง ประมาณ 14 ล้านคนก่อน ด้วยงบประมาณปี 2567 โดยแจกเป็นเงินสด 10,000 บาท โอนเข้าบัญชีที่มีอยู่แล้ว และจะสามารถนำไปใช้ที่ไหนก็ได้ และไม่มีการจำกัดร้านค้าและชนิดสินค้า ตามเป้าหมายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อ ครม.อนุมัติแล้ว คาดสามารถแจกเงินได้ทันทีภายในเดือนกันยายนนี้

ส่วนที่เหลือ กลุ่มคนที่ลงทะเบียนในระบบไปแล้ว และไม่ใช่กลุ่มเปราะบาง หลังผ่านเดือนกันยายนไปแล้ว จะแจกเป็นล็อตที่ 2 โดยใช้งบประมาณปี 2568 โดยจะแจก 5,000 บาทก่อน ถ้าระบบดิจิทัลทัน ก็แจกเป็นระบบดิจิทัล และส่วนที่เหลืออีก 5,000 บาท จ่ายภายในปี 67 หากรัฐบาลวางระบบดิจิทัลได้ทันอาจจะแจกเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่หากไม่ทันอาจจะแจกเป็นเงินสดเช่นกัน ส่วนอีก 5,000 บาท จะพยายามแจกเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ในปี 2568


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top