Tuesday, 17 June 2025
TheStatesTimes

‘อุ้ม ศศิราวรรณ อินทโชติ’ เจ้าของเหรียญทองแดงคนแรก ของนักกรีฑาไทย จากเด็กสาวแขนพิการ ที่พูดน้อย เก็บตัว สู่ความภาคภูมิใจของคนไทย

(8 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘เสียงจากทหารเรือ’ ได้โพสต์ข้อความสุดซึ้งเกี่ยวกับ ‘อุ้ม ศศิราวรรณ อินทโชติ’ เจ้าของเหรียญทองแดงคนแรก ของนักกรีฑาไทย โดยได้ระบุว่า ...

ชีวิตดั่งเทพนิยายขีดเขียนบทให้เธอเดิน
เธอคือสาวงามแห่ง ‘ทุ่งนครลำดวน’
เธอคือ นักกรีฑาหญิงไทยคนแรก ที่คว้าเหรียญพาราลิมปิกมาครอง
จากเด็กสาวที่อยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของห้องเรียน
เป็นเด็กที่เก็บตัว พูดน้อยด้วยความพิการแขน
วันนี้เธอทำสำเร็จแล้ว
เธอคือความภูมิใจของ ‘พ่อแม่’ วันที่เธอได้เหรียญครั้งแรกจากการแข่งขัน แม่เธอวิ่งเอาเหรียญไปโชว์ทั่วหมู่บ้าน
และวันนี้ เธอเป็นความภาคภูมิใจขคนไทย
ที่อยากจะบอกก้องโลกว่าภูมิใจและดีใจกับเธอเช่นเดียวกัน

สาวน้อยวัย 21 ปีจาก ‘แดนปราสาทขอม หอมกระเทียมดี มีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒธรรม เลิศล้ำสามัคคี’ #ศรีสะเกษ สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการกีฬาไทย โดยการคว้า ‘เหรียญทองแดง’ พาราลิมปิก ปารีส สำเร็จ ศศิราวรรณ อินทโชติ  

เธอมีหน้าตาที่สะสวย แต่เป็นคนพูดน้อยเก็บตัว และพิการแขนข้างหนึ่ง หรืออาจจะเรียกให้เข้ากับคนยุคนี้ว่า ‘introvert’ นั้นเอง ด้วยแววตาของ ‘คุณครู’ โรงเรียนศรีรัตนวิทยา ที่ศรีสะเกษ ของเธอเห็นว่านี่จะเป็นโอกาสให้เธอเป็นนักกีฬาสร้างรายได้เลี้ยงดูครอบครัวได้ในอนาคตจึงแนะนำ

จากเด็กผู้หญิงที่เก็บตัวมาตลอด ลองเริ่มหัดวิ่งเธอใช้เวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น ขอย้ำว่าเพียง 6 เดือนเท่านั้น ก็สามารถติดธงชาติไทยที่น่าอกเป็นตัวแทนไปแข่งขันระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดเมื่อออกไปแข่งครั้งแรกที่ได้เหรียญรางวัลกลับมาทันที แต่ดูเหมือนคนที่ภูมิใจมากที่สุดน่าจะเป็น ‘คุณแม่’ ของเธอเสียมากกว่า แม่เธอเอาเหรียญรางวัลวิ่งไปโชว์ ‘คุณป้า’แถวบ้านไปทั่วเลย

ด้วยความสุดยอดของเธอก่อนมาแข่ง ‘พาราลิมปิก’ เธอสร้างบ้านหลังใหม่หลังงามให้พ่อแม่ของเธอสำเร็จ จากรายได้แห่งการวิ่ง

และแล้วรางวัลแห่งชัยชนะก็มาถึง อุ้ม ศศิราวรรณ อินทโชติ สร้างประวัติศาสตร์ คว้าเหรียญทองแดง พาราลิมปิก ในการแข่งขัน กรีฑา 200 เมตรหญิง คลาส T47 โดยเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 25.20 วินาที ที่ สนาม สต๊าด เดอ ฟรองซ์ กรุงปารีส ฝรั่งเศส

เธอบอกหลังคว้าเหรียญสำเร็จว่า 

ดีใจมาก แต่ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้เหรียญแค่เข้าชิงก็ดีใจสุดๆแล้ว ขอบคุณทางบ้านที่เป็นกำลังใจให้วันนี้หนูทำสำเร็จแล้ว

‘พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ’ คึกคัก!! เหตุ ‘ต่างชาติ’ ย้ายสำนักงานใหญ่ ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน เป็น 933 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน

(8 ก.ย. 67) ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารหัวหน้าส่วนพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าไตรมาส2 ปี2567 อุปทานอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น 29,200 ตร.ม. หรือ 0.5% จากไตรมาสก่อนคิดเป็น 6.16 ล้าน ตร.ม.

โดยมีอาคารสำนักงานใหม่ 2 แห่งสร้างแล้วเสร็จแล้ว ได้แก่ ศุภาลัย ไอคอน สาทร และรัชโยธิน ฮิลส์ ขณะที่ซัพพลายในอนาคตยัง"ไม่มี"การประกาศก่อสร้างโครงการใหม่ทำให้พื้นที่ให้เช่ารวมสำหรับการพัฒนา ‘ลดลง’ เหลือ 1.46 ล้าน ตร.ม.คิดเป็น 24% ของระดับอุปทานในปัจจุบัน

สำหรับ ‘พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ’ (CBD) ยังคงเป็นทำเลหลักมีสัดส่วน 60% ของอุปทานใหม่จะกระจุกตัวอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ จากการประเมินพบว่าในอีก 2.5 ปีข้างหน้าอุปทานพื้นที่สำนักงานใหม่ ในครึ่งปีหลัง 2567 อยู่ที่ 410,700 ตร.ม. ในปี 2568 คาดการณ์ 316,000 ตร.ม.และในปี 2569 คาดการณ์ 440,400 ตร.ม.

โดยดีมานด์การดูดซับสุทธิของตลาดพื้นที่สำนักงานในไตรมาสนี้เป็นบวกหรือเท่ากับ 18,400 ตร.ม เพิ่มขึ้นจากที่ติดลบในไตรมาสก่อน ส่งผลให้พื้นที่ครอบครองทั้งหมดเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อน เป็น 4.73 ล้าน ตร.ม. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 ที่การดูดซับสุทธิของพื้นที่สำนักงานสีเขียวติดลบลดลงเหลือ5,900 ตร.ม.

ขณะที่พื้นที่สำนักงานที่ ‘ไม่ใช่’ สำนักงานสีเขียวเพิ่มขึ้น 24,300 ตร.ม. คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาสหน้าตามเทรนด์ความยั่งยืนยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในตลาดสำนักงาน 

‘ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้น มีการดูดซับสุทธิที่ 23,400 ตร.ม. ในขณะที่ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านนอกศูนย์กลางธุรกิจ (Non-CBD) หดตัวเล็กน้อย การดูดซับสุทธิติดลบ 4,950 ตร.ม. เนื่องจากมีความต้องการจากบริษัทข้ามชาติที่ย้ายสำนักงานใหญ่เข้ามาในกรุงเทพฯมากขึ้น’

อย่างไรก็ตามอัตราการครอบครองตลาดอาคารสำนักงานภาพรวม ‘ทรงตัว’ อยู่ที่ 77% สอดคล้องกับไตรมาสก่อน หากแยกตามแต่ละกลุ่ม พบว่า สำนักงานเกรด A มีเสถียรภาพมากที่สุด อัตราการครอบครองสูงสุดที่ 80% แม้ว่าจะลดลง 2.5% เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากแรงกดดันอย่างต่อเนื่องของอุปทาน สำนักงานเกรด B เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3% ส่วนสำนักงานเกรด C ลดลง 1% เหลือ 77%

ขณะที่ค่าเช่าเฉลี่ยในไตรมาสแรกอยู่ที่ 817 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน และ 0.3% จากปีก่อน ค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารทุกเกรดเพิ่มขึ้น แม้ว่าเทรนด์โดยรวมมีแนวโน้มเป็นบวก แต่ผู้ให้เช่าส่วนใหญ่เลือกที่จะคงค่าเช่าในอัตราเดิม ส่วนค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารย่านศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน เป็น 933 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน 

ขณะที่อัตราการครอบครองเฉลี่ยยังคงทรงตัวที่ 79% สีลม-สาทร-พระราม 4 เป็นย่านหลักที่ขับเคลื่อนพื้นที่การเช่าในย่านศูนย์กลางธุรกิจ โดยพื้นที่ย่านดังกล่าวมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญโดยการดูดซับสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 22,200 ตร.ม. ทำให้อัตราการครอบครองเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อน ส่วนอัตราค่าเช่าลดลงเล็กน้อย 0.7% จากไตรมาสก่อน

ตรงกันข้ามกับอาคารสำนักงานนอกย่านศูนย์กลางธุรกิจที่มีค่าเช่าและอัตราการครอบครอง ‘ลดลง’ ค่าเช่าเฉลี่ยลดลง 1.6% จากไตรมาสก่อน เหลือ 660 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน อัตราการครอบครองเฉลี่ยก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลง 0.5% จากไตรมาสก่อน เหลือ 74% ค่าเช่าของตลาดทั้ง 3 กลุ่มมีการเติบโตเป็นบวก แต่อัตราการครอบครองลดลง

อย่างไรก็ตาม ‘คุณภาพ’  ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของการเลือกอาคารสำนักงาน แม้ว่าคำจำกัดความของ ‘คุณภาพ’ ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้เช่าจำนวนมากได้ปรับเปลี่ยนการใช้พื้นที่สำนักงาน โดยให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น เทคโนโลยี และการปรับตัว การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่รองรับรูปแบบการทำงานที่หลากหลายและเน้นความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานมีความสำคัญมากขึ้น

รวมทั้งผู้เช่ายังให้ความสำคัญกับแนวคิดในเรื่องความยั่งยืนและ ESG ก่อนตัดสินใจเช่า ด้วยความมุ่งมั่นด้านคาร์บอน บางบริษัทจะพิจารณาเฉพาะอาคารที่ได้รับการรับรองสีเขียวเท่านั้น แม้ว่าตัวเลือกที่ไม่ได้รับการรับรองจะมาพร้อมกับสิ่งจูงใจที่น่าดึงดูดก็ตาม ดังนั้นอาคารเก่าที่ไม่ได้รับการปรับปรุงสินทรัพย์ (AE) หรือปรับปรุงการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวก (FM) ต้องเผชิญกับการคุกคามมากขึ้นจากการเกิดขึ้นของอาคารใหม่ ๆ ที่ใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาที่แข่งขันได้ พื้นที่ทางกายภาพ และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้เช่ายุคใหม่

ทั้งนี้เนื่องจาก จะมีพื้นที่อุปทานใหม่เกือบ 1.2 ล้าน ตร.ม. ในอีก 2.5 ปีข้างหน้า จะกลายเป็น ‘แรงกดดัน’ ต่อจำนวนการเช่าพื้นที่และค่าเช่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ราคาค่าเช่าจะกลายเป็นตัวชี้วัดของตลาดที่มีความน่าเชื่อถือน้อยลง เนื่องจากช่องว่างระหว่างอัตราค่าเช่าและค่าเช่าที่แท้จริงเริ่มกว้างขึ้น โดย ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 คาดว่าจะมีการเช่าเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ ย่านสีลม-สาทร-พระราม 4 จากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโครงการ วัน แบงค็อก เฟส 1 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของตลาดที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในช่วงที่กลไกตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลากหลายตลอดเวลา

“การแข่งขันในตลาดสำนักงานกรุงเทพฯรุนแรงขึ้น ดังนั้น การมีคุณสมบัติของอาคารสีเขียวและการเน้นการปฏิบัติตามหลัก ESG จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ทรัพย์สินของคุณมีความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดใจในตลาดปัจจุบัน เพราะความยั่งยืนเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” นายปัญญา กล่าวทิ้งท้าย

‘หลานม่า’ ทำรายได้ใน ‘จีนแผ่นดินใหญ่’ ทะลุ 500 ล้านบาท หากรวมรายได้ในประเทศอื่นด้วยมีไม่ต่ำกว่า 1,700 ล้านบาท

(8 ก.ย. 67) ‘หลานม่า’ ขึ้นแท่นหนังทำเงินอันดับ2 ประจำสัปดาห์ในจีนแผ่นดินใหญ่ เข้าฉาย 17 วัน รายได้รวมทะลุหลัก 100 ล้านหยวน หรือราว 500 ล้านบาทในไทย สัดส่วนแบ่งรายได้ประจำสัปดาห์ 11 % จากตารางหนังเข้าฉาย ขณะนี้เป็นรอง Alien: Romulus ซึ่งเข้าฉายมาได้ 24 วันแล้ว สัดส่วนรายได้ที่ 13%

ทั้งนี้น่าสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากการเปิดตัวในช่วงแรกของหลานม่า ในจีนแผ่นดินใหญ่ ในอันดับ 7-8 ของ TOP 10 หนังทำเงินประจำสัปดาห์ในจีนและค่อยๆ ไต่อันดับขึ้นมาจนถึงอันดับ 2 โดยหากรวมรายได้อย่างไม่เป็นทางการ #หลานม่า ทำเงินจากการเข้าฉายในหลายประเทศไม่ต่ำกว่า 1,700 ล้านบาท 

** อ้างอิงจากตัวเลขรายได้การแถลงในงาน GDH LINEUP 2025 + ตัวเลขรายได้ในจีนแผ่นดินใหญ่

‘อัครเดช’ เชื่อ!! นโยบาย ‘พลังงาน-อุตสาหกรรม’ ตอบโจทย์ประชาชน ฝากฝ่ายค้าน!! อภิปรายให้สร้างสรรค์ เพื่อส่งผลดี ‘ด้านการค้า-การลงทุน’

(8 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ว่า

ในวันที่ 12-13 กันยายน 2567 นี้จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

ลำดับแรกพรรครวมไทยสร้างชาติ เชื่อมั่นอย่างยิ่งในนโยบายของรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับในกระทรวงพลังงานภายใต้การกำกับของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นั้นนโยบายหลักในการ ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ โครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน ราคาก๊าซ และค่าไฟฟ้า ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้แถลงถึงความคืบหน้าเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลาไม่นานนับจากนี้ 

ลำดับต่อมาในส่วนของการอภิปรายการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ของคณะรัฐมนตรีนั้น เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกสภาผู้แทนราฎรในส่วนของฝ่ายค้านจะอภิปรายตรงข้อบังคับที่มีข้อเสนอแนะสำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ดังเช่นที่ได้อภิปรายในช่วงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ที่ไม่มีการประท้วงมากนัก

และตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการอภิปรายในครั้งนี้จะไม่ใช้เวทีของรัฐสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรี

หากการอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์แล้ว ตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการใช้กลไกของรัฐสภาเพื่อสร้างบรรยากาศการเมืองที่ดี จะส่งผลด้านดีในด้านอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน เป็นต้น

ท้ายที่สุดตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทุกกระทรวงโดยเฉพาะใน 2 กระทรวง ได้แก่กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม การแถลงนโยบายจะเป็นไปอย่างชัดเจนและสามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน

‘สุกฤษฏิ์ชัย’ ที่ปรึกษากมธ. ‘อากาศสะอาด’ เดินหน้ารณรงค์ ชี้!! ต้องเร่งผลักดันกม. - เตรียมความพร้อมรับมือ - สร้างการตระหนักรู้

(8 ก.ย. 67) นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ (หน่วยงานดีเด่นแห่งชาติสาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) กล่าวถึงในกิจกรรม ‘Unmask the Future’ ซึ่งจัดโดยภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมและภาคประชาชนตื่นรู้ (Active Citizen) ในประเทศไทย เนื่องในโอกาสวันอากาศสะอาดสากล (International Clean Air Day) ซึ่งเริ่มขึ้นปี ค.ศ.2020 อันเป็นผลจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของอากาศบริสุทธิ์ต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของพวกเราทุกคน ซึ่งตนมีบทบาทในการเป็น ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยนั้น

ขอสนับสนุนและขอรณรงค์เรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน พร้อมมีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ

1.ภาคการเมือง ควรเร่งรัดและผลักดันให้กฎหมายอากาศสะอาด มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดการกับปัญหานี้ ให้ทันฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง รวมถึงการประสานงานเรื่องฝุ่นควันข้ามแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 

2.ภาคราชการ ดำเนินการสั่งการและประสานงานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤติมลพิษฝุ่นควันพิษ ทั้งในแง่การป้องกัน การปราบปรามและดูแลด้านสุขภาพ เพื่อลดผลกระทบที่จะมีขึ้นต่อประชาชนให้น้อยที่สุด

3.ภาคประชาสังคมร่วมกันสร้างการตระหนักรู้และให้ความรู้ รวมถึงการป้องกันกับภาคประชาชนในพื้นที่อย่างเข้มข้น โดยภาคราชการไม่ว่าจะเป็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุขและอื่นใดที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้ เป็นปัญหาสำคัญที่ใกล้ตัวพวกเรามาก เรารับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นการแก้ปัญหาร่วมกันจากทุกภาคส่วน จากทุกคน คือหนทางการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนเทรนด์ใหม่มิจฉาชีพ เปิดบัญชีปลอม ลงโฆษณาผ่าน Reels หลอกขายสินค้าราคาถูก

( 8 ก.ย. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพได้มีการพัฒนารูปแบบวิธีการในการหลอกลวงประชาชน จากเดิมที่มิจฉาชีพจะลงโฆษณาหลอกขายสินค้าราคาถูกผ่านโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ เปลี่ยนเป็นการโฆษณาผ่านการลงคลิปสั้น หรือ Reels ในเฟซบุ๊ก โดยมิจฉาชีพจะสามารถใส่ปุ่มให้กดซื้อสินค้า ซึ่งเป็นลิงก์ที่จะนำไปสู่เว็บไซต์ขายสินค้าปลอม

อีกทั้งมิจฉาชีพยังใช้กลวิธีในการทำให้โฆษณาปลอมดังกล่าวดูน่าเชื่อถือ ด้วยการนำคลิปวิดีโอจริงของอินฟลูเอนเซอร์ มาตัดต่อใส่ข้อความหลอกขายสินค้า อีกทั้งในรูปโปรไฟล์ของบัญชีปลอมดังกล่าว ยังมีการใส่เครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า หรือ Meta Verified เพื่อหลอกให้หลงเชื่อว่าเป็นบัญชีที่ได้รับการรับรอง พร้อมทั้งยังใส่ข้อความจำนวนผู้ติดตามปลอมไว้ในข้อมูลทั่วไปของเพจ เพื่อหลอกให้หลงเชื่อว่ามีผู้ติดตามเพจจำนวนมากอีกด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกดลิงก์ หรือการสั่งซื้อสินค้าที่มีการลงโฆษณาผ่านคลิปวิดีโอสั้น ในสื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มต่าง ๆ เพราะอาจเป็นคลิปวิดีโอจากเพจปลอมที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงพี่น้องประชาชน

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ และสำหรับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

คณะกรรมการตัดสินเวทีประกวดไอดอล ลาออกแล้ว พร้อมอัดคลิปขอโทษ แสดงความรับผิดชอบ

จากกรณีที่เกิดกระแสเรื่องการประกวดโครงการทูบีนัมเบอร์วัน ที่จ.พิษณุโลก 

เมื่อวันที่ (7 ก.ย. 67) ที่ผ่านมา แล้วปรากฏว่ามีคุณครูท่านหนึ่งที่ได้นำเด็กนักเรียน 3 คนมาเข้าร่วมการประกวดโครงการเยาวชนต้นแบบเก่งและดีทูบีนัมเบอร์วันไอดอล ซึ่งมีนักเรียน 1 ท่าน เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าประกวดลักษณะการร้องเพลงและเต้นความยาว 1.30 นาทีนั้น จนต่อมาทางกรรมการรายนี้ ได้ขอโทษนักเรียนคนดังกล่าวแล้ว แต่ดูเหมือนกระแสดราม่าจะยังไม่จบ

ในขณะที่เมื่อคืนของวันที่ 8 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก 'นายแพทย์ไกรสุข เพชระบูรณิน' นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกพร้อมด้วย 'ดร.กอบภณ แสงสมบัติ' ศึกษาธิการจังหวัดพิษณุโลก และ 'นางณัฐธภา นพจินดา' นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษสำนักงานเขตสุขภาพที่2 (กรรมการทูบีนัมเบอร์วัน) ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวสื่อมวลชนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

'นางณัฐธภา' ในนามคณะกรรมการตัดสินการประกวดทูบีนัมเบอร์วัน กล่าวว่า เนื่องจากกระแสดรามาที่เกิดขึ้นในเรื่องของการตัดสินโครงการทูบีนัมเบอร์วันไอดอลเมื่อวานนี้ เป็นกระแสที่แพร่หลายออกไป เนื่องจากว่าทางตนได้ใช้คำพูดที่มันไม่ถูกต้อง แล้วก็ไม่เหมาะสม จนทำให้เกิดความไม่พอใจไม่สบายใจในคำพูดที่ๆที่เกิดขึ้น ตนเองมีความรู้สึกว่าเสียใจเป็นอย่างมาก แล้วก็รู้สึกอยากจะขอโทษ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตัวน้องๆเอง หรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงโครงการทูบีนัมเบอร์วันด้วย ที่ตนมีส่วนทำให้เกิดผลกระทบอย่างแรง ทำให้มีกระแสออกไปอย่างเป็นวงกว้าง ซึ่งความจริงแล้วไม่มีเจตนาในการที่จะทำให้เกิดความรู้สึก อธิบายว่าเรามีเกณฑ์การตัดสินแบบนั้น ซึ่งเป็นประเภทชายและเป็นประเภทหญิง เราไม่ปิดกั้นใคร เราไม่ปิดกั้น แต่ว่าผลการตัดสินต้องเป็นไปตามกติกา กฏ กติกา คือชายและหญิง ผลออกมาก็คือจะต้องเป็นประเภทชาย ประเภทหญิงเท่านั้น เพราะฉะนั้นเรามีเวลาในการที่จะชี้แจงของคณะกรรมการมันสั้น มันน้อยมาก เราไม่มีเวลามาอธิบายให้เข้าใจว่ามันเป็นอะไรยังไง

แล้วก็หลังจากที่ประกวดเสร็จน้องก็กลับเลย จนมาเกิดกระแสดังกล่าว เมื่อคืนนี้หลังจากประชุมกันตนก็ได้รับความกรุณาจากศึกษาธิการเดินทางไปหาน้องแล้วและครูที่โรงเรียนในพื้นที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เพื่อทำการขอโทษทำความเข้าใจในคำพูดที่กรรมการได้พูดออกไป ซึ่งขอนำเรียนว่าในส่วนของการดำเนินการของกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นเพศทางเลือกก็ตาม การดำเนินการกิจกรรมอย่างที่ท่าน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนำเรียนไป ทุกกิจกรรมเราจะมีน้องๆเหล่านี้เป็นพลังแ ต่เกณฑ์การประกวดในเรื่องของไอดอลมันเป็นแบบนั้น เราก็ต้องยึดกติกามารยาทในเรื่องของการประกวด

จริงๆเรามีการประกวดในกลุ่มที่ open อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็มีความรู้สึกว่าเราไม่ได้ปิดกั้น ตนทำงานกับทูบีนัมเบอร์วันมา 16 ปี รู้ดีว่ามีน้องๆที่หลากหลายในเพศสภาพเหล่านี้ที่อยู่ในกลุ่ม วันนั้นเราสื่อสารไปรู้สึกไม่ดีต้องขอโทษกับสังคมด้วย จากนี้จะระมัดระวังในการใช้คำพูดไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก

ด้านดร.กอบภณ แสงสมบัติ ศึกษาธิการจังหวัดพิษณุโลก ได้กล่าวว่าในนามสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดพิษณุโลก ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สถิติที่ผ่านมาของจังหวัดพิษณุโลกเราได้รับความไว้วางใจ แล้วก็ลูกหลานของเราเข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นจึงเป็นตัวชี้วัดหนึ่งได้ว่าความกระตือรือร้นจากพวกเราที่จะเข้ามาร่วมกิจกรรม เป็นกิจกรรมที่สามารถพัฒนาให้กับบุตรหลานพวกเราเป็นเยาวชนเป็นต้นแบบ เป็นคนเก่ง คนดี แต่ในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่อาจจะเป็นการสื่อสารที่อาจจะคลาดเคลื่อน อาจจะมีบางคำพูดที่ไปกระทบกระเทือนจิตใจเด็กๆ หรือครูอาจารย์ที่นำเด็กๆเข้ามาประกวด ก็ต้องขอแสดงความเสียใจอีกครั้งหนึ่ง

โดยล่าสุด หลังเสร็จสิ้นงานแถลงข่าว ‘นางณัฐธภา นพจินดา’ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษสำนักงานเขตสุขภาพที่ 2 ในนามคณะกรรมการตัดสินการประกวดทูบีนัมเบอร์วัน ได้ทำการอัดคลิปวิดีโอขอโทษน้องแมน ครูสังคม และหน่วยงานที่เกิดขึ้นอีกครั้ง และเพื่อแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนี้ไปจะไม่ขอรับคำเชิญในการเป็นคณะกรรมตัดสินการประกวดทูบีนัมเบอร์วันในครั้งต่อ ๆ ไปอีก

‘ยางิ’ แผลงฤทธิ์!! ทำยอดเสียชีวิตพุ่ง 14 ราย บาดเจ็บ 219 ราย อุตุฯ ชี้!! แม้อ่อนกำลังลง แต่ยังเสี่ยง 'น้ำท่วมฉับพลัน-ดินถล่ม'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าจากกรณีที่ ‘ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ’ (typhoon Yagi) พายุที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในทวีปเอเชียประจำปีนี้ หลังจากพัดกระหน่ำมณฑลไห่หนานจนราบเป็นหน้ากลอง

ซึ่งล่าสุด 'ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ' ได้พัดขึ้นฝั่งเวียดนามด้วยความเร็วลม 149 กม./ชม. ทำให้เกิดคลื่นสูง 4 เมตร ในหลายจังหวัดริมชายฝั่ง บ้านเรือนได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมและลมแรงกว่า 3,200 หลัง ต้นไม้และเสาไฟฟ้าหักโค่น ทำให้เกิดไฟดับและสัญญาณโทรคมนาคมถูกตัดขาด ซึ่งสร้างความยากลำบากในการประเมินความเสียหายจากพายุ 

โดย 'ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ' อ่อนกำลังจากไต้ฝุ่นเป็นดีเปรสชันแล้ว สร้างความเสียหายอย่างหนักในภาคเหนือของเวียดนาม ทำให้เกิดฝนตกหนัก ลมแรง ดินถล่ม และมีเรือหลายลำจมหาย คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 14 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 219 ราย หลังจากพายุพัดขึ้นฝั่งด้วยความรุนแรงระดับพายุไต้ฝุ่นที่เมืองไฮฟองและจังหวัด ‘กว๋างนิญ’ ทางภาคเหนือของเวียดนาม

นอกจากนี้กระทรวงเกษตรและพัฒนาชน รายงานอีกว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด มี 4 ราย อยู่ในจังหวัดกว๋างนิญ, อีก 3 ราย อยู่ใน ‘กรุงฮานอย’ และอีก 4 ราย เสียชีวิตจากดินถล่มในจังหวัด ‘ฮวาบิ่ญ’ และผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัด ’กว๋างนิญ’

ขณะเดียวกันมีรายงานเรือล่ม 25 ลำในจุดที่ทอดสมอในจังหวัดกว๋างนิญ ชาวประมงสูญหาย 13 คน และเมืองไฮฟอง ที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายที่สุด มีน้ำท่วมเกือบ 50 เซนติเมตรในบางพื้นที่ และเกิดไฟดับในวงกว้าง

ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยา ประกาศว่า พายุอ่อนกำลังเป็นดีเปรสชันแล้วแต่ยังเตือนมีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ขณะพายุมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก

ส่วนสถานการณ์ในกรุงฮานอย เจ้าหน้าที่เริ่มเก็บกวาดถนน ที่มีต้นไม้หักโค่นกีดขวางทั่วเมือง ‘สนามบินโหน่ยบ่าย’ ในกรุงฮานอยเริ่มกลับมาให้บริการแล้ว หลังจากปิดบริการเช่นเดียวกับสนามบินอีก 3 แห่งในเมืองท่าตามแนวชายฝั่ง เมือง ‘ไฮฟอง’ จังหวัดกว๋างนิญ และจังหวัด ’ทัญฮว้า’

เปิดเหตุผล!! ทำไมเลือกตั้งท้องถิ่น 'ส้ม' มักปราชัย สวนทางเลือกตั้งใหญ่ เพราะท้องถิ่นต้องวัดกันตัวต่อตัว ส่วนเวทีใหญ่พรรคอื่นตัดแต้มกันเอง

(9 ก.ย. 67) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ ระบุว่า...

มีเพื่อนถามผมว่าทำไม พรรคสีส้มถึงชนะการเลือกตั้งใหญ่ แต่เลือกตั้งย่อย ๆ ที่ไหน ก็มักจะไม่ชนะ

ผมก็เล่าให้ฟังว่า สมัยผมเรียนที่เกาหลีนั้น มีการเลือกตั้งผู้นำประเทศครั้งหนึ่ง ซึ่งเบอร์ ๑ นั้น เป็นผู้สืบทอดอำนาจจากผู้นำคนเก่าที่ใครต่อใครก็ไม่ชอบหน้า

เรียกว่างานนี้ดูยังไง ๆ ฝ่ายค้านที่มีตัวหลัก ๆ สองคนนั้น ส่งคนไหนมาแข่งก็ชนะแบเบอร์แน่ ๆ

แต่ก็ไม่รู้ฝ่ายค้านสองคนนั้นเอาความมั่นใจมาจากไหน ที่ดันแย่งกันลงแข่งทั้งคู่ เป็นผู้สมัคร เบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ โดยต่างก็มั่นใจว่าตนจะได้ชัยชนะแน่นอน

ผลก็ออกมาอย่างที่ผมคาดเอาไว้ คือคะแนนเบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ นั้น ถ้าเอามารวมกันก็ชนะเบอร์ ๑ แบบไม่ต้องลุ้น

แต่ผลสรุปแล้ว เบอร์ ๑ ได้เป็นผู้นำประเทศ เพราะคะแนนแยกของทั้งเบอร์ ๒ และเบอร์ ๓ ที่ดันแข่งกันเองนั้น สู้คะแนนที่ไม่ต้องแข่งกับใครของเบอร์ ๑ ไม่ได้ทั้งคู่

การเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมาของประเทศเรานั้น ขณะที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ยังเล่นการเมืองแบบเดิม ๆ ส่งผู้แข่งขันไปแย่งคะแนนกันเหมือนเดิม ๆ และ เห็นหน้าก็รู้ว่า คงไม่มีเกมการเมืองใหม่ ๆ อะไรให้เล่นเลยนั้น

พรรคสีส้มเขามีฐานเสียงหลักของเขาที่อยากลองพรรคการเมืองใหม่ที่ไม่เหมือนการเมืองเดิม ๆ ไม่เคยต้องแย่งกับใคร และก็ไม่ได้มีพรรคไหนลงไปเเข่งขันแย่งฐานเสียงดังกล่าวนั้นตรง ๆ เลย

นั้นก็คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ พรรคสีส้มได้คะแนนมากกกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ มัวแต่ตัดคะแนนกันเอง จนไปไม่เป็นกันสักพรรค

ส่วนในการแข่งขันการเมืองย่อยไม่ว่าจะเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้ง อบจ. อะไรต่อมิอะไรนั้น

พรรคส้มมักเจอคู่แข่งแบบตัวต่อตัว ซึ่งคะแนนของส้มนั้น จริง ๆ ก็ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ เมื่อไม่มีการตัดคะแนนกันให้วุ่นวาย

พรรคส้มก็มักจะปราชัยด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้

ผมไม่ได้เชี่ยวทางการเมืองขนาดจะสอนใครว่า  พรรคการเมืองควรจะรวมพลังกันในการเลือกตั้งใหญ่ หรือ ควรจะมีพรรคการเมืองใหม่มาเบียดแย่งคะแนนจากฐานเสียงของพรรคส้ม

แต่ถ้าถามว่า ทำไม พรรคน้อยใหญ่ไม่ชนะพรรคส้มในการเลือกตั้งใหญ่คราวที่แล้ว

ก็จะหาเหตุผลได้ประมาณนี้นะครับ

'ชาวมาเลเซีย' เกินครึ่ง เห็นด้วย!! จำกัดเด็กต่ำกว่า 14 เล่นโซเชียลมีเดีย แนะ!! 'ครู-ผู้ปกครอง' สำคัญ ช่วยสร้างภูมิเท่าทันภัยโลกออนไลน์

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เปิดเผยผลสำรวจจาก ‘อิปซอสส์’ (Ipsos) บริษัทวิจัยการตลาดและสำรวจความคิดเห็นระดับโลก พบว่า มีชาวมาเลเซียถึง 71% เห็นด้วยกับการจำกัดการเข้าถึงโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี

โดยผลโพลการติดตามการศึกษาของอิปซอสส์ ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของผู้คนในมาเลเซีย ไทย, อินโดนีเซีย, และสิงคโปร์ ระบุว่า มาเลเซียเป็นประเทศที่มีผู้คนคิดเห็นตรงกันในเรื่องนี้มากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจาก ‘อินโดนีเซีย’

"ชาวมาเลเซียระมัดระวังการเข้าถึงโซเชียลมีเดียของเด็กๆ มากที่สุด ขณะที่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สมาร์ตโฟนและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในโรงเรียนนั้นแตกต่างกันออกไป" ผลสำรวจระบุ

ต่อมา ผลสำรวจยังพบว่าชาวมาเลเซีย 51% มองว่าควรห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีใช้สมาร์ทโฟนทั้งในระหว่างคาบเรียนและหลังเลิกเรียน ส่วนอีก 29% เห็นด้วยว่าควรห้ามใช้โมเดลภาษาเอไออย่างแชทจีพีที (ChatGPT)

ขณะเดียวกัน ชาวมาเลเซีย 56% เชื่อว่าครูและโรงเรียนควรมีหน้าที่ในการสอนความรู้ด้านดิจิทัลและความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ด้าน 39% มองว่าหน้าที่นี้ควรเป็นของผู้ปกครอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top