Tuesday, 20 May 2025
TheStatesTimes

18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ‘สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี’ หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จสวรรคต ผู้ทรงก่อตั้ง ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ เพื่อช่วยชาวไทยภูเขาให้อยู่ดีกินดี

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จสวรรคตที่โรงพยาบาลศิริราช รวมพระชนม์มายุ 95 พรรษา

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ทรงเป็นบุตรคนที่ 3 ใน พระชนกชู และ พระชนนีคำ พระนามเดิมคือ สังวาลย์ ตะละภัฏ ในวัยประมาณ 7-8 ขวบ ครอบครัวได้นำพระองค์ไปฝาก คุณจันทร์ แสงชูโต ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงในพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ทรงเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนสตรีวิทยา จากนั้นเข้าโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช ซึ่งเป็นโรงเรียนพยาบาลแห่งเดียวในประเทศไทยในขณะนั้น

ทรงเป็นนักเรียนที่มีอายุน้อยที่สุดในรุ่นของพระองค์ซึ่งมีจำนวนเพียง 14 คน พระองค์ทรงเรียนได้ดีและทรงศึกษาสำเร็จภายในสามปี และทรงทำงานต่อที่โรงพยาบาลศิริราช ตามข้อผูกพันของการเป็นนักเรียนหลวง

ในปี พ.ศ. 2460 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงได้รับทุนให้ไปเรียนวิชาพยาบาลเพิ่มเติมที่สหรัฐอเมริกา ในระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้ทรงพบกับ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ (พระบรมราชชนก) ซึ่งได้ทรงถูกพระทัย และขอพระราชทานพระราชานุญาตหมั้นกับ นางสาวสังวาลย์

จากนั้นได้ทรงจัดพิธีอภิเษกสมรส ที่วังสระปทุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2463 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการแพทย์ ทรงจัดตั้งหน่วยแพทย์อาสาเดินทางไปรักษาผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ทรงตั้งมูลนิธิขาเทียมออกจัดทำขาเทียมให้ผู้พิการ

นอกจากนี้ ตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนชาวไทยอย่างมากมาย อาทิ ทรงให้การอุปถัมภ์ราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้มีอาชีพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี จนเป็นที่มาของ ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ นอกจากนี้ยังทรงเป็นแบบอย่างของความพอเพียง ทรงสอนพระโอรสและพระธิดา ให้รู้จัก ‘การให้’ มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ โดยพระองค์จะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า ‘กระป๋องคนจน’ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก ‘เก็บภาษี’ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% และทุกสิ้นเดือนพระองค์จะเรียกประชุมเพื่อตรัสว่า จะนำเงินในกระป๋องไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

'คกก.' ไฟเขียว!! ขายเหล้า 5 วันพระใหญ่ ใน 6 สนามบินได้ เชื่อ!! กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วน 'สถานีรถไฟ-ในขบวน' รอพิจารณา

(5 ก.ค. 67) คกก. นโยบายฯ เห็นชอบ ให้ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ ทอท. จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันห้ามขายได้ ส่วนสถานีรถไฟให้ทบทวนมาตรการป้องกันควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกครั้ง

คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ประชุมเข้มเรื่องการขอยกเว้นสำหรับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันห้ามขาย ณ ท่าอากาศยาน และพิจารณาแนวทางการขอยกเว้นสถานที่ หรือบริเวณห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในบริเวณสถานีรถไฟ

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ที่รัฐสภา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 3/2567โดยมี นายแพทย์อดิสรณ์ วรรธนะศักดิ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค คณะผู้บริหารกรมควบคุมโรค และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

นายสุริยะ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ได้ร่วมกันพิจารณาในประเด็น หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ พร้อมทั้งข้อความคำเตือนสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตหรือนำเข้า ซึ่งระยะเวลาในการออกประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี้ จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 หลังจากนี้จะต้องนำไปแจ้งเวียนประเทศสมาชิก WTO อย่างน้อย 60 วัน หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเนื้อหาในร่างประกาศมีผลบังคับใช้กับผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ประกอบการ จำเป็นต้องพิจารณาร่างประกาศด้วยความละเอียดรอบคอบ มีหลักฐานทางวิชาการและวิทยาศาสตร์สนับสนุนด้วย

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันห้ามขาย ณ ท่าอากาศยานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต หาดใหญ่ ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ให้ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 คือ วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ให้สามารถจำหน่ายได้ ในอาคารอากาศยานนานาชาติ เพื่อให้เกิดการใช้จ่าย สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว และเป็นการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศ

ในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ขอพิจารณาแนวทางการขอยกเว้นสถานที่ หรือบริเวณห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในบริเวณสถานีรถไฟ หรือในขบวนรถที่อยู่บนทางรถไฟ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศนั้นได้ให้ คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร่วมกับ รฟท.หารือแนวทางและมาตรการควบคุมป้องกันด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว และร่างกฎหมายส่งให้ คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ พิจารณาถึงความเหมาะสมและผลกระทบ ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนต่อไป

นอกจากนี้ ที่ยังได้มีมติเห็นชอบ ร่างคำสั่งคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาแนวทางการจัดหาหรือจัดตั้งกองทุนเพื่อการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสภาพผู้มีปัญหาการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ต้องการเข้ารับการบำบัดรักษาเพื่อการเลิกดื่ม สามารถเข้าสู่ระบบบำบัดรักษา และเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย

นายสุริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันเข้าพรรษาของทุกปีเป็น ‘วันงดดื่มสุราแห่งชาติ’ ในปีนี้ กรมควบคุมโรค ได้จัดกิจกรรมรณรงค์วันงดดื่มสุราแห่งชาติ ประจำปี 2567 ขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม 2567 ณ บริเวณลานหน้าห้อง MCC Hall ชั้น 4 เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน จังหวัดนนทบุรี ภายใต้ธีมงาน ‘หยุดเหล้า หยุดอันตรายต่อผู้อื่น (Stop Alcohol Stop Harm to Other) ’ โดยมุ่งเน้นรณรงค์ในกลุ่มเด็กเยาวชน และผู้หญิง เพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่ ตระหนักถึงอันตรายของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกระตุ้นให้เกิดการลด ละ เลิก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมมีกิจกรรม ‘เชิญ ชวน เชียร์ ลด ละ เลิกเหล้า เข้าสู่ระบบบำบัดรักษา’ ด้วยการลงนาม ผ่านระบบออนไลน์ ผ่าน QR Code หรือเว็บไซต์www.noalcohol.ddc.moph.go.th เพื่อร่วมงดเหล้าในช่วงเข้าพรรษาตลอดระยะเวลา 3 เดือน นำสู่การเลิกเหล้าตลอดชีวิต”

'เอ็กซิทโพลเลือกตั้งผู้ดี' ชี้!! พรรคแรงงานกวาดชัย 410 เก้าอี้ ส่วนอนุรักษ์นิยมเหลือ 131 เก้าอี้ หลังทำวิกฤตค่าครองชีพพุ่ง

(5 ก.ค.67) เอ็กซิทโพลเผย ผลการเลือกตั้งทั่วไปของสหราชอาณาจักรที่ถูกจับตามองหลังปิดหีบว่า พรรคแรงงานของนายเคลียร์ สตาร์เมอร์ จะชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย โดยมีสมาชิกที่ได้รับเลือก 410 คน ซึ่งมากกว่าพรรคอนุรักษ์นิยมที่ครองอำนาจมายาวนานถึง 14 ปี ที่จะได้ที่นั่ง 131 ที่นั่ง ซึ่งต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา

หากผลการเลือกตั้งเป็นไปตามเอ็กซิทโพลที่จะจัดทำขึ้นร่วมกันโดยสื่อเจ้าหลักของสหราชอาณาจักร 3 สำนัก ประกอบด้วยบีบีซี ไอทีวี และสกายจริง นั่นหมายความว่าพรรคแรงงานจะได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคอนุรักษ์นิยมถึง 279 เสียง

ขณะที่พรรคอนุรักษ์นิยมได้ 131 ที่นั่ง ลดลงจาก 346 ที่นั่งที่มีอยู่ก่อนน่าจะหน้าที่จะมีการยุบสภา ในการเลือกตั้งที่ถูกมองว่าเป็นการลงโทษของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงต่อพรรคอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับวิกฤตค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความปั่นป่วนวุ่นวายในพรรคที่กินเวลายาวนานหลายปี จนทำให้อังกฤษต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีอังกฤษถึง 5 คนนับตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปัจจุบัน

ด้านพรรคเสรีประชาธิปไตยคาดว่าจะได้ 61 ที่นั่ง พรรคแห่งชาติสกอตแลนด์ 10 ที่นั่งพรรคปฏิรูปสหราชอาณาจักร 13 ที่นั่ง พรรค Plaid Cymru ที่สนับสนุนการเป็นเอกราชของเวลส์ 4 ที่นั่ง และพรรคกรีน 2 ที่นั่ง

ผลการเลือกตั้งดังกล่าวจะทำให้สตาร์เมอร์กลายเป็นผู้นำพรรคแรงงานคนที่ 4 ที่สามารถล้มพรรคอนุรักษ์นิยมได้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคแรงงานคนแรกในรอบ 14 ปี

อย่างไรก็ดี ชัยชนะดังกล่าวยังถือว่าน้อยกว่านายโทนี่ แบลร์ อดีตผู้นำพรรคแรงงานในปี 1997 ที่นำพรรคแรงงานคว้าชัยได้ 418 ที่นั่ง

ผลการเลือกตั้งดูจะเป็นสิ่งยืนยันว่าชาวอังกฤษเห็นด้วยกับการรณรงค์หาเสียงของพรรคแรงงานที่เน้นย้ำว่า “ถึงเวลาสำหรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว” โดยนายสตาร์เมอร์ได้ขอบคุณผู้ที่ลงคะแนนให้เขา และไว้วางใจในการเปลี่ยนแปลงที่พรรคแรงงานจะทำให้เกิดขึ้น

หากผลเอ็กซิทโพลถูกต้อง นายริชี ซูแน็ก ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมมีแนวโน้มที่จะประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคมนี้ ก่อนที่สตาร์เมอร์จะเดินทางไปที่พระราชวังบัคกิ้งบักกิงแฮมเพื่อได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนต่อไป

จากนั้นเขาจะเดินทางไปยังทำเนียบนายกรัฐมนตรี ที่บ้านเลขที่ 10 บนถนนดาวนิง เพื่อกล่าวถ้อยแถลงสั้น ๆ ก่อนเริ่มทำงานในฐานะผู้นำรัฐบาลอังกฤษชุดใหม่ โดยแหล่งข่าวจากพรรคแรงงานระบุว่า พวกเขาคาดว่าคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่หรือทั้งหมดจะได้รับการแต่งตั้งภายในเย็นวันศุกร์นี้ โดยจะมีรัฐมนตรีที่เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น

'ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ' ชี้!! ทางออกเศรษฐกิจไทย หากไม่ปรับโครงสร้างใหญ่ หมดสิทธิโตเกิน 3%

(5 ก.ค. 67) เพจ ‘Salika’ ได้เผยแพร่ข้อมูลที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการหาทางออกให้กับทิศทางเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่า…

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุแบบจำลองของ ธปท. มองภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 66-71 คาดว่าจะเติบโตได้แค่ราว 3% ซึ่งเป็นระดับศักยภาพของไทยในปัจจุบันที่ลดลงจากในอดีต และยากที่จะกลับไปเติบโตได้สูงถึง 4-5% อย่างเช่นในอดีต 10 ปีที่ผ่านมา

เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และยังซ่อนความยากลำบากของประชาชนอยู่อีกไม่น้อยที่เดือดร้อนจากรายได้ที่ยังฟื้นกลับมาไม่เต็มที่ ทั้งลูกจ้างนอกภาคเกษตร, ผู้ประกอบอาชีพอิสระ แม้รายได้อาจจะกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนโควิด แต่กลับมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าครองชีพสูงขึ้น

ทั้งนี้ ธปท.ประเมินภาพเศรษฐกิจไทยรายไตรมาส ในช่วงที่เหลือของปี 67 คือ ไตรมาส 2 คาดเติบโตใกล้เคียง 2% ไตรมาส 3 คาดเติบโตใกล้เคียง 3% และไตรมาส 4 คาดเติบโตใกล้เคียง 4% ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ขยายตัวได้ 1.5% ส่วนในปี 68 คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ราว 3%

การจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้มากกว่านี้ จะต้องมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปรับโครงสร้างแรงงานให้มีประสิทธิภาพ มีการลงทุนมากขึ้น มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัย หากไม่มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการยกระดับประสิทธิภาพแรงงานอย่างจริงจัง ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยก็จะเติบโตอยู่ได้ในระดับที่ 3% ไม่สามารถเติบโตได้มากกว่านี้ ขณะที่การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

‘All Connex’ เผยโฉม!! ‘Roboraptor’ หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย 'เฝ้าบ้าน-ร้าน-สแกนโจร-ติดต่อตำรวจ' พร้อมขายทั่วโลกปลายปี 67

(5 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า All Connex ผู้พัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เตรียมเปิดขายหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยที่เหมาะสำหรับใช้เฝ้ากิจการห้างร้าน และบ้าน โดยมีคุณสมบัติเหนือกว่ามนุษย์ ด้วยกล้องจับภาพคุณภาพสูง, ฟีเจอร์ที่สามารถตรวจจับบุคคลต้องสงสัยที่มีหมายจับ, ระบบแจ้งเตือนไปยังสถานีตำรวจในกรณีเกิดเหตุ, ระบบสแกนตรวจจับอาวุธปืน และสัญญาณเตือนภัยเป็นต้น

โดยเจ้า Roboraptor มีลักษณะคล้ายๆ สุนัขตำรวจ แต่มีความแข็งแรงทนทานจากเหล็กกล้าและมีน้ำหนักราวๆ 20 กิโล เคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวและ สามารถกระโดดได้สูงไม่ต่างจากสุนัข

โดย All Connex เป็นแบรนด์แรกของโลกที่เปิดขายหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย โดยจะขายผ่านเว็บไซต์ โดยระบบบล็อกเชน

‘กรมการแพทย์แผนไทยฯ’ หนุนเกษตรกรปลูก ‘มะระขี้นก’ ‘ขายผลสด-แปรรูป’ รับเทรนด์รักสุขภาพ สร้างรายได้เข้าประเทศ

(5 ก.ค. 67) นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า ที่ได้มีการประกาศสมุนไพร Herbal Champions 15 รายการ ตามแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566-2570 

‘มะระขี้นก’ ซึ่งเป็น 1 ในสมุนไพร Herbal Champions มีตลาดทั่วโลกมูลค่ารวมกว่า 28,000 ล้านบาท กำลังมีแนวโน้มของตลาดกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลเชิงลึกที่สำรวจประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศที่มีการส่งออกมะระสูงสุดในโลกมีมูลค่า 17,000 ล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยส่งออกมะระขี้นกเพียง 18 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสของมะระขี้นกในตลาดโลกสามารถจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต

การศึกษาวิจัยหลายฉบับบ่งชี้ว่ามะระขี้นกมีสารสำคัญที่ชื่อว่า ชาแรนติน (Charantin) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ประกอบกับเทรนด์การรักสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาสนใจผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและสมุนไพรมากขึ้นจึงทำให้มะระขี้นก เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้รักสุขภาพในหลายประเทศทั่วโลก 

ประเทศไทยจึงมีการพัฒนาสายพันธุ์สาเกต 101 ของมะระขี้นกขึ้นใหม่เพื่อให้ได้สารสำคัญในปริมาณที่มากขึ้น เพียงพอต่อการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งมีการนำร่องให้เกษตรกรจังหวัดมหาสารคามนำไปขยายพันธุ์ปลูกและเกิดการซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวนมูลค่า 250 ล้านบาท เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ทางด้าน ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล ผู้อํานวยการกองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการทำโมเดล การเกษตรต้นน้ำมูลค่าสูงของมะระขี้นก เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน โดยเป็นการพัฒนาสายพันธุ์มะระขี้นก เพื่อให้ได้สารสำคัญคือ Charantin ในปริมาณที่สูงขึ้น ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าสายพันธุ์ใหม่ ที่พัฒนาทำให้มะระขี้นกใหญ่ขึ้น และสามารถให้สาร Charantin มากกว่าเดิม ประมาณ 2 เท่า ซึ่งส่งผลให้ราคามะระขี้นกเพิ่มสูงขึ้น จากเดิมกิโลกรัมละ 30 บาท เป็นกิโลกรัมละ 50 บาท เป็นการยกระดับรายได้ของคนในจังหวัด สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก 

นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการแปรรูปมะระขี้นกด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ให้เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อาทิ มะระขี้นกแบบน้ำสกัดเข้มข้น ซุปมะระขี้นกแบบผง มะระขี้นกดองกิมจิ 3 รส เป็นต้น เป็นการผลักดันให้เกิดเกษตรมูลค่าสูงสอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ที่มีความมุ่งมั่นในการผลักดันสมุนไพรให้เป็นพืชเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนผู้ประกอบการแปรรูปสมุนไพรให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐาน ผลักดันจากการขายส่งวัตถุดิบเปลี่ยนเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีมูลค่าสูงเพื่อสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สมุนไพร เป็นการต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของสมุนไพรไทย

การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 21 ในปีนี้ จัดภายใต้แนวคิด ‘นวดไทย สปาไทย สมุนไพรไทยสู่เวทีโลก’ ระหว่างวันที่ 3-7 กรกฎาคม 2567 ฮอลล์ 11 - 12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายในงานจะมีการจัดแสดงสมุนไพรไทยหลากหลายชนิด โดยเฉพาะ ‘มะระขี้นก’ พร้อมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ ผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับมะระขี้นกสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ได้สาร Charantin ในปริมาณที่สูงขึ้น 

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและงานวิจัยล่าสุด รวมถึงกิจกรรมการสาธิตการปลูกและ แปรรูปสมุนไพร ร่วมกันสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งด้วยสมุนไพรไทย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 

>> โทร. 0-2591-7007
>> อินสตาแกรม, TIKTOK, Facebook Fanpage มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ
>> Website: https://natherbexpo.dtam.moph.go.th
>> Line ID  : @DTAM

‘รัดเกล้า’ เผย รัฐบาลเตรียมแผนรับมือหน้าฝน ปี 67 จ่อป้องกัน-แก้ปัญหา ‘อุทกภัย’ ไม่ให้กระทบประชาชน

(5 ก.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ติดตามและรายงานความคืบหน้าการเกิดสถานการณ์สาธารณภัยที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ พื้นที่ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้มีข้อสั่งการ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 โดยเพื่อให้การเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝน ปี 2567 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและแผนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงให้สอดคล้องกับมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

โดยกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดดำเนินการ ดังนี้ 1.การเตรียมความพร้อม ทั้งการติดตามสภาพอากาศ การจัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัย การตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงสถานที่ใช้กักเก็บ/กั้นน้ำ การระบายน้ำและการเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ และการแจ้งเตือนภัย 2.การเผชิญเหตุ เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ให้ดำเนินการตามแนวทาง คือจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ระดับจังหวัด อำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเมื่อเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ ให้มอบหมายฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัคร และประชาชนจิตอาสา เฝ้าระวังพื้นที่ชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สถานที่สำคัญต่าง ๆ

รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า การจัดชุดปฏิบัติการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย โดยเฉพาะด้านการดำรงชีพตามวงรอบอย่างต่อเนื่อง ให้รายงานสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางตามช่องทางที่กำหนด เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินสถานการณ์ และเสนอความเห็นต่อผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติในการตัดสินใจ สั่งการในเชิงนโยบายต่อไป

ส่วนกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานครดำเนินการ ดังนี้ 1.การเตรียมความพร้อม โดยเฝ้าระวังติดตามข้อมูลสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำท่วมที่อาจส่งผลให้เกิดอุทกภัยในช่วงฤดูฝน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนเผชิญเหตุ ตลอดจนการประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการสื่อสารแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น การตรวจสอบพื้นที่เขตชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และเส้นทางคมนาคมที่มักเกิดปัญหาน้ำท่วมขังเมื่อฝนตกหนัก พร้อมทั้งเร่งเปิดทางน้ำโดยการดูดเลน ขุดลอกท่อระบายน้ำ ทำความสะอาดร่องน้ำเพื่อเตรียมรองรับน้ำฝน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ

ขณะที่พื้นที่คู คลอง แหล่งน้ำต่าง ๆ ที่เป็นพื้นที่รองรับน้ำและเส้นทางระบายน้ำลงสู่แม่น้ำสายต่างๆ ให้เร่งกำจัดวัชพืช ขยะ สิ่งกีดขวางทางน้ำอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำให้สามารถรองรับน้ำฝน และน้ำจากท่อระบายน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เตรียมความพร้อมบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัย เพื่อใช้ในการเผชิญเหตุให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่เสี่ยงในแต่ละเขตพื้นที่ พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรกลสาธารณภัยไว้ในพื้นที่เสี่ยงเป็นการล่วงหน้า โดยให้ประสานการปฏิบัติการร่วมกับจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างเป็นระบบ และเตรียมแผนสำรองในการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการแก้ไขปัญหากรณีฉุกเฉินอื่นๆ

นางรัดเกล้า กล่าวว่า 2.การเผชิญเหตุ เมื่อเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้จุดชุดปฏิบัติการเร่งเข้าตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงที่มักเกิดปัญหาน้ำท่วมขังบริเวณผิวการจราจร หรือตามเขตชุมชน พร้อมทั้งทำการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลต่อการกีดขวางการระบายน้ำทันที หากเกิดกรณีน้ำท่วมขังบนผิวการจราจร ให้บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกการจราจรโดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่อาจประสบปัญหาเครื่องยนต์ดับบนผิวจราจรที่มีน้ำท่วมขัง ส่วนในช่วงของการเกิดฝนฟ้าคะนอง และฝนตกหนักให้กำกับเจ้าหน้าที่ประจำจุดสูบน้ำดำเนินการตามแผนอย่างต่อเนื่อง หากเกิดปัญหาระหว่างการปฏิบัติงานให้เร่งทำการแก้ไขตามแผนสำรอง และประสานการปฏิบัติร่วมกับชุดปฏิบัติการของการไฟฟ้านครหลวงอย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้กับประชาชน

“โดย มท. ได้เสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบ ซึ่งเรื่องนี้เข้าข่ายที่ต้องนำเสนอ ครม. ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4(1) เรื่องที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี หรือให้ต้องเสนอ ครม. และ เรื่องที่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินนอกเหนือจากที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว ตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม” นางรัดเกล้า ระบุ

‘ร้านคาเฟ่’ โต้!! หลังโดนลูกค้ารีวิว 1 ดาว เพราะเลี้ยงหมาในร้าน แจง!! น้องเกิด-โตที่นี่ แถมพิการซ้ำไม่ทำร้ายใคร ขาประจำจะรู้ดี

(5 ก.ค. 67) ในปัจจุบัน สถานที่ต่าง ๆ ทั้งร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ อนุญาตให้ลูกค้านำสัตว์เลี้ยงไปด้วยมากขึ้น หรือบางแห่งก็มีสัตว์เลี้ยงของเจ้าของอยู่ภายในร้านด้วย โดยปกติลูกค้าก็มักไม่มีปัญหาอะไร หากเจ้าของระมัดระวังเรื่องความสะอาด

แต่เจ้าของร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง แถมป้อมปราบศัตรูพ่าย กลับต้องหัวเสีย เมื่อโดนลูกค้ารีวิว 1 ดาว เนื่องจากเขาเลี้ยงสุนัขไว้ภายในร้าน ทางร้านจึงแคปรีวิวนั้นแล้วโพสต์ลงเพจเฟซบุ๊กของร้าน

ลูกค้ารายนี้ระบุว่า “ขายของกินแต่เลี้ยงสุนัขไว้กลางร้าน คือไม่ได้เกลียดสุนัขนะ แต่มันไม่เหมาะที่จะเอามาเลี้ยงไว้กลางร้าน ใครจะอยากนั่งกิน..”

เจ้าของร้านจึงมาตอบว่า “ไม่อยากนั่งก็ไม่ต้องนั่งครับ เพราะคุณไม่ได้ตั้งใจมานั่งตั้งแต่แรก มีพยาน สั่งอเมริกาโน่ร้อน 1 แก้ว 65 บาท (กลับบ้าน) เพื่อมาดิสเครดิตร้าน ส่วนน้องหมาก็ไม่ได้ไปเห่าหรือกัดทำร้าย น้องนอนเฉย ๆ น้องหมาของเราชื่อถ้วยฟู น้องเกิดและโตที่นี่ อยู่มากับร้านตั้งแต่เปิด

น้องอายุมาก แก่แล้วตาบอด ขาพิการ ผมดูแลถ้วยฟูอย่างดี ถ้วยฟูชินในพื้นที่ตั้งแต่เด็กยันแก่ครับ ลูกค้าประจำจะรู้และเอ็นดูน้อง ส่วนผมรักถ้วยฟูเป็นสมาชิกในครอบครัว ผมเจ้าของร้าน คุณหัดรู้จักเปิดใจหรือสอบถามก่อนก็ได้ ไม่ใช่แต่สักจะรีวิวมันไม่น่ารัก
เพราะถ้วยฟูเขาน่ารักกว่าคุณเยอะครับ มีแต่ความรัก ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องมาอุดหนุน” พร้อมยืนยันว่า ทางร้านจะมีน้องถ้วยฟูอยู่ตรงที่เขาอยู่แบบเดิมและตลอดไป

โพสต์นี้ของร้านมีคนแชร์มากถึง 3 พันครั้ง และเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย โดยส่วนใหญ่เห็นใจเจ้าของร้านและสงสารน้องหมา หลายคนบอกว่าเป็นสิทธิ์ของร้าน ถ้าลูกค้าไม่สะดวกใจเห็นหมาแล้วจะเดินออกก็คงไม่มีใครว่า

บางคนก็บอกว่าเห็นรีวิวใหญ่โต นึกว่าเป็นน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ที่แท้ตัวนิดเดียว แถมพิการอีก พร้อมส่งกำลังใจให้ทางร้านและน้องหมา

๑๐ พระแก้วแห่งสยามประเทศ บารมีคู่บ้าน สิริมงคลคู่เมือง

เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ หรือ ๗๒ พรรษา ในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ นี้ ผมเลยจะขอเรียบเรียงเรื่องราวดี ๆ ในแต่ละบทความให้ครบ ๑๐ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติในหลวงของเรา โดยในครั้งนี้จะเริ่มต้นด้วยพระแก้วคู่บ้านคู่เมืองแห่งสยามประเทศ ๑๐ องค์ 

จากพระแก้วเมืองอุบลราชธานี มาถึงกรุงเทพมหานครที่เราทราบกันดีว่าพระพุทธรูปองค์สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ‘พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร’ หรือ ‘พระแก้วมรกต’ ซึ่งถ้าเราเจาะลึกลงไปเพิ่มเติม โดยเฉพาะชื่อเต็มของกรุงเทพฯ คือ ‘กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์’ 

คำว่า ‘อมรรัตนโกสินทร์’ หมายถึง เมืองที่ประดิษฐาน ‘พระแก้วมรกต’ และอีก ๑ คำคือ คำว่า ‘ภพนพรัตน์’ อันหมายถึง พื้นดินที่ฝังอัญมณี ทั้งเก้าเอาไว้ ‘นพรัตน์’ หรือ อัญมณีทั้งเก้า ประกอบไปด้วย เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มุกดา เพทาย และไพฑูรย์ 

แต่ครั้งนี้ผมคงเล่าได้ไม่ครบแก้วทั้ง ๙ ประการนะครับ แต่จะขอยกเอาพระแก้วสำคัญมาให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักเพิ่มเติมมากกว่า ๙ คือจะเล่าถึง ๑๐ องค์ โดยหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะมีโอกาสได้ไปสักการะองค์พระท่าน เพื่อเป็นสิริมงคลของแต่ละท่านนะครับ โดยผมขอเริ่มจากองค์พระที่มีพระวรกายเป็นสีเขียวก่อนนะครับ 

พระแก้วดอนเต้า

องค์ที่ ๑ ‘พระแก้วดอนเต้า’ หรือ ‘พระเจ้าแก้วมรกต’ ประดิษฐาน ณ กุฏิพระแก้ว วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิราบ สลักจากหินหยกสีเขียวซึ่งเชื่อว่าเป็นหินหยกชนิดเดียวกับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ตามศิลปะแบบเชียงแสนตอนปลาย ไม่มีพระเกตุมาลาเหมือนพระพุทธรูปทั่วไป โดยที่บริเวณฐานพระเจ้าแก้วมรกตดอนเต้าจะทำด้วยทองคำหนัก ๑๙ บาท ๑ สลึง ๑ เฟื้อง มีชฎาทองคำเป็นเครื่องสวมเศียร และมีเครื่องทรง ทำเป็นสร้อยสังวาล ซึ่งเป็นเนื้อทองคำรวมน้ำหนักถึง ๗ บาท ซึ่งตามตำนานเล่าว่าพระแก้วดอนเต้านี้สร้างขึ้นจากแก้วของพญานาคแห่งแม่น้ำวังกะนะทีซึ่งนางสุชาดามาถวายพระมหาเถระแห่งวัดดอนเต้า สลักด้วยฝีมือพระอินทร์จำแลง 

พระนาคสวาดิเรือนแก้ว

องค์ที่ ๒ ‘พระนาคสวาดิเรือนแก้ว’ ประดิษฐาน ณ หอพระสุราลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สลักจากหยกสีเขียว ศิลปะราวสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ โดยพระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) ได้นำพระพุทธรูปศิลาเขียวองค์นี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งคำว่า ‘นาคสวาดิ หรือ นาคสวาท’ มาจากสีเขียวขององค์พระ ด้วยความเชื่อที่ว่าสีเขียวนั้นเกิดจากเลือดของนาคเมื่อครั้งถูกครุฑจับฉีกเนื้อ นาคกระอักเลือดออกมาเป็นหินสีเขียว เรียกว่า ‘นาคสวาท’ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของวิเศษ 

รัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชดำริว่าการที่ทรงได้ พระแก้วนาคสวาดิองค์นี้ในปีที่ ๓ ที่ทรงครองราชย์ นับเป็นบารมีเหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระบรมชนกนาถรัชกาลที่ ๒ ทรงได้พระแก้วผลึกในปีที่ ๓ ของรัชกาลเช่นกัน ภายหลังพระองค์ทรงสร้างเรือนแก้วทองคำลงยาราชาวดีถวายพระพุทธรูปศิลาเขียว และทรงถวายพระนามว่า ‘พระนาคสวาดิเรือนแก้ว’ เป็นพระแก้วประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓

พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร

องค์ที่ ๓ ‘พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร’ หรือเรียกกันอย่างสามัญว่า ‘พระแก้วมรกตน้อย’ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐานบนฐานไม้จำหลัก ปิดทอง บัลลังก์ประดับพระปรมาภิไธย ‘วปร’ ใต้ฐานพระจารึกคำว่า ‘FABERGE 1914’ โดยพระแก้วองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ในปี พ.ศ.๒๔๕๔ รัชกาลที่ ๖ ได้มีพระดำรัสสั่งสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ขณะทรงเสด็จฯ เยือนรัสเซีย ให้ทรงหาซื้อแก้วมรกตก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่จะพึงหาได้ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้หาช่างฝีมือทำหุ่นพระพุทธรูปขึ้นตามแบบที่พระองค์ได้ทรงมอบให้  

ซึ่งผู้ที่รับแกะสลักพระพุทธรูปสำคัญนี้คือช่างจาก ‘ห้างฟาแบร์เช่’ ซึ่งเป็นห้างเครื่องทองและอัญมณีประจำราชสำนักรัสเซีย ดำเนินกิจการโดย นายปีเตอร์ คาร์ล ฟาแบร์เช่  (FABERGE) ซึ่งเป็นชื่อที่สลักอยู่ใต้ฐานองค์พระนั่นเอง 

พระแก้วมรกตน้อยมาถึงสยาม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้มีการฉลองและทำพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ปีเดียวกัน เมื่อเสร็จพิธีแล้วพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนสักการบูชาเป็นเวลา ๓ วัน แล้วจึงอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในพระบรมมหาราชวัง พระแก้วมรกตน้อยเป็นพระแก้วประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต 

พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล

องค์ที่ ๔ ‘พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล’ หรือชื่อสามัญคือ ‘พระหยกเชียงราย’ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะแบบเชียงแสน แกะสลักจากหินหยก มีเครื่องทรงแบบเชียงแสนทำจากอัญมณีและทองคำ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย พระแก้วองค์นี้สร้างขึ้นในวโรกาสที่ ‘สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี’ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๙๐ พรรษา นำโดยสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต) อดีตเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรฯ อดีตเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ได้ร่วมกับพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย จัดสร้างพระแก้วองค์นี้ขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล 

โดยหินหยกที่นำมาแกะสลักนั้น เป็นหินหยกจากประเทศแคนาดา แกะสลักโดยโรงงานหยกวาลินนานกู จงจูลู นครปักกิ่ง ประเทศจีน อัญเชิญมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ เป็นองค์ประธาน 

ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้พระราชทานนามพระพุทธรูปองคนี้ว่า ‘พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล’ มีความหมายว่า ‘พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นอากรแห่งรัตน เป็นอนุสรณ์ 90 พรรษา’ และโปรดเกล้าฯ ให้ขนานพระนามว่า ‘พระหยกเชียงราย’ ต่อมาคณะสงฆ์และประชาชนชาวจังหวัดเชียงราย ได้อัญเชิญองค์พระไปประดิษฐาน ณ วัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ในปีเดียวกัน

จะเห็นว่าเมืองไทยของเรามีพระแก้วที่พระวรกายเป็นสีเขียวหลายองค์ ในลำดับต่อไปก็มาถึงพระแก้วที่มีพระวรกายเป็นเฉดขาวทั้งที่ใสดุจแก้ว องค์พระแก้วที่มีไหมทองเป็นลายในองค์พระและองค์ที่ขาวเย็นเพราะสลักจากศิลาขาว ดังนี้ครับ 

พระเสตังคมณี

องค์ที่ ๕ ‘พระเสตังคมณี’ หรือ ‘พระแก้วขาว’ ประดิษฐานภายในพระวิหาร วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ สลักจากแก้วสีขาวใส ปางมารวิชัย ศิลปะสกุลช่างละโว้ ‘เสตังคมณี’ มาจากคำว่า ‘เสต’ แปลว่า ขาว กับคำว่า ‘มณี’ แปลว่า แก้ว คือ ‘พระแก้วขาว’ อย่างตรงตัว องค์พระใสสะอาด พระเศียรหุ้มด้วยทองคำ ประทับนั่งบนแท่นไม้จันทน์หุ้มแผ่นทองคำ ใต้ฐานจารึกว่า “เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ พระเจ้าอินทวิไชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระราชบิดาของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี พร้อมด้วยเจ้าแม่ทิพยเกสรและราชบุตร ราชธิดาสร้างถวายแด่พระเสตังคมณี” 

ตามตำนานเล่าว่า องค์พระแก้วขาวนั้นเมื่อแรกสร้างนั้น พระอรหันตเจ้าไปขอ ‘แก้วบุษยรัตน์’ มาจาก ‘จันเทวบุตร’ หาช่างสร้างพระไม่ได้ จนพระอินทร์ต้องมีโองการสั่งพระวิษณุกรรมมาเนรมิตสร้างจนเป็นองค์พระอันงดงามและประดิษฐานที่ละโว้เป็นแห่งแรก 

ต่อมาพระนางจามเทวีซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้จะมาครองหริภุญไชย จึงได้ทูลฯ ขอพระแก้วขาวมาประดิษฐานที่เมืองหริภุญไชยเพื่อเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์และสถิตอยู่ ณ หริภุญไชยเป็นเวลาหลายร้อยปี ก่อนที่พญามังราย ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์มังรายผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนา ยกทัพมาเอาชนะหริภุญไชย โดยมีพระราชศรัทธาพระแก้วขาวเป็นอย่างมาก จึงได้อัญเชิญพระแก้วขาวมาประดิษฐานไว้ ณ ที่ประทับส่วนพระองค์ 

ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงได้สร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นเป็นราชธานีในปี พ.ศ.๑๘๓๙ จึงได้อัญเชิญพระแก้วขาวมาประดิษฐานในพระราชฐานของพระองค์กระทั่งพระองค์สวรรคตพระแก้วขาวก็ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ ณ วัดเชียงมั่นในเมืองเชียงใหม่ตลอดมากว่า ๗๐๐ ปี 

พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย

องค์ที่ ๖ ‘พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย’ หรือ ‘พระแก้วผลึก’ ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านนา ปางสมาธิ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง มีเพียงเรื่องเล่าว่า มีผู้นำไปซ่อนไว้ในถ้ำเขาวัดส้มป่อย นครจำปาศักดิ์ ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง 

ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนปลายมีพราน ๒ คน ไปพบ แล้วเชื่อว่าเป็นเทวรูปที่ให้คุณ จึงได้อัญเชิญองค์พระมาเก็บรักษาไว้ที่บ้าน แต่ระหว่างที่อัญเชิญองค์พระมานั้นพระกรรณเบื้องขวาไปกระทบคันหน้าไม้บิ่นไปเล็กน้อย ในสมัย ‘เจ้าไชยกุมาร’ ครองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองประเทศราชของไทย ได้ทราบข่าวเรื่อง ๒ พรานมีพระพุทธรูปแก้วผลึกใส พุทธลักษณะงดงาม จึงได้นำมารักษาไว้ที่นครจำปาศักดิ์ จนมาถึงสมัย ‘เจ้าพระวิไชยราชขัตติยวงศา’ เจ้านครจำปาศักดิ์องค์ใหม่ ได้ย้ายนครจำปาศักดิ์มาตั้งทางอีกฝั่งของแม่น้ำโขง 

จนในปี ๒๓๕๔ พระองค์ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ จึงโปรดฯ ให้ข้าหลวงไปปลงพระศพ ข้าหลวงได้ไปเห็นองค์พระแก้วผลึก ว่าเป็นพระพุทธรูปแก้วผลึกสีขาวงดงาม ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน จึงได้มีใบบอกนำความกราบบังคมทูลฯ ถวายพระแก้วผลึก แล้วจึงอัญเชิญมายังกรุงเทพฯ โดยมีงานสมโภชมาตลอดทาง เมื่อถึงกรุงเทพฯ รัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้ประชุมช่างจัดหาเนื้อแก้วผลึกเหมือนองค์พระ เจียระไนแก้วติดปลายพระกรรณขวาที่แตกชำรุดให้สมบูรณ์ และขัดชำระองค์พระให้เป็นเงางามเสมอกัน รับสั่งให้ทำเครื่องทรงอย่างงดงาม แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในหอพระสุราลัยพิมาน ทรงสักการะบูชาวันละสองเวลา เช้า-ค่ำ ไม่มีขาด

ว่ากันว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ หลังจากเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเบญจาตั้งบุษบกสูงเพื่อประดิษฐานแก้วมรกตเป็นการถาวรแล้วเสร็จ ครั้นเมื่อมีงานพระราชพิธีใหญ่ต่าง ๆ ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วผลึกตั้งเป็นประธานในพิธีแทนมาจนตลอดรัชสมัยของพระองค์ 

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ช่างทำเครื่องประดับองค์พระและฐานพระพุทธรูปใหม่ พร้อมทั้งฉัตรกลางและซ้าย ขวา แล้วตั้งการฉลองสมโภชในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และถวายพระนามพระแก้วผลึกนี้ว่า ‘พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย’

พระแก้วน้ำค้าง

องค์ที่ ๗ ‘พระแก้วน้ำค้าง’ ประดิษฐานอยู่ ณ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น สลักจากแก้วหินเขี้ยวหนุมาน หรือ ‘แก้วขาวน้ำบุษย์’ ลักษณะ ‘ใส’ ไม่มีมลทิน บางตำราเรียกองค์ท่านว่า ‘พระแก้วขาวบุษย์น้ำค้าง’ คำว่า ‘แก้ว’ ในที่นี้หมายถึง ‘หินกึ่งมีค่า’ หรือ ‘อัญมณี’ ไม่ใช่แก้วที่เกิดจากการหลอมทรายอย่างที่เรียกว่า ‘แก้วประสาน’ ส่วนบนขององค์พระช่วงพระเกศาทำจากทองคำครอบพระเศียรไว้ ฐานทองคำลงยาราชาวดี เชื่อกันว่าแก้วน้ำค้างจะนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ผู้ครอบครองและมีคุณวิเศษด้านปกป้องเภทภัยต่าง ๆ

พระพุทธบุษยรัตน์น้อย

องค์ที่ ๘ ‘พระพุทธบุษยรัตน์น้อย’ ประดิษฐานอยู่ที่ หอพระสุราลัยพิมาน ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง เป็นพระพุทธรูปแบบแก้วผลึกใส ศิลปะแบบล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐ ‘นายเพิ่ม’ ไพร่หลวงรักษาพระองค์ ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ โดยนำองค์พระมาจากพระนครศรีอยุธยา ซึ่งพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระราชดำรัสว่า "...เนื้อแก้วบริสุทธิ์ดี ลักษณะและส่วนสัดส่วนงามกว่า พระแก้วขนาดเดียวกันบรรดามี..."

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ กับพระรจนารังสรรค์ แก้พระพักตร์ให้งามขึ้นกว่าเดิมพร้อมทำฉัตรกับฐาน ก่อนจะทรงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานบนพระแท่นมณฑล ในพระราชพิธีตรุษในเดือนมีนาคม โดยทรงพระราชนิพนธ์ว่า  "...ในการพระราชพิธีใหญ่ ๆ จึงโปรดให้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนออกมา ตั้งเป็นประธานในพระราชพิธีแทนพระแก้วมรกต ส่วนพระสำหรับแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้พระนาคสวาดิเรือนแก้ว ซึ่งได้มาแต่เมืองเวียงจันทน์ ครั้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ใช้พระแก้วเชียงแสนเป็นพระของเดิม พระในแผ่นดินปัจจุบันนี้ใช้พระพุทธบุษยรัตนน้อย..." 

โดย ‘พระพุทธบุษยรัตน์น้อย’ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงถือว่าเป็นพระแก้วประจำรัชกาลพระองค์

พระพุทธสุวรรณโกศัยมัยมณี

องค์ที่ ๙ ‘พระพุทธสุวรรณโกสัยมัยมณี’ หรือ ‘พระแก้วไหมทอง’ ประดิษฐาน ณ วัดทุ่งสนุ่นรัตนาราม จ.กำแพงเพชร เป็นพระปางสมาธิที่แกะสลักจากหินไหมทองจากพม่า โดยพบหินไหมทองนี้ในปี พ.ศ.๒๕๕๖ เป็นพระที่แกะสลักจากหินไหมทององค์เดียวของไทย มีเส้นทองเดินทั่วองค์ ทรงเครื่องประดับตามแบบ ‘พระเสตังคมณี’ วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ เป็นศิลปะล้านนาผสมรัตนโกสินทร์ เมื่อแสงไฟกระทบองค์พระ จะเห็นเส้นไหมทองละเอียดเต็มองค์ ตามปกติทางวัดจะไม่ได้เปิดให้เข้าสักการะหรือเข้าชม จะอัญเชิญออกมาเฉพาะเทศกาลสำคัญ เช่น วันสงกรานต์

พระพุทธเทววิลาส

องค์ที่ ๑๐ ‘พระพุทธเทววิลาส’ หรือ ‘หลวงพ่อขาว’ ประดิษฐาน ณ วัดเทพธิดาราม กรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดเทพธิดารามขึ้นใน พ.ศ.๒๓๗๙ คำว่า ‘เทพธิดา’ หมายถึง ‘กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ’ หรือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าวิลาส พระราชธิดาองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ ๓ 

‘พระพุทธเทววิลาส’ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ศิลปะเชียงแสนสุโขทัย จำหลักจากศิลายวงสีขาวบริสุทธิ์ประดิษฐานอยู่บนเวชยันต์บุษบกไม้จำหลักลาย ปิดทองประดับกระจกเกรียบ อัญเชิญองค์พระมาจากพระบรมมหาราชวัง 

ทั้งนี้ไม่ปรากฏประวัติการสร้างหรือที่มา เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปรุ่นเดียวกับพระแก้วมรกต เดิมเรียกกันแต่เพียงว่า ‘หลวงพ่อขาว’ จนในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ถวายพระกฐิน จึงได้ทรงเฉลิมพระนามว่า ‘พระพุทธเทววิลาส’ ตามพระนามของ ‘สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าวิลาส กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ’ ในหนังสือราชเลขาธิการที่ รล.๐๐๐๒/๒๕๒๒ 

บทความในครั้งนี้อาจจะยาวสักหน่อย แต่ถ้าท่านผู้อ่านสนใจในเรื่องของพระแก้วอันมงคลของไทย คงจะไม่พลาดไปสักการะองค์พระแก้วที่ผมได้เรียบเรียงมาเพื่อร่วมเทิดพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ หรือ ๗๒ พรรษา ในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ นี้ กันนะครับ

‘โรม’ ขอบคุณ ‘กองทัพบก’ ประสานช่วยเหลือชาวโมร็อกโก 12 คน หลังถูกแก๊งสแกมเมอร์ลวงทำงานผิดกม. ในเมียวดี ประเทศเมียนมา

(5 ก.ค. 67) รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการช่วยเหลือชาวโมร็อกโก 12 คนที่ถูกแก๊งสแกมเมอร์ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา หลอกลวงและควบคุมตัวไว้ใช้แรงงาน โดยได้รับการปล่อยตัวออกมาอย่างปลอดภัยแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

รังสิมันต์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้รับการประสานจากสถานทูตโมร็อกโกประจำประเทศไทย ขอให้ช่วยเหลือชาวโมร็อกโกที่ถูกหลอกลวงไปทำงานสแกมเมอร์ในเมืองเมียวดี ทราบจำนวนคร่าว ๆ ว่ามีประมาณ 21 คน โดยหลังจากได้ทราบชื่อและเลขพาสปอร์ตของทุกคนแล้ว ตนจึงประสานไปยังกองทัพบกไทยเพื่อขอความช่วยเหลือ

หลังจากนั้น กองทัพบกได้พูดคุยกับเหยื่อ และพยายามเจรจากับกองกำลังติดอาวุธที่ควบคุมพื้นที่ที่แหล่งสแกมเมอร์แห่งนั้นตั้งอยู่ เพื่อขอให้กองกำลังดังกล่าวเจรจากับกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของสแกมเมอร์ให้ปล่อยตัวเหยื่อชาวโมร็อกโกที่ถูกหลอกไป จนสุดท้ายสามารถช่วยเหลือออกมาได้ในช่วงเช้าวันนี้จำนวน 12 คน โดยมีบางคนจ่ายเงินให้กับหัวหน้าแก๊งสแกมเมอร์เพื่อแลกกับการปล่อยตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนที่เหลือตัดสินใจอยู่ทำงานต่อ

รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ไม่เพียงแต่ชาวโมร็อกโกเท่านั้น แต่ยังมีคนไทยและคนต่างชาติอีกจำนวนมากที่ถูกหลอกลวงให้เข้าไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ในเมืองต่าง ๆ ของเมียนมาที่อยู่ติดกับชายแดนไทย จึงยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญเร่งด่วนของปัญหานี้ และจำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องมองปัญหานี้เป็นวาระระดับชาติได้แล้ว โดยต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มงวดเพื่อปกป้องประชาชนจากการถูกหลอกไปทำงาน ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และถูกขโมยทรัพย์สินจากการที่แก๊งสแกมเมอร์โทรศัพท์เข้ามาหลอกลวงคนในประเทศ

“ไม่ใช่แค่ชาวไทย ไม่ใช่แค่ชาวโมร็อกโก แต่มีคนทั่วโลกที่ถูกหลอกไปอยู่ตรงนั้น และมันไม่ใช่แค่การค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีการหลอกลวงเอาทรัพย์สินของคนไทย มีกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอีกมากมายอยู่ในบริเวณนั้น ผมคิดว่าประเทศไทยควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นวาระหลักระดับชาติ” รังสิมันต์กล่าว

รังสิมันต์กล่าวทิ้งท้ายว่า สุดท้ายนี้ตนต้องขอขอบคุณกองทัพบกไทยเป็นอย่างยิ่ง หากเรื่องนี้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพบก เราคงไม่สามารถช่วยเหลือชาวโมร็อกโกได้ การที่กองทัพบกได้เพียรพยายามและใช้เวลาในการเจรจาแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก จึงขอขอบคุณบุคลากรทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือครั้งนี้จากใจจริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top