Wednesday, 18 June 2025
TheStatesTimes

‘Huawei’ เปิดตัว Mate XT สมาร์ตโฟน 'จอพับ 3 ทบ' รุ่นแรกของโลก ชู!! เทคโนโลยี ‘กลไกบานพับคู่’ พร้อมคุณสมบัติ ‘หน้าจอโค้ง’

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวานนี้ (10 ก.ย.67) ‘หัวเหวย’ (Huawei) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน เปิดตัวสมาร์ตโฟนแบบจอพับสามทบรุ่นแรกของโลก รุ่น Mate XT ในนคร ‘เซินเจิ้น’ มณฑล ‘กว่างตง’ (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งมาพร้อมกับการพัฒนาทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น กลไกบานพับคู่ และคุณสมบัติหน้าจอโค้ง

‘อวี๋เฉิงตง’ กรรมการบริหารของหัวเหวย กล่าวว่าเทคโนโลยีที่รุดหน้าไปอย่างต่อเนื่องเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาสมาร์ตโฟนจอพับ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

ไอดีซี (IDC) บริษัทวิจัยตลาดระดับโลก เผยว่าตลาดโทรศัพท์มือถือจอพับของจีนมียอดการจัดส่งเติบโตร้อยละ 114.5 เมื่อปี 2023 ด้วยจำนวนกว่า 7 ล้านเครื่อง

‘พิเชษฐ์’ ฉลุย!! นั่งตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 1 ฟาก ‘ภราดร-ภูมิใจไทย’ ครองรองประธานสภาคนที่ 2

(11 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม วาระเลือกตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นผู้เสนอชื่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เนื่องจากไม่มีผู้เสนอชื่อแข่ง จึงถือว่านายพิเชษฐ์ได้เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1

โดยนายพิเชษฐ์ แสดงวิสัยทัศน์ว่า ตนจะปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจของรัฐสภาคือตรากฎหมาย ตรวจสอบหรือยกเลิกกฎหมาย, ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร, ให้ความเห็นชอบเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อประชาชน สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหาประเทศ โดยมีนโยบายดังนี้ 

1.ทำสภาฯ ให้ใกล้ชิดประชาชนมากขึ้นเพื่อให้มีการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยจัดให้รัฐสภาประจำจังหวัด ทดลองใช้อย่างน้อย 5 จังหวัด 

2.นำรัฐสภามุ่งสู่ความเป็นสมาร์ท พาลิเม็นท์ กรีน พาลิเม็นท์ ซีโร่คาร์บอน นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารองค์กรเพื่อนำไปสู่รัฐสภาดิจิทัล ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารรัฐสภาให้สมบูรณ์หลังได้รับมอบแล้ว สร้างท่าเทียบเรือฝั่งวุฒิสภา และสส. ภายในปี 2568 ทำที่จอดรถเพิ่มอีก 3,000 คัน ให้ถูกต้องตามกฎหมายของกรุงเทพมหานคร จัดให้มีความปลอดภัยในรัฐสภา เตรียมพร้อมชุดอัคคีภัยเร็วที่สุด 

3.เป็นผู้ช่วยประธานสภาฯ ดำเนินการประชุมสภาฯ ให้เรียบร้อยมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างศักยภาพสมาชิกให้มีความรู้ ประสบการณ์มากขึ้น เพื่อนำไปพัฒนาท้องถิ่นตัวเองให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด 

4.เป็นผู้ช่วยประธานสภาฯ นำพารัฐสภาไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นรัฐสภาผู้นำของอาเซียนและรัฐสภาผู้นำของเอเซีย 

จากนั้นเป็นการเลือกตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 2 โดยนายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรค พท. เสนอชื่อนายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย

โดยนายภราดร แสดงวิสัยทัศน์ว่า ถือเป็นเกียรติและไม่ใช่เฉพาะตัวตนแต่เป็นเกียรติของคนอ่างทอง ต้องขอขอบคุณพรรค ภท. นายอนุทิน เพื่อนสมาชิกและวิปรัฐบาล ตนใช้เวลา 17 ปีที่อยู่ที่สภาฯ นับไปนับมาแล้วเกือบจะครึ่งชีวิตที่ใช้เวลาอยู่ที่นี่ ตนทำงานอยู่ที่นี่ ตนผูกพันกับองค์กรแห่งนี้ ผูกพันกับสภาฯ จึงเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของตน เมื่อที่นี่เป็นบ้านหลังที่สอง ตนก็อยากจะเห็นบ้านหลังที่สองมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และเป็นที่เชื่อมั่น เป็นที่ศรัทธาของพี่น้องประชาชน การจะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน ไม่ใช่เกิดขึ้นจากประธานและรองประธานทั้งสองคน แต่เกิดขึ้นจากสมาชิกสภาฯ ทั้ง 493 ชีวิตที่เหลือ อยู่ในฐานะประธานและรองประธานของสภาผู้แทน พวกเรามีหน้าที่ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับเพื่อนสมาชิกในการที่จะแสดงศักยภาพของตัวเองให้สูงที่สุด และปฏิบัติหน้าที่เพื่อที่จะให้สมาชิกได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 

“แม้สถานะของผมจะเหมือนกับประธานและสมาชิก คือเราเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เราปฏิเสธการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่ได้ แต่ผมให้คำมั่นสัญญาว่าผมจะไม่เป็นรองประธานสภาฯ ของพรรคภูมิใจไทย จะไม่เป็นรองประธานสภาฯ ของเพื่อนสมาชิกฝ่ายรัฐบาล แต่ผมจะเป็นรองประธานของสภาฯ แห่งนี้ของเพื่อนสมาชิกทั้ง 493 คน ผมจะทำหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยของประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ผมจะทำหน้าที่ตามที่ประธานได้มอบหมายให้ปฏิบัติอย่างเต็มกำลังความสามารถ เต็มกำลังสติปัญญา ผมจะยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมจะช่วยประธานในการที่จะทำให้สภาฯ แห่งนี้เป็นสภาของพี่น้องประชาชน” นายภราดร กล่าว

นายภราดร กล่าวต่อว่า เพื่อนสมาชิกหลายท่านพูดว่าสภาแห่งนี้ไม่ใช่สภาของพวกเรา แต่เป็นสภาของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหมด พวกเราจะช่วยกันทำให้สภาแห่งนี้เป็นสภาของพี่น้องประชาชน พื้นที่ทั้งในส่วนที่เป็นอาคารสถานที่ พี่น้องประชาชนจะต้องได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นลานประชาชนหรือดำริของประธานสภาฯ ที่จะทำห้องสมุด ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จะทำให้ประชาชนได้เข้ามาใช้ประโยชน์ 

นอกจากนั้น ในเรื่องของข้อมูลข่าวสารที่พี่น้องประชาชนก็จะต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสภาได้เต็มที่ เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด และสภาจะต้องเป็นสภาที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นสภาของพี่น้องประชาชน

“ผมขอย้ำกับประธานว่าผมจะไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการฉวยโอกาสสร้างประโยชน์ทางการเมืองให้กับพรรคการเมือง หรือให้กับตัวผมเอง ขอย้ำว่าผมจะไม่เป็นรองประธานสภาฯ ของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง จะไม่เป็นรองประธานสภาฯ ของฝ่ายรัฐบาล แต่ผมจะเป็นรองประธานสภาฯ ของเพื่อนสมาชิกทั้ง 493 คน จากวันนี้เป็นต้นไปจนกระทั่งวันสุดท้ายของการปฎิบัติหน้าที่ ผมไม่รู้ว่าจะทำหน้าที่ได้ดีหรือเป็นกลางในสายตาของใครได้มากน้อยแค่ไหน แต่ยืนยันกับประธานและเพื่อนสมาชิกว่าจะทำหน้าที่ดีที่สุด จะทำหน้าที่ร่วมกับประธานและเพื่อนสมาชิกทั้งหมด เพื่อที่จะสร้างศรัทธาสร้าง ความเชื่อมั่น และสร้างเกียรติยศให้กับสภาแห่งนี้ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของพี่น้องประชาชน” นายภราดร กล่าว 

จากนั้นนายวันมูหะมัดนอร์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า จะรีบนำชื่อนายพิเชษฐ์และนายภราดรขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งการประชุมวันนี้ถือว่าเป็นบรรยากาศดีมาก ไม่เสียเวลาเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ประโยชน์น้อย วันนี้เราได้ประโยชน์ล้วน ๆ จากนั้นได้กล่าวปิดประชุมในเวลา 11.39 น. เพื่อให้สส.เตรียมตัวอภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาลในวันที่ 12-13 กันยายนนี้

'ผลสำรวจ' ชี้!! หนี้ครัวเรือนไทยปี 67 ทะลุ 6 แสน/ครัวเรือน สูงสุดในรอบ 16 ปี ส่วนใหญ่ก่อหนี้ที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น 'ลงทุน ประกอบอาชีพ-บ้าน-รถ'

(11 ก.ย. 67) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจจากทั่วประเทศ จำนวน 1,300 ตัวอย่าง ตั้งแต่วันที่ 1-7 กันยายน 2567 พบว่า คนไทยมีหนี้เฉลี่ย 606,378 บาท/ครัวเรือน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.4% เพิ่มขึ้น 47,000 บาท

เมื่อเทียบจากปี 66 และ สูงสุดในรอบ 16 ปีตั้งแต่ทำการสำรวจในปี 52 ที่มีหนี้สินครัวเรือนเฉลี่ยต่อครัวเรือนที่ 143,476.32 บาท ส่วนการผ่อนชำระต่อเดือนปี 67 อยู่ที่ 18,787.38 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 66 ที่อยู่ 16,742 บาท 

และสูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลก คิดเป็น 90.4-90.8% ของจีดีพีประเทศ โดยมีอัตราภาระการผ่อนชำระ18,787บาท/เดือน

โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนเกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และ รายรับไม่พอกับรายจ่าย ประกอบกับ ปัจจุบันคนกู้หนี้นอกระบบมากกว่าในระบบมากขึ้น และจากผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่าส่วนใหญ่ กู้เพื่อนำไปลงทุน ประกอบอาชีพ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ซื้อสินทรัพย์คงทนอาทิ บ้าน และรถ ซึ่งเป็นหนี้ที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นส่งผลทางจิตวิทยา ด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากต่างชาติ

"ปัญหาหนี้ครัวเรือนก่อนปี 2556 คนอื่นไม่ถึง 80% ต่อจีดีพี เรามีปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในปี 2557 อัตราการขยายตัว หรือ จีดีพีติดลบ ผ่านมา 11 ปี ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังไม่ถูกการแก้ไขให้ต่ำกว่า 80% ต่อจีดีพี"

อยากให้ภาครัฐชำแหละหนี้ให้ชัดเจน ยกตัวอย่าง ทางธกส. มีข้อมูลหนี้เกษตรกร ทางออมสิน มีข้อมูลหนี้ธนาคารประชาชน ทางธอส. มีข้อมูลหนี้บ้าน ถ้าทำได้เราจะหาวิธีแก้ที่ตรงจุด

อย่างไรก็ดี คาดว่าหากสามารถจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ตล็อตแรก 1.4 แสนล้านบาท ให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ภายใน 20 ก.ย. นี้ จะทำให้มีเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ 2 รอบ ทำให้จีดีพีไตรมาส 4 โต 3.5-4% ผลักให้จีดีพีโตเพิ่มได้ 0.2-0.4 % และทำให้จีดีพีทั้งปีนี้ โตเพิ่มจาก 2.5% เป็น 2.8% ได้ เพราะมั่นใจว่ากลุ่มนี้จะมีการใช้จ่ายทันที

นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จากการเปรียบเทียบรายได้และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในปัจจุบันพบว่า จากกลุ่มตัวอย่างรายได้ต่อเดือนของครัวเรือน มีรายได้ 5,000-15,000 บาท 3% มีรายได้ 15,001-30,000 บาท 15.2% มีรายได้ 30,001-50,000 บาท 18% มีรายได้ 50,001-100,000 บาท 34.7% มีรายได้มากกว่า 100,000 บาทขึ้นไป 29.1%

ทั้งนี้ การเก็บออมเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินในปัจจุบัน พบว่า ไม่เคยเก็บออม 48.1% มีเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 6 เดือนขึ้นไป 22.6% มีเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 3-6 เดือน 16% มีแต่น้อยกว่าค่าใช้จ่าย 3 เดือน 13.3% ขณะที่การเก็บออมเทียบกับปีก่อน ลดลง 46.8% 

สำหรับพฤติกรรมการใช้จ่ายของครัวเรือน โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ใช้จ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่มีแอลกอฮอล์) 23.2% ค่าเดินทาง / ยานพาหนะ 10.2% ค่าที่อยู่อาศัย / เครื่องใช้ / เครื่องเรือน 8.7% ยาสูบ / เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 8.2% ของใช้ส่วนตัว 8.1% ค่าใช้ด้านการท่องเที่ยว 7.9% เวชภัณฑ์และค่ารักษาพยาบาล 7.1% ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา 7% ค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสาร 6.8% กิจกรรมศาสนา 6.8% และการบันเทิง จัดงานพิธี จัดเลี้ยง 6% 

หากเปรียบเทียบรายได้และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในปัจจุบัน พบว่า รายได้ครัวเรือนน้อยกว่ารายจ่าย 46.3% รายได้ของครัวเรือนเท่ากับรายจ่าย 35% รายได้ครัวเรือนมากกว่ารายจ่าย 18.7%  

การแก้ไขปัญหากรณีที่รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายในปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่างเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาโดยการกู้ยืมจากแหล่งต่าง ๆ 55% มากจากการกดเงินสดจากบัตรเครดิต 24.8% กู้จากธนาคารพาณิชย์ 23.7% กู้ธนาคารเฉพาะกิจ 21.2% จำนำทรัพย์ที่มี 7.9% กู้เงินสหกรณ์ 7.6% เป็นต้น

โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาคนส่วนมาก 71.1% เคยผิดนัดชำระหนี้ และ 28.4 % ไม่เคย ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิดนัดชำระหนี้มากที่สุดคือ เศรษฐกิจไม่ดี รองลงมาคือรายได้ลดลง สภาพคล่องธุรกิจลดลง ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นเป็นต้น

ปู่วัย 87 โชคดี!! เกือบสูญทรัพย์นับสิบล้านให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เอะใจ!! ขึ้นโรงพักถามตำรวจ ก่อนรู้ถูกหลอก รอดหวุดหวิด

(11 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิมาศ หรือเล็ก ทุกข์นิโรธ อายุ 87 ปี อดีตเจ้าหน้าที่สื่อสารระดับ 6 สำนักงานโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ฐิติปกรณ์ คุ้มปานอินทร์ สว.(สอบสวน) สภ.เมืองนนทบุรี เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 67 พร้อมเงินสดจำนวน 200,000 บาท เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ และอยากจะถามว่าบัญชีตนเองผิดอะไร ทำไมต้องให้ตนเองโอนเงินส่งเงินให้เจ้าหน้าที่ตรวจ ทั้ง ๆ ที่ตนไม่เคยมีบัญชีพัวพันสีเทาหรือสิ่งผิดกฎหมาย แต่ทำไมถึงต้องโทรมาให้ตนส่งเงินไปให้ตรวจสอบ

ทาง พ.ต.ต.ฐิติปกรณ์ จึงอธิบายเหตุผลและชี้แจงว่าคุณปู่เล็ก น่าจะถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาหลอกลวง อย่าได้หลงเชื่อเด็ดขาด การที่คุณปู่เล็กมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจถือว่าโชคดี หากโอนเงินไปแล้ว รับรองว่าสูญเงินอย่างแน่นอน และแนะนำให้ปู่เล็กบล็อกเบอร์มือถือเบอร์นี้ อย่าได้พูดคุยติดต่อหรือเชื่อคำพูด ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปู่เล็กถึงกับดีใจที่ยังไม่ทันได้เสียท่าให้กับมิจฉาชีพ ถึงกับยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ช่วยตักเตือนให้ในครั้งนี้

นายพิมาศ หรือปู่เล็ก เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนหน้านี้มีชายคนนึงโทรเข้ามาหาตนเองทางโทรศัพท์มือถือ พร้อมทั้งบอกว่า ตนเองมีบัญชีพัวพันกับธุรกิจสีเทา ต้องส่งไปให้เขาตรวจสอบ โดยจะมีเจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ง. กรมสรรพากร เจ้าหน้าที่ตำรวจ โทรเข้ามาติดต่อและชี้แจงข้อระเบียบ หากเงินในบัญชีตรวจสอบแล้วถูกต้องก็จะส่งคืนให้ และมีค่าเสียเวลา ค่าชดเชยกลับมาให้กับปู่เล็กด้วย ตนจึงหลงเชื่อสนิทใจ รีบเอาสร้อยคอทองคำ 3 บาท เลสข้อมือ 2 บาท ไปขาย ได้เงินมา 200,000 บาท และจะนำไปเข้าบัญชีให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามที่เขาแนะนำมา เพราะตนเองไม่ได้เล่นไลน์ โอนเงินทางบัญชีไม่เป็น ทางคนที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่บอกตนมีทรัพย์สินเท่าไหร่ให้เบิกมา หากพบว่าเป็นเงินสุจริตก็จะส่งคืนให้ในภายหลัง

โชคดีที่เจ้าหน้าที่แนะนำไม่อย่างนั้นคงสูญเงิน 200,000 บาท นี้อย่างแน่นอน ที่สำคัญตนยังมีพันธบัตรที่ซื้อไว้อีกหลายสิบล้าน และเตรียมจะถอนออกมาเป็นเงินสดโอนไปให้มิจฉาชีพ ดีที่ไหวตัวทันอย่างเฉียดฉิวก่อน ตอนที่จะมาโรงพักคิดอย่างเดียวว่าถ้าผิดจริง ๆ ก็ให้มันติดคุกไป เพราะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ก็อยากเอาเงิน เอาสมุดบัญชีมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย โชคดีที่มารู้ความจริงเสียก่อน ส่วนเงิน 200,000 บาท เดี๋ยวจะกลับไปซื้อทองใหม่ และจะบล็อกเบอร์แก๊งคอนเซ็นเตอร์นี้ไป ไม่รับสายพูดคุยด้วยแล้ว ไม่เช่นนั้นคงตกเป็นเหยื่อแน่

'แรงงาน' แจ้งข่าว!! รับสมัครคนไทยไปทำงานที่เกาหลีใต้ เน้นแรงงาน 'ภาคเกษตร-ประมง' เงินเดือนสูงสุด 6.2 หมื่นบาท

(11 ก.ย. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน (กกจ.) เปิดรับสมัครคนไทยไปทำงานภาคเกษตรและประมงตามฤดูกาลในสาธารณรัฐเกาหลี จำนวน 2 ตำแหน่ง 15 อัตรา ได้แก่ คนงานเกษตรตามฤดูกาล ทำงานเพาะปลูกในไร่ และเพาะปลูกกระเทียม จำนวน 13 อัตรา เพศชาย 10 อัตรา เพศหญิง 3 อัตรา ค่าจ้าง 2,060,740 วอนต่อเดือน ประมาณ 52,343 บาท

คนงานประมงตามฤดูกาล ทำงานเพาะเลี้ยงพืชทะเล และเพาะเลี้ยงสาหร่าย จำนวน 2 อัตรา เพศชาย ค่าจ้าง 2,473,000 วอน หรือประมาณ 62,814 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 4 กันยายน 2567 : 1 วอน เท่ากับ 0.0254 บาท) มีระยะเวลาการจ้างงาน 5 เดือน และสามารถขยายระยะเวลาเพิ่มได้อีก 3 เดือน ผู้สนใจสามารถสมัครทางเว็บไซต์ toea.doe.go.th

โดยลงทะเบียนระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนคนหางาน และดำเนินการสมัครไปทำงาน โดยเลือกหัวข้อ ‘สมัครไปทำงานโดยรัฐจัดส่ง’ และเลือกรายการ ‘การรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานภาคประมงตามฤดูกาลในอำเภอโคฮึง จังหวัดชอลลานัม สาธารณรัฐเกาหลี’ ภายในวันที่ 11-13 กันยายน 2567 ตลอด 24 ชั่วโมง

“กระทรวงแรงงาน สนับสนุนให้คนไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาโดยตลอด เพราะนอกจากทำให้แรงงานไทยมีโอกาสทางอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตตนเองและครอบครัวได้แล้ว เม็ดเงินที่ได้รับยังถูกส่งกลับมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและยั่งยืนของประเทศไทยต่อไป แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานด้วยวีซ่า E-8 ไม่ต้องทดสอบทักษะภาษาเกาหลี และผู้ที่เคยเดินทางไปทำงานแล้วยังสามารถไปซ้ำได้ในปีถัดไป เงื่อนไขนี้จะเปิดโอกาสให้คนไทยเดินทางไปทำงานเกาหลีใต้ได้มากขึ้น” นายพิพัฒน์กล่าว

ด้าน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สำหรับวิธีการคัดเลือกในครั้งนี้กรมการจัดหางานจะคัดเลือกคนหางานโดยการคัดเลือกจากใบสมัครและสัมภาษณ์ออนไลน์ หากผ่านการคัดเลือก จะส่งเอกสารให้อำเภอโคฮึงยื่นขอวีซ่าที่สาธารณรัฐเกาหลี

โดยผู้สมัครต้องมีอายุระหว่าง 25-39 ปี เป็นแรงงานเกษตร หรือประมงชาวไทย ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดยโสธร หรือจังหวัดสตูล และต้องมีประสบการณ์ด้านการเกษตรหรือประมงไม่น้อยกว่า 1 ปี มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เป็นโรคติดต่อ เช่น วัณโรค ซิฟิลิส หรือเป็นผู้ติดยาเสพติด ไม่มีภาวะตาบอดสี ไม่มีประวัติอาชญากรรม หรือมีประวัติเข้าเมืองและพำนักผิดกฎหมายในสาธารณรัฐเกาหลี ไม่เป็นคนที่ให้กำเนิดบุตรไม่เกิน 1 ปี หรืออยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ไม่เป็นบุคคลที่ถูกห้ามเดินทางเข้าสาธารณรัฐเกาหลี

“การรับสมัครเพื่อไปทำงานภาคเกษตรหรือประมงตามฤดูกาล ในอำเภอโคฮึง จังหวัดซอลลานัม สาธารณรัฐเกาหลี เป็นการจัดส่งไปทำงานโดยวิธีรัฐจัดส่งเท่านั้น คนหางานไม่ต้องสอบภาษาเกาหลี ไม่ต้องเสียค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานจ่ายเพียงค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ได้แก่ ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพและตรวจสารเสพติด ค่าตรวจประวัติอาชญากรรม ค่าเดินทางไปสนามบิน ค่าโดยสารเครื่องบินไป-กลับ ค่าประกันการเดินทาง และค่าสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงาน รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 35,000 บาท

หากมีผู้แอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือในการจัดหาและส่งแรงงานภาคเกษตรหรือประมงตามฤดูกาลไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีได้ โปรดอย่าหลงเชื่อ ขอให้แจ้งและตรวจสอบข้อมูลกับกรมการจัดหางานก่อน” นายสมชายกล่าวและว่า

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ทางโทรศัพท์หมายเลข 0-2245-1034 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร 1694

กลุ่มเปราะบางดีใจ ลุ้น 'เงินดิจิทัล' เข้าลอตแรกเร็วๆ นี้ ด้าน 'พ่อค้าแม่ค้า' หวังนำเงินไปใช้จ่ายลงทุนร้านค้าตัวเอง

(11 ก.ย.67) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็นของประชาชนถึงโครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท หลังมีการจัดตั้งรัฐบาล ‘อุ๊งอิ๊ง1’ เรียบร้อยแล้ว โดยเริ่มจากการแจกจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบาง คือ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ ‘บัตรคนจน’ และกลุ่มผู้พิการ จำนวนกว่า 14.5 ล้านคน โดยคาดว่าจะโอนเงินให้ได้หลังจากวันที่ 20 ก.ย. เป็นต้นไปท่ามกลางความสนใจของคนไทยทั้งประเทศที่เฝ้ารอรายละเอียดและความชัดเจนจาก ‘น.ส.แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี อีกครั้ง โดยผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ที่ตลาดสดเทศบาล 1 เขตเทศบาลนครขอนแก่น พบว่าพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่ซึ่งล้วนต่างถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ต่างรู้สึกดีใจในความชัดเจนดังกล่าว และส่วนใหญ่จะนำเงินไปใช้จ่ายลงทุนร้านค้าตัวเอง

‘นางหนูกอ นาใต้’ อายุ 71 ปี แม่ค้าขายผักกล่าวว่า ดีใจที่รัฐบาลมีความชัดเจน เพราะตอนนี้การเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง บางวันต้องยืมใช้จากเงินนอกระบบมาลงทุนขายผัก ทั้ง ค่าอยู่ ค่ากิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าไปโรงเรียนหลาน ถ้าได้มาก็จะได้ใช้จ่ายลงทุนและนำไปปิดหนี้นอกระบบ ซึ่งที่ยืมเพราะไม่มีเงินมาลงทุนค้าขาย บางวันขายไม่ได้ทุนคืนก็มี ก็ต้องยืมรายวันมาลงทุนไปก่อน ถ้าได้เงินตัวนี้มาก็พอช่วยได้ในระดับหนึ่งเพื่อมาลงทุนค้าขาย โดยส่วนตัวเท่าที่ฟังข่าวสารมาไม่มั่นใจว่าจะเป็นเงินสดหรือเงินแบบไหน แต่ถ้าได้เงินสดมาก็จะดี จะได้นำมาใช้ลงทุนต่อ เพราะเศรษฐกิจตอนนี้ค้าขายก็ได้กำไรน้อย ลูกค้าก็ไม่ค่อยมีเหมือนเดิม คนเคยมาซื้อก็น้อยลงบอกว่าหาเงินยาก ซื้อลดลง และการค้าขายที่ร้านต้องขายให้หมดถึงจะเห็นกำไร

ขณะที่ ‘นางตุ๊กตา ศรีอภัย’ อายุ 57 ปี แม่ค้าขายปลาสด-ปลาปล่อย กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลจ่ายเงินสดจริงจะดีใจมาก เศรษฐกิจจะได้ดีขึ้น ซึ่งโดยส่วนตัวถ้าได้เงินมาก็จะมาซื้อข้าวสาร น้ำมันพืช ของใช้ครัวเรือน โดยที่ทุกวันนี้ครอบครัวติดตามข่าวสารมาตลอดก็ทราบว่าจะได้เงินมาเป็นรอบ ลอตแรก 5,000 บาท ซึ่งถ้าได้เงินสดมา เศรษฐกิจดีขึ้นแน่ คนออกมาใช้จ่ายซื้อของกันคึกคัก ทั้งยังคงนำไปจ่ายค่าไฟฟ้า ค่าประปา และใช้จ่ายอื่นๆ จนนำมาสู่เงินหมุนเวียน ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง และในตลาดก็จะดีขึ้นตามไปด้วย

ด้าน ‘นายพลวัฒน์ ดอนตระกูล’ อายุ 36 ปี พ่อค้าขายเครื่องเทศ พริก กระเทียม กล่าวว่า ตนเองไม่ได้อยู่ในกลุ่มเปราะบาง ไม่มีบัตรประชารัฐ แต่ถ้าถามถึงความหวังนั้นไม่มีหวังอะไร และไม่รู้ว่าสิทธิ์ที่จะใช้เงินนี้จะใช้จ่ายอะไรได้บ้าง แต่ถ้าได้และเป็นเงินสดก็จะเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะสามารถนำไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟได้ แต่โครงการนี้ก็ยังคลุมเครือไม่ชัดเจนแต่ถ้าได้มาก็จะดี เพราะเศรษฐกิจตอนนี้ย่ำแย่ อยากให้ทางรัฐบาลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าการแจกเงิน

'แม่สาย' เผชิญน้ำท่วมบ่อย แต่ทำไมไม่มีมีระบบเตือนภัย จากนี้ควรปรับแนว ส่งข้อมูลให้ประชาชนโดยตรง

(11 ก.ย. 67) อิทธิพลจากพายุ ‘ยางิ’ ทำให้พื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยเกิดฝนตกหนัก โดยเฉพาะที่ จ.เชียงราย ซึ่งทำให้ภาวะน้ำป่าไหลหลากลงมาท่วมอย่างหนักที่ตลาดสายลมจอย อ.แม่สาย อีกรอบ ทั้งที่ จ.เชียงรายเพิ่งถูกน้ำท่วมหนักไปช่วงในปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง (2567)

ชาวแม่สายจำนวนมากยังติดอยู่ในบ้านที่ถูกน้ำท่วมสูงถึงหลังคา บางคนต้องย้ายมาใช้ชีวิตอยู่บนหลังคาบ้าน ซึ่งเป็นส่วนเดียวที่ยังไม่ถูกน้ำท่วม การเข้าให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบากตลอดทั้งกลางวันต่อเนื่องไปถึงกลางคืน เพราะน้ำสูง แรง ไหลเชี่ยว ในระหว่างที่ฝนยังคงตกลงมาเพิ่ม

อ.แม่สาย เป็นพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมมาถึง 8 ครั้งแล้ว ถ้านับเฉพาะในปี 2567 นี้ จึงมาพร้อมคำถามใหญ่ว่า อ.แม่สาย หรือ จ.เชียงราย มีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพในพื้นที่นี้หรือไม่ ในเมื่อเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยจากน้ำป่า เกิดน้ำท่วมซ้ำซากบ่อยๆ ทำไมประชาชนจึงยังคงได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ทั้งที่มีการแจ้งเตือนพายุล่วงหน้าหลายวัน

“กรมอุตุฯ บอกว่า เราสามารถพยากรณ์ฝนล่วงหน้า 7 วัน ได้แม่นยำถึงประมาณ 90% แล้ว แต่ถ้าเป็นการพยากรณ์ล่วงหน้า 3 วัน เราจะมีความแม่นยำถึงเกือบ 100% เต็ม ... ส่วนข้อมูลการไหลของน้ำ ความแรง เส้นทาง เราก็มีหน่วยงานที่จัดทำข้อมูลอย่างละเอียด คือ ‘สทนช.’ (สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) ดังนั้น เรามีทั้งข้อมูลฝนที่จะตกหนักแน่ เรารู้เส้นทางน้ำ รู้ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ แต่กลับไม่มีใครบอกให้คนแม่สายทำอะไร ... คำถามคือ การเตือนภัย เป็นหน้าที่ของใครกันแน่?”

‘ไมตรี จงไกรจักร์’ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท และอดีตผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ ตั้งคำถามดังๆ ไปถึง ‘ระบบเตือนภัย’ ของประเทศไทย ซึ่งดูเหมือนเป็น ‘หน้าที่’ ที่ยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบอย่างชัดเจนเต็มตัว จนทำให้เกิดความสูญเสียมากกว่าที่ควรทุกครั้งเมื่อเกิดภัยพิบัติ

“ในมุมผม ควรเป็นหน้าที่ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันกลายไปเป็นหน่วยงานหนึ่งในกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ไปอยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย”

“ผมคิดว่า การเตือนภัยควรมี 2 ระบบ ระบบแรก คือ การเตือนล่วงหน้า 3 วัน ซึ่งศูนย์เตือนภัยฯ สามารถใช้ข้อมูลฝน ข้อมูลน้ำ ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ หรือขอข้อมูลจาก สทนช. มาทำการเตือนภัยได้เอง ... ระบบที่ 2 ในกรณีเร่งด่วนต้องเตือนภัยภายใน 24 ชั่วโมง ศูนย์เตือนภัยฯ ควรมีอำนาจไปขอให้ กสทช.ใช้วิธีบูรณาการความร่วมมือกับสื่อสารมวลชน และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ออกประกาศแจ้งเตือนไปยังสื่อต่างๆ ทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงต้องส่งข้อความตรงไปถึงโทรศัพท์ของคนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงได้เลย ... แต่ที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นการส่งคำเตือนไปให้กับผู้บริหารส่วนราชการที่มีอำนาจตัดสินใจเท่านั้น”

“เราต้องเปลี่ยนใหม่ ต้องส่งข้อมูลให้ประชาชนโดยตรง”

ในฐานะอดีตผู้ประสบภัยสึนามิ ทำให้ไมตรี มีความสนใจต่อการแนวทางจัดการภัยพิบัติในรูปแบบที่ต้องให้ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงจัดการตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาจึงได้จัดทำข้อมูลชุมชนเสี่ยงภัยพิบัติทั่วประเทศไทย และพบว่ามีมากถึง 4 หมื่นชุมชน ในขณะที่ภาครัฐจัดสรรงบประมาณมาสร้างความรู้ให้ชุมชนได้เพียงปีละ 10-20 ชุมชน ในงบประมาณแห่งละ 2 หมื่นบาทเท่านั้น

“เขามักจะอ้างว่า ที่ไม่รายงานข้อมูลภัยพิบัติตรงไปที่ประชาชน เพราะกลัวจะเกิดความตื่นตระหนก เกิดความวุ่นวายในการอพยพ แต่แท้จริงแล้วนั่นสะท้อนให้เห็นว่า เป็นเพราะรัฐเองไม่สามารถสร้างความไว้วางใจให้ประชาชนได้ เพราะการส่งข้อมูลภัยพิบัติที่แม่นยำ แม้จะหยุดภัยพิบัติไม่ได้ แต่จะช่วยลดมูลค่าความสูญเสียลงไปได้มาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องบอกให้ได้ด้วยว่า เมื่อประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเห็นข้อมูลแบบนี้แล้ว จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ไปหาใคร ไปที่ไหน ไม่ใช่แค่การแจ้งเตือนรวมๆ กว้างๆ ให้ไปคิดเอาเอง”

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ อ.แม่สาย ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท ระบุว่า เป็นลักษณะเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในปีนี้กับหลายพื้นที่ เพราะเป็นปีที่ประเทศไทยมีฝนมาก ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ และควรเร่งประกาศเป็นนโยบาย ซึ่งมีข้อเสนอดังนี้

(1) ข้อมูลภัยพิบัติต้องเป็นข้อมูลเปิดที่ประชาชนเข้าถึงได้ ต้องมีนโยบายบูรณาการข้อมูลของหน่วยราชการ เพื่อสร้างช่องทางสื่อสารตรงไปถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ไม่ควรส่งข้อมูลให้เฉพาะผู้มีอำนาจไม่กี่คนเท่านั้น

(2) ต้องมีนโยบายส่งเสริมให้ท้องถิ่น โดยเฉพาะชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัย มีความสามารถจัดการภัยพิบัติได้ด้วยตัวเอง เช่น สร้างที่พักในจุดปลอดภัย สำรวจข้อมูลประชากรกลุ่มเปราะบาง อบรมหน่วยกู้ภัยชุมชน ฯลฯ

(3) เมื่อเกิดภาวะวิกฤต จะต้องมีกลไกระดมกำลังเจ้าหน้าที่ของรัฐเขามาดูแลช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่จากพื้นที่ข้างเคียง ไม่ใช่ปล่อยให้กลุ่มอาสาสมัครจากภาคเอกชนกลายเป็นกำลังหลักในการกู้ภัย และยังควรแก้ไขระเบียบเพื่อให้จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าที่พักให้กับอาสาสมัครที่มาช่วยงานได้ด้วย ซึ่งการสร้างกลไกเหล่านี้ จะทำให้หน่วยงานรัฐสามารถสถาปนา ‘ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์’ (Incident Command System - ICS) ขึ้นมาได้ง่ายขึ้น และสามารถจัดกำลังเพื่อเข้าให้ความช่วยเหลือได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
“อย่างที่บอกไปแล้ว เรามีชุมชนเสี่ยงภัย 4 หมื่นชุมชน รัฐจัดอบรมได้ปีละ 10-20 ชุมชน บางปีทำได้แค่ 6 ชุมชนด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 100 ปี ถึงจะอบรมได้ครบทั้งหมด ดังนั้นรัฐต้องเลิกผูกขาดการจัดการภัยพิบัติ จะต้องมีนโยบายหรือกฎหมายเพื่อกระจายอำนาจการจัดการภัยพิบัติมาให้ท้องถิ่น แนวทางที่เราเห็นว่าสามารถทำได้เลย คือ การตั้งกองทุนเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติระดับตำบล โดยให้รัฐส่วนกลางสนับสนุนงบประมาณร่วมกับท้องถิ่นคนละครึ่ง สามารถนำงบประมาณไปจัดฝึกอบรม จัดทำแผนภัยพิบัติที่เหมาะกับชุมชนนั้นๆ โดยเฉพาะ หรือยังอาจใช้ตั้งโรงครัวกลางในระหว่างเกิดภัยได้ด้วย”

“ภาพที่เกิดขึ้นกับ อ.แม่สาย คือถูกน้ำท่วมซ้ำซากจนมีความเสียหายมากติดต่อกันบ่อยๆ เป็นภาพเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งปัจจุบันแม้จะยังถูกน้ำท่วมอยู่ แต่หลายชุมชนมีแผนจัดการเป็นของตัวเอง มีกองเรือที่ต่อกันเองด้วยลักษณะที่เหมาะกับสภาพลำน้ำ และสภาพพื้นที่สำหรับใช้กันเองในช่วงประสบภัย ทำให้ช่วยลดความสูญเสียลงไปได้มาก” 

ไมตรีกล่าวทิ้งท้าย

สตูล หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ (สตูล) ตรวจยึดเครื่องมือทำการประมงอวนลากแผ่นตะเฆ่ในพื้นที่เขตทะเลชายฝั่ง

(11 ก.ย. 67) หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ (สตูล) ศูนย์ฯ กระบี่ กองตรวจการประมง กรมประมง โดยนายสุขเกษม ศรีงาม หัวหน้าหน่วยฯ และนายชัยวัฒน์ รุ่งแก้ว เจ้าพนักงานประมงปฏิบัติงาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ นำเรือตรวจประมงทะเล 214 จำนวน 5นาย ออกปฎิบัติงาน ควบคุมการทำการประมง เมื่อมาถึงพื้นที่ ต.แหลมสน อ.ละงู จ.สตูล จากการสังเกตการณ์พบเห็นกลุ่มเรือประมงหางยาวกำลังลักลอบทำการประมงโดยใช้เครื่องมืออวนลากแผ่นตะเฆ่ในเขตทะเลชายฝั่ง ทางด้านทิศใต้ของเกาะกล้วย พื้นที่ ต.แหลมสน อ.ละงู จ.สตูล จึงได้นำเรือตรวจประมง 214 เข้าประชิดแต่กลุ่มเรือดังกล่าวได้ตัดอวนและทำการเร่งเครื่องหลบหนีการจับกุม จนไม่สามารถติดตามได้ทัน จึงทำการตรวจยึดของกลางอวนลากแผ่นตะเฆ่ จำนวน 4 ปาก สัตว์น้ำจำนวน 2 กิโลกรัม (ทำลายด้วยวิธีการฝังกลบ) ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 36 มาตรา 67(3) แห่ง พรก.ประมง 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดเครื่องมือทำการประมง วิธีการทำการประมง และพื้นที่ทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. 2566 ข้อ 2 (1) มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 129, 147, และ 169 แห่ง พรก. ประมง 2558  และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยได้ทำบันทึกตรวจยึดเครื่องมือทำการประมง นำส่ง สภ.ละงู อ.ละงู จ.สตูล เพื่อประกอบเป็นหลักฐานและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

เริ่มแล้ว!! ดีเบต ‘ทรัมป์ VS แฮร์ริส’ เลือกตั้งชิงผู้นำสหรัฐฯ มีแต่ 'ซัด-สวน-แขวะ' ปม 'การเมือง-เศรษฐกิจ-ความมั่นคง'

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศึกดีเบตรอบแรกระหว่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ และ รองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ เริ่มเปิดฉากขึ้นในเวลา 21.00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (ET) ที่เมือง ‘ฟิลาเดเฟีย’ รัฐ ‘เพนซิลเวเนีย’ โดยมีสถานีโทรทัศน์ ‘ABC News’ เป็นเจ้าภาพ ท่ามกลางคำถามว่า ทรัมป์และแฮร์ริส ซึ่งไม่เคยพบเจอกันตัวเป็นๆ มาก่อนจะทักทายกันอย่างไร? ซึ่งปรากฏว่าแฮร์ริสจบข้อสงสัยด้วยการเป็นฝ่ายเดินไปหาทรัมป์ที่โพเดียมของเขา และยื่นมือทักทายพร้อมแนะนำตัวเองว่า ‘กมลา แฮร์ริส’ ซึ่งถือเป็นการจับมือในศึกดีเบตระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

รอยเตอร์ชี้ว่าท่าทีของแฮร์ริสเป็นการส่งสัญญาณ ‘ลดการ์ด’ ให้กับชายซึ่งใช้เวลาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาดูหมิ่นเหยียดหยามเธอทั้งในแง่ของเพศและเชื้อชาติ

แฮร์ริส ซึ่งเป็นอดีตอัยการวัย 59 ปี พุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนต่างๆ ของทรัมป์ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จนทำให้ทรัมป์ในวัย 78 ปีออกอาการโมโหอย่างเห็นได้ชัด และพยายามตอบโต้ด้วยการอ้างข้อมูลบิดเบือนต่างๆ โดยในช่วงหนึ่งของการอภิปราย แฮร์ริสได้กล่าวถึงการปราศรัยหาเสียงของทรัมป์ โดยเยาะเย้ยว่าคนส่วนใหญ่ ‘มักจะกลับก่อน’ เพราะว่า ‘ทนความเบื่อไม่ไหว’

ทรัมป์ก็ตอกกลับทันควันว่า “ในการปราศรัยของผม เรามีการปราศรัยขนาดใหญ่ที่สุด และเหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ” พร้อมทั้งกล่าวหาว่า แฮร์ริส ‘จัดรถบัส’ ไปขนคนเข้ามาฟังการปราศรัยของตัวเอง

พร้อมกันนั้น ทรัมป์ยังอ้างทฤษฎีสมคบคิดไร้หลักฐานที่ระบุว่า ผู้อพยพผิดกฎหมายชาวเฮติในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ‘กินสัตว์เลี้ยง’ ของประชาชนในพื้นที่ โดยข้อมูลนี้ถูกแชร์กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ และถูกนำมาโหมกระพือโดย ‘เจ. ดี. แวนซ์’ ซึ่งเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีของทรัมป์เอง

“ที่สปริงฟิลด์ คนพวกนั้นกินสุนัข พวกที่อพยพย้ายเข้ามา พวกเขากินแมว” ทรัมป์ กล่าว “พวกนั้นกินสัตว์เลี้ยงของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมือง”

เจ้าหน้าที่เมืองสปริงฟิลด์เคยออกมาชี้แจงแล้วว่าข้อครหาเหล่านั้นไม่เป็นความจริง และผู้ดำเนินรายการของ ABC ก็รีบโต้แย้งทันทีหลังจากที่ทรัมป์พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ขณะที่แฮร์ริสแสดงออกด้วยการหัวเราะและเย้ยหยันอีกฝ่ายว่า “พูดจาสุดโต่ง”

แฮร์ริสซึ่งเป็นอดีตอัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย ยังพยายามขุดคุ้ยพฤติกรรมในอดีตของทรัมป์ขึ้นมาโจมตี โดยเฉพาะเรื่องที่เขาพยายามล้มผลเลือกตั้งในปี 2020 ซึ่งตลอด 1 ชั่วโมงแรกของการดีเบตดูเหมือนว่ายุทธศาสตร์นี้จะได้ผลไม่น้อย และบีบให้ ทรัมป์ต้องพยายามหาทางแก้ต่างให้กับตัวเอง

ทรัมป์กล่าวว่าตนเอง ‘ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง’ กับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 นอกเหนือไปจาก “พวกเขาขอให้ผมขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์” และยังคงอ้างเหมือนเดิมว่าตนเองคือผู้ที่ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020

แฮร์ริสยกพฤติกรรมในอดีตของทรัมป์มาเป็นเหตุผลว่าถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะต้องพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่

“โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกชาวอเมริกัน 81 ล้านคนไล่ลงจากเก้าอี้ ขอให้ทุกท่านเข้าใจชัดเจนตามนี้ด้วย และเห็นได้ชัดว่าเขามีปัญหาในการทำความเข้าใจข้อเท็จจริงข้อนี้ แต่เราไม่สามารถยอมให้สหรัฐฯ มีประธานาธิบดีที่พยายามล้มล้างเจตนารมณ์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งที่จัดขึ้นอย่างเสรีและเป็นธรรม อย่างที่เขาเคยพยายามทำมาในอดีตได้” แฮร์ริส กล่าว

รองประธานาธิบดีหญิงผู้นี้ยังจิกกัดทรัมป์ด้วยการบอกว่าผู้นำทั่วโลกต่าง ‘หัวเราะเยาะ’ เขา และมองว่าเขา ‘สร้างความอับอาย’ ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสำนวนภาษาเดียวกันกับที่ทรัมป์มักจะพูดเย้ยหยัน ‘โจ ไบเดน’ ระหว่างที่เดินสายหาเสียง

ด้านทรัมป์ก็หันมาเล่นงานแฮร์ริสด้วยการอ้างว่าเธอ ‘ไม่เคยได้รับคะแนนโหวต’ ในการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และยังอ้างว่าเธอก้าวขึ้นมาแทนที่ไบเดน ตามแผน ‘รัฐประหาร’ (coup) ของคนในพรรค

“เขาเกลียดเธอ” ทรัมป์อ้างว่าไบเดนรู้สึกเช่นนั้น “เขาทนเธอไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม การโต้เถียงเช่นนี้ดูเหมือนจะยิ่งไปเพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดของแฮร์ริสที่ว่า ทรัมป์ขาดความสามารถในการ ‘ควบคุมอารมณ์’ ซึ่งประธานาธิบดีควรจะมี

ผู้สมัครทั้งสองยังแลกหมัดกันในประเด็นด้านเศรษฐกิจ ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า ทรัมป์มีคะแนนนิยมสูงกว่าแฮร์ริส ในด้านนี้

แฮร์ริสได้แจกแจงนโยบายต่างๆ ที่เธอได้นำเสนอตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น การให้ประโยชน์ทางภาษีแก่ครอบครัวและผู้ประกอบการรายย่อย เป็นต้น ขณะเดียวกันก็โจมตีแผนของทรัมป์ ในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยบอกว่ามันไม่ต่างอะไรกับการรีดภาษีการขาย (sales tax) เอากับชนชั้นกลาง

“โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เราต้องเผชิญปัญหาการว่างงานรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)” แฮร์ริสกล่าว โดยอ้างถึงตัวเลขการว่างงานในสหรัฐฯ ซึ่งพุ่งสูงสุด 14.8% ในเดือน เม.ย. ปี 2020 และลงมาอยู่ที่ 6.4% ในขณะที่ทรัมป์พ้นตำแหน่ง

ด้านทรัมป์ก็วิพากษ์วิจารณ์แฮร์ริสเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในรัฐบาลไบเดน โดยระบุว่า “เงินเฟ้อถือเป็นหายนะสำหรับประชาชน สำหรับกลุ่มชนชั้นกลาง และคนทุกๆ กลุ่ม” จากนั้นก็รีบเปลี่ยนไปสู่ประเด็นเรื่องผู้อพยพ โดยอ้างแบบไร้หลักฐานยืนยันว่ามีผู้อพยพ ‘จากโรงพยาบาลบ้า’ (insane asylums) หลบหนีข้ามพรมแดนจากเม็กซิโกเข้ามายังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก

ผู้สมัครทั้ง 2 รายยังแสดงมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับประเด็นการทำแท้ง ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นบ่งชี้ว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนแนวทางของแฮร์ริสมากกว่า

ทรัมป์อ้างไปถึงคำพิพากษาของศาลสูงสุดในปี 2022 ที่ยกเลิกสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการทำแท้ง และให้แต่ละรัฐมีอำนาจตัดสินใจในประเด็นนี้เอง โดยเขาอ้างว่า “ผมเองมีส่วนในการผลักดันเรื่องนี้ และใช้ความกล้าหาญในการทำสิ่งนี้”

ด้านแฮร์ริสแสดงความไม่พอใจต่อข้อกล่าวอ้างของทรัมป์ที่ว่าการที่สิทธิทำแท้งกลายเป็นเรื่องของแต่ละรัฐถือเป็นผลลัพธ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย

“นี่คือสิ่งที่ประชาชนต้องการงั้นหรือ? คนจำนวนมากถูกปฏิเสธรับเข้าห้องฉุกเฉิน เพราะพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลัวว่าจะติดคุกเนี่ยนะ?” แฮร์ริสตั้งคำถาม

เมื่อถูกถามว่าจะใช้สิทธิ ‘วีโต’ หรือไม่หากสภาคองเกรสผ่านกฎหมายแบนการทำแท้ง? ทรัมป์ยืนยันว่า “สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้น” แต่ก็ปฏิเสธที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา

ทรัมป์และแฮร์ริสยังกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าพยายามใช้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เป็น ‘อาวุธ’ โจมตีฝ่ายตรงข้าม โดย ทรัมป์นั้นอ้างว่าการที่ตนถูกยื่นฟ้องฐานสมคบคิดล้มผลเลือกตั้งเมื่อปี 2020 และจัดการเอกสารชั้นความลับอย่างไม่เหมาะสม รวมถึงเรื่องการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ที่เคยมีสัมพันธ์สวาทด้วยนั้น ทั้งหมดเป็น ‘แผนสมคบคิด’ ที่ แฮร์ริสและไบเดนร่วมมือกันสร้างขึ้นมา ซึ่งก็เป็นการกล่าวหาแบบไม่มีหลักฐานตามเคย

ด้านแฮร์ริสฟาดกลับด้วยการชี้ว่า ทรัมป์ข่มขู่จะใช้กฎหมายเอาผิดกับบรรดาศัตรูทางการเมือง หากได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2

“โปรดเข้าใจด้วยว่า เขาคือคนที่เคยออกมาพูดอย่างเปิดเผยว่าจะฉีก --- นี่ดิฉันเอ่ยตามที่เขาพูดนะ --- จะฉีกรัฐธรรมนูญ” เธอกล่าว

ทรัมป์ยังคงอ้างซ้ำๆ เหมือนเดิมว่าการที่ตนแพ้ศึกเลือกตั้งในปี 2020 ก็เพราะ ‘ถูกโกง’ พร้อมทั้งกล่าวหาแฮร์ริสว่าเป็นพวก ‘มาร์กซิสต์’ และอ้างด้วยว่าผู้อพยพเป็นต้นเหตุทำให้สถิติอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น

ในประเด็นสงครามอิสราเอล-กาซา แฮร์ริสประกาศว่า “สงครามจำเป็นต้องยุติลงทันที และมันจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อตกลงหยุดยิง และเราจำเป็นต้องช่วยตัวประกันทั้งหมดออกมา” ขณะที่ทรัมป์ระบุว่าแฮร์ริส “เกลียดชังอิสราเอล ถ้าเธอได้เป็นประธานาธิบดี ผมเชื่อว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจะไม่มีชาติอิสราเอลเหลืออยู่แน่นอน”

แฮร์ริสเถียงกลับทันควันว่า “นี่ไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย ตลอดชีวิตและการทำงานของดิฉันสนับสนุนอิสราเอลและประชาชนชาวอิสราเอลเรื่อยมา”

‘OpenAI’ วางแผนเปิดตัวแชตบอต ‘Strawberry’ โดดเด่น ‘คิดเป็นเหตุเป็นผล’ แตกต่างจาก AI ตัวอื่น

(11 ก.ย. 67) ดิ อินฟอร์เมชัน (The Information) เว็บไซต์ข่าวด้านเทคโนโลยีรายงานว่า โอเพนเอไอ (OpenAI) วางแผนที่จะเปิดตัว ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เน้นการใช้เหตุผล ภายในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

รายงานดังกล่าวระบุว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) จะแตกต่างจาก AI การสนทนาอื่น ๆ ตรงที่สามารถ ‘คิดก่อนตอบ’ แทนที่จะตอบคำถามในทันที โดยจะเน้นการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล สำหรับคำถามด้านคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์

และจากข้อมูลที่มีในตอนนี้ ระบุได้ว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ยังรองรับเฉพาะข้อความตัวหนังสือ และให้คำตอบเป็นตัวหนังสือเท่านั้น จึงยังไม่ใช่โมเดล AI แบบสื่อผสมผสาน (Multimodal)

อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดว่าผู้ใช้งานจะได้ใช้ ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ในรูปแบบใด และต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ ส่วนทางด้าน OpenAI ก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อรายงานข่าวนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top