Tuesday, 20 May 2025
TheStatesTimes

“มะระขี้นก” โกอินเตอร์ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้เกษตรกรและโกยเม็ดเงินเข้าประเทศ

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ต่อยอดสมุนไพร Herbal Champions 15 รายการ ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2566-2570  ค้นพบพืชสมุนไพรเศรษฐกิจตัวใหม่ “มะระขี้นก” สร้างรายได้เม็ดงามวางเป้าหมายผลักดันสู่ตลาดโลก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า ที่ได้มีการประกาศสมุนไพร Herbal Champions 15  รายการ ตามแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2566-2570 มะระขี้นกซึ่งเป็น 1 ในสมุนไพร Herbal Champions มีตลาดทั่วโลกมูลค่ารวมกว่า 28,000 ล้านบาท กำลังมีแนวโน้มของตลาดกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง  ข้อมูลเชิงลึกที่สำรวจประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศที่มีการส่งออกมะระสูงสุดในโลกมีมูลค่า 17,000 ล้านบาท  ขณะที่ประเทศไทยส่งออกมะระขี้นกเพียง 18 ล้านบาท  สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสของมะระขี้นกในตลาดโลกสามารถจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต

การศึกษาวิจัยหลายฉบับบ่งชี้ว่ามะระขี้นกมีสารสำคัญที่ชื่อว่า ชาแรนติน (Charantin) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้   ประกอบกับเทรนด์การรักสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาสนใจผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและสมุนไพรมากขึ้นจึงทำให้มะระขี้นก เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้รักสุขภาพในหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทยจึงมีการพัฒนาสายพันธุ์สาเกต 101  ของมะระขี้นกขึ้นใหม่เพื่อให้ได้สารสำคัญในปริมาณที่มากขึ้น เพียงพอต่อการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งมีการนำร่องให้เกษตรกรจังหวัดมหาสารคามนำไปขยายพันธุ์ปลูกและเกิดการซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวนมูลค่า 250 ล้านบาท เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ทางด้าน ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล ผู้อํานวยการกองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการทำโมเดล การเกษตรต้นน้ำมูลค่าสูงของมะระขี้นก เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน โดยเป็นการพัฒนาสายพันธุ์มะระขี้นก เพื่อให้ได้สารสำคัญคือ Charantin ในปริมาณที่สูงขึ้น ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าสายพันธุ์ใหม่ ที่พัฒนาทำให้มะระขี้นกใหญ่ขึ้น และสามารถให้สาร Charantin มากกว่าเดิม ประมาณ 2 เท่า ซึ่งส่งผลให้ราคามะระขี้นก  เพิ่มสูงขึ้น จากเดิมกิโลกรัมละ 30 บาท เป็นกิโลกรัมละ 50 บาท เป็นการยกระดับรายได้ของคนในจังหวัด สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการแปรรูปมะระขี้นกด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ให้เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ  ที่มีมูลค่า ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อาทิ มะระขี้นกแบบน้ำสกัดเข้มข้น ซุปมะระขี้นกแบบผง มะระขี้นกดองกิมจิ 3 รส  เป็นต้น เป็นการผลักดันให้เกิดเกษตรมูลค่าสูงสอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ  ที่มีความมุ่งมั่น ในการผลักดันสมุนไพรให้เป็นพืชเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนผู้ประกอบการแปรรูปสมุนไพรให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐาน ผลักดันจากการขายส่งวัตถุดิบเปลี่ยนเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ  ที่มีมูลค่าสูงเพื่อสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สมุนไพร เป็นการต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของสมุนไพรไทย

การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 21 ในปีนี้ จัดภายใต้แนวคิด “นวดไทย สปาไทย สมุนไพรไทยสู่เวทีโลก” ระหว่างวันที่ 3-7 กรกฏาคม 2567 ฮอลล์ 11 - 12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายในงานจะมีการจัดแสดงสมุนไพรไทยหลากหลายชนิด โดยเฉพาะ “มะระขี้นก” พร้อมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับมะระขี้นกสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ได้สาร Charantin ในปริมาณที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและงานวิจัยล่าสุด รวมถึงกิจกรรมการสาธิตการปลูกและ แปรรูปสมุนไพร ร่วมกันสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งด้วยสมุนไพรไทย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก              โทร. 0-2591-7007, อินสตาแกรม, TIKTOK, Facebook Fanpage มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติหรือ Website: https://natherbexpo.dtam.moph.go.th ,Line ID  : @DTAM

เจนกิจ นัดไธสง  รายงาน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน ร่วมเปิด “โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” ต่อเนื่องปีที่ 2 มุ่งหวังให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเพิ่มขึ้น

วันนี้ (5 กรกฎาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงาน ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร , คุณพรรณี ปิติกุลตัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด พร้อมด้วยภาคเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน ประกอบด้วย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมควบคุมโรค สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรุงเทพมหานคร ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศปวถ.) คณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)  สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ  สำนักงาน สสส. บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด  บริษัท โตโยต้าประเทศไทยฯ และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมพิธีเปิดโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย (ปีที่ 2) พ.ศ.2567” ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำหรับ “โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด โดยได้สนับสนุนเงินรางวัลรวมเป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท เป็นโครงการต่อเนื่องปีที่ 2 ระยะเวลาดำเนินโครงการ 8 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงธันวาคม 2567 โดยให้สถานีตำรวจในสังกัดทั่วประเทศทั้ง 1,484 สถานี พัฒนาให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่จราจรทุกนาย ปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลัก 5S อันได้แก่ SMILE (ยิ้มแย้มแจ่มใส) , SMART (มีบุคลิกภาพที่ดี) , SALUTE (ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความสุภาพ) , SERVICE MIND (ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตใจบริการ) และ STANDARD (ยกระดับการปฏิบัติให้มีมาตรฐานเดียวกัน)

พร้อมทั้งให้หน่วยงานระดับกองบัญชาการ และกองบังคับการ ควบคุมกำกับดูแลให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดลงได้มากกว่าร้อยละ 5 หรือ 10 คนขึ้นไป เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี มีการตั้งด่านตรวจ จุดตรวจกวดขันวินัยจราจร เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5  จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี และผลการการบังคับใช้กฎหมาย (หมวก/เมา/เร็ว : ไม่สวมหมวกนิรภัย/เมาแล้วขับ/ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด) เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 จากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง รวมทั้งมีการตรวจสอบติดตามประเมินผล เพื่อพิจารณาคัดเลือก “สุภาพบุรุษจราจร”ประเภทบุคคล กองบังคับการละ 2 นาย แบ่งเป็น ระดับชั้นสัญญาบัตร 1 นาย และชั้นประทวน 1 นาย รวมจำนวนทั้งสิ้น 190 นาย และคัดเลือก “สุภาพบุรุษจราจรประเภทหน่วยงาน” ในสังกัดแต่ละกองบัญชาการที่ชนะเลิศ 1 หน่วยงาน  รองชนะเลิศ 2 หน่วยงาน รวมทุกกองบัญชาการจำนวนทั้งสิ้น 32 หน่วยงาน โดยมอบรางวัล 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 (เดือนพฤษภาคม ถึงสิงหาคม 2567) มอบรางวัลเดือนกันยายน 2567 และครั้งที่ 2 (เดือน กันยายน ถึงธันวาคม 2567) มอบรางวัลเดือนมกราคม 2568

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า โครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดทำเพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงาน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตำรวจจราจร สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชน หน่วยงานภาคีเครือข่าย และตำรวจ เพื่อประสานขับเคลื่อนนโยบายลดอัตราการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนของประชาชน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเพิ่มขึ้น

จากนั้น พล.ต.ท.ประจวบฯ เป็นประธานการประชุมบริหารงานจราจรและคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย พ.ศ.2567 กำชับทุกหน่วยติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของการเกิดสาธารณภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเปนน้ำทวมฉับพลัน น้ำล้นตลิ่ง น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม ให้เตรียมความพร้อมและตรวจสอบกำลังพล ยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความพร้อม และเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความสงบเรียบร้อยดูแลความปลอดภัยทรัพย์สินของประชาชน จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจร เมื่อเกิดเหตุสาธารณภัยขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบ ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นลงไปควบคุม กำกับ ดูแล ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด การใช้กริยาวาจากับประชาชน ต้องมีความสุภาพเรียบร้อย พร้อมเน้นย้ำในการใช้ยานพาหนะทุกครั้ง ให้ปฏิบัติตามกฎจราจรโดยเคร่งครัด ระมัดระวังมิให้เกิดอุบัติเหตุ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทุกนาย หมั่นตรวจเช็คสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์พร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา

16 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 ‘สหรัฐฯ’ ทำการทดสอบ ‘ระเบิดปรมาณู’ ลูกแรกของโลก ภายใต้รหัส Trinity ส่วนหนึ่งของโครงการแมนฮัตตัน

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 การทดสอบทรินิตี ‘ระเบิดปรมาณู’ ลูกแรกของโลก เกิดขึ้นกลางทะเลทรายในรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งของโครงการลับของรัฐบาลสหรัฐฯ ‘โครงการแมนฮัตตัน’ ก่อนใช้งานจริงและนำไปสู่การยอมแพ้สงครามของญี่ปุ่น สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

ทั้งนี้ กว่าการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ‘ระเบิดปรมาณู’ (Atomic bomb) ของ ‘โครงการแมนฮัตตัน’ จะประสบความสำเร็จ ประสิทธิภาพของมันถูกตั้งข้อสงสัยมาตลอด เพราะโลกไม่เคยเห็นระเบิดปรมาณูมาก่อน การประเมินพลังงานที่จะถูกปลดปล่อยออกมาก็เป็นเพียงการคาดการณ์และคาดเดา แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ใน ‘ลอส อลามอส’ ที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการโครงการแมนฮัตตันเองยังอดแคลงใจไม่ได้ว่า โครงการจะสำเร็จหรือเปล่า 

กระทั่งศูนย์ปฏิบัติการรวมแร่ยูเรเนียม ซึ่งถือเป็นวัตถุประเภทจุดระเบิด (Gun-type) ในปริมาณที่เพียงพอ วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 มีการส่งระเบิดยูเรเนียมส่วนใหญ่ไปยังชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อใช้กับจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยที่การทดสอบมันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ด้วยซ้ำ

การทดสอบด้วยระเบิดปรมาณูจากแร่พลูโตเนียมของโครงการแมนฮัตตัน ซึ่งมีกำหนดการในวันที่ 16 กรกฎาคม จึงเป็นตัวแทนการพิสูจน์ประสิทธิภาพของอาวุธนี้ และเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ให้มากที่สุด ก่อนใช้จริงในอีกฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก

โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ (Robert Oppenheimer) ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการของโครงการ ตั้งชื่อการทดสอบนี้ว่า การทดสอบทรินิตี (The Trinity Test) โดย ‘Trinity’ หรือตรีเอกานุภาพ ออปเพรไฮเมอร์ได้แรงบันดาลใจจากบทกวีของ ‘จอห์น ดอนน์’ (John Donne) กวีชาวอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 17 นักเขียนคนโปรดของเขา

ริชาร์ด โรดส์ (Richard Rhodes) ผู้เขียนหนังสือ The Making of the Atomic Bomb วิเคราะห์ว่า “สำหรับ บอร์ (‘นีลส์ บอร์’ นักฟิสิกส์อีกคน) กับออปเพนไฮเมอร์ ระเบิดปรมาณูคืออาวุธมรณะที่อาจยุติสงครามและไถ่บาปให้มนุษยชาติด้วย”

ทั้งนี้ สถานที่สำหรับการทดสอบทรินิตีอยู่กลางทะเลทรายในรัฐนิวเม็กซิโก ห่างจากลอสอาลามอส ไปทางใต้ 210 ไมล์ พื้นที่ซึ่งรู้จักกันในชื่อ ‘ฆอร์นาดา เดล มูเอร์โต’ (Jornada del Muerto) หรือการเดินทางแห่งความตาย

>> ระเบิดปรมาณู ‘ลูกแรก’

การจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ก่อนจะแล้วเสร็จต้นเดือนกรกฎาคม โดยมีบังเกอร์สังเกตการณ์ 3 แห่ง ตั้งอยู่ห่างออกไป 5.6 ไมล์ จากหอระเบิด ทางทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการควบคุมกัมมันตภาพรังสีที่จะปลดปล่อยออกมาระหว่างการระเบิด กองทัพสหรัฐฯ จึงเตรียมพร้อมที่จะอพยพประชาชนในพื้นที่โดยรอบทันที หากเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดบานปลาย

12-13 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 มีการขนส่งแกนพลูโตเนียมและชิ้นส่วนประกอบระเบิดไปยังพื้นที่ทดสอบด้วยรถของกองทัพสหรัฐฯ และวันที่ 15 กรกฎาคม ก็ประกอบอุปกรณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และยกขึ้นสู่จุดระเบิดซึ่งสูงเหนือพื้น 100 ฟุต

ทั้งหมดพร้อมแล้วสำหรับการทดสอบในเช้ามืดวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 วันแห่งการอุบัติของระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลก

ปรากฏว่ามีฝนตกหนักตลอดคืนวันที่ 15 กรกฎาคม ออปเพนไฮเมอร์กับทีมของเขาอยู่ที่บังเกอร์ควบคุม S-10,000 ขบคิดกันว่าจะทำอย่างไรหากฝนไม่หยุดก่อนการทดสอบตามกำหนดในเวลา 04.00 น. ของเช้ามืดวันที่ 16 กรกฎาคม

เพื่อคลายความตึงเครียด หนึ่งในพวกเขายิงคำถามที่หลายคนสงสัย คือระเบิดนิวเคลียร์จะจุดชนวนในบรรยากาศหรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ปฏิกิริยาลูกโซ่อาจทำลายรัฐนิวเม็กซิโก หรือลามออกไปทำลายล้างโลกได้เลย

แต่ออปเพนไฮเมอร์วางเงินสิบดอลลาร์กับค่าจ้างทั้งเดือนของ จอร์จ คิสเตียโควสกี (George Kistiakowsky) อาจารย์เคมีแห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด หนึ่งในเจ้าหน้าที่โครงการ เขาเดิมพันว่า ระเบิดจะไม่ทำงานเลยด้วยซ้ำ

เวลา 03.30 น. มีการเลื่อนกำหนดออกไปเป็น 05.30 น. ในที่สุดฝนก็หยุดตกช่วงเวลาประมาณ 04.00 น. คิสเตียโควสกีกับทีมงานไปจัดการติดตั้งอุปกรณ์หลังตี 5 แล้วกลับไปยัง S-10,000 ก่อนเริ่มการนับถอยหลัง ตอนนั้นเองผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่พากันหันหลังให้หอระเบิด เพื่อเลี่ยงแสงสว่างที่อาจทำลายดวงตาของพวกเขา

เจมส์ โคแนนท์ (James Conant) นักเคมีในโครงการบอกว่า เขาไม่เคยรู้สึกว่าแต่ละวินาทีจะยาวนานได้ขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะเมื่อนับถอยหลังถึง 10 วินาทีสุดท้าย

เลสลี่ โกรฟส์ (Leslie Groves) นายทหารผู้กำกับโครงการแมนฮัตตัน และอยู่กับออปเพนไฮเมอร์ในการทดสอบครั้งนั้น เขียนในบันทึกของเขาว่า “ในวินาทีสุดท้าย ผมได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรถ้านับถอยหลังถึงศูนย์และไม่มีอะไรเกิดขึ้น…”

เวลา 05.30 น. ของวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 ยุคสมัยแห่งนิวเคลียร์เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางสักขีพยานเป็นเจ้าหน้าที่โครงการแมนฮัตตัน ที่เฝ้าสังเกตการณ์อย่างจดจ่อและกังวลใจ ระเบิดปรมาณูลูกแรกระเบิดเหนือทะเลทรายในนิวเม็กซิโก หอระเบิดระเหยกลายเป็นไอ เปลี่ยนยางมะตอยรอบฐานเป็นทรายสีเขียว ไม่กี่วินาทีหลังจากการระเบิด บังเกิดคลื่นความร้อนขนาดใหญ่แผดเผาไปทั่วทะเลทรายบริเวณนั้น

ไม่มีใครมองรังสีที่เกิดแผ่ออกมาระหว่างจากการระเบิดได้ แต่พวกเขาทุกคนรู้ว่ามันอยู่ที่นั่น ภาชนะเหล็กไซส์ใหญ่ยักษ์น้ำหนักกว่า 200 ตัน ถูกขนไปกลางทะเลทราย เพื่อการทดสอบที่จะทำให้มันหายวับไปในเสี้ยววินาที ลูกไฟสีส้มเหลืองแผ่เหยียดยาวออกไป มวลที่สองซึ่งแคบพวยพุ่งขึ้นไปเป็นรูปดอกเห็ด นี่คือสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจและการทำลายล้างอันน่าพิศวงที่สุดในความรับรู้ของมนุษยชาตินับแต่นั้น

สำหรับสมาชิกโครงการแมนฮัตตัน ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลังการระเบิดมีทั้งความประหลาดใจ ความยินดี และความโล่งใจ เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ (Ernest Lawrence) ซึ่งต่อมาจะได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ เล่าถึงสิ่งที่เขาจำในเหตุการณ์ว่า “จากความมืดมิดสู่แสงสว่างเจิดจ้าในชั่วพริบตา” แสงนั่นทำให้บางคนตาบอดสนิทเป็นเวลาเกือบครึ่งนาทีด้วย

แรงระเบิดทำให้คิสเตียโควสกีที่อยู่ห่างออกไป 5 ไมล์ ล้มฟุบลงกับพื้น เขารีบลุกขึ้นยืนเพื่อตบหลังออปเพนไฮเมอร์แล้วพูดว่า “ออปพี นายเป็นหนี้ฉันสิบเหรียญนะ” ขณะที่เลสลี่ โกรฟส์ ปรี่เข้ามาหาออปเพนไฮเมอร์แล้วบอกว่า “ฉันภูมิใจในตัวนาย” พวกเขาเห็นตรงกันว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จบแล้ว

แต่ไม่นานหลังการเปิดตัวอาวุธมหาประลัยนั้น โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ ระลึกได้ว่าเขาได้สร้างความสยดสยองแก่มวลมนุษย์แล้ว บันทึกของเขาเล่าว่า ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เขานึกถึงตำนานของโพรมิธีอุส ผู้ถูกซุสลงทัณฑ์โทษฐานที่มอบไฟแก่มนุษย์

และทันทีที่ทิ้งระเบิดปรมาณู 2 ลูก ลงไปที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ นักวิทยาศาสตร์ใน โครงการแมนฮัตตัน ต่างถูกสะกดด้วยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว และการใช้ประโยชน์จากอาวุธเหล่านี้หลังจากนั้นได้ตามหลอกหลอนพวกเขาไปอีกนาน ซึ่งอาจหมายถึงตลอดชีวิต

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2567 : เจ้ากรรมนายเวร ให้อภัยแล้ว ยังบาปไหม?

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘เจ้ากรรมนายเวร ให้อภัยแล้ว ยังบาปไหม?’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

👍คำถาม: ถ้าเจ้ากรรมนายเวร ให้อภัยแล้ว เรายังต้องรับกรรมที่เคยกระทําต่อเขาอยู่หรือไม่?

✨พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ต้องถามก่อนว่า ‘เจ้ากรรมนายเวร’ ที่ว่ามานั้นชื่ออะไร? ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าชื่ออะไร แล้วเมื่อบอกว่าเขาอโหสิกรรมให้แล้ว ใครเป็นคนบอก? จะสมมติว่าเจ้ากรรมนายเวรบอกก็ไม่ได้ ในเรื่องบางเรื่องสมมติได้ แต่บางเรื่องสมมติไม่ได้ เรื่องเวรกรรมจึงเป็นเรื่องที่สมมติไม่ได้ 

ใครจะไปถามเจ้ากรรมนายเวร มีกี่คน? ชื่ออะไรบ้าง? อยู่ที่ไหน? รายละเอียดเยอะนะ ฉะนั้นต้องมีตรงกลางแล้วกัน หากทําความดีใด ๆ แล้วเราระลึกถึงท่านผู้มีเวร ก็ระบุได้ว่า “บุญกุศลที่ข้าพเจ้ามีในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอแผ่ถึงท่าน รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี เป็นมนุษย์ก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี เป็นอทิสสมานกาย (สัตว์โลกผู้มีกายไม่ปรากฏ) ก็ดี เป็นโอปปาติกะ (ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ และโตเต็มตัวในทันใด ตามแต่อดีตกรรม ตายก็ไม่มีซากปรากฏ) ก็ดี เมื่อท่านรับทราบ ขอจงอนุโมทนาในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าแผ่มานี้ เมื่อท่านรับแล้วขอได้โปรดยกโทษ หากโทษมี ขอให้อภัยหากให้อภัยกันได้” เป็นการใช้จิตใช้จิต แผ่พลังทางจิต

หลวงพ่อเคยเล่าเรื่องพระอรหันต์ครับนามว่า ‘อายุวัฒนกุมาร’ ซึ่งมีพราหมณ์บอกว่าเด็กคนนี้จะอายุไม่ยืน พระพุทธเจ้าจึงมอบพระสงฆ์ไปสวดพระปริตร ท่านก็มีชีวิตยืนยาวมานานถึง 120 ปี

ดังนั้น การสร้างความดีขึ้นมาใหม่ การสร้างกุศลขึ้นมาใหม่ ให้แรงกว่าบาปที่มีอยู่เดิม ก็สามารถที่จะบรรเทาเบาบางบาปนั้นให้ลดทอนลง หากมีผลอย่างแรงก็ลดเป็นปานกลาง หากมีผลอย่างปานกลางก็จะลดหายไป

สนั่นโซเชียล!! ‘นร.หญิง’ โวย!! ถูกไล่ออกเพราะ ‘แต่งหน้าไปเรียน’ อ้าง!! ขอจบเทอมก่อนแล้วจะลาออกให้ แต่ทางโรงเรียนก็ไม่ยอม

(5 ก.ค.67) กลายเป็นประเด็นดราม่าร้อนแรงในโลกออนไลน์ หลังเพจ ‘เจ๊มอยV+’ ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของ นักเรียนหญิงโรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.ตรัง โร่ร้องเรียน โดนทางโรงเรียนไล่ออก เพราะแต่งหน้าไปเรียน

โดยระบุข้อความว่า “ทางโรงเรียนก็ควรออกมาชี้แจงนะคะ ว่าข้อเท็จจริงประการใด น้องขอให้จบเทอมก่อน แล้วค่อยลาออกก็ไม่ยอม แบบนี้ก็ไม่สมควรนะคะ”

พร้อมแนบภาพข้อความว่า “นักเรียนสาวสุดช้ำ โดนเชิญผู้ปกครอง ให้เซ็นใบลาออก ทางโรงเรียนย้ำไม่ต้องมาอีก อ้อนวอนขอจบเทอมก็ไม่เป็นผล เหตุเพราะแต่งหน้าไปโรงเรียน ยอมรับว่าเคยทำผิดแต่ปรับปรุงตัวเองมาตลอด”

ก่อนที่เพจดังกล่าวได้โพสต์ภาพข้อความสนทนานักเรียนหญิงคนดังกล่าวอีก 2 ภาพ โดยนักเรียนได้อธิบายสาเหตุและพฤติการณ์ของเหตุการณ์ว่า “คือก่อนหน้านี้หนูติดทัณฑ์บนไว้แต่หนูไม่ได้ทำตัวแบบนั้นแล้ว ที่ผ่านมา คือ ปรับตัวมาตลอดไม่เคยกลับไปทำอย่างนั้น”

“เพราะตอนติดทัณฑ์บนคือโดดเรียน แต่พอหลังจากนั้นก็ตั้งใจเรียนนะคะ แต่เมื่อวานตอนเข้าแถว ครูเขาก็เดินมาถามเพื่อนหนูว่าตัดผมเพิ่มไหม และหนูนั่งก้มหน้าอยู่ตอนนั้น ครูเขาก็ให้หนูแหงนหน้าขึ้นแล้วบอกให้หนูไปพบที่ห้องกิจนักเรียน”

ส่วนอีกภาพมีข้อความว่า “แต่ตอนที่หนูไปหนูไม่ได้คิดอะไร เพราะแค่แต่งหน้าเหมือนปกติที่ทามาแล้ว เขาก็พูดกับหนูแบบดุ ๆ แล้วบอกให้เชิญผู้ปกครองมา หนูก็ตอบกลับไปว่า แล้วทำไมคนอื่นแต่งได้สิทธิเด็กก็เท่าเทียมกัน ทำไมต้องโดนแค่หนู”

“เขาบอกว่าก็หนูเคยมีวีรกรรมมาแล้ว แล้วหนูก็บอกว่า แต่หนูไม่ได้ทำแบบนั้นแล้ว ตอนให้เซ็นใบปิดทัณฑ์บนก็ไม่ให้หนูอ่าน บอกแค่ว่ารีบ ๆ เซ็น แล้วก็มีปากเสียงกันเล็กน้อย แล้วเขาบอกหนูเถียงเขา แล้วหนูบอกว่าแค่อธิบายให้ฟังทำไม คนอื่นทำได้หนูถึงทำไม่ได้ สิทธิเหมือนกันหมด”

“แล้วหนูก็พูดกับเพื่อนว่าหนูรอดูทวิตเตอร์นะ แต่ตอนนั้นคือหนูพูดหยอกกัน แต่ครูก็บอกว่าหนูขู่เขา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปหนู แล้วน้ำเสียงคือพูดดี แต่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา คือ พูดกับหนูคนละคนเลย”

งานนี้เมื่อข้อความดังกล่าวแชร์ออกไป ทำเอาชาวเน็ตจำนวนไม่น้อย เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ ถกเถียงกันสนั่นทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีการออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง จากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางเด็กผู้ร้องเรียน รวมถึงโรงเรียนที่ถูกกล่าวอ้างถึงแม้แต่อย่างใด

คอมเมนต์บางส่วน

- โรงเรียนอะไร?

- เคยทำมาแล้ว แต่ก็ยังทำอีก ก็คงเถียงไม่ขึ้น

- โรงเรียนไหนที่ตรัง มีหลายโรงเรียนที่ตอนนี้ มีสอนแต่งหน้าเด็กให้เหมาะกับวัย แล้วก็มีหลายโรงเรียนที่เปิดให้เด็กแต่งหน้าไปโรงเรียนได้แล้ว ครูควรออกไปดูโลกข้างนอกหน่อยนะคะ

'ดร.ก้องเกียรติ' ชี้!! 'ธุรกิจคาร์บอนต่ำ' โอกาสทองของ SME 'ลดต้นทุน-สร้างรายได้-ช่วยรักษ์โลก' เพียงแค่เปลี่ยนมุมมอง

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ ดร.ก้องเกียรติ สุริเย ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต และประธานกรรมการ บริษัท จีอาร์ดี จำกัด ในประเด็น 'ความสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจคาร์บอนต่ำ' โดย ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า...

ธุรกิจคาร์บอนต่ำ หมายถึง ธุรกิจที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ในปริมาณต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับท้องตลาดที่มีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น...

ถ้าเราทำธุรกิจเกี่ยวกับผลไม้ส่งออก เช่น ลำไย กระบวนการอบลำไยหลัก ๆ ก็ต้องมีปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์จำนวนมากอยู่แล้ว เนื่องจากมันมีการบ่มแก๊ส แต่ถ้าเราสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการอบลำไยของเราไม่ให้ใช้แก๊สหรือใช้วิธีการอื่น ๆ แทน เพื่อปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง ก็จะทำให้มีความต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่พอเทียบวัดจำนวนคาร์บอนฟุตพริ้นท์แล้ว ของเราก็จะมีปริมาณที่ต่ำกว่า และก็เรียกได้ว่าเป็น ธุรกิจคาร์บอนต่ำไปโดยปริยาย

เมื่อถามว่าปัจจุบันผู้ประกอบการ SME มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกร้อนด้วยหรือไม่อย่างไร? ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ในเชิงธุรกิจเกี่ยวข้องโดยตรง เนื่องจากมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ 

1.การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง เช่น การใช้เชื้อเพลิงในการดำเนินธุรกิจ 

2.การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยอ้อม เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่โรงไฟฟ้า 

3.การดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อ จัดจ้าง ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย การบริการ ล้วนเกี่ยวข้อง 

ซึ่ง ผู้ประกอบการ SME เป็นผู้ซัปพลาย (Supply) ให้กับผู้ประกอบการขนาดใหญ่โดยตรง ทำให้มีความผูกพันกันเป็นห่วงโซ่ 

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวอีกว่า ในปัจจุบันผู้ประกอบการ SME ของประเทศไทยมีจำนวนกว่า 95% สร้างการจ้างงานกว่า 50% แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่ ฉะนั้นถ้าผู้ประกอบการ SME ร่วมแรงร่วมใจกันลดโลกร้อน ก็จะได้รับประโยชน์คืนกลับมามากมาย ดังนี้...

1.สามารถลดพลังงานที่ใช้และลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ 
2.สามารถจำหน่ายคาร์บอนเครดิตสร้างรายได้กลับมาหรือใช้ในองค์กร 
3.เป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปสู่สินค้าคุณภาพสูงได้ ซึ่งเป็นตลาดใหม่เรียกว่า Green Market Sector 

ทั้งนี้ การทำธุรกิจคาร์บอนต่ำของผู้ประกอบการ SME มีวิธีการและรายละเอียดมากมาย ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการ การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของ SME ไปพร้อมกับการหยุดสภาวะโลกเดือดด้วยการดำเนินธุรกิจแบบคาร์บอนต่ำร่วมกับการสร้างโอกาสใหม่ของธุรกิจด้วยคาร์บอนเครดิต บรรยายโดย ดร.ก้องเกียรติ สุริเย วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม 2567 ณ ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ เวลา 13.00-16.30 น. โดยสามารถลงทะเบียนผ่านลิงก์เพื่อสำรองที่นั่งได้ที่ https://bit.ly/45fVVxL 'โอกาสทองของ SME ที่ไม่ควรพลาด'

'อ.พงษ์ภาณุ' สวด!! 'แบงก์ชาติ' มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ขัด 'นโยบายการเงิน-การคลัง' บั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุน

(7 ก.ค. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ กล่าวถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า...

ดูเหมือนว่าช่วงนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยันออกข่าวเป็นพิเศษ และการออกข่าวแต่ละครั้งมีลักษณะขวางโลก ย้อนแย้งความรู้สึกของประชาชน และมุ่งสร้างความขัดแย้งกับนโยบายการคลังของรัฐบาล

มุมมองของ ธปท.ขวางโลก เพราะตั้งแต่เดือนที่แล้วธนาคารกลางทั่วโลกได้ประสานเสียงกันลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank-ECB) ธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England) ธนาคารแห่งแคนาดา (Bank of Canada) ธนาคารแห่งชาติสวิส (Swiss National Bank) และแม้แต่ Federal Reserve ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่ลดแต่ก็มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยนโยบายเร็วๆ นี้

ความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั่วโลกในครั้งนี้ถือเป็นจุดหักเห (Turning Point) ที่สำคัญของนโยบายการเงิน นับจากวงจรการขึ้นดอกเบี้ยโลก ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา แต่ ธปท. มักจะอ้างเหตุผลของการไม่ลดดอกเบี้ยว่าดอกเบี้ยไทยอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น และประเทศไทยเริ่มขึ้นดอกเบี้ยรอบที่แล้วล่าช้ากว่าประเทศอื่น 

ทว่าความจริงแล้ว เป็นการหลอกลวงประชาชน เพราะเราต้องดูอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ซึ่งก็คืออัตราดอกเบี้ยหักด้วยอัตราเงินเฟ้อ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยถือได้ว่าสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง บ่งบอกว่านโยบายการเงินไทยมีความตึงตัวมากกว่าประเทศอื่น 

ฉะนั้น ประการแรก การที่ ธปท. เริ่มขึ้นดอกเบี้ยรอบที่แล้วช้ากว่าธนาคารกลางอื่น น่าจะมีจุดประสงค์ที่จะเอาใจฝ่ายการเมืองสมัยนั้นมากกว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจ เพราะเงินเฟ้อของไทยในปี 2565 ขึ้นไปถึงกว่า 8% สูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง

ประการต่อมา มุมมองของ ธปท. ย้อนแย้งกับมุมมองทั่วไปของประชาชนและสำนักเศรษฐกิจแทบจะทุกสำนักที่เห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะคับขันและจำเป็นต้องมีการเยียวยาอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นที่มาของการออกมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิเช่น การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของงบประมาณปี 2567 การตั้งงบประมาณปี 2568 ที่มีอัตราเติบโตของการใช้จ่ายสูงเป็นประวัติการ การผ่อนคลายการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของต่างชาติ การออกมาตรการกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น คงจะมี ธปท.อยู่หน่วยงานเดียวที่มัวหลงระเริงอยู่กับความฝันลมๆ แล้งๆ ที่ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นแล้ว

ประการสุดท้าย การสร้างความขัดแย้งกับนโยบายการคลัง ซึ่ง ธปท. กำลังสร้างขึ้นมาผ่านสื่อต่าง ๆ โดยไม่จำเป็น เป็นต้นเหตุของการบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน การปรับกรอบเงินเฟ้อตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เป็นทางออกที่ดีที่จะช่วยประสานการทำงานของนโยบายการคลังและนโยบายการเงินให้ไปด้วยกันได้ราบรื่นขึ้น ขณะที่ยังรักษาความเป็นอิสระของการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบที่ปรับปรุงใหม่ได้เป็นอย่างดี แต่กลับได้รับการคัดค้านผ่านสื่อ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องที่สมควรหารือเป็นการภายในระหว่างสองหน่วยงาน

ขณะนี้โลกกำลังมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น อังกฤษได้ผู้นำรัฐบาลใหม่จากพรรคแรงงาน ซึ่งมีนโยบายกระตุ้นการเติบโต (Pro Growth) อย่างชัดเจน ธนาคารกลางชั้นนำทั่วโลกร่วมมือกันประสานนโยบายดอกเบี้ยขาลงอย่างเป็นระบบ รัฐบาลลาวมีมติปลดผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งลาวไปเมื่อเร็วๆ นี้ เพราะทำงานไม่ได้เรื่อง น่าเสียดายที่ไทยไม่สามารถเติบโตไปพร้อมๆ กับโลกจากสาเหตุที่มีธนาคารกลางที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ

‘ราชกิจจาฯ’ ประกาศใช้ตัวอักษรพิเศษป้ายทะเบียนรถ ‘70 หมวด’ มี ‘ไข่เจียว-สุดหล่อ-เท่’ ภายใต้เงื่อนไขรถส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง

(5 ก.ค. 67) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศนายทะเบียนทั่วราชอาณาจักร เรื่อง การกำหนดการใช้ตัวอักษรประจำหมวดและหมายเลขทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2567 เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา

รายละเอียดสำคัญ คือ ก่อนหน้านี้ประชาชน และสำนักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ได้มีการเสนอคำหรือข้อความที่จะใช้เป็นตัวอักษรประจำหมวดเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ ประกอบกับ คณะอนุกรรมการพิจารณาตัวอักษรประจำหมวดที่ใช้กับแผ่นป้ายทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ในการประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 63 ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบให้ใช้ตัวอักษรประจำหมวดเพิ่มเติมจำนวน 70 หมวด

ดังนั้น เพื่อให้การกำหนดการใช้ตัวอักษรประจำหมวดที่ใช้กับแผ่นป้ายทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษเพิ่มเติมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงกำหนดให้เพิ่มเติมตัวอักษรประจำหมวดตามบัญชีแนบท้ายประกาศ เป็นตัวอักษรประจำหมวดที่ใช้กับแผ่นป้ายทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน

สำหรับบัญชีตัวอักษรประจำหมวด แนบท้ายประกาศนายทะเบียนทั่วราชอาณาจักร เรื่อง การกำหนดการใช้ตัวอักษรประจำหมวดและหมายเลขทะเบียนรถสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร (ลงวันที่ 20 พ.ค. 67) ได้แก่ กัญฐณา, แก้วมณี, ไข่เจียว, จินตา, จิรทิต, เจอ, ชมพู, ชัดเจน, ชุมพล, ณโม, ณพธวัช, ดวงใจ, ดาริน, ต้น, ต้อง, ตาม, เต้ย, ทวีสุข, เท่, ธรรศธน, นรา, นับเงิน, นิด, ปัญ, ปานคำ, แป้ง, โป้ง, พรทิพย์, พริม, พอวา, พัน, พีร, เพชรทวี, มงคลกร, มาวิน, มิลานันท์, มีดี, มีทรัพย์, มุ่งเจริญ, ยศดี, ยุทธ์, ร่มโพธิ์, รวยยศ, รวยสุข, รังษี, ราบรื่น, ละมุน, วงละคร, วัฒน์, ศิลป์, ศุภกิจ, สมยศ, สันติสุข, สินอุดม, สุขสบาย, สุดหล่อ, สุพจน์, โสรดา, หฤทัย, หล่อ, หล่อรวย, เหมทอง, อนัญญา, อัฑฒ์, อารี, อิงอุ่น, อิทธิกร, เอม, เอวา และเอี่ยม

‘ดร.อานนท์’ เผย ‘รุ้ง’ ไปศาลยอมรับสารภาพผิด ‘ม.112’ คาด!! มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง แต่กฎหมายเอื้อมไปไม่ถึง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า 

ได้ข่าวว่าน้องรุ้งไปศาลวันนี้ แล้วยอมรับสารภาพว่ากระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 สำหรับคดีวันนี้ทั้งหมด

อันอาจจะแปลความได้ว่า น้องรุ้งได้พิจารณาจากรูปคดีแล้ว คิดว่าสารภาพไปเลยให้ความร่วมมือยังจะได้ลดโทษบรรเทาโทษจากศาล

ขอให้น้องรุ้งได้รับความเมตตาจากศาลด้วยครับ ผมทราบว่าน้องรุ้งเองถูกผลักดันจากผู้ใหญ่ที่บงการเบื้องหลังน้อง แต่กฎหมายเอาตัวผู้บงการมิได้ คนบงการต่างหากที่ควรได้รับโทษเต็มๆ แต่กฎหมายเอื้อมไปไม่ถึงครับ

แม้กระทั่งวันที่มาดีเบตกับผม น้องรุ้งก็มิได้เต็มใจจะมา และมิได้เตรียมตัวมาเลย นักวิชาการ นักการเมือง สีส้ม ล้มเจ้า ไม่มีใครยอมมาดีเบตกับอานนท์ แล้วบังคับส่งน้องรุ้งมา พร้อมกับเอกสารเป็นปึกที่น้องยังไม่ได้อ่านให้รู้เรื่องเลย แต่ก็ต้องมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากมาดีเบตกับอานนท์เลย น้องรุ้งยังบอกอีกว่าวันนี้หากเป็นรุ่นเด็ก ก็ควรจะเป็นเพนกวิ้น ไม่ควรจะเป็นหนู แต่เพนกวิ้น หอบหืดหนักต้องไปพ่นยาที่โรงพยาบาลแล้วมาไม่ได้หนูเลยต้องมาแทน

นี่คือตัวตนและชะตากรรมของน้องรุ้ง

ขอให้ทุกคน ให้ความเมตตาน้องรุ้ง ปนัสยา ด้วยนะครับ ผมกราบขอร้องครับ

ปล. น้องรุ้งไม่ได้หนีคดีนะครับ ขอยกย่องในข้อนี้ไว้ก่อนนะครับ

นอกจากนี้ ดร.อานนท์ ก็ยังได้กล่าวเสริมอีกด้วยว่า...

น้อง ๆ กลุ่มคณะราษฎร 2563 กลุ่มทะลุวัง กลุ่มทะลุแก๊ส กลุ่มทะลุฟ้า กลุ่มอื่นๆ ที่เคยกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทุกคนครับ อยากให้น้องทำเพื่อตัวเองโดยที่ 

หนึ่ง ให้ความร่วมมือกับศาลในการพิจารณาคดี อย่าแสดงพฤติกรรมไม่ร่วมมือกับศาลท่านตามคำยุยงของทะแนะทั้งหลายจะไม่ส่งผลดีต่อตัวน้องครับ

สอง ถ้ารูปคดีไม่มีทางต่อสู้ ยอมรับสารภาพผิดกับศาลท่านไปเถิดครับ จะได้รับความเมตตา โทษจะบรรเทาเบาบางลงไปมากกว่าครึ่ง

สาม อย่าหนีคดี คนเราทำสิ่งใดไว้ก็ต้องรับผลการกระทำนั้นอย่างกล้าหาญ

สี่ กลับใจ ถ้ารู้ว่าตนหลงผิดไป หรือรู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้ แสดงพฤติกรรมที่ควรจะแสดงให้ถูกต้อง จะกราบขอพระราชทานอภัยโทษในที่สาธารณะก็ควรทำครับ 

ห้า ถ้ารู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้ ถูกบังคับ ถูกละเมิด จะออกมาแฉเอง หรือจะให้สื่อช่วยแฉก็ทำได้ทั้งนั้น 

หก ถ้าคดีพิพากษาไปจนถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ประพฤติตนดีในเวลาที่รับโทษ แล้วให้ทำเรื่องถวายฎีกาขอรับพระราชทานพระเมตตาในการอภัยโทษ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจ

ผมมั่นใจว่า หลังจากคดีสิ้นสุดแล้ว การถวายฎีกาขอรับพระราชทานอภัยโทษ ขอรับพระราชทานพระเมตตา จะต้องถึงพระเนตรพระกรรณอย่างแน่นอน สำหรับคดีมาตรา 112 ที่น้อง ๆ ได้หลงผิดและพลาดไปแล้ว

‘รัฐบาล’ บูรณาการร่วมมือ ‘ภาคเอกชน’ สร้างระบบ ‘แจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ’ คาด!! เสร็จต้นปี 2568 พร้อมใช้ได้ถึง 5 ภาษา ‘เศรษฐา’ สั่งเดินหน้าให้ต่อยอดความสำเร็จ

(6 ก.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ผลสำเร็จจากการบูรณาการความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สำนักงาน กสทช. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมจัดทำ Cell Broadcast Service หรือ CBS ระบบเตือนภัยฉุกเฉินในพื้นที่จริงครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินที่ทั่วโลกใช้งาน สามารถส่งข้อความเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการทุกเครื่อง โดยทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย สามารถรับข้อความได้พร้อมกันทันที เพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ อย่างทันท่วงที ช่วยสร้างความมั่นคง ปลอดภัย และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระบบเตือนภัยฉุกเฉิน CBS เป็นเครื่องมือสำคัญในการแจ้งเตือนภัยให้กับประชาชน สามารถแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินได้ 5 ภาษา ทั้ง ไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย ซึ่งครอบคลุมผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทุกเครือข่ายในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนล่วงหน้า โดยจะส่งข้อความแจ้งเตือนภัยในรูปแบบ ข้อความ ตัวอักษร รูปภาพ และเสียง ทั้งยังมีสัญญาณเสียง และข้อความที่แสดงบนหน้าจอ (Pop up) รวมถึงรองรับ Text to Speech เทคโนโลยีช่วยเหลือที่อ่านออกเสียงข้อความ ทำให้มีประโยชน์ต่อการแจ้งเตือน แก่ผู้มีความบกพร่องทางการมองเห็นอีกด้วย

สำหรับระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน CBS สามารถตั้งระดับการเตือนได้ 5 ระดับ ตามฟังก์ชั่นการใช้งาน โดยใช้ความร่วมมือกับฐานข้อมูลของภาครัฐ ประกอบด้วย 
1. การแจ้งเตือนระดับชาติ (National Alert) การแจ้งเตือนระดับสูงสุด ความสำคัญมากสุด และทุกคนในทุกพื้นที่เสาสัญญาณครอบคลุมจะทราบเหตุทันที 
2. การแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน (Emergency Alert) การแจ้งเตือนภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น ภัยสึนามิ แผ่นดินไหว น้ำท่วมฉับพลัน หรือ ภัยจากคนร้าย เป็นต้น 
3. การแจ้งเตือนคนหาย (Amber Alert) ระบบตั้งเตือนข้อมูลเมื่อมีเด็กหายหรือคนหาย รวมทั้งการลักพาตัวเพื่อให้ประชาชนทราบข่าวเฝ้าระวัง และช่วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐสังเกตการณ์ รายงานผล ถ้าพบคนหายหรือคนร้าย 

4. ความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) ระบบการแจ้งเตือนความปลอดภัยสาธารณะในพื้นที่ หรือการเฝ้าระวังกรณีแจ้งคนที่อยู่อาศัย ชุมชน และผู้สัญจรผ่านพื้นที่นั้น 
5. การแจ้งเตือนทดสอบ (Test Alert) ระบบทดสอบการแจ้งเตือนตามวัตถุประสงค์เฉพาะกิจต่าง ๆ โดยสามารถใช้งานเพื่อทดสอบก่อนขยายผลสู่การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนในระดับต่าง ๆ ต่อไป

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า เนื่องจากเป็นระบบใหม่ในประเทศไทย จึงต้องมีการเตรียมความพร้อม เรื่องอุปกรณ์ และการติดตั้งทั่วประเทศ โดยคาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จประมาณต้นปี 2568 ซึ่งเมื่อระบบพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ ประชาชนทั่วประเทศจะได้รับการแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยยิ่งขึ้น

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการสร้างความปลอดภัยให้คนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชื่นชมการทำงานร่วมกันของหน่วยงานรัฐและเอกชน ในการพัฒนาระบบเตือนภัยฉุกเฉิน ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ ด้านสาธารณภัยของประเทศ ทั้งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ และการกระทำของมนุษย์ พร้อมสั่งการให้ต่อยอดเพิ่มความปลอดภัยให้คนไทย และนักท่องเที่ยวในทุกพื้นที่” นายชัย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top