Tuesday, 20 May 2025
TheStatesTimes

‘โจ ไบเดน’ ขอสู้ต่อ!! จะไม่ถอนตัวจากศึกชิงเก้าอี้ ‘ปธน.สหรัฐฯ’ หลังเผชิญแรงกดดัน ทันทีที่พ่ายแพ้การดีเบตครั้งแรกกับ ‘ทรัมป์’

(4 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน พยายามที่จะทำให้สมาชิกอาวุโสของพรรคเดโมแครตรวมถึงเจ้าหน้าที่ในการรณรงค์หาเสียงของเขาคลี่คลายความตื่นตระหนกลง หลังมีรายงานเป็นจำนวนมากที่ระบุว่าเขาควรพิจารณาถึงอนาคตในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังจากที่เขาประสบความพ่ายแพ้อย่างชัดเจนในการดีเบตครั้งแรกกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 

รายงานข่าวระบุว่า ไบเดนได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกับรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เพียงสองคนที่ทำเนียบขาว ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าแฮร์ริสอาจกลายเป็นผู้ที่จะมาลงชิงชัยแทนไบเดน ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้

หลังจากนั้นไบเดนและแฮร์ริสได้หารือทางโทรศัพท์ร่วมกับทีมรณรงค์หาเสียงของพรรคเดโมแครต ซึ่งไบเดนได้ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า เขาจะยังคงอยู่ในการแข่งขันต่อไป ขณะที่แฮร์ริสได้เน้นย้ำการสนับสนุนของเธอต่อไบเดนด้วยเช่นกัน

แหล่งข่าวเผยว่า ในระหว่างการหารือดังกล่าว ไบเดนยืนยันว่า “ผมคือผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ไม่มีใครสามารถที่จะบอกให้ผมออกไป และผมจะไม่ไปไหน”

จากนั้นได้มีการเผยแพร่ประโยคดังกล่าวซ้ำอีกในอีเมลที่ถูกส่งไปให้กับทีมรณรงค์หาเสียงหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยไบเดนระบุในอีเมลว่า “ผมขอพูดให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายว่าผมสามารถทำได้ ผมจะลงสมัครชิงตำแหน่งต่อไป และอยู่ในการแข่งขันนี้จนกว่ามันจะจบลง”

คำถามเกี่ยวกับความสามารถในการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ของไบเดนมีขึ้นทันทีที่จบการดีเบตกับทรัมป์ จากปฏิกิริยาตอบสนองของเขาที่ดูไม่มีประสิทธิภาพ แรงกดดันต่อไบเดนยิ่งเพิ่มมากขึ้นในอีกไม่กี่วันต่อมา หลังผลโพลจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าทรัมป์มีคะแนนนำไบเดนเพิ่มขึ้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม โพลของนิวยอร์กไทม์สชี้ว่า ทรัมป์มีคะแนนมากกว่าไบเดนถึง 6 จุด ขณะที่โพลที่เผยแพร่โดยซีบีเอสนิวชี้ให้เห็นว่า ทรัมป์มีคะแนนนำไบเดน 3 จุดในรัฐที่เป็นตัวบ่งชี้สำคัญ ขณะเดียวกันทรัมป์ยังมีคะแนนนำไบเดนทั่วประเทศอีกด้วย

‘สุริยะ’ ตั้งเป้ายกระดับ ‘ไทย’ สู่ศูนย์กลางการบินในอาเซียน พร้อมดันสนามบินไทยติด 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก

เมื่อวานนี้ (3 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานและกล่าวงาน Dinner Talk เนื่องในโอกาสครบรอบ 45 ปี การดำเนินงาน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) โดยมี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน โดยมี พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ประธานกรรมการ ทอท. นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ให้การต้อนรับ

นายสุริยะกล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ Thailand Vision โดยมุ่งพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน และตั้งเป้าประเทศไทยจะก้าวไปเป็นที่ 1 ของภูมิภาค โดยยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) นั้น รัฐบาลจะใช้ศักยภาพและทรัพยากรของประเทศไทยที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทุกด้านเพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจ เนื่องจากประเทศไทยมีขนาดพื้นที่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก แต่มีผู้เดินทางจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก

ด้านนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2567 (เดือนตุลาคม 2566-พฤษภาคม 2567) ฟื้นตัวจนเกือบจะเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยมีผู้โดยสารรวม 81.05 ล้านคน ฟื้นตัว 83.4% เมื่อเทียบกับช่วงปี 2562 (ก่อนเกิดโควิด-19) แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48.95 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 32.09 ล้านคน ฟื้นตัว 80% ขณะที่มีเที่ยวบินรวม 490,970 เที่ยวบิน ฟื้นตัว 80.9% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 274,410 เที่ยวบิน ฟื้นตัว 83.5% และเที่ยวบินภายในประเทศ 216,560 เที่ยวบิน ฟื้นตัว 77.9% โดยในอีก 5 ปี (ปี 2572) คาดว่าทั้ง 6 สนามบินจะมีผู้โดยสารประมาณ 170 ล้านคน และมีเที่ยวบินประมาณ 1 ล้านเที่ยวบิน และในอีก 10 ปี (ปี 2577) คาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 210 ล้านคน และมีเที่ยวบินประมาณ 1.2 ล้านเที่ยวบิน

นายกีรติกล่าวว่า ปัจจุบันปริมาณผู้โดยสารอินเดีย, ยุโรป และอเมริกา มีจำนวนสูงกว่าเมื่อปี 62 ไปแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวกลับมา แต่ยังรอผู้โดยสารจีน ซึ่งขณะนี้กลับมาประมาณ 65% เทียบจากก่อนโควิด ส่วนอีก 35% คาดว่าจะกลับมาในปี 68 ซึ่งจะทำให้ปริมาณผู้โดยสารในภาพรวมกลับมาที่ 140 ล้านคนต่อปีเท่ากับปี 62

นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพของสนามบินให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า ล้านคนต่อปี เพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน จึงต้องเร่งดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานให้มีความพร้อมรองรับการเดินทางในอนาคต โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่มีผู้โดยสารมาใช้บริการมากที่สุดกว่า 40 ล้านคน อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดโครงการส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก (East Expansion) คาดว่าจะเพิ่มพื้นที่รองรับผู้โดยสารได้อีก 81,000 ตารางเมตร และอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดให้บริการทางวิ่งเส้นที่ 3 ในช่วงเดือน ก.ย. 2567 ทำให้สามารถรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มขึ้น จาก 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง

ได้วางแผนดำเนินโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันตก (West Expansion) โครงการก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 2 (Satellite 2 : SAT-2) โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) และโครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 4 เมื่อทุกโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จคาดว่า ทสภ.จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี และรองรับเที่ยวบินได้ถึง 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง

นายกีรติกล่าวว่า “จากการดำเนินการของ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานเชียงใหม่ที่ผ่านมาในช่วงระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 66-30 มีนาคม 67 เทียบกับช่วงก่อนดำเนินการ (ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม 65-25 มีนาคม 66) สามารถบริหารจัดการเที่ยวบินได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยดอนเมืองสามารถเพิ่ม slot เที่ยวบินจากเดิม 50 เที่ยวบิน เป็น 57 เที่ยวบิน ทำให้ผู้โดยสารและเที่ยวบินเพิ่มขึ้น 12% รายได้เพิ่มขึ้น 520 ล้านบาท” 

“ส่วน ทภก.สามารถเพิ่ม slot เที่ยวบินจากเดิม 20 เที่ยวบิน เป็น 25 เที่ยวบิน ทำให้ผู้โดยสารและเที่ยวบินเพิ่มขึ้น 18% รายได้เพิ่มขึ้น 640 ล้านบาท และ ทชม.ซึ่งได้ขยายระยะเวลาในการเปิดให้บริการเป็น 24 ชั่วโมง ทำให้มีผู้โดยสารและเที่ยวบินเพิ่มขึ้น 5% และมีรายได้เพิ่มขึ้น 80 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าหากเปิดใช้งานทางวิ่งเส้นที่ 3 ทสภ.จะทำให้ในปี 68 มีเที่ยวบินเพิ่มเป็น 75 เที่ยวบิน มีรายได้ 4,718.24 ล้านบาท ปี 69 จะมีเที่ยวบิน 85 เที่ยวบิน มีรายได้ 8,561.54 ล้านบาท และปี 70 จะมีเที่ยวบิน 94 เที่ยวบิน และมีรายได้ 9,090.52 ล้านบาท” 

‘ผู้กำกับ 2475’ ชี้ คนธรรมดายังมีกฎหมายคุ้มครอง ฉะนั้น สถาบันฯ ที่เป็นเสาหลักของชาติก็ยิ่งจำเป็นต้องมีกฎหมายปกป้อง

📢ถามมา-ตอบไปกับ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’

🎤: คิดเห็นอย่างไรที่หลายฝ่ายมองว่า ม.112 ละเมิดสิทธิมนุษยชน?

🎥คุณวิวัธน์: สิทธิมนุษยชน ควรปกป้องผู้ถูกกระทำ ไม่ใช่ปกป้องผู้กระทำผิด พวกคุณมองสถาบันกษัตริย์ ก็เป็นปุถุชนใช่หรือไม่ ถ้าคุณมองว่า "ทุกคนเป็นคนเหมือนกัน" กษัตริย์ก็ต้องมีสิทธิมนุษยชนเช่นกัน ต้องได้รับการคุ้มครองจากการหมิ่นประมาทใส่ร้าย ไม่จริงหรือ 

แม้แต่คนธรรมดายังมีกฎหมายหมิ่นประมาทคุ้มครอง กษัตริย์ที่เป็นสถาบันความมั่นคงของประเทศ ก็จำเป็นต้องมี ยิ่งในตอนนี้ มีผู้ไม่หวังดีจากต่างประเทศคอยเผยแพร่ข่าวปลอมให้เด็ก ๆ หลงเชื่อ เพื่อให้ออกมาก่อม็อบต่อต้านสถาบันฯ จนเกิดความวุ่นวาย ทำให้ ม.112 เป็นสิ่งจำเป็นด้วยซ้ำ 

‘ผู้กำกับ 2475’ เผยมุมมองต่อ ‘ประชาธิปไตย’ ชี้!! ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ต้องจับตาดูนักการเมืองอย่างจริงจัง

📢ถามมา-ตอบไปกับ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’

🎤: มอง ‘ประชาธิปไตย’ เป็นอย่างไร?

🎥คุณวิวัธน์: ประชาธิปไตยคือพื้นที่ที่คนหลากหลายความคิด เข้ามาหาทางออกด้วยกัน จะเอาแต่ใจกันอย่างเดียวไม่ได้ เหมือนบทสรุปช่วงท้ายของแอนิเมชันที่เรายกพระราชดำรัสของ ร.๗ มา ว่าทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน อย่าเอาตัวเองเป็นใหญ่ ต้องลืมความขัดแย้งเพื่อชาติ

และผมอยากให้ประชาชนทำตัวให้สมกับเป็นเจ้านายนักการเมือง เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ต้องคอยจับตาดูนักการเมือง ไม่ว่าจะฝั่งไหน เพราะนักการเมืองคือคนที่ต้องทำงานรับใช้ประชาชน ถ้านักการเมืองที่เราเลือกมาทำไม่ดี เราก็ต้องคัดค้าน ไม่ใช่ว่าเห็นด้วยไปเสียทุกเรื่อง 

ทุกวันนี้ นักการเมืองที่ชอบ ทำอะไรผิด คนก็พร้อมจะแบก พร้อมจะแก้ตัวให้ แบบนี้นักการเมืองเลยได้ใจ ไม่ต้องเกรงใจประชาชน เพราะประชาชนคอยแบกตลอดเวลา

‘ผู้กำกับ 2475’ ชี้!! ใส่ร้าย-ดูหมิ่นสถาบัน ด้วยข้อมูลเท็จ ไม่มีทางที่จะไม่ผิด ม.112

📢ถามมา-ตอบไปกับ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’

🎤: แค่วิจารณ์แล้วต้องติดคุก มันเหมาะสมหรือไม่?

🎥คุณวิวัธน์: คุณเคยเห็นป้ายที่ใช้ถ้อยคำรุนแรง และปลุกระดมให้ล้มล้างสถาบันฯ ในม็อบหรือไม่ (สื่อตปท.ยอมรับว่ามี) นั่นคือผลของการหมิ่นประมาทใส่ร้ายสถาบันฯ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกคุณเรียกว่า ‘แค่วิจารณ์’ มีนักวิชาการมากมายที่วิจารณ์สถาบันตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่โดน 112 แต่การที่เอาเรื่องเท็จไปปลุกปั่นให้เกลียดชังสถาบันฯ จนออกมาก่อม็อบชูป้ายล้มล้างสถาบันฯ คุณก็ต้องได้รับโทษ สมเหตุสมผลอยู่แล้ว

ดังนั้น เรื่องอะไรที่คุณฟังคนนั้นคนนี้มา คุณไม่มีหลักฐาน พิสูจน์ไม่ได้ ถ้าคุณไม่มั่นใจว่าจริงหรือเท็จ คุณก็แค่อย่าเอาไปพูด ไปโพสต์ แต่ถ้าคุณเอาไปเผยแพร่ต่อ จนเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น คุณก็ต้องรับผลของการกระทำนั้น จะมาบอกว่าไม่ผิดไม่ได้

‘พี่เอ้’ ห่วง!! ‘เด็กไทย’ หลุดจากระบบการศึกษาทะลุ 1 ล้านคน หวั่น!! ‘คนขาดความรู้-ปัญหาสังคมลุกลาม-แข่งขันต่างชาติไม่ได้’

(4 ก.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ 'ดร.เอ้' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘วิกฤติแล้ว! ตื่นเถิด คนไทย’ เมื่อ ‘เด็กไทย หลุดจากโรงเรียน’ ทะลุ 1 ล้าน เราจะช่วยกันอย่างไรดี? โดยระบุว่า…

สถิตินี้น่ากลัวมาก ทั้งที่มีเด็ก ‘เกิดน้อยลง’ คือ ‘วิกฤติ’ ที่สุดแล้ว แต่ ‘ผู้นำ’ ยังละเลย ทั้งที่เป็นเรื่องที่น่าอันตราย ต่ออนาคตประเทศไทยอย่างที่สุดแล้ว มันจะส่งผลอย่างไรบ้าง ต่อประเทศไทยและสังคมไทย 

1. ‘ที่นั่งในมหาวิทยาลัย จะยิ่งว่างมากขึ้น’ 

เพราะเราส่งเด็กไทย ‘ไปไม่ถึง’ ชั้นมหาวิทยาลัย ถือเป็น ‘ความสูญเสีย’ ทั้งเสียโอกาสในการเสริมศักยภาพ ‘คนรุ่นใหม่’ และ เสียโอกาส ‘การลงทุน’ ที่รัฐทุ่มไปกับการพัฒนามหาวิทยาลัยทุกปี ๆ แต่มีเด็กเรียนน้อยลง 

ขณะที่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มุ่งเป้าส่งเด็ก เรียนไปถึงมหาวิทยาลัย ได้เกือบ 100% 

มาเลเซียก็ประกาศ ส่งเด็กเรียน ให้ถึงมหาวิทยาลัย อย่างน้อย 70% ขณะที่ประเทศไทยอาจมีเพียง 30% เท่านั้น! 

แบบนี้ ยิ่งนานวัน นอกจากไทย ‘แข่งขันไม่ได้’ ยังต้องเกิดเป็นภาระในการดูแล ‘พลเมืองด้อยโอกาส ข้ามรุ่น’ ซึ่งถือว่า น่ากลัวมาก 

2. ‘แรงงานทักษะต่ำเพิ่ม แรงงานทักษะสูงลด’

ส่งผลกระทบต่อ ‘เศรษฐกิจไทย’ รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ยิ่งกว่า ‘สึนามิ’ เพราะโลกยุคดิสรัปชั่น ไม่ได้แข่งที่ ‘ทำของถูก’ ไม่ได้แข่งกันที่ ‘ภาคการผลิตของพื้น ๆ ง่าย ๆ’ เท่านั้น แต่แข่งกันที่ ‘สินค้ามูลค่าสูง’ ที่ต้องใช้แรงงานทักษะระดับปัญญา มาเอาชนะกัน

ทุกวันนี้ ประเทศไทย ‘ตกหลุมลึก’ เรื่องการยกระดับทักษะพลเมือง การทำ ‘Upskill’ / ‘Reskill’ เป็นเพียง ‘วาทกรรม’ ให้มาผลาญงบประมาณ หาก ‘ผู้นำ’ ไม่ลงไปกำกับจริงจัง อาจทำให้ ‘อนาคตไทย หมดสภาพการแข่งขัน’ น่าห่วงที่สุด

3. ‘ปัญหาสังคมทุกเรื่อง กำลังตามมา’

เด็กไทย อยู่ในวัยเยาว์จนถึงวัยรุ่น ออกจากโรงเรียนก่อนเวลา ขาดการดูแล ทำให้สังคมไทยต้องเผชิญปัญหา ‘แม่วัยใส’ / ‘เด็กติดยาเสพติด’ / ‘เด็กติดการพนัน’ และ ‘สุขภาพทรุดโทรม’ เร็วกว่าคนที่มีความรู้มากกว่า

ปัญหาสังคมจากพลเมืองไม่มีความรู้ หรือเรียนน้อย จะเป็นปัญหาที่รัฐ ต้องมาตามแก้ไม่รู้จบ อันตรายมาก 

สาเหตุการ ‘ออกจากโรงเรียน’ มีหลายสาเหตุ ที่ต้องมาคิดวิเคราะห์ ด้วย ‘ข้อมูลรอบด้าน’ แม้ว่าสาเหตุใหญ่ อาจจะมาจาก ‘ความยากจน’ แต่ก็มีอีกหลายปัจจัย รุมเร้า เร่งให้ผู้ปกครอง ‘ยอมแพ้’ ไม่สู้ ไม่ส่งลูกเรียนต่อ 

‘ผู้นำ’ จึงต้องทำจริงจังเรื่อง ‘การพัฒนาคน’ ให้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด อย่าเพิกเฉย ปล่อยปัญหาให้หนักหนา ไม่เช่นนั้น ไม่นาน ไทยเราอาจซบเซา สู้เขาไม่ได้ น่าเสียดายครับ

‘ผู้เชี่ยวชาญด้านจีน’ เปิด 3 เหตุผล ปม ‘BYD’ ลดราคาถล่มทลาย ชี้!! เกิดจากปัจจัยนอกไทย ‘ผลิตล้นตลาด-อเมริกาขึ้นภาษี-ยุโรปไม่ซื้อ’

(4 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘MCOT News FM 100.5’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์จีน เปิด 3 เหตุผล BYD ลดราคาถล่ม ชี้เกิดจากปัจจัยนอกประเทศไทย

จากกรณีรถยนต์ไฟฟ้า BYD ประกาศลดราคาลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยรวมส่วนลดสูงสุดถึง 340,000 บาท จนสร้างความไม่พอใจให้ผู้บริโภคที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ กระทั่งมีการนัดรวมพลยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ สคบ. นั้น

ล่าสุด ผศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์จีน โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ถึงกรณีดังกล่าวระบุว่า เรื่อง BYD ลดราคานี้มันมีเหตุมาจากนอกประเทศไทย

1. จีน subsidize ผู้ผลิต EV แบบเว่อร์วังอลังการมากจึงมีการผลิตออกมาเกินความต้องการของตลาดไปมาก

2.อเมริกาขึ้นภาษี EV จีนแบบโหดและกะทันหันมาก

3.ยุโรปไม่ซื้อด้วยหลายสาเหตุ

การเอาสินค้ามา dump ที่ประเทศมหามิตรแล้ว dump ราคาเพื่อระบายสินค้าจึงเกิดขึ้น ดังนั้นผู้ซื้อรวมตัวกันไปต่อรองไม่น่าเป็นผล

ตำรวจ!! สแกน!! ‘พะงัน’ รวบต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิ หลังคนพื้นที่ร้องเรียน ‘เปิดร้านค้า-ขายของ-ขับรถเร่’ กันพรึ่บ

(4 ก.ค.67) พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.) สั่งการให้ พ.ต.ท.วินิจ บุญชิต สว.ส.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3 บูรณาการร่วมกับนายนพดล ขาวมะลิ นายอำเภอเกาะพะงัน , ผกก.สภ.เกาะพะงัน , สว.ตม.เกาะพะงัน หลังได้รับการร้องเรียนจากผู้นำท้องถิ่นว่ามีต่างด้าวลอบมาทำงานในพื้นที่ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ และได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาเป็นชาวเมียนมา และคนไทย รวม 7 ราย ข้อหา ‘เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ์จะทำได้ (ค้าขาย)’ และ ‘เป็นนายจ้างให้บุคคลต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิที่จะทำได้ (ค้าขาย)’ รวมถึง ‘เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต’ โดยมีทั้งเปิดร้านค้าขายข้าวราดแกง, ขายของหน้าร้านชำ, ขับรถเร่ขายของ, เปิดร้านขายน้ำชาพม่า และร้านขายหมากพลู พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เกาะพะงัน เพื่อดำเนินการตาม กฎหมายต่อไป

หนึ่งในชาวเมียนมาที่ถูกจับกุม กล่าวว่า ตนไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารที่ใช้แทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใด เนื่องจากลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านชายแดน จ.ระนอง โดยมีค่าใช้จ่าย 18,000 บาท ซึ่งมีนายหน้าชาวเมียนมาไม่ทราบชื่อเป็นผู้ช่วยเหลือลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ตนเข้ามาอยู่ในพื้นที่ อ.เกาะพะงัน เป็นเวลา 6 เดือนแล้ว

ด้านนายนพดล ขาวมะลิ นายอำเภอเกาะพะงัน กล่าวว่า มีประชาชนร้องเรียนว่ามีบาร์เบอร์ชื่อดังเข้ามาตัดผมอยู่ที่เกาะพะงัน ทางผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้สั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกับฝ่ายปกครอง ทำการตรวจสอบ แต่พบว่าไม่มี เป็นเพียงการเข้าใจผิด และตรวจสอบแล้วในพื้นที่เกาะพะงันไม่มีช่างตัดผมดังที่เป็นข่าวในพื้นที่แน่นอน จึงขอให้ประชาชนคำนึงถึงภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ก่อนจะแชร์ข่าวอะไรออกไป

สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ ส.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3 กวดขัน ควบคุมพฤติกรรมชาวต่างชาติและบุคคลต่างด้าว แรงงานข้ามชาติ แย่งอาชีพคนไทย และการกระทำความผิดในคดี 10 กลุ่มต้องห้าม ในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวและเป็นการป้องปราบกลุ่มแรงงานหรือนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแล้วแฝงตัวทำงานในพื้นที่

'เพจดัง' ชวนอ่าน!! 'อำนาจ การเมือง เรื่องลือ' ความจริงที่หายไปจากกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8

(4 ก.ค. 67) จากเพจ 'ฤๅ - Lue History' ได้โพสต์ข้อความถึงหนังสือเล่มใหม่ ในชื่อ 'อำนาจ การเมือง เรื่องลือ' - ความจริงที่หายไปจากกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ระบุว่า...

หนังสือเล่มนี้ ว่าด้วยเรื่องปริศนาเรื่องเอกของวงการประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ...

‘กรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8’

แม้ว่าในท้องตลาดจะมีหนังสือประเภทดังกล่าวอยู่จำนวนพอสมควร ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่เริ่มทยอยผลิตออกมาตั้งแต่เหตุการณ์สวรรคตบังเกิดขึ้นใหม่ ๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เนื่องจากกระแสเรื่องกรณีสวรรคตยังคงเป็นปริศนาและยังไม่เป็นที่ยุติโดยได้ง่าย ความกระหายใคร่อยากรู้ของประชาชนในประเด็นดังกล่าว จึงยังเป็นสิ่งที่ไม่เคยจางหายแม้นเหตุการณ์วิปโยคนี้จะล่วงเลยมากว่าชั่วอายุคนแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ดี หนังสือเหล่านี้จำกัดอยู่เพียงแค่การเล่าถึงรูปคดีและการอธิบายทฤษฎีเบื้องลึก/เบื้องหลัง ตามหลักฐานเดิม ๆ ที่ถูกนำมาตีความใหม่ ๆ โดยผู้เขียนเหล่านั้นจำนวนไม่น้อยต่างมีธงหรือทฤษฎีในใจในการเขียนชี้นำผู้อ่านให้เลือกเชื่อตามแต่เจตนาของผู้เขียนอยู่แล้ว

แน่นอนว่าจำนวนเกินกว่าครึ่งของหนังสือเหล่านี้หาใช่หนังสือในรูปแบบวิชาการ หากแต่เป็นการเล่าเรื่องแนวซุบซิบ คำแก้ตัว การรวมคำพิพากษาคดีและบทวิเคราะห์ หรืองานเขียนกึ่งสารคดีทางการเมือง อันมีการใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์รวมถึงกรอบทฤษฎีอย่างวิชาการน้อยมาก ทำให้ความก้าวหน้าในเรื่องกรณีสวรรคตไม่ปรากฏ ‘เป็นการพายเรือวนในอ่าง’ แต่เพียงเท่านั้น

ทางคณะผู้เขียนซึ่งเห็นตรงกัน จึงรู้สึกเบื่อหน่ายกับการใช้กรณีสวรรคต ซึ่งเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่จบไปแล้ว มาใช้ประโยชน์เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น การเผยแพร่ข่าวลือหรือการกล่าวหาอย่างไร้หลักฐานและไม่เป็นธรรมต่อบุคคลใด ๆ ก็ตามในเรื่องนี้โดยปราศจากข้อมูลที่ถูกต้อง

พฤติการณ์เช่นนี้คือ การกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ชาติ และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันการใช้กรณีสวรรคตมาปลุกระดมทางการเมือง เป็นการกระทำการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นแกนกลางของกรณีสวรรคตนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้คณะผู้เขียนเห็นว่าควรต้องยุติได้แล้ว

>> ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงถูกเขียนขึ้นมาด้วยเหตุข้างต้น คณะผู้เขียนตั้งใจจะฉายให้เห็นสภาพแวดล้อมทางการเมืองทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงเหตุการณ์และรายงานจากเอกสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับกรณีสวรรคตนับตั้งแต่ พ.ศ.2489-2500 และลงลึกไปถึงระดับจุลภาคว่ามีผู้ใดบ้างที่เกี่ยวข้องหรือเป็นผู้บงการการปล่อยข่าวลือดังกล่าว

โดยหนังสือเล่มนี้ได้เรียกเอาเอกสารชั้นต้นเท่าที่เสาะหาได้ล่าสุดในปัจจุบันมาทำการสอบปากคำอย่างละเอียดในทุก ๆ หน้ากระดาษและตัวอักษร เพื่อเค้นเอา ‘ความจริง’ ในเหตุการณ์ที่จบสิ้นไปนานแล้วออกมาให้มากที่สุด

และแน่นอน คณะผู้เขียนได้พยายามอย่างที่สุดที่จะสกัดเอาการเมืองออกไปจากความจริงแห่งยุคสมัยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

*** คณะผู้เขียนหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจทั่วไป ผู้ที่สนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย หรือเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยากทราบความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคตที่มีความเบื่อหน่ายกับการใช้ข่าวลือ เรื่องเท็จ หรือความเห็นทางการเมืองมาเขียนปะปนกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์

นอกจากนี้ หนังสือเล่มนี้หวังใจว่าจะเป็น ‘ก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่’ ในการจุดประกายสู่การนำไปต่อยอดทางวิชาการหรือวิพากษ์งานชิ้นนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อเติมเต็ม ‘ความจริง’ ที่ยังขาดตกบกพร่องในประเด็นนี้ต่อไป

จีรวุฒิ (อุไรรัตน์) บุญรัศมี, จิตรากร ตันโห และธงรบ
มิถุนายน 2567, หาดใหญ่ - พระนคร

เราจะอัปเดตความคืบหน้าของหนังสือเล่มนี้ให้ทราบเป็นระยะครับ

ช่วยเป็นกำลังใจ และร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของพวกเราได้ที่...
บัญชี. มูลนิธิสยามรีกอเดอ
ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 0398045898

ขอบคุณครับ

เชียงใหม่-อบจ.เชียงใหม่ จัดฟรีคอนเสิร์ต Chiang Mai Music Journey 3 และวิ่ง Twilight Run 2

วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดงานวิ่ง Twilight Run 2 กิจกรรมวิ่ง FUN RUN ในงาน Chiang Mai Music Journey 3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่จากชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจของท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านกีฬา และส่งเสริมให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกาย ให้มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัย โดยมีนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ พร้อมทั้งหัวหน้าส่วนราชการ และผู้เข้าร่วมวิ่งกว่า 5,000 คน เข้าร่วมกิจกรรม ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ 82 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า กิจกรรมวิ่งเพื่อสุขภาพ Twilight Run 2 เป็นกิจกรรมที่ดีเสริมสร้างพลานามัยที่แข็งแรงให้ทุกคน ทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในแต่ละครั้งที่จัดกิจกรรมก็มีประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมากและมากขึ้นทุกปี ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 5,000 คน แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวประสบความสำเร็จ และที่สำคัญ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ยังได้รังสรรค์พื้นที่กว่า 120 ไร่ของสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ให้เป็นแหล่งโอโซนหรือปอดของเมืองเชียงใหม่ ที่ทุกคนจะได้รับพลังงานธรรมชาติที่สะอาด สดชื่นและเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จัดงานเทศกาลดนตรีกลางสวน ครั้งที่ 3  Chiang Mai Music Journey 3 และงานวิ่ง Twilight Run 2 เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่

สำหรับกิจกรรมคอนเสิร์ตจัดภายใต้แนวคิด Rhythm In The Rain เมื่อสายฝนโปรยหล่น...เป็นเสียงดนตรี พบกับนักร้องและวงดนตรีชื่อดัง ได้แก่ PAUSE, LHAM SOMPHOL, BOWKYLION และ BODYSLAM งานนี้เข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

ส่วนงานวิ่ง Twilight Run 2  เป็นกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ระยะทางวิ่ง 5 กิโลเมตร บริเวณอ่างเก็บน้ำหนองเขียวและสนามด้านหลังศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่   หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่

นภาพร/เชียงใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top