Friday, 2 May 2025
TheStatesTimes

ตำรวจบุกทลายแก๊งฝุ่นแดง ลักลอบนำเข้าฝุ่นแร่ แปรรูปเป็นซิงค์ออกไซด์ส่งออก..ขายโกยกำไร!! ทิ้งมลพิษให้ไทย

(2 พ.ค. 68) เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปทส. บุกตรวจค้นบริษัท หัวจง อุตสาหกรรม จำกัด และบริษัท จินฮุ้ย นอนเฟอรัส เมทัล จำกัด จ.สมุทรสาคร หลังพบลักลอบนำเข้าฝุ่นแดงจากต่างประเทศ รับช่วงจากเครือข่ายชาติเดียวกัน ก่อนนำไปแปรรูปเป็นซิงค์ออกไซด์เพื่อส่งออกขายในราคาสูง ทิ้งไว้เพียงฝุ่นและมลพิษในประเทศไทย

แม้มีการเคลื่อนไหวหลบหนีล่วงหน้า ย้ายเอกสาร-คอมพิวเตอร์หนี แต่ไม่รอดการติดตามของเจ้าหน้าที่ที่ตามยึดของกลางได้ครบ ทั้งโทรศัพท์ เอกสารการเงิน คอมพิวเตอร์ และกล้องวงจรปิด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวนและดำเนินคดี

ทั้งนี้ ตำรวจเตือนโอกาสเปลี่ยนใจทำธุรกิจถูกต้องยังพอมี แต่หากยังดื้อดึงไม่เลิกพฤติกรรมผิดกฎหมาย ไม่ว่าใครก็เตรียมรับผลจากกระบวนการยุติธรรมได้เลย

นายกรัฐมนตรีคนใหม่แคนาดา ยืนยันจะไม่ทนกับกำแพงภาษีทรัมป์ ประกาศตัดสัมพันธ์เศรษฐกิจ-ความมั่นคงกับสหรัฐฯ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง

(2 พ.ค. 68) หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา แคนาดาได้แต่งตั้ง มาร์ก คาร์นีย์ เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ โดยเข้ารับตำแหน่งต่อจาก จัสติน ทรูโดว์ ที่ลาออกชั่วคราวเมื่อเดือนมีนาคม ก่อนมีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งพรรคเสรีนิยมยังสามารถรักษาคะแนนเสียงไว้ได้

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก คาร์นีย์ประกาศชัดว่า “ความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ ได้สิ้นสุดลงแล้ว” พร้อมเตรียมตอบโต้นโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของแคนาดา

สาเหตุหลักมาจากการที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนจากแคนาดา 25% อย่างถาวร พร้อมแสดงท่าทีว่าอยากให้แคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ ซึ่งคาร์นีย์มองว่าเป็นภัยต่ออธิปไตยและทรัพยากรของประเทศ

คาร์นีย์ยืนยันว่าแคนาดาจะปรับตัว สร้างอุตสาหกรรมใหม่ และกระจายความร่วมมือทางเศรษฐกิจไปยังประเทศอื่นแทนสหรัฐ พร้อมชูนโยบายปกป้องเอกราชทางเศรษฐกิจ และวางจุดยืนชัดเจนในการต่อต้านทรัมป์อย่างเปิดเผย

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์เชื่อว่าท่าทีแข็งกร้าวของคาร์นีย์มีผลต่อชัยชนะของพรรคเสรีนิยม และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนจาก “มิตรใกล้ชิด” ไปสู่ “คู่ขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการทูต” อย่างเต็มรูปแบบ

Microsoft รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 สุดแกร่ง กำไรโต 18% จากปีที่แล้ว…หลังหนุนด้วยเทคโนโลยีคลาวด์และ AI

(2 พ.ค. 68) ไมโครซอฟต์ (Microsoft) เผยผลประกอบการไตรมาสสามของปีงบการเงิน 2025 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม มีรายได้รวมอยู่ที่ 70.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

กำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวแตะ 25.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.6 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 18% ขณะที่กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 3.46 ดอลลาร์ และรายได้จากการดำเนินงานรวม 32 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16%

รายได้หลักยังมาจากกลุ่มธุรกิจ Productivity and Business Processes ที่ทำได้ 29.9 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10%, คลาวด์อัจฉริยะ (Intelligent Cloud) 26.8 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21% และกลุ่ม More Personal Computing ที่ 13.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6%

บริษัทระบุว่าได้จ่ายเงินคืนแก่ผู้ถือหุ้นในรูปแบบการซื้อคืนหุ้นและเงินปันผลรวม 9.7 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ และย้ำว่าการเติบโตของธุรกิจคลาวด์และ AI เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งการขยายตัวทางรายได้และประสิทธิภาพขององค์กร

สำหรับไมโครซอฟต์คลาวด์เพียงอย่างเดียวสร้างรายได้สูงถึง 42.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน ตอกย้ำบทบาทของเทคโนโลยีคลาวด์และ AI ในการขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่อย่างชัดเจน

‘อนุทิน’ ย้ำไม่เคยแม้แต่คิดแอบอ้างสถาบันฯ หลังถูกระบุในเอกสาร กอ.รมน. เป็นผู้แสวงหาผลประโยชน์

(2 พ.ค. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงที่กระทรวงมหาดไทย กรณีมีชื่อปรากฏในเอกสารประเมินภัยคุกคามด้านความมั่นคงของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งระบุว่าเป็นบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบัน โดยยืนยันว่าเพิ่งทราบเรื่องจากข่าว และยังไม่เคยเห็นเอกสารฉบับดังกล่าวด้วยตนเอง

อนุทินระบุว่า ตนในฐานะรองผู้อำนวยการ กอ.รมน. ซึ่งเป็นตำแหน่งตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังไม่เคยได้รับข้อมูลนี้ในการประชุม และจะขอเอกสารมาตรวจสอบให้ชัดเจน พร้อมย้ำว่าไม่เคยมีพฤติกรรมหรือความคิดที่จะแอบอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพราะไม่มีความจำเป็น และไม่มีเหตุผลใดที่จะทำเช่นนั้น

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวอีกว่า สำหรับตนแล้ว “แม้แต่คิดก็ไม่เคยคิด” ที่จะละเมิดหรือใช้สถาบันในทางไม่เหมาะสม พร้อมยืนยันว่าความจงรักภักดีต่อสถาบันอยู่ในสายเลือด และเป็นสิ่งที่ยึดมั่นมาตลอดชีวิตการทำงานในทางการเมืองและราชการ

ท้ายที่สุด นายอนุทินขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายว่า อย่านำเรื่องนี้ไปเชื่อมโยงหรือใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการทำงานของภาครัฐและสถาบันหลักของประเทศ

เอกสารลับโซเวียตยืนยัน ‘ฮิตเลอร์ตายจริง’ ในบังเกอร์ปี 1945 ปิดฉากทฤษฎีสมคบคิดเรื่องหลบหนีไป…อเมริกาใต้

(2 พ.ค. 68) เอกสารลับที่เพิ่งได้รับการปลดล็อกจากหน่วยความมั่นคงของรัสเซีย (FSB) เปิดเผยรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับช่วงเวลาสุดท้ายของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำเผด็จการนาซี ผู้จบชีวิตลงเมื่อ 30 เมษายน 1945 ที่บังเกอร์ในกรุงเบอร์ลิน ระหว่างการล้อมของกองทัพโซเวียต

คำให้การของไฮนซ์ ลิงเงอ (Heinz Linge) ผู้ช่วยส่วนตัว และอ็อตโต กุนเชอ (Otto Günsche) เจ้าหน้าที่ใกล้ชิดฮิตเลอร์ ที่ถูกกองทัพแดงจับตัวไว้ ถูกใช้เป็นหลักฐานสำคัญในเอกสาร โดยทั้งคู่ระบุว่าฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายด้วยกระสุนปืนที่ศีรษะ ขณะที่อีวา บราวน์ ภรรยา ใช้ไซยาไนด์ก่อนถูกเผาร่างร่วมกันในสวนใกล้บังเกอร์

เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเอกสารระบุว่า ฮิตเลอร์ตัดสินใจจบชีวิตเพราะมองว่าการสู้รบต่อไปเป็นเรื่องไร้ความหมาย และเขา “หวาดกลัวจะถูกจับขณะพยายามหลบหนี” โดยยังเน้นย้ำว่าฮิตเลอร์ในร่างที่ไร้ลมหายใจ “ไม่ใช่ตัวปลอม” เพราะไม่สามารถออกจากสถานที่ได้โดยไม่ถูกเห็น

แม้ในช่วงหลังสงครามจะมีข่าวลือว่าฮิตเลอร์หลบหนีไปอเมริกาใต้ รวมถึงการแพร่ภาพปลอมในปี 1955 ที่อ้างว่าเขาปรากฏตัวในอาร์เจนตินา แต่หลักฐานซากฟันและขากรรไกรของเขาที่ถูกตรวจสอบโดยนักนิติเวช ฟิลิปป์ ชาร์ลิเยร์ (Philippe Charlier) ในปี 2017 ตรงกับภาพเอกซเรย์ของฮิตเลอร์เมื่อปี 1944

คำให้การของลิงเงอยังเล่ารายละเอียดการเผาร่าง โดยระบุว่ากระป๋องน้ำมันเบนซินสามใบถูกเทลงบนศพก่อนจุดไฟ โดยมีมาร์ติน บอร์มันน์ (Martin Ludwig Bormann) เป็นผู้เตรียมการไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ร่างของผู้นำเยอรมันตกไปอยู่ในมือศัตรู

แม้ลิงเงอและกุนเชอจะเคยเปลี่ยนคำให้การภายหลัง แต่เอกสารล่าสุดจาก FSB ยืนยันว่าฮิตเลอร์เสียชีวิตจริงในเบอร์ลินช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 และการตรวจสอบพยานหลักฐานทางชีวภาพได้ยุติข้อสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี

ผบ.ศูนย์ฝึกทหารใหม่ฯ รับเจ้ากรมข่าวทหารเรือ และ 15 ผู้ช่วยทูตทหาร เยี่ยมชมหน่วย 

ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ต้อนรับคณะ เจ้ากรมข่าวทหารเรือ พร้อมด้วยคณะผู้ช่วยทูตทหาร 15 ประเทศ ในโอกาสเยี่ยมชมหน่วย เพื่อสร้างการรับรู้การบริหารจัดการในการฝึกทหารกองประจำการ น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) ต้อนรับ พล.ร.ท.พิบูลย์ พีรชัยเดโช เจ้ากรมข่าวทหารเรือ และคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ/กรุงเทพฯ ที่มีถิ่นพำนักในต่างประเทศ ในการเข้าเยี่ยมชมหน่วย ณ ศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โดย กรมข่าวทหารเรือ กำหนดจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือ กับผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศฯ ประจำปี งบประมาณ 2568 (MAC-T Tour 2025) ระหว่างวันที่ 29 เม.ย.68 - 1 พ.ค.68 ในพื้นที่ภาคตะวันออก (จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง) โอกาสนี้ เพื่อให้การสร้างการรับรู้ภารกิจในการฝึกทหารกองประจำการของ กองทัพเรือ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่คณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศฯ ให้ความสนใจ 

เจ้ากรมข่าวทหารเรือ จึงได้นำคณะฯ เข้าเยี่ยมชมศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของกองทัพเรือ ที่มีภารกิจดำเนินการฝึกอบรม ให้การศึกษาและปกครองบังคับบัญชา ทหารกองประจำการ ปีงบประมาณละ 4 ผลัด ผลัดละ 3,000 นาย โดยมีระยะเวลาในการฝึกอบรม 8 สัปดาห์ต่อผลัด เพื่อเปลี่ยนแปลงทหารใหม่ จากพลเรือนให้มีลักษณะทางทหารและฝึกอบรมความรู้ที่สำคัญประกอบด้วย วิชาทหารราบ ตามคู่มือแบบฝึกพระราชทาน โรงเรียนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ (รร.ทม.รอ.) , วิชาชีพทหารเรือทั่วไป เช่น การอาวุธ , การผูกเชือก , การตีกระเชียงเรือ และการฝึกป้องกันความเสียหาย เพื่อสร้างความเป็นทหาร ความเป็นชาวเรือ 

นอกจากนี้ ยังมีการฝึกอบรมด้านอาชีพเพิ่มเติม เช่น ศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ตลอดจน การแนะแนวการมีอาชีพจากคณะกรรมการพัฒนาอาชีพทหารกองประจำการ กองทัพเรือ เพื่อเป็นแนวทางในการอบรมอาชีพที่ทหารใหม่สนใจ ก่อนปลดประจำการ

การเยี่ยมชมครั้งนี้ เป็นไปตาม นโยบาย ผบ.ทร. ประจำปี งป.68 นโยบายหลัก ด้านยุทธการและการฝึก เสริมสร้างความร่วมมือและริเริ่มการสร้างกลไกการประสานงานร่วมกัน ระหว่างกองทัพเรือและหน่วยงานความมั่นคงทางทะเล และ ภาคเอกชน

‘ดร.ธนกฤต’ เผยโรงพยาบาลยอมรับให้เลือดผิดกรุ๊ป กรณีเหยื่อถูกปูนพระราม 2 หล่นทับ เสียชีวิต!!

(2 พ.ค. 68) นายกองตรี ดร. ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการเสียชีวิตของนายอำนาจ ทองขำ อายุ 46 ปี ซึ่งถูกก้อนปูนตกใส่รถขณะขับผ่านบนถนนพระราม 2 โดยระบุว่า โรงพยาบาลแห่งแรกที่รับตัวผู้บาดเจ็บได้ยอมรับว่าเกิดความผิดพลาดในการให้เลือดผิดกรุ๊ป

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบริเวณ กม.27+500 ขาออกกรุงเทพฯ เขตอำเภอเมืองสมุทรสาคร ส่งผลให้นายอำนาจได้รับบาดเจ็บสาหัส ตับฉีก และเสียเลือดมาก เบื้องต้นโรงพยาบาลควรให้เลือดกรุ๊ปโอ ซึ่งใช้ได้กับทุกกรุ๊ป แต่เนื่องจากขาดแคลน จึงเลือกใช้เลือดกรุ๊ปบีที่ตรงกับข้อมูลของผู้ป่วย ทว่าเมื่อส่งตรวจกลับพบว่าเลือดในร่างกายเป็นกรุ๊ปเอ

ความคลาดเคลื่อนดังกล่าวทำให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตสงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุในการเสียชีวิต ซึ่งทางกระทรวงฯ ระบุว่าจะตรวจสอบอย่างละเอียด โดยแยกพิจารณาประเด็นการเยียวยาเป็นสองส่วน ได้แก่ เรื่องก้อนปูนตกลงมา และความผิดพลาดของโรงพยาบาล

ทั้งนี้ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการหรือมาตรการเยียวยาจะมีการรายงานต่อสาธารณชนอีกครั้งในลำดับถัดไป

‘The Mandela Rules’ เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ สำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ส่งผลอย่างมาก!! ต่อนโยบาย และแนวปฏิบัติ เกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลก

องค์การสหประชาชาติ (UN) ให้ความสำคัญกับความทุกข์ยากของนักโทษและความรับผิดชอบที่ซับซ้อนของเจ้าหน้าที่เรือนจำมาโดยตลอด ดังนั้นในปี 1955 ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติจึงได้นำกฎเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners: SMRs) มาใช้ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งแรกว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการจัดการสถานที่ในเรือนจำและการปฏิบัติต่อนักโทษมาเป็นเวลากว่า 60 ปี กฎเกณฑ์เหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนากฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลก

เมื่อกฎหมายระหว่างประเทศและความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางอาญาและสิทธิมนุษยชนได้รับการพัฒนา ประเทศสมาชิกสหประชาชาติก็ตระหนักว่ามาตรฐานการลงโทษจะได้รับประโยชน์จากการทบทวน ในปี 2011 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้จัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลขึ้นเพื่อปรับปรุงมาตรฐานการลงโทษให้เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 โดยไม่ลดมาตรฐานที่มีอยู่ใด ๆ ตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปี 2015 ประเทศสมาชิกได้หารือเกี่ยวกับลักษณะและขอบเขตของการแก้ไขโดยได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องยังได้รับเชิญให้มีส่วนร่วมด้วย

หลังจากวิเคราะห์ความก้าวหน้าของกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ ศาสตร์ที่เกี่ยวกับการลงโทษ และแนวทางปฏิบัติด้านการบริหารจัดการเรือนจำที่ดีตั้งแต่ปี 1955 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญได้เสนอให้แก้ไขกฎเกณฑ์เดิมมากกว่าหนึ่งในสามในเก้าประเด็นหลัก ได้แก่ ศักดิ์ศรีของนักโทษในฐานะมนุษย์ กลุ่มนักโทษที่เปราะบาง บริการด้านการดูแลสุขภาพ ข้อจำกัด วินัย และการลงโทษ การสืบสวนการเสียชีวิตและการทรมานในระหว่างการควบคุมตัว การเข้าถึงตัวแทนทางกฎหมายของนักโทษ การร้องเรียนและการตรวจสอบ การอบรมเจ้าหน้าที่เรือนจำ และคำศัพท์ที่ต้องปรับปรุง ในเดือนธันวาคม 2015 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติเห็นชอบเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติที่แก้ไขใหม่สำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ โดยเกณฑ์ดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อว่า 'The Mandela Rules' เพื่อเป็นเกียรติแก่ 'Nelson Mandela' อดีตประธานาธิบดีแห่งแอฟริกาใต้ ซึ่งเคยถูกจำคุกเป็นเวลา 27 ปีเนื่องจากการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน

'The Mandela Rules' เป็น 'Soft law (กฎหมายอ่อน)' ซึ่งหมายความว่าข้อกำหนดนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย กฎหมายของประเทศมีอำนาจเหนือกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อกำหนดเหล่านี้ไม่มีความสำคัญ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติซึ่งเป็นตัวแทนของชุมชนระหว่างประเทศได้นำข้อกำหนดเหล่านี้มาใช้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ตกลงกันโดยสากล ประเทศสมาชิกสหประชาชาติจำนวนมากได้นำบทบัญญัติของข้อกำหนดเหล่านี้มาใช้ในกฎหมายในประเทศของตนหรืออยู่ระหว่างดำเนินการ นอกจากนี้ ฝ่ายตุลาการในประเทศนั้น ๆ อาจใช้ข้อกำหนดเหล่านี้เป็นแหล่งข้อมูลรองเมื่อตัดสินว่าแนวทางปฏิบัติในเรือนจำของประเทศนั้นถูกต้องตามธรรมนูญดังกล่าวหรือไม่

“The Mandela Rules” เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษได้รับการรับรองโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2015 หลังจากผ่านกระบวนการแก้ไขเป็นเวลา 5 ปี ประกอบด้วย "ข้อกำหนด" 122 ข้อ ซึ่งไม่ใช่ข้อกำหนดทั้งหมด บางข้อเป็นหลักการ เช่น ความเท่าเทียมกันในสถาบันและปรัชญาของการกักขัง ข้อกำหนดดังกล่าวได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 1955 ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดจัดขึ้นที่เจนีวาและได้รับการอนุมัติโดยคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาติในมติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1957 และ 13 พฤษภาคม 1977

ตั้งแต่คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมได้รับรองเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners : SMR) ในปี 1957 เป็นต้นมา เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษก็ได้กลายมาเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ แม้ว่าเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่มีข้อผูกมัดทางข้อกำหนดหมาย แต่เกณฑ์ดังกล่าวก็มีความสำคัญทั่วโลกในฐานะแหล่งข้อมูลสำหรับข้อกำหนดหมายระดับชาติที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการบริหารจัดการเรือนจำตามกฎหมายระหว่างประเทศและในประเทศสำหรับพลเมืองที่ถูกคุมขังในเรือนจำและการควบคุมตัวในรูปแบบอื่น ๆ หลักการพื้นฐานที่อธิบายไว้ในมาตรฐานดังกล่าวคือ "จะต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นอื่น ๆ ชาติกำเนิดหรือสังคม ทรัพย์สิน การเกิดหรือสถานะอื่น ๆ"

ภาคที่ 1 ประกอบด้วยเกณฑ์การใช้ทั่วไป ประกอบด้วยมาตรฐานที่กำหนดว่าอะไรเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีในการปฏิบัติต่อนักโทษและการจัดการสถาบันเรือนจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ: มาตรฐานขั้นต่ำของที่พัก (ข้อกำหนดข้อที่ 12 ถึง 17); สุขอนามัย ส่วนบุคคล (18); เครื่องแบบและเครื่องนอน* (19 ถึง 21); อาหาร (22); การออกกำลังกาย (23); บริการทางการแพทย์ (24 ถึง 35); วินัยและการลงโทษ (36 ถึง 46); การใช้เครื่องมือควบคุม (47 ถึง 49); การร้องเรียน (54 ถึง 57); การติดต่อกับโลกภายนอก (58 ถึง 63); ความพร้อมของหนังสือ (64); ศาสนา (65 และ 66); การยึดทรัพย์สินของนักโทษ (67); การแจ้งการเสียชีวิต การเจ็บป่วย การย้าย (68 ถึง 70); การเคลื่อนย้ายนักโทษ (73); คุณภาพและการฝึกอบรมของเจ้าหน้าที่เรือนจำ (74 ถึง 82); และการตรวจสอบเรือนจำ (83 ถึง 85)

*เครื่องแบบนักโทษคือชุดเสื้อผ้ามาตรฐานที่นักโทษสวมใส่ โดยทั่วไปจะประกอบด้วยเสื้อผ้าที่มองเห็นได้ชัดเจนเพื่อบ่งบอกว่าผู้สวมใส่เป็นนักโทษ โดยแตกต่างจากเสื้อผ้าของทางการอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ระบุตัวนักโทษได้ทันที จำกัดความเสี่ยงผ่านวัตถุที่ซ่อนอยู่ และป้องกันการบาดเจ็บผ่านวัตถุที่สวมบนเสื้อผ้าที่ไม่ได้ระบุตัวตน เครื่องแบบนักโทษยังสามารถทำลายความพยายามหลบหนีได้ เพราะเครื่องแบบนักโทษโดยทั่วไปใช้การออกแบบและรูปแบบสีที่สังเกตเห็นและระบุได้ง่ายแม้จะอยู่ห่างไกลออกไป การสวมเครื่องแบบนักโทษมักจะทำอย่างไม่เต็มใจและมักถูกมองว่าเป็นการตีตราและละเมิดอำนาจการตัดสินใจของตนเอง โดยในกฎข้อที่ 19 กำหนดว่า 
- ผู้ต้องขังทุกคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตนเอง จะต้องได้รับชุดเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและเพียงพอที่จะรักษาสุขภาพที่ดี เสื้อผ้าดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือทำให้ผู้อื่นอับอายแต่อย่างใด
- เสื้อผ้าทั้งหมดต้องสะอาดและอยู่ในสภาพที่เหมาะสม เสื้อผ้าชั้นในจะต้องเปลี่ยนและซักบ่อยเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาสุขอนามัย
- ในสถานการณ์พิเศษ เมื่อใดก็ตามที่นักโทษถูกนำตัวออกไปนอกเรือนจำเพื่อวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต นักโทษจะได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตนเองหรือเสื้อผ้าที่ไม่สะดุดตาอื่น ๆ

ภาคที่ 2 ประกอบด้วยเกณฑ์ที่บังคับใช้กับนักโทษประเภทต่างๆ รวมถึงนักโทษที่ถูกพิพากษาโทษ มีหลักเกณฑ์หลายประการ (ข้อกำหนดข้อที่ 86 ถึง 90) การปฏิบัติ (การฟื้นฟู) นักโทษ (91 และ 92) การจำแนกประเภทและการทำให้เป็นรายบุคคล (93 และ 94) สิทธิพิเศษ (95) การทำงาน[ 4 ] (96 ถึง 103) การศึกษาและการพักผ่อนหย่อนใจ (104 และ 105) ความสัมพันธ์ทางสังคมและการดูแลภายหลัง (106 ถึง 108) ภาคที่ 2 ยังมีเกณฑ์สำหรับนักโทษที่ถูกจับกุมหรืออยู่ระหว่างรอการพิจารณาคดี (โดยทั่วไปเรียกว่า "การพิจารณาคดีระหว่างพิจารณาคดี") เกณฑ์สำหรับนักโทษทางแพ่ง (สำหรับประเทศที่ข้อกำหนดหมายท้องถิ่นอนุญาตให้จำคุกเนื่องจากหนี้สิน หรือตามคำสั่งศาลสำหรับกระบวนการที่ไม่ใช่ทางอาญาอื่นๆ) และเกณฑ์สำหรับบุคคลที่ถูกจับกุมหรือคุมขังโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา

ในปี 2010 สมัชชาใหญ่ได้ขอให้คณะกรรมาธิการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญาจัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลที่เปิดกว้างเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้านเรือนจำและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ใด ๆ จะไม่ส่งผลให้มาตรฐานที่มีอยู่ลดลง สมัชชาใหญ่ยังได้เน้นย้ำถึงหลักการหลายประการที่ควรเป็นแนวทางสำหรับกระบวนการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง รวมถึง (ก) การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์มาตรฐานใดๆ ไม่ควรทำให้มาตรฐานที่มีอยู่ลดลง แต่ควรปรับปรุงเกณฑ์เพื่อให้สะท้อนถึงความก้าวหน้าของศาสตร์ด้านการบริหารขัดการเรือนจำ และแนวทางปฏิบัติที่ดีเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย ความมั่นคง และสภาพความเป็นมนุษย์ของนักโทษ และ (ข) กระบวนการแก้ไขควรคงขอบเขตการใช้เกณฑ์มาตรฐานที่มีอยู่สำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ และยังคงคำนึงถึงความแตกต่างทางสังคม ข้อกำหนดหมาย และวัฒนธรรม ตลอดจนภาระผูกพันด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศสมาชิก

ในเดือนธันวาคม 2015 สมัชชาใหญ่ได้มีมติเห็นชอบมติ 70/175 เรื่อง "ข้อกำหนดขั้นต่ำมาตรฐานของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (“The Mandela Rules”) การอ้างอิงนี้ไม่เพียงแต่เพื่อรับทราบถึงการสนับสนุนอย่างสำคัญของแอฟริกาใต้ต่อกระบวนการแก้ไขเท่านั้น แต่ยังเพื่อเป็นเกียรติแก่“Nelson Mandela” ผู้ซึ่งใช้เวลา 27 ปีในเรือนจำระหว่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ ดังนั้น สมัชชาใหญ่จึงได้ตัดสินใจขยายขอบเขตของ “วัน Nelson Mandela สากล” (18 กรกฎาคม) เพื่อใช้เพื่อส่งเสริมสภาพการจำคุกในเรือนจำอย่างมีมนุษยธรรม เพื่อสร้างความตระหนักรู้ว่านักโทษเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเพื่อให้เห็นคุณค่าของการทำงานของเจ้าหน้าที่เรือนจำในฐานะบริการสังคมที่มีความสำคัญ

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2568

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล
✨ประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2568

🟢รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท : 213388

🔴รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท : 213387 213389

🔴รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท : 826 116

🔴รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท : 167 662

🔴รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท :06

‘รศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา’ ชูบทบาทภาคเอกชนในเวทีประชุมคณะกรรมการ AI แห่งชาติ หนุนไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียน เสนอแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยปัญญาประดิษฐ์ระยะ 2 ปี

เมื่อวานนี้ (1 พ.ค. 68) ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 1/2568 โดยมี รศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ตัวแทนจากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเข้าร่วมประชุม เพื่อรายงานผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาและเสนอแนวทางขับเคลื่อนแผนระยะถัดไป

ที่ประชุมได้สรุปความก้าวหน้าของแผนปี 2566-2567 ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดสู่แผนระยะยาว โดยครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การจัดทำกรอบจริยธรรมและศูนย์ธรรมาภิบาล AI การเปิดใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ LANTA เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างทั่วถึง การผลักดันหลักสูตร AI ในทุกระดับการศึกษา และความร่วมมือด้านวิจัย เช่น Medical AI ที่พัฒนาโดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์กว่า 2.2 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคหลัก

ในขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังรายงานความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมของไทยเพื่อเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับโลก 'UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025' ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติด้านนโยบาย AI โดยคาดว่าจะช่วยยกระดับบทบาทของไทยในเวทีนานาชาติในฐานะผู้นำด้านจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ และส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศในเชิงบวก

จากพื้นฐานที่วางไว้ รัฐบาลจึงผลักดัน National AI Program ระยะ 2 ปี (2569–2570) โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้าน AI ในอาเซียน ผ่านการเร่งสร้างบุคลากรด้าน AI ให้ครบทั้ง 3 กลุ่มหลัก คือ AI User, AI Professional และ AI Developer พร้อมทั้งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส ที่เปิดให้นักพัฒนาใช้งานอย่างทั่วถึง

ภายใต้แผนนี้ ยังมีการกำหนดแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การแพทย์ การท่องเที่ยว และการเกษตร ด้วยการประยุกต์ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพบริการ และสร้างผลผลิตอย่างตรงเป้า โดยรัฐจะสนับสนุนโครงการผ่านมาตรการจูงใจและงบประมาณสนับสนุนอย่างชัดเจน

ท้ายที่สุด นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการของแผน พร้อมมอบหมายให้กระทรวง อว. และกระทรวงดีอี จัดทำกรอบงบประมาณและรายละเอียดโครงการเสนอในที่ประชุมครั้งต่อไป พร้อมเน้นให้ National AI Program ระยะ 2 ปี เป็นวาระแห่งชาติ เร่งเดินหน้าทุกมิติ ทั้งการพัฒนาทรัพยากรบุคคล โครงสร้างพื้นฐาน และการต่อยอด AI เชิงอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top