Wednesday, 18 June 2025
TheStatesTimes

อุทาหรณ์!! จุดจบ 'สามนิ้ว' โดนคดี 112 ติดคุกยาวๆ ไร้คนเยี่ยมดูแล แม้แต่คนเคยปลุกปั่น วันนี้ก็เมิน

เวลาผมเขียนบทความในเรื่องที่เกี่ยวกับ 'บาปบุญคุณโทษ' ที่ใครสักคนกระทำเลว ๆ ต่อสถาบันเบื้องสูง ไม่ว่าจะด้วยตัวเอง, รับงานใครมา, ถูกหลอกใช้ หรือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความเลวทรามอีกที เหล่านี้จะได้รับ 'กรรมสนอง' อย่างรวดเร็วและไม่ต้องรอถึงชาติหน้า มีให้เห็นมาแล้วนับไม่ถ้วน 

แต่ก็มักจะมีพวก 'ส้มสามนิ้ว' เข้ามาเยาะเย้ย ถากถาง เสียดสีผมว่าเป็น 'พวกหัวเก่า' เชื่อในสิ่งที่งมงาย ดีแต่บ้าบอยกยอว่า 'สถาบัน' นั้นศักดิ์สิทธิ์ ใครทำร้ายก็จะโดนเล่นงานให้ต้องพบวิบากกรรม

สิ่งที่ผมเขียน ผมเขียนมาจากประสบการณ์ตรงในชีวิต ผ่านการพบเห็นกับสองตามาตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา เขียนมาจากการที่มีพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านอบรมสั่งสอน และเตือนสติไว้อย่างหนัก ๆ ว่า จะล้อเล่นกับอะไรก็ได้ แต่ 'อย่าล้อเล่นกับสถาบัน' อย่านำสถาบันไปลบหลู่ดูหมิ่น หรือคิดล้มล้างทำลาย ด้วยสถาบันเบื้องสูงไม่ใช่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่คือราก คือฐาน คือหลายองค์ประกอบของผู้คนชั้นสูงในอดีต ยังรวมถึงเหล่านักรบที่รักชาติยิ่งชีพ รักและยอมตายเพื่อพระมหากษัตริย์ไทย 'แผ่นดินทอง' จึงรอดปลอดภัยจากอุ้งมือฝรั่งมาเป็น 'แผ่นดินไทย' ที่งามสง่าอย่างเช่นทุกวันนี้ 

คงมีแต่ 'คนเสียสติ' และต้องมีระดับของความอกตัญญูสูงปี๊ดชนิดที่ 'สัตว์เดรัจฉาน' ยังเรียกพี่เท่านั้น ที่นอกจากจะไม่ตอบแทน กลับคิดร้าย จ้องทำลายสิ่งที่มีส่วนสำคัญให้ 'ไทยเป็นไทย' 

แท้ที่จริง การไม่คิดปกป้องดูแล ไม่ใส่ใจไยดี อยากแค่ใช้ชีวิตทำมาหากินไปวัน ๆ ก็ยังจะดีกว่ากลุ่มคนที่ 'ชูสามนิ้ว' ที่ตั้งใจเซาะกร่อนสถาบัน จนต้องโดนคดี 112 จนนับไม่ถ้วน

เพราะความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่ตั้ง คนไทยรุ่นต่อรุ่น จึงส่งต่อแนวทางในการรักษาไว้ซึ่งสถาบันเบื้องสูง ให้เป็น 'ศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ' เสมือนเป็นเสาหลักของความมั่นคงที่คนไทยต้องปกปักรักษาไว้ตราบนาน เราจึงต้องมีกฎหมายเพื่อปกป้องสถาบัน ใครก็ตามที่คิดร้าย ทำลาย ก็หนีไม่พ้นต้องโดนคดี  

ดังเช่นวันนี้ กลุ่มคน 'สามนิ้ว' ที่ถูกปลุกปั่นจากพรรคการเมืองที่คิดล้มล้างการปกครอง ต้องติดคุกกันระนาว พรรคการเมืองที่อยู่เบื้องหลังตีตัวออกห่าง ปล่อยลอยแพ 'คนสามนิ้ว' ให้หมดอนาคตอยู่ในคุกโดยลำพัง 

แต่จงเชื่อเถิด ใครที่คิดร้ายต่อสถาบัน ไม่นานก็จะเกมตาม ๆ กันไป 

อุ้งมือจีน!! จับตาผู้ส่งออกจีนถือดอลลาร์ในมือกว่า 500,000 ล้าน ลุ้น!! หากแปลงเป็นหยวน 'เงินหยวน' จ่อแซงหน้าดอลลาร์ทันที

(10 ก.ย. 67) 'IMCT News Thai Perspective on Global News' เผยสถานการณ์เงินตราโลกในปี 2024 จับตาไปที่เงินดอลลาร์ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ฯ ที่ผู้ส่งออกจีนครอบครองอยู่ หากแปลงเป็นหยวนทั้งหมดจะส่งให้เงินจีนแข็งค่าขึ้นทันตา จนอาจแซงหน้าดอลลาร์ และก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในการทำธุรกรรมข้ามประเทศได้ เนื่องจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเริ่มไม่นิยมใช้ดอลลาร์แล้ว แต่ปัจจุบันผู้ส่งออกจีนยังลังเลที่จะเก็บหยวนไว้ เพราะอาจผันผวนและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จึงยังไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อดอลลาร์ แต่ถ้าเปลี่ยนใจ เงินจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจตัวใหม่ทันที 

ผู้ส่งออกของจีนมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในครอบครองรวมกันสูงถึงราว 500,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 16.5 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2024 ซึ่งเป็นผลจากการค้าขายระหว่างประเทศ หากพวกเขาพร้อมใจกันเปลี่ยนเงินดอลลาร์ที่ถือครองเหล่านี้มาเป็นเงินหยวนจีนแทน ค่าเงินหยวนก็มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นทันทีจากแรงซื้อเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งจะทำให้จีนก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศ และกลายเป็นคู่แข่งสำคัญที่จะมาท้าทายสถานะของดอลลาร์สหรัฐได้

ท่ามกลางการอ่อนแรงลงของค่าเงินสหรัฐฯ สะท้อนผ่านดัชนี DXY ที่ร่วงลงมาอยู่ที่ราว 100 จุด และเสี่ยงที่จะยังหดตัวต่อไปเรื่อย ๆ ประกอบกับความพยายามของกลุ่ม BRICS ที่ต้องการดันบทบาทของเงินหยวนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ถ้าหยวนเป็นที่นิยมในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ดอลลาร์ก็มีสิทธิ์แพ้ภัยในทันที เพราะปริมาณดอลลาร์ฯ มหาศาลจะไหลย้อนกลับสหรัฐฯ เนื่องจากความต้องการใช้ลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้ออย่างหนัก

แม้ในเวลานี้ผู้ส่งออกจีนอาจจะยังชะลอการเปลี่ยนเงินดอลลาร์ เพราะยังได้ประโยชน์จากการถือครองสกุลเงินหลักของโลก และกังวลกับความผันผวนของเงินหยวนที่ยังผูกโยงกับเศรษฐกิจในประเทศ แต่สักวันหนึ่ง หากทุกคนลงความเห็นที่จะเทขายดอลลาร์พร้อมกัน เพื่อถือครองเงินหยวนแทน นั่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะทำให้สกุลเงินจีนแข็งแกร่งจนก้าวขึ้นแท่นเงินตราหลักของโลกได้อย่างรวดเร็ว #imctnews รายงาน

📌‘พาณิชย์’ เปิดงานบางกอกเจมส์ครั้งที่ 70 สุดตระการตา คาดเงินสะพัดกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับครั้งที่ 70 (The 70th Bangkok Gems and Jewelry Fair) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่วมกับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT และสนับสนุนโดยองค์กรภาครัฐและเอกชนรวมถึงสมาคมการค้าสำคัญในอุตสาหกรรมฯ 16 องค์กร โดยงานนี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 13 กันยายน 2567 จัดแสดงเต็มพื้นที่ชั้น G และ LG (Hall 1 - 8)

นายวุฒิไกร กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดงานแสดงสินค้า Bangkok Gems and Jewelry Fair มาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทุกระดับได้พบและเจรจาธุรกิจในระดับนานาชาติ และเป็นที่น่ายินดีว่างานบางกอกเจมส์เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนปัจจุบันเป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญที่ผู้ค้าจากทั่วโลกต้องปักหมุดมาเยือน สำหรับงานบางกอกเจมส์ครั้งที่ 70 นี้ ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากไทยและต่างประเทศกว่า 20 ประเทศ รวมกว่า 1,100 ราย 2,470 คูหา จัดแสดงเต็มพื้นที่ ชั้น G และ LG และคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานรวมกว่า 40,000 คน และคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้ถึงกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

อัญมณีและเครื่องประดับนับเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก และจากจุดเด่นของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสีที่สำคัญของโลก รวมถึงคุณภาพและความประณีตในการเผาพลอยสีและการเจียระไนพลอย 

โดยนายวุฒิไกร ได้กล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมฯ ว่า “เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมส่งออกสำคัญที่ทำรายได้สูงสุดให้กับประเทศมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและความท้าทายต่าง ๆ แต่การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำไม่ขึ้นรูป) กลับเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.40 และสำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่างานบางกอกเจมส์ ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเก่าแก่ที่สุดในเอเชีย ถือเป็นกลไกหลักที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของโลกในวันนี้”

ด้านนายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดี DITP ผู้จัดงานหลัก ได้กล่าวถึงงานฯ กระแสตอบรับ และแผนการขยายพื้นที่ในปีหน้าว่า “ผมขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของงานบางกอกเจมส์ครั้งที่ 70 โดยสินค้าที่จัดแสดงภายในงานครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า โดยกว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มพลอยสี ทั้งนี้ จากแบบประเมินผลความพึงพอใจของ Exhibitor และ Visitor ในงานครั้งที่ 69 พบว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยมเฉลี่ยกว่าร้อยละ 95 และเห็นว่าเป็นงานที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับภาพรวมการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญทั่วโลก ซึ่งจากกระแสความต้องการเข้าร่วมงานที่เพิ่มขึ้น ในปี 2568 เราได้มีแผนขยายพื้นที่จัดงานบริเวณ Foyer หน้าทางเข้าอาคารชั้น LG และมีการปรับผังคูหาใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับความต้องการของ Exhibitor เพิ่มขึ้นอีกกว่า 150 คูหาด้วย”

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการ GIT ผู้ร่วมจัดงาน กล่าวเสริมว่า “นอกจากบางกอกเจมส์จะเป็นแพลตฟอร์มเจรจาการค้าสำคัญระดับโลกแล้ว ยังเป็นเวทีสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และสร้างภาพลักษณ์อุตสาหกรรมฯ ผ่านกิจกรรมพิเศษและกิจกรรมคู่ขนานที่เกี่ยวเนื่องมากมาย ครอบคลุมทุกมิติแบบครบวงจร” โดยภายในงาน มีโซนที่น่าสนใจ ได้แก่ โซนจัดแสดงสินค้า The New Faces ซึ่งนำเสนอผลงานของผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักออกแบบรุ่นใหม่ The Jewellers โดย DITP กลุ่มผู้ประกอบการจากโครงการ Smart Jewelers by GIT และกลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่นจังหวัดจันทบุรีนำโดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ฯลฯ รวมกว่า 60 ราย รวมถึงยังมีกิจกรรมพิเศษและกิจกรรมคู่ขนานอื่น ๆ มากมาย อาทิ นิทรรศการจัดแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากช่างฝีมือไทย ‘The Spirit of Jewelry Making’ กิจกรรม Networking Reception กิจกรรมสัมมนาภายในงานกว่า 10 หัวข้อ ครอบคลุมองค์ความรู้ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมฯ ทั้งด้านเทคนิคและการตลาด ฯลฯ

นอกจากนี้ นายสุเมธ ยังได้แนะนำบริการพิเศษจาก GIT ว่า “ในช่วงระหว่างงาน GIT ยังมีบริการตรวจสอบอัญมณีที่ได้มาตรฐานสากลและออกใบรับรองภายในช่วงงาน ซึ่งในปีนี้ เราได้ขยายพื้นที่เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ทาง GIT ยังได้มีการเปิดตัวเทคโนโลยีตู้แสง LED เพื่อการตรวจสีพลอย อันเป็นผลงานวิจัยของ GIT อีกด้วย”

ปี 2566 ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำไม่ขึ้นรูป) คิดเป็นมูลค่า 8,658.11 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.40 และสำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ไทยส่งออกฯ คิดเป็นมูลค่ากว่า 5,103.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำหรับงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 70 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 13 กันยายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Hall 1 ถึง 8 ชั้น G และ LG ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.bkkgems.com หรือ facebook.com/Bangkokgemsofficial

'อัษฎางค์' ให้ข้อคิด!! คนทำชั่วได้ดีมีถมไป คือเรื่องจริง แต่ 'ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว' ก็คือเรื่องจริงไม่ต่างกัน

(10 ก.ย. 67) อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กให้มุมมองถึงประเด็นดัง 'ชาลี-กามิน' ระบุว่า...

"ทำดีต้องไม่ได้อะไร จำไว้ไอ้น้องรัก" และต้องทำดีกันต่อไป

ผมแอบคิดตั้งแต่เริ่มต้นจีบกันแล้วว่าคู่นี้อยู่ไม่นาน เพียงแต่ไม่คิดว่าเร็วขนาดนี้

ที่ว่าแอบคิดว่าไม่รอดคือ...

เริ่มต้นผมก็เหมือนคนอื่น ๆ ที่ติดตาม คือเชียร์คู่นี้เพราะเขาน่ารักกันดี ก็อยากให้สมหวัง

แต่แอบคิดว่า 'ไม่น่ารอด' เพราะความที่เป็นรักออนไลน์ ผ่านสังคมออนไลน์ที่มีคนรับรู้ทุกแง่มุม สังเกตได้ว่ามีดรามาตลอด ทั้งจากตัวเองและแฟนคลับ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาไม่ยาก

เอาชีวิตจริง ๆ ของเรา ๆ ทุกคน ลองรักใครแล้ว มีพ่อแม่พี่น้องเพื่อนพ้องมาเกี่ยวข้อง ไม่ช้าไม่นานก็พัง

เช่น พ่อแม่หรือพี่น้อง เพื่อน จะไม่พอใจว่าที่ลูกเขยลูกสะใภ้ ทำไมทำแบบนี้กับคนของเรา เราดูแลทะนุถนอม แต่แฟนลูก แฟนพี่น้อง แฟนเพื่อนเรา ทำไมไม่ทะนุถนอมเหมือนเรา เป็นต้น ซึ่งก็เห็นข่าวเสมอว่า แฟนคลับขย่มตลอด

เชียร์ แต่แอบคิดมาตั้งแต่ต้นว่าไม่น่ารอด เพียงแต่ไม่คิดว่าเร็วขนาดนี้ จบเร็วมาก ๆ

ที่สำคัญ ไม่เคยคิดว่า กามิน เป็นแบบนี้ นี่คือ จุดหักมุมที่สำคัญ

ชาลี ดวงอาภัพเรื่องคู่อย่างไม่ต้องสงสัย

………………………………………………………………………

พวกเราดูชีวิตคนอื่น ๆ ที่เขาเป็นคนดีที่ทำดีเสมอ แต่ชีวิตกลับมีอุปสรรคไม่หยุดหย่อน ควรตั้งสติแล้วคิดใหม่ โดยใช้หลักธรรมของพุทธศาสนา

ใครคิดว่า "คนดี ที่คิดว่าทำดีแล้วต้องได้ดี" ควรคิดใหม่

ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนั้น  โชคชะตาเล่นตลกกับเราเสมอ เพราะจะเจอบททดสอบไม่จบไม่สิ้น ทั้งที่เราคิดว่า เราทำดีแล้ว แต่ทำไมไม่ได้ดีตอบ

"ทำดี อย่าหวังว่าจะได้ดีตอบเสมอไป"

เพราะเวรกรรมในอดีตที่เราทำไว้คืออะไรเราจำไม่ได้ เราอาจเคยทำชั่วไว้ก็ได้ เพราะฉะนั้นกรรมเวรเก่าจึงตามมาเอาคืน

"เราทำดีกับเขาแทบตาย แต่เค้าไม่เคยเห็นหรือไม่ตอบแทนคุณเราเลย หรือทำร้ายเราอีกต่างหาก" นั่นอาจเป็นเพราะเราเคยทำกรรมชั่วไว้กับเขา เขาจึงมาเอาคืน

นั้นทำให้…ชาตินี้ทำดียังไง ก็ไม่ได้ดี

………………………………………………………………………

ส่วนคำที่ชอบเอามาพูดล้อเล่นว่า "คนทำชั่วได้ดีทีถมไป" นั้นคือ 'เรื่องจริง' เพราะผลบุญเก่าที่เคยทำดีไว้มันส่งผลอยู่

แต่ที่ทำชั่วไว้ในปัจจุบันมันจะตามมาตามคิวแน่นอน

ถ้าดูชาลีเป็นตัวอย่างของคนดีแล้วไม่ได้ดี ก็ต้องดูตัวอย่างทักษิณคนทำชั่วได้ดีเอาไว้ด้วย

"ทำดีได้ดีมีที่ไหน คนทำชั่วได้ดีทีถมไป"

คือ ภาพที่เราเห็น ณ ปัจจุบัน ซึ่งผลดีที่เขาเคยทำในอดีตชาติมันส่งผลอยู่ ถึงแม้ว่าปัจจุบันเขาทำชั่ว

แต่คำว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ก็คือเรื่องจริง

แต่ที่ทำดีอยู่แต่ไม่ได้รับผลดีเสียที เพราะเราอาจเคยทำชั่วมาเยอะ หรือเรายังอยู่ในช่วงที่รับกรรมอยู่ก็ได้ เพราะเราเวียนว่ายเกิดมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว และเราก็จำไม่ได้ว่าชาติต่าง ๆ ในอดีตเคยทำดีและทำชั่วสลับกันมามากน้อยแค่ไหน

ถ้าอยากให้คำว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ปรากฏชัดและส่งผลต่อเราตลอดเวลา ก็จงมั่นทำดีเอาไว้ตลอดเวลา 

แล้วรอให้ผลจากกรรมชั่วนั้นหมดไป ผลดีจะส่งผลเอง หรือเคยทำชั่วไว้แค่ไหนก็ตาม แต่เราทำดีไว้มาก ๆ มากจนกรรมชั่วตามไม่ทัน นั้นแหละเราจะได้รับแต่ผลจากกรรมดีที่เราสร้างไว้อย่างมากมายมหาศาล

เป็นกำลังให้ชาลีและคนที่มุ่งมั่นเป็นคนดีที่ทำดี จงทำดีต่อไป

………………………………………………………………………

ท่องกันเอาไว้ว่า "ทำดี ต้องไม่ได้อะไร"
"นอกจากได้ละกิเลสออกไป"

การไปทำบุญที่วัด หรือทำบุญกับโรงพยาบาล กับผู้ด้อยโอกาส แล้วอธิษฐานขอทุกอย่างเช่น ขอให้ร่ำรวย มีสุขภาพดี ฯลฯ อย่างที่เราชอบทำกันนั้น ไม่เรียกว่า เราทำทาน

ทำทานคือ ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน

แล้วที่สุด ผลตอบแทนมันจะกลับมาเอง เมื่อเราไม่หวังอะไรตอบแทน

นี่คือความลับและความมหัศจรรย์ของการทำความดีหรือการทำบุญ

………………………………………………………………………

สรุป

ชาลี ทำดีต่อไป อย่าให้กรรมชั่วในอดีตมาบั่นทอนจิตใจให้หลงไปทำชั่ว เพราะคิดว่าทำดีไม่เห็นได้ดีเสียที

คนที่เหมาะสมและสร้างบุญและกรรมร่วมกันมารออยู่ และจะได้เจอในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน

พ่อหมอเอ็ดดี้ ฟันธง

‘ราเกซ สักเสนา’ พ่อมดการเงิน ได้รับพระราชทานอภัยโทษฯ เตรียมถูกส่งกลับอินเดีย หลังรับโทษคดียักยอกทรัพย์ในไทย 15 ปี

(10 ก.ย. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ไปรับตัว ‘นายราเกซ สักเสนา’ (Rakesh Saxena) สัญชาติอินเดีย ผู้ต้องขังในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) ออกจากเรือนจำ เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ

หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 28 ก.ค. 67 โดยได้ส่งตัวนายราเกซไปยังกองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เพื่อดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ต่อไป

นับเป็นการปิดฉากชีวิตพ่อมดการเงินในประเทศไทย จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักธุรกิจและนักการเมืองเพื่อเข้าเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีกำไรจากการซื้อมา-ขายไป จนเกิดหนี้เน่ามากกว่า 80,000 ล้านบาท และเป็นต้นเหตุที่ทำให้บีบีซีปิดกิจการ

สำหรับนายราเกซ ชาวเมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ อดีตโบรกเกอร์ค้าเงิน เป็นผู้ต้องขังคดีหมายเลขแดงที่ อ 4138/2559 ในความผิดฐานพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ระหว่างปีพ.ศ. 2537-2539 ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งขณะนั้นคือ ‘นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์’

โดยกระทำการทุจริตอนุมัติวงเงินสินเชื่อเกินบัญชี (โอดี) กับบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง เกินกว่า 30 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน อีกทั้งไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ จำเลยและพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหาย (บีบีซี) ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติ ไปเป็นของจำเลยกับพวกและนายเกริกเกียรติโดยทุจริต แม้ภายหลังจำเลยกับพวกได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายบางส่วน แต่คงเหลือเงินที่ยังไม่ได้คืนผู้เสียหาย 353,363,966 บาท

คดีนี้ต่อสู้กันสามศาล ในที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย.65 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท โดยมีสำนวนแรก 60 กระทง สำนวนที่สอง 6 กระทง และสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง รวมจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี และสั่งคืนเงินผู้เสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้นายราเกซหลบหนีคดีไปยังประเทศแคนาดา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 7 ก.ค.39 แม้ทางการไทยได้ประสานงานกับแคนาดาขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน ใช้ระยะเวลาพิจารณาถึง 13 ปี กระทั่งวันที่ 29 ต.ค.52 ศาลฎีกาแคนาดามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และส่งตัวมาถึงประเทศไทยด้วยเที่ยวบิน TG 615 เมื่อวันที่ 30 ต.ค.52

ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อปี 2555 จำคุกนายราเกซ 10 ปี และต่อสู้คดีเรื่อยมา กระทั่งคดีถึงที่สุดเมื่อปี 2565 รวมระยะเวลาที่รับโทษในประเทศไทย 15 ปี

‘ดร.อาร์ม’ ชี้ ยุคโลกาภิวัตน์ไม่หวนกลับมาแล้ว นี่คือโจทย์ใหม่ของไทยบนการเมืองโลก

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) สำนักข่าว TNN ได้มีการจัดสัมมนาในหัวข้อ ‘ปลดล็อกกับดัก: การปรับจุดยืนไทย ในโลกที่แบ่งขั้ว’ ซึ่งการจัดงานสัมมนาที่ได้มีการเชิญนักวิชาการไทยจากหลากหลายสาขาและภูมิภาคมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า ประเทศไทยควรมีการดำเนินนโยบายอย่างไรเพื่อสร้างความเข้มแข็งและให้ผลประโยชน์กับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศชาติได้

โดย ‘ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร’ ผ.อ. ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความคิดเห็นว่า ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ทั่วโลกอยู่ในช่วงโลกาภิวัตน์ หรือ โลกที่ไร้พรมแดน ทว่าไม่กี่ปีมานี้ โลกเหมือนจะเข้าสู่ Deglobalization และกำลังถูกตอกฝาโลงด้วยสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลก และประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่กำลังได้รับผลกระทบ Supply Chain ที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้ 

“ก็จริง ๆ แล้วเนี่ย สมัยก่อนพูดกันนะครับว่าเป็นเทรนด์ของโลกว่าเป็นยุคที่ไม่มีสงคราม ยุคของความซิงลี้ ผู้คนค้าขาย ผู้คนที่เรียกกันว่า… เป็นมิตรต่อกันและกัน แต่ตั้งแต่สงครามการค้าของทรัมป์ตั้งแต่ปี 2017 ตามมาด้วยวิกฤตโควิด 19 ซึ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนของ Supply Chain ทั่วโลก แล้วก็มา ‘ตอกฝาโลง’ โลกาภิวัตน์ด้วยสงครามยูเครน ซึ่งเราบอกว่าทำให้ความไม่ไว้วางใจระหว่างมหาอำนาจเนี่ยสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ตอนนี้ผมคิดว่าบรรดานักวิชาการในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกต่างเห็นตรงกันว่าเป็นยุค Deglobalization คือเป็นยุคที่โลกาภิวัตน์ไม่หวนกลับมาแล้ว”

“แต่ว่าจริงๆ แล้ว หลายคนบอกว่า มันกำลังเกิดห่วงโซ่การค้าโลกแตกเป็น 2 ห่วงโซ่ ก็คือ ห่วงโซ่สหรัฐฯ เชื่อมโลก แล้วก็พยายามที่จะสกัดขัดขวางจีน และห่วงโซ่จีนเชื่อมโลก ซึ่งก็พยายามสกัดขัดขวางสหรัฐฯ อันนี้เลยเป็นโจทย์ใหม่สำหรับประเทศไทย เพราะว่าในอดีต เราถามตลอดว่า เราจะเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain อย่างไร แต่วันนี้ต้องพูดกันตามตรงนะครับว่า Global Supply Chain กำลังปั่นป่วนมากครับ”

อย่างไรก็ตาม ศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ยุคแห่งสงครามเย็น แต่เป็นยุคสงครามร้อนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลก พร้อมกันนั้น ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากมายต่อการขับเคี่ยวกันทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นงานสัมมนาครั้งนี้จึงมีความสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างจุดยืนที่เป็นประโยชน์ท่ามกลางความร้อนระอุของโลกยุคนี้

‘ไทยออยล์’ คว้ารางวัล ‘องค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในไทย ประจำปี 67’ ตอกย้ำแนวคิด ‘คนสำราญ งานสำเร็จ’ สภาพแวดล้อมองค์กรเป็นมิตรกับบุคลากร

เมื่อไม่นานมานี้ นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยนายวิโรจน์ วงศ์สถิรยาคุณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านบริหารศักยภาพองค์กร และทีมงาน รับมอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณอย่างเป็นทางการจากนายราโดลสลอว์ กอลสกี ผู้บริหารสูงสุดบริหารสายงานระบบข้อมูล และนายจีรวัฒน์ ตั้งบวรพิเชฐ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการสร้างแบรนด์นายจ้าง บริษัท เวิร์คเวนเจอร์ เทคโนโลจีส์ จำกัด (WorkVenture) ให้บริษัทไทยออยล์เป็น ‘Best Places to Work’ องค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในประเทศไทยประจำปี 2567 ซึ่งเป็นการยอมรับจาก WorkVenture บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านการสร้างแบรนด์องค์กร และผู้จัดทำโพลสุดยอด 50 องค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุดของประเทศไทย (TOP50 Companies in Thailand)

รางวัลและการรับรองนี้ มาจากการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานที่ทำงานในไทยออยล์ โดยพิจารณา 4 ด้านหลัก ได้แก่ ลักษณะงาน (Job Attributes) ค่าตอบแทนและความก้าวหน้า (Reward and Career) การดูแลพนักงานและวัฒนธรรมองค์กร (People and Culture) รวมถึงภาพลักษณ์องค์กร (Corporate Image) 

โดยผลการสำรวจถูกนำมาวิเคราะห์ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานของ WorkVenture ซึ่งรางวัลและผลการรับรอง Best Places to Work เป็นเครื่องยืนยันว่าไทยออยล์ เป็นองค์กรที่มอบประสบการณ์เชิงบวก ทำให้พนักงานรู้สึกพึงพอใจและมองเห็นคุณค่าในการทำงาน มีวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม มีความมั่นคงในอาชีพการงาน ได้รับโอกาสในการทำงานที่ท้าทาย พร้อมทั้งโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ไทยออยล์ยังให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมแก่พนักงาน ด้วยการดูแล และสนับสนุนด้านสวัสดิการต่าง ๆ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้พนักงาน ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดในการดูแลทรัพยากรบุคคลของไทยออยล์ที่ว่า ‘คนสำราญ งานสำเร็จ’

ข้อมูลจากการสำรวจยังสะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กรในระดับสูงรวมถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมของการทำงานที่ดีอย่างยั่งยืนให้แก่พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ตามวิสัยทัศน์ของไทยออยล์ในการ ‘สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน’ และนี่คืออีกหนึ่งความสำเร็จที่ไทยออยล์ภาคภูมิใจและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต เพื่อให้เป็นองค์กรชั้นนำที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

‘สุรัชนี’ ชี้ ควรยึดประโยชน์ของไทยเป็นที่ตั้ง แนะ ไทยสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นนอกจากมหาอำนาจ

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าว TNN ได้มีการจัดสัมมนาในหัวข้อ ‘ปลดล็อกกับดัก: การปรับจุดยืนไทย ในโลกที่แบ่งขั้ว’ ซึ่งการจัดงานสัมมนาที่ได้มีการเชิญนักวิชาการไทยจากหลากหลายสาขาและภูมิภาคมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า ประเทศไทยควรมีการดำเนินนโยบายอย่างไรเพื่อสร้างความเข้มแข็งและให้ผลประโยชน์กับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศชาติได้

‘ผศ.ดร. สุรัชนี ศรีใย’ นักวิจัยอาคันตุกะ สถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ประเทศสิงคโปร์ และเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่ได้รับเชิญไปสัมมนางานดังกล่าว มีความเห็นว่า ประเทศไทยจะต้องตอบตนเองให้ได้ก่อนว่าต้องการผลประโยชน์ของชาติแบบใด นโยบายแบบใด ที่น่าจะสามารถให้ประโยชน์กับทุกคนในประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่เพียงเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น และยังเสริมว่า ประเทศไทยสามารถทำงานร่วมกับประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากประเทศมหาอำนาจที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นตลาดอื่นๆ ทางเศรษฐกิจได้ เช่น อาเซียนและประเทศในกลุ่ม EU เป็นต้น 

“คิดว่าไทยต้องเริ่มจากการ Identify ความต้องการของตนเองก่อนว่าผลประโยชน์ของชาติไทยมันคืออะไร ซึ่งอันนี้ขีดเส้นใต้เยอะมากว่าหมายถึง ‘ผลประโยชน์ของคนไทย’ ส่วนใหญ่นะคะว่า การที่ประเทศจะบริหารความสัมพันธ์ระหว่างไทยเองกับประเทศที่เป็นมหาอำนาจนี้น่ะค่ะ มันจะส่งผลประโยชน์ต่อคนไทยยังไง เมื่อไปจากจุดนั้นแล้ว เราก็จะสามารถนึกได้นอกกรอบว่า เราจะสามารถบริหารความสัมพันธ์เหล่านี้ยังไงได้บ้างนะคะ นี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่เราจะต้องเริ่มก่อน หลังจากนั้นเราก็จะสามารถที่จะเลือกได้ว่า เราจะไปสู่ผลประโยชน์เหล่านั้นเนี่ย โดยการที่จะทำงานร่วมกับมหาอำนาจไหน? หรือเราไม่จำเป็นต้องทำงานร่วมกับมหาอำนาจอย่างเดียวค่ะ เราสามารถที่จะนึกถึงตัวละครอื่นๆ อย่างเช่น ทำงานผ่านกรอบอาเซียน ทำงานร่วมกับ EU ก็ได้ หรือแม้กระทั่งกับประเทศอื่นๆ ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นตลาดอื่นๆ ที่ไทยจะสามารถ Explore ได้ค่ะ” 

อย่างไรก็ตาม ศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ยุคแห่งสงครามเย็น แต่เป็นยุคสงครามร้อนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลก พร้อมกันนั้น ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากมายต่อการขับเคี่ยวกันทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นงานสัมมนาครั้งนี้จึงมีความสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างจุดยืนที่เป็นประโยชน์ท่ามกลางความร้อนระอุของโลกยุคนี้

'ดุลยภาค' ชี้ โลกกำลังเข้าสู่การแบ่งขั้วมหาอำนาจที่ชัดเจน ย้ำ!! ประเทศไทยควรวางตัวเป็นกลางอย่างสร้างสรรค์

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าว TNN ได้มีการจัดสัมมนาในหัวข้อ ‘ปลดล็อกกับดัก: การปรับจุดยืนไทย ในโลกที่แบ่งขั้ว’ ซึ่งการจัดงานสัมมนาที่ได้มีการเชิญนักวิชาการไทยจากหลากหลายสาขาและภูมิภาคมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า ประเทศไทยควรมีการดำเนินนโยบายอย่างไรเพื่อสร้างความเข้มแข็งและให้ผลประโยชน์กับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศชาติได้

‘รศ.ดร. ดุลยภาค ปรีชารัชช’ จาก สถาบันเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่ได้เข้าร่วมสัมมนาดังกล่าว ได้มีความคิดเห็นว่า ประเทศไทยเหมาะที่จะดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยการเป็นกลางอย่างยืดหยุ่นและสร้างสรรค์มากกว่า และเน้นยึดหลักความถูกต้องและกฎกติการะหว่างประเทศเป็นตัวนำ พร้อมกับเลือกดำเนินงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นการถาวร อย่างเช่น ประเทศไทยโยกเข้าหาสหรัฐอเมริกาในเรื่องการทหาร และ โยกเข้าหาจีนในเรื่องของการค้าและเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปิดกั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากจนเกินไป รวมไปถึงขณะเดียวกันก็ให้ประเทศไทยหันมาเสริมสร้างแกนนอก ซึ่งหมายถึง การขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจนอกประเทศไทยด้วย

“ผมคิดว่าเราน่าจะดำเนินนโยบายเป็นกลางแบบยืดหยุ่น นั่นก็คือ เราไม่ประกาศว่าเราฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เนื่องจากยังไม่ได้มีแรงบีบคั้นทางยุทธศาสตร์อย่างรุนแรงที่ถึงขนาดประเทศไทยต้องเลือกข้างนะครับ เพราะฉะนั้นเราน่าจะยึดประเด็น ยึดความถูกต้อง ยึดกฎกติกา บรรทัดฐานระหว่างประเทศเป็นตัวนำ มหาอำนาจชาติใดทำเหมาะไม่เหมา จะต้องมีการประณามหรือยังไง แล้วก็ปฏิบัติไปตามความเหมาะสมบนหลักการแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันในบางครั้ง ในบางประเด็น เราอาจจะต้องโยกเข้าหาสหรัฐฯ หรือจีนบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะฝักใฝ่ประเทศเหล่านั้นเป็นการถาวร ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของการซ้อมรบ พันธมิตรทางทหาร พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ กำลังทหารของสหรัฐอเมริกายังมีความสำคัญอยู่ เพราะฉะนั้น ไทยก็น่าจะเอนเข้าหาสหรัฐฯ หรือว่าระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพอากาศ เครื่องบินรบต่าง ๆ เราก็ต้องเน้นสหรัฐอเมริกา แล้วก็จีนก็เข้ามาตาม จีนอยากจะถ่วงดุลกับสหรัฐฯ ก็เข้ามาบริหารความสัมพันธ์ดู แต่ในมิติของการค้าชายแดน ในมิติของการลงทุน การท่องเที่ยวต่างๆ เนี่ย อิทธิพลจีนน่าจะมีอยู่สูงกว่าอย่างชัดเจน เราก็ต้องโยกเข้าหาจีนไปโดยปริยาย แต่เราก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะปิดโอกาสนี้สำหรับสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ความเป็นกลางแบบยืดหยุ่น แบบสร้างสรรค์น่าจะเหมาะสมกับไทยนะครับ”

“แล้วอีกเรื่องหนึ่งก็คิดว่า ประเทศไทยน่าจะเสริมสร้างแกนนอก เสริมสร้างแกนนอกก็คือ ให้เราไปมองดูพื้นที่นอกประเทศไทยว่า ส่วนไหนจะเป็นอิทธิพล เขตไหนเป็นอิทธิพลของเรา เหนือ, ใต้, ออก, ตก อย่างนี้ เช่น พื้นที่รัฐฉานของพม่า พื้นที่บรรจบทางทะเลระหว่าง ไทย, พม่า, อินเดีย, อินโดนีเซีย อะไรอย่างนี้เป็นต้น เป็นพื้นที่ที่เราจะต้องทำ Power Projection นะครับ ทำการสำแดงอำนาจ หรือเพิ่มปฏิบัติการทางเศรษฐกิจหรือมิติต่าง ๆ ให้มากขึ้น” 

อย่างไรก็ตาม ศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ยุคแห่งสงครามเย็น แต่เป็นยุคสงครามร้อนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลก พร้อมกันนั้น ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากมายต่อการขับเคี่ยวกันทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นงานสัมมนาครั้งนี้จึงมีความสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างจุดยืนที่เป็นประโยชน์ท่ามกลางความร้อนระอุของโลกยุคนี้

'นราธิวาส' – ผบ.ทบ.และคณะฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยในพื้นที่ จชต. พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงาน เพื่อให้ทุกส่วนเข้าใจหลักการทำงาน และประสานสอดคล้อง ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก / ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และคณะผู้บังคับบัญชา ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาสที่ 93 ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส พร้อมรับฟังการบรรยายสรุป ติดตามผลและการปฏิบัติงานของหน่วยในพื้นที่และร่วมพบปะกำลังพล ตลอดจนรับทราบปัญหา ข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะ รวมทั้งมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่กำลังพลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังได้มอบสิ่งของอุปโภค บริโภคแก่หน่วยในพื้นที่ เพื่อแทนคำขอบคุณและเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยมี พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลโท ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4/ รองผู้อำนวยรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า, พลตรี ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส, ตำรวจ, ทหาร, หัวหน้าส่วนราชการ, ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาสที่ 93 และกำลังพลร่วมให้การต้อนรับ

จากนั้น ผู้บัญชาการทหารบก และคณะฯ เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ วัดเขากง ตำบลลำภู อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส โดยได้สักการะพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล ถวายสังฆทาน และกราบนมัสการพระครูบรรพต พรหมญาณ เจ้าอาวาสวัดเขากง  ก่อนรับมอบวัตถุมงคลเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและที่ยึดเหนี่ยวทางใจให้แก่กำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มารอให้การต้อนรับ

ต่อมาเวลา 14.15 น. ผู้บัญชาการทหารบก และคณะฯ พร้อมด้วยแม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครอง ตำบลท่าสาป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พร้อมมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อเป็นขวัญกำลังใจตอบแทนการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

โอกาสนี้ผู้บัญชาการทหารบก ได้รับฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติงาน เหตุการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ในอนาคต พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงานที่สำคัญให้แก่เจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน ตลอดจนรับทราบปัญหา ข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะ เพื่อให้ทุกส่วนเข้าใจหลักการทำงาน และปฏิบัติได้ประสานสอดคล้อง ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตามแผนบูรณาการการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องการเสริมสร้างศักยภาพของสมาชิกอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกนาย ทำงานดูแลความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้ โดยการเข้าถึงพื้นที่และใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีนำไปสู่ความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้ขอให้เชื่อมั่นว่า กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย 

ตลอดจนทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความร่วมมือและตั้งใจร่วมกันในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญกับการฝึกเสริมสร้างศักยภาพของอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาขีดความสามารถ มีความพร้อมเพิ่มมากขึ้นในห้วง 2-3 ปีนี้ นั่นจะทำให้เขาเหล่านั้นมีขีดความสามารถในการดูแลพี่น้องประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในระยะยาว เกิดความยั่งยืน และหากมีสิ่งไหนที่ต้องการหนุนเสริมเรื่องใด สามารถสะท้อนผ่านมายัง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top