Saturday, 10 May 2025
TheStatesTimes

‘กรุงเทพคริสเตียน’ ทำถึง!! ออกบัตรนักเรียนใหม่ไฉไลกว่าเดิม รวมเทคโนโลยีการเงิน+การศึกษา ทำได้ยันวิเคราะห์ข้อมูลเส้นทางอาชีพ

รองผู้อำนวยการโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยเผยโฉมบัตรนักเรียน VISA ที่ผสานเทคโนโลยีทางการเงินและการศึกษา เสมือนมีกุญแจดิจิทัลเป็นของตัวเอง สามารถทำธุรกรรมภายในโรงเรียนได้ครบวงจร พร้อมติดตามการใช้จ่าย วิเคราะห์พฤติกรรมการกินและเชื่อมโยงข้อมูลกิจกรรม และความสนใจของนักเรียน ช่วยค้นหาเส้นทางอาชีพที่เหมาะสม

เมื่อวันที่ (9 มี.ค. 68) บนโซเชียลมีเดีย มีการแชร์โพสต์จากเฟซบุ๊ก Wichai Neung ของนายวิชัย สีสุด รองผู้อำนวยการโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (BCC) โพสต์ข้อความระบุว่า "โรงเรียนกำลังสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะโรงเรียนแห่งแรกในประเทศไทย ที่เปิดตัวบัตรนักเรียนที่มีสัญลักษณ์ VISA ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลก

จะเกิดอะไรขึ้น หากบัตรนักเรียนทำได้มากกว่าการเป็นแค่บัตรประจำตัว? เข้าสู่โลกนวัตกรรมใหม่แห่งการบริหารการศึกษาที่นักเรียนกรุงเทพคริสเตียนทุกคนมีกุญแจดิจิทัลเป็นของตัวเอง

บัตรนักเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยใบนี้ไม่ใช่แค่บัตรประจำตัว แต่คือนวัตกรรม ที่เกิดจากการผสานเทคโนโลยีทางการเงินและการศึกษา โดยได้รับความร่วมมือจากศิษย์เก่าของเราเอง - 'โอ๊ต 162' ผู้เชื่อมั่นในศักยภาพของการเรียนรู้ยุคใหม่ และจับมือร่วมกับ VISA เพื่อนำพาการศึกษาไทยก้าวสู่อนาคต

บัตรนี้ไม่ใช่แค่บัตรนักเรียนทั่วไป แต่เป็นผู้ช่วยส่วนบุคคล ที่สามารถติดตามการใช้จ่าย และช่วยเสริมสร้างความฉลาดรู้ทางการเงิน (Financial Literacy), วิเคราะห์พฤติกรรมการกิน และให้คำแนะนำด้านโภชนาการ และเชื่อมโยงข้อมูลกิจกรรม และความสนใจของนักเรียน เพื่อช่วยค้นหาเส้นทางอาชีพที่เหมาะสม โดยเก็บข้อมูลตั้งแต่ระดับประถม

บัตรนักเรียน BCC คือการปฏิวัติวงการการศึกษาไทยที่ผสานเทคโนโลยี Generative AI และ Data Analytics พร้อมยกระดับงานวิชาการโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยสู่แนวคิด 'การเรียนรู้แบบไร้รอยต่อ' (BCC SEAMLESS EDUCATION) ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

โปรเจกต์นี้ได้รับการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่านการวิจัยและพัฒนาของงานนโยบายและงานนวัตกรรมการศึกษามากว่า 3 ปี ทำให้นักเรียนตั้งแต่ระดับประถม 1-มัธยม 6 สามารถใช้บัตรนี้ทำธุรกรรมภายในโรงเรียนได้ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น แตะจ่ายค่าอาหารในโรงอาหาร แตะยืมหนังสือจากห้องสมุด แตะเช็กอินเข้าร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตร และยังไม่หยุดแค่นั้น...

อาหารทุกมื้อ ขนมทุกชิ้น เครื่องดื่ม ที่ซื้อในโรงอาหาร จะถูกบันทึกและนำมาวิเคราะห์ควบคู่กับข้อมูลสุขภาพของนักเรียน โดยใช้เทคโนโลยี BIA (Bioelectrical Impedance Analysis) ซึ่งช่วยให้เข้าใจแนวโน้มด้านพัฒนาการร่างกาย โภชนาการ และพฤติกรรมการบริโภค หนังสือที่ยืม ชมรมที่เข้าร่วม และกิจกรรมที่นักเรียนมีส่วนร่วมตั้งแต่ระดับประถมจะถูกบันทึกและประมวลผลเพื่อสร้างแผนการพัฒนานักเรียนรายบุคคล ผ่านโครงการ BCC Self Discovery Program ช่วยให้นักเรียนมัธยมต้นค้นพบเส้นทางอาชีพของตนเองอย่างแม่นยำ ก้าวไปไกลกว่าการวิเคราะห์ตามลายนิ้วมือที่ใช้ในปัจจุบัน

มากกว่าการใช้จ่าย คือการสร้างอิสรภาพทางการเงิน เมื่อบัตรนักเรียน BCC มาพร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสูงแบบไบโอเมตริกซ์ ซึ่งใช้มาตรฐานเดียวกับบัตร VISA ทั่วโลก ป้องกันการโจรกรรมและการใช้บัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต หากทำบัตรหาย โรงเรียนสามารถปิดใช้งานได้ทันที สามารถตรวจสอบธุรกรรมทั้งหมดได้อย่างปลอดภัย ผู้ปกครองควบคุมการเติมเงิน กำหนดวงเงิน และติดตามการใช้จ่ายแบบเรียลไทม์ แม้นักเรียนจะใช้จ่ายผ่าน MRT หรือซื้อของจาก 7-Eleven ก็สามารถตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังสามารถแปลงค่าเงินบาทเป็นสกุลเงินต่างประเทศเพื่อใช้จ่ายได้ทั่วโลก

เงินสดอาจหายไป แต่ความฉลาดรู้ทางการเงินต้องเพิ่มขึ้น เพราะบัตรนักเรียน BCC ไม่เพียงแต่สร้างความสะดวกสบาย แต่ยังช่วยให้นักเรียนมีความฉลาดรู้ทางการเงินในโลกยุคดิจิทัล เมื่อวันนี้โลกก้าวไปไกลกว่าเงินสด และมูลค่าของเงินลดน้อยลง นักเรียนจึงต้องไม่ใช่แค่ปรับตัว แต่ต้องเป็นผู้นำ ที่เข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงของเงินในเศรษฐกิจดิจิทัล

นักเรียนในโพสต์นี้เป็นนักเรียนคนแรกที่เปิดซองบัตรให้กรรมการตรวจรับด้วยมือเขาเองตามมาตรฐานที่เข้มงวดของ VISA แม้นักเรียนจบการศึกษาไปแล้ว และในช่วงปิดเทอม หลายคนเลือกที่จะไว้ผมยาว ทำสีผม หรือทำเล็บตามกระแส GELBOY ในความเห็นส่วนตัวของผม สิ่งนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้บุคลากรทางการศึกษาทุกคนต้องเข้าใจว่า นอกโรงเรียน นักเรียนมีเสรีภาพในการคิดและแสดงออก ที่กรุงเทพคริสเตียน เราไม่เพียงแค่ให้ความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังปลูกฝังให้เด็กๆ มีมารยาทที่ดี เคารพผู้อื่น และมีน้ำใจ โดยรักษาสมดุลระหว่าง อิสรภาพและความรับผิดชอบ

โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ผู้บริหาร และครูทุกคน ไม่ได้แค่เตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับอนาคต แต่เรากำลังสร้างอนาคตนั้นให้พวกเขา"

'รัฐวิชญ์-บุณยนุช' ผงาดแชมป์ 'ช้าง โอเพ่น 2025' พร้อมตีตั๋วลุยศึก Yonex Junior Golf Championship ที่ญี่ปุ่น

(10 มี.ค. 68) 'น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง' โดย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ เดอะ เจ็นซ์ จัดการแข่งขัน 'ช้าง โอเพ่น 2025' ซึ่งเป็นรายการกอล์ฟแรกของฤดูกาลนี้ โดยการแข่งขันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-9 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ สนามพานอราม่า กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ จังหวัดนครราชสีมา

โดยการแข่งขันครั้งนี้ มีการคัดเลือกเยาวชนจากรุ่น Junior GENZ (ชาย) และ (หญิง) เพื่อมอบโอกาสให้กับผู้ชนะในการแข่งขันได้เข้าร่วมแข่งขันรายการ Yonex Junior Golf Championship 2025 ที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาเยาวชนกอล์ฟไทยให้เติบโตในระดับนานาชาติ

ผลปรากฏว่าในรุ่น Junior GENZ (ชาย) รัฐวิชญ์ รัฐชัยอนันต์ โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมในรอบสุดท้ายทำคะแนนได้ถึง 5 อันเดอร์พาร์ จบสกอร์รวมสองวันที่ 4 อันเดอร์พาร์ 140 คว้าแชมป์ไปครอง 

ส่วนในรุ่น Junior GENZ (หญิง) บุณยนุช ศุภกิจบุญชู คว้าแชมป์ด้วยสกอร์ 2 โอเวอร์พาร์ 146 หลังจบการแข่งขันสองวัน

งานนี้ได้รับเกียรติจาก นายดาว์ปกรณ์ รัตนสุวรรณ ประธานจัดการแข่งขัน 'ช้าง-เจ็นซ์ กอล์ฟ ทัวร์' ที่เข้ามามอบรางวัลและร่วมแสดงความยินดีกับผู้ชนะในทั้งสองรุ่น พร้อมทั้งกล่าวถึงความสำคัญของการสนับสนุนเยาวชนไทยในการแข่งขันกอล์ฟระดับนานาชาติ

ทั้งนี้ รายการถัดไปคือ 'บางจาก แชมเปี้ยนชิพ 2025' ซึ่งเป็นการแข่งขันที่สำคัญในการเก็บคะแนนสะสมสำหรับ World Amateur Ranking และ Junior Golf Scoreboard โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-20 เมษายน 2568 ที่สนามกบินทร์บุรี สปอร์ต คลับ จังหวัดปราจีนบุรี

สำหรับผู้ปกครองและนักกอล์ฟที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Official Line : @genzgolf หรือโทร. 065 696 2229

‘มาร์ก คาร์นีย์’ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแคนาดา ต่อจาก ‘จัสติน ทรูโด’ เตรียมพร้อมรับมือความท้าทายในศึกทางการค้า และการเมืองจากสหรัฐฯ

(10 มี.ค. 68) มาร์ก คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษและธนาคารกลางแคนาดาในวัย 59 ปี เตรียมได้รับการแต่งตั้งให้เป็น นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ต่อจาก จัสติน ทรูโด หลังจากได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคลิเบอรัลหรือเสรีนิยม ซึ่งมีความสำคัญสำหรับอนาคตทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่คาร์นีย์เตรียมรับมือกับความท้าทายทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ และแรงกดดันจาก สหรัฐอเมริกา คู่ค้าสำคัญของแคนาดา

การขึ้นเป็นผู้นำประเทศของคาร์นีย์ในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แคนาดากำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการตัดสินใจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแคนาดาอย่างมีนัยสำคัญ 

คาร์นีย์ซึ่งมีประสบการณ์จากการเป็นผู้นำในองค์กรการเงินระดับโลก ได้ประกาศว่าเขาจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะเดียวกันจะต้องรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ และพันธมิตรอื่น ๆ ให้แข็งแกร่ง

การค้าและการเจรจาทางเศรษฐกิจ จะเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่คาร์นีย์จะต้องรับมือ โดยเขาจะต้องพยายามลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรและการตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจแคนาดา ในขณะที่ต้องรักษาเสถียรภาพการค้าในภูมิภาคและในระดับโลก

นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้านนโยบายภายในประเทศที่คาร์นีย์จะต้องจัดการ รวมถึงการปฏิรูปภาษีและการดูแลภาคพลังงานที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมแคนาดา คาร์นีย์จะต้องทำงานร่วมกับรัฐสภาเพื่อให้ผ่านกฎหมายที่ช่วยเสริมสร้างการเติบโตและการลงทุนในประเทศ

การแต่งตั้งของคาร์นีย์เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าแคนาดากำลังมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงเศรษฐกิจและการเมือง โดยผู้นำใหม่จะต้องพร้อมรับมือกับการทดสอบทั้งจากภายในและจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

‘แพทองธาร’ สั่งเดินหน้าเร่งเครื่องเศรษฐกิจ หวังทุกหน่วยงานทั้งรัฐ-เอกชน ช่วยดันจีดีพีโตเกิน 3%

นายกรัฐมนตรี เปิดประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 สั่งทุกหน่วยงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผลักดันจีดีพี ปี 2568 โตเกิน 3%

(10 มี.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยย้ำว่ารัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตเกินเป้าหมาย 3% ที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้

นายกฯ ระบุว่า แม้ในช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนให้ขยายตัวได้มากกว่านี้ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกกระทรวงและภาคเอกชน

ทั้งนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานร่วมกันคิดค้นมาตรการและโครงการที่สามารถเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยจะเน้นไปที่การขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุก ควบคู่กับการปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีความยั่งยืนในระยะยาว

เปิดปมส่ง 40 อุยกูร์ กลับมาตุภูมิ ชี้! เรื่องนี้มีเบื้องลึก เผยคนหนุ่มบางส่วนในกลุ่มนี้ เตรียมถูกฝึกเป็น ‘นักรบพลีชีพ’

ไม่นานมานี้มีข่าวที่ทางการไทยส่งนักโทษอุยกูร์กลับประเทศจีนตามหน้าสื่อที่ว่าทางการไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนที่ถูกคุมขังในไทยตั้งแต่ปี 2557 กลับสู่ประเทศจีน  ท่ามกลางเสียงก่นด่าจากประเทศตะวันตก จนคนไทยหลายคนด่าว่ารัฐบาลไทยเลว เอาใจจีนจนเอาชีวิตคนไปแลก เอาเป็นว่าวันนี้ลองเปิดใจมารับรู้ข้อมูลอีกด้านกันดูดีกว่าไหม  แล้วค่อยมาสรุปว่ารัฐบาลไทยเราเลวดังที่ใครๆ เขาว่าหรือไม่

ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักองค์ก่อนหนึ่งก่อน นั่นคือ ขบวนการอิสลามเตอร์กิชสถานตะวันออก หรือ ETIM ขบวนการนี้มีการจัดตั้งกันมาตั้งแต่ปี 2476 เพื่อต่อสู้ให้เมืองซินเจียงที่เป็นเมืองหลักของชาวอุยกูร์เป็นรัฐอิสลามเพราะประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม

แต่ทว่าแท้จริงแล้วในซินเจียงยังมีชนชาติอื่นร่วมด้วยทั้ง ทั้งชาวฮั่น, ชาวคีร์กีช, ชาวมองโกล, ชาวหุย, ชาวคาซัค และชาติพันธุ์อื่นๆอีกกว่า 50 ชาติพันธุ์เพราะเหตุที่ว่าซินเจียงนี้เคยเป็นเส้นทางสายไหมทางบกในอดีตนั่นเอง นั่นทำให้จีนเลือกที่จะยกซินเจียงให้เป็นเขตปกครองตนเองของจีน เช่นเดียวกับทิเบต และนี่เองที่เป็นชนวนเหตุความขัดแย้งในพื้นที่

จนกระทั่งในปี 2511 มีการจัดตั้ง พรรคปฏิวัติประชาชนแห่งเตอร์กีชสถานตะวันออก ขึ้นโดยมีสาขาในเมืองอุรุมูฉี และเมืองคาชการ์ มีกองกำลังติดอาวุธเพื่อก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน โดยอ้างตาม ETIM ในปลุกระดมผู้คนให้ก่อการครั้งนี้ว่า นี่คือ 'ญิฮาด' หรือ สงครามศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะสร้างแผ่นดินเสรีของเรา แม้ตามรายงานบอกว่าพรรคนี้สลายตัวไปตั้งแต่ปี 2532 แต่ยังมีผู้นำอยู่และแยกเป็นกลุ่มก่อการร้ายย่อย ๆ ภายใต้เงินทุนของชาติตะวันตก

มาถึงจุดนี้อ่านแล้วคุ้นๆ...ชาติพันธุ์ฝั่ง 45 น. ของไทยไหม

ณ เวลานั้นมีรายงานว่ามีการปลุกระดมเอาคนหนุ่มไปฝึกเป็น “นักรบพลีชีพ” เพื่อมาต่อสู้กับกองทัพจีน ซึ่งจะเห็นว่ามีเหตุการณ์ก่อการร้ายหลายครั้งที่เกิดขึ้น โดยแหล่งข่าวได้เล่าให้เอย่าฟังว่า นักรบเหล่านี้จะต้องเดินทางไปฝึกการรบดังกล่าวที่ประเทศหนึ่งที่อยู่ระหว่าง 2 ทวีป โดยใช้งบของประเทศที่ให้การสนับสนุนโจรใต้บ้านเรานั่นแหละ

แต่เหตุการณ์ดันโป๊ะตรงที่รัฐบาลจีนรู้ถึงการเดินทางของคนกลุ่มนี้และชี้เป้าให้ทางการไทยจับตัวไว้เมื่อปี 2557 โดยขณะนั้นทางการไทยเพียงตั้งข้อหาชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ว่า เข้าเมืองผิดกฎหมาย

แม้จะไม่มีรายงานว่าชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ถูกจับเดือนไหนแต่ช่วงเวลาดังกล่าวนั้นอยู่ในสายตาของนายกที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านก็น่าจะทราบดีว่าคนเหล่านี้คือใครเพราะเวลานั้นไทยสนิทกับจีนมาก ในปี 2557 นั่นเอง จีนมีการตัดสินประหารชีวิตชาวอุยกูร์ที่ก่อเหตุระเบิดพลีชีพที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนฮั่นและชาติพันธุ์ในซินเจียงโดยเฉพาะชาวอุยกูร์เป็นอย่างมาก

ถามว่าถ้าลุงตู่ส่งชาวอุยกูร์กลับจีนตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น....

ใช่แล้ว..ไทยเลือกจะไม่ส่งกลับแต่ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนเข้ามาปรับทัศนคติและแก้ปัญหาในบ้านของเขาให้เรียบร้อย

วันนี้เป็นเวลาเกือบ 11 ปี อุยกูร์เป็นมณฑลที่ติดอันดับที่ 23 จาก 31 มณฑลของจีน และถ้าคิดเฉลี่ยเป็น GDP ต่อประชากร ซินเจียงเปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตารวมถึงความอยู่ดีกินดีของประชากร  จีนสนับสนุนการศึกษาให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้เรียนรู้ทั้งภาษาจีนกลางและภาษาถิ่นรวมถึงทำนุบำรุงศาสนสถานทุกศาสนาในเมือง ส่วนหนึ่งเพื่อให้เหล่าชาติพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งคือความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมประจำถิ่น ซินเจียงเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่ต้องการความแปลกใหม่ในการท่องเที่ยวในประเทศจีน

สุดท้ายกลับมาที่นักโทษทั้ง 40 คนในคุกไทย ที่ตลอดเวลาร่วม 10 ปีได้รับการปรับทัศนคติจนเชื่อได้ว่าทั้งหมดอยากกลับไปหาญาติหาคนที่รักของเขาแล้ว และเชื่อได้ว่าตลอด 11 ปีมานี้ทางการจีนได้พัฒนาให้ชาวเมืองซินเจียงกลายเป็นคนที่มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก จนต้องมาตั้งคำถามว่า ทำไมต้องไปสร้างแผ่นดินในอุดมคติอีก ในเมื่อกลับไปพบกับครอบครัวที่อยู่ดีกินดีแล้ว...

คำถามก็คือ คำที่ชาติตะวันตกกล่าวหาไทยต่างๆ นานา นั้น ทำไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ต้องการสร้างภาพให้จีนเป็นตัวร้าย แต่อย่างที่หลายคนกล่าว บางทีผู้นำประเทศเหล่านั้นก็ติดภาพฮอลลีวูดมาไปจนลืมว่าคนมีสติปัญญาเขาคิดได้ว่าถ้าทางการไทยอยากให้ชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ตายจริงคงไม่ปล่อยให้เปลืองข้าวไทยมาเป็น 10 ปีหรอก

รู้จัก ‘คาลินินกราด’ ไข่แดงท่ามกลางนาโต้ เมืองที่เยอรมันไม่กล้าพูดถึง แต่ก็ลืมไม่ลง

กลางสมรภูมิร้อนระอุของยุโรป มีดินแดนหนึ่งที่เปรียบเสมือนกระดูกชิ้นโตติดคอของเยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ดินแดนที่พวกเขาอยากทำเป็นไม่สนใจ แต่กลับต้องจับตามองทุกความเคลื่อนไหว เมืองนั้นคือ คาลินินกราด อดีต 'คอนิกส์แบร์ก' เมืองหลวงแห่งปรัสเซียตะวันออก เมืองที่เคยเป็นหัวใจของอารยธรรมเยอรมัน แต่วันนี้กลายเป็น ห้องเก็บขีปนาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย ที่พร้อมจะทำให้ยุโรปทั้งทวีปต้องนั่งไม่ติด

จากศูนย์กลางแห่งปรัสเซียสู่หมากรบของเครมลิน
คอนิกส์แบร์กเคยเป็นเมืองสำคัญที่สุดเมืองหนึ่งของเยอรมัน เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอัลแบร์ทิน่า บ้านเกิดของอิมมานูเอล คานท์ นักปรัชญาผู้เปลี่ยนแปลงโลก เป็นศูนย์กลางของกองทัพรัสเซียที่สร้างนักรบผู้แข็งแกร่ง และเป็นที่ที่กษัตริย์ฟรีดริชที่ 1 ประกาศสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์แห่งปรัสเซียครั้งแรกในปี 1701 เมืองนี้เคยเป็นความภาคภูมิใจของจักรวรรดิเยอรมัน

แต่สงครามโลกครั้งที่สองได้เปลี่ยนทุกอย่าง หลังจากที่นาซีเยอรมันพ่ายแพ้ให้กับกองทัพแดงในปี 1945 คอนิกส์แบร์กก็ถูกโซเวียตเข้ายึด สตาลินสั่งขับไล่ชาวเยอรมันทั้งหมดออกจากพื้นที่ เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น 'คาลินินกราด' เพื่อเป็นเกียรติแก่มีไคโล คาลินิน ผู้นำโซเวียต และทำให้เมืองนี้กลายเป็นป้อมปราการของคอมมิวนิสต์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิปัญญาเยอรมัน กลายเป็นศูนย์กลางของอาวุธสงคราม

เมืองที่เยอรมันไม่กล้าพูดถึง แต่ก็ลืมไม่ลง
ชาวเยอรมันบางกลุ่มยังคงมองคาลินินกราดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด มันคือดินแดนที่เคยเป็นของพวกเขา เป็นมรดกแห่งจักรวรรดิที่พวกเขาสูญเสียไปตลอดกาล แต่อย่าเข้าใจผิด ไม่มีใครในรัฐบาลเยอรมันกล้าออกมาพูดว่าพวกเขาต้องการดินแดนนี้คืน เพราะการแตะต้องเมืองนี้ก็เท่ากับ ท้าทายเครมลินโดยตรง และไม่มีใครในยุโรปอยากเป็นต้นเหตุของสงครามโลกครั้งที่สาม

แต่ถึงจะไม่พูดออกมา ความจริงก็คือ คาลินินกราดเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทำให้รัสเซียแข็งแกร่งในยุโรป และมันทำให้เยอรมันกับฝรั่งเศสต้องเกรงใจรัสเซียมากกว่าที่พวกเขาอยากยอมรับ

คลังแสงของรัสเซียที่พร้อมถล่มยุโรปตะวันตก
คาลินินกราดไม่ใช่แค่เมืองชายขอบของรัสเซีย แต่มันคือ ป้อมปราการทางทหารที่พร้อมโจมตียุโรปได้ทุกเมื่อ กองทัพรัสเซียใช้เมืองนี้เป็นฐานติดตั้ง ขีปนาวุธ Iskander-M ที่สามารถยิงหัวรบนิวเคลียร์ไปถึงกรุงเบอร์ลิน ปารีส หรือแม้แต่ลอนดอนได้ในเวลาไม่กี่นาที ไม่เพียงแค่นั้น เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ที่สามารถสกัดเครื่องบินของนาโตไม่ให้เข้าใกล้ได้

และถ้านั่นยังไม่พอ คาลินินกราดยังเป็น ที่ตั้งของกองเรือรัสเซียในทะเลบอลติก ซึ่งสามารถปิดเส้นทางเดินเรือที่สำคัญของยุโรปได้ในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง ถ้ารัสเซียต้องการเล่นเกมหนักกับนาโต พวกเขาแค่ต้องสั่งให้กองเรือจากคาลินินกราดปิดกั้นทะเลบอลติก และยุโรปเหนือจะถูกตัดขาดจากเส้นทางขนส่งทันที

เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส กับปัญหาที่พวกเขาแก้ไม่ได้
สงครามยูเครนทำให้ยุโรปต้องออกมาสนับสนุนเคียฟอย่างเต็มที่ เยอรมันกำลังส่งรถถัง เลโอโพลด์ ฝรั่งเศสกำลังส่งขีปนาวุธ อังกฤษกำลังช่วยฝึกทหารให้ยูเครน พวกเขาหวังว่า ถ้ารัสเซียแพ้ในยูเครน มันจะทำให้มอสโกอ่อนแอ

แต่ปัญหาก็คือ ถ้ารัสเซียถูกไล่ออกจากยูเครน คาลินินกราดจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งกว่าเดิม เพราะเครมลินไม่มีวันยอมให้ตัวเองอ่อนแอลงในยุโรปโดยไม่มีการตอบโต้

เยอรมันรู้อยู่เต็มอกว่า ถ้าสงครามลุกลาม คาลินินกราดจะเป็นจุดที่ยุโรปต้องกังวลมากที่สุด พวกเขาไม่อยากให้รัสเซียใช้เมืองนี้เป็นฐานยิงนิวเคลียร์ไปยังยุโรปตะวันตก พวกเขาไม่อยากให้รัสเซียใช้มันเป็นฐานปิดล้อมทะเลบอลติก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

รัสเซียรู้ว่าไข่แดงนี้สำคัญแค่ไหน
เครมลินรู้ดีว่า คาลินินกราดคือ ไพ่ตายของรัสเซียในยุโรป พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร แค่มีมันอยู่เฉย ๆ ก็ทำให้ยุโรปต้องนั่งไม่ติดแล้ว

ตอนนี้นาโตกำลังเสริมกำลังในโปแลนด์และลิทัวเนีย อังกฤษกำลังส่งเรือรบเข้าสู่ทะเลบอลติก ฝรั่งเศสกำลังเตรียมระบบป้องกันทางอากาศเพิ่มเติม แต่รัสเซียแค่ เพิ่มขีปนาวุธในคาลินินกราด เท่านั้นเอง และยุโรปก็ตื่นตระหนกกันไปหมด

สรุป: เมืองที่อันตรายที่สุดในยุโรป
คาลินินกราดเป็นมากกว่าเมือง มันคือ ป้อมปราการของรัสเซียในใจกลางยุโรป เป็นดินแดนที่ทำให้เยอรมันต้องเดินบนเปลือกไข่ และทำให้นาโตต้องคิดหนักก่อนจะเผชิญหน้ากับรัสเซีย

ในโลกที่เต็มไปด้วยสงครามการเมืองและการแข่งขันทางทหาร คาลินินกราดไม่ใช่แค่ 'เมืองชายขอบของรัสเซีย' แต่มันคือ หมากสำคัญบนกระดานที่สามารถเปลี่ยนดุลอำนาจของยุโรปได้ทุกเมื่อ

ไม่มีใครในตะวันตกอยากพูดถึงมัน ไม่มีใครอยากแตะมัน แต่ไม่มีใครสามารถทำเป็นลืมมันได้ เพราะพวกเขารู้ดีว่า ถ้าคาลินินกราดยังอยู่ รัสเซียก็จะไม่มีวันแพ้ในเกมอำนาจของยุโรป

ศาลสหรัฐฯ สั่งจีนจ่ายเงินชดเชย 24,000 ล้านดอลลาร์ ชี้เป็นต้นเหตุทำให้โลกเข้าใจผิดเกี่ยวกับโควิด-19 และปกปิดข้อมูล

(10 มี.ค. 68) สำนักข่าว The New York Times รายงานว่า ศาลกลางแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งให้ สาธารณรัฐประชาชนจีน จ่ายเงินชดใช้ความเสียหายแก่ รัฐมิสซูรี รัฐที่อยู่ทางตอนกลางของสหรัฐฯ จำนวน 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 816,000 ล้านบาท) หลังจากที่ศาลตัดสินว่า จีน ได้ชักนำให้โลกเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ โควิด-19 โดยอ้างว่าจีนได้มีการปกปิดข้อมูลและปล่อยให้ข้อมูลผิดๆ แพร่กระจายออกไปจนกระทบต่อการรับมือการระบาดในระดับโลก

คำตัดสินดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก รัฐมิสซูรี ยื่นฟ้องร้องรัฐบาลจีนในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลที่ไม่โปร่งใสเกี่ยวกับต้นตอของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีการกล่าวหาว่าการกระทำดังกล่าวของจีนทำให้การแพร่ระบาดลุกลามอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อชีวิตและเศรษฐกิจทั่วโลก

ศาลระบุว่า จีนต้องรับผิดชอบในการปกปิดข้อมูลที่สำคัญในช่วงเริ่มต้นของการระบาด ส่งผลให้รัฐบาลและประชาชนในหลายประเทศไม่สามารถเตรียมพร้อมตอบสนองต่อวิกฤตนี้ได้อย่างทันท่วงที ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ รวมถึงความสูญเสียทางชีวิตอย่างมหาศาล

ทั้งนี้ ทางการจีนยังไม่ออกมาชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นต่อคำสั่งของศาลสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจีนอาจจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินนี้ เนื่องจากยังคงยืนยันว่าไม่มีการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจมีต้นกำเนิดจากแหล่งอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับจีน

สำหรับคำตัดสินดังกล่าว ถือเป็นคำตัดสินที่สำคัญในคดีที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบทางกฎหมายในระดับสากลเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังคงร้อนระอุในหลายประเด็น

ชาวไทยแห่ชมวัฒนธรรมโบราณและธรรมชาติอันเขียวขจี ดันยอดนักท่องเที่ยวไทยพุ่ง 223% หลังจีนเปิดฟรีวีซ่า

(10 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า การเปิดให้บริการฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวไทยเข้าสู่เมืองเฉิงตูในปีนี้ ส่งผลให้จำนวนผู้เดินทางจากไทยพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง โดยมียอดการเดินทางมาเยือนเพิ่มขึ้นถึง 223% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (อ้างอิงจาก : ข้อมูลสำนักงานการท่องเที่ยวเฉิงตู)

การเปิดฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวไทย ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 68 ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรม และธรรมชาติอันงดงามของเมืองเฉิงตู โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าเฉิงตู, ถนนโบราณจินหลี่ และสวนหยวนหมิง หยวนที่น่าสนใจ

นางหลิว เหวยเหวี่ยน ผู้แทนสำนักงานการท่องเที่ยวเฉิงตูกล่าวว่า “เราเห็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวไทยอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากการยกเลิกวีซ่าสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาจากประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในเมืองเฉิงตูและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ”

นักท่องเที่ยวไทยหลายคนที่เดินทางมาเยือนเฉิงตูได้แสดงความคิดเห็นว่า การเปิดให้เข้าชมเมืองโดยไม่ต้องขอวีซ่าทำให้การเดินทางสะดวกสบายขึ้นมาก และเป็นโอกาสที่ดีในการสำรวจเมืองที่มีวัฒนธรรมอันยาวนาน รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ 

ทางการจีนตั้งเป้าในปีนี้ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากประเทศไทยให้มาเยือนมากขึ้น เนื่องจากเมืองเฉิงตูถือเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจีน

ทั้งนี้ การขยายตัวของนักท่องเที่ยวจากไทยยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ขณะที่ทางการจีนและประเทศไทยเตรียมความพร้อมในการสร้างความร่วมมือ เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระหว่างกัน

ใครเป็นเจ้าของ ‘TESLA’

เมื่อเอ่ยถึง ‘TESLA’ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก คนส่วนใหญ่ย่อมคิดถึง ‘อีลอน มัสก์’ เป็นอันดับแรก เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้มายาวนาน

แต่รู้หรือไม่ว่า ‘มัสก์’ ไม่ได้เป็นเจ้าของเพียงคนเดียว แต่ยังมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกหลายราย ส่วนมีใครบ้างใน 10 อันดับแรก และถือครองในสัดส่วนเท่าใด ไปส่องกันเลย

ชาวเนปาลนับหมื่น แห่รับ ‘สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ’ พร้อมเรียกร้องให้ฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์อีกครั้ง

กลุ่มสนับสนุนสถาบันกษัตริย์นับหมื่นรวมตัวกันที่สนามบินเพื่อมาต้อนรับสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งเนปาล อดีตกษัตริย์เนปาลที่ถูกโค่นอำนาจเมื่อปี 2008 ซึ่งได้เดินทางกลับกรุงกาฐมาณฑุ

พร้อมเรียกร้องให้คืนสถาบันกษัตริย์ที่ถูกโค่นอำนาจไป ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชนต่อสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ

เมื่อวันอาทิตย์ ผู้สนับสนุนของสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ ประมาณ 10,000 คน รวมตัวกันใกล้ทางเข้าหลักของสนามบินนานาชาติตริภูวันในกรุงกาฐมาณฑุ ขณะพระองค์เสด็จกลับจากการเดินทางไปเนปาลตะวันตก

“ขอให้พระองค์ทรงกลับมาเถิด ทรงกลับมาเป็นกษัตริย์ มาช่วยประเทศชาติ กษัตริย์ที่รักของเรา จงทรงพระเจริญ เราต้องการสถาบันกษัตริย์” ประชาชนพากันตะโกน

สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ วัย 77 ปี ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2001 หลังจากพี่ชายของเขา Birendra Bir Bikram Shah และครอบครัวของเขาถูกสังหารในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่คร่าชีวิตสมาชิกราชวงศ์ไปเกือบหมด

พระองค์ทรงปกครองประเทศในฐานะประมุขแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีอำนาจบริหารหรืออำนาจทางการเมืองจนถึงปี 2005 เมื่อพระองค์ได้เข้ายึดอำนาจเบ็ดเสร็จโดยกล่าวว่าเพื่อปราบกบฏเหมาอิสต์ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์

พระองค์สั่งยุบรัฐบาลและรัฐสภา จำคุกนักการเมืองและนักข่าว และตัดการติดต่อสื่อสาร ประกาศภาวะฉุกเฉิน และใช้กองทัพปกครองประเทศ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดการประท้วงบนท้องถนนครั้งใหญ่ จนในปี 2006 สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ ต้องส่งมอบอำนาจให้กับรัฐบาลหลายพรรค

รัฐบาลดังกล่าวได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพกับกลุ่มเหมาอิสต์ ซึ่งยุติสงครามกลางเมืองยาวนานกว่าทศวรรษที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน

ในปี 2008 พระองค์ได้ลงจากบัลลังก์หลังจากรัฐสภาลงมติให้ยกเลิกระบอบกษัตริย์ฮินดูที่ปกครองมายาวนาน 240 ปีของเนปาล ทำให้ประเทศกลายเป็นสาธารณรัฐฆราวาส

แต่ตั้งแต่นั้นมา เนปาลมีรัฐบาล 13 ชุด และหลายคนในประเทศ เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับสาธารณรัฐนี้ พวกเขาบอกว่าเนปาลไม่สามารถสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้ และโทษว่าเป็นต้นเหตุของเศรษฐกิจที่ตกต่ำและการทุจริตคอร์รัปชันที่แพร่หลาย

'ความไร้ความสามารถของนักการเมือง’ ผู้เข้าร่วมการชุมนุมกล่าวว่าพวกเขาหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองเพื่อหยุดยั้งประเทศไม่ให้เสื่อมถอยต่อไป Thir Bahadur Bhandari วัย 72 ปี กล่าวกับสำนักข่าว Associated Press ว่า "เราอยู่ที่นี่เพื่อสนับสนุนกษัตริย์อย่างเต็มที่และรวมตัวสนับสนุนพระองค์เพื่อให้พระองค์ได้ขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้ง" 

ในบรรดาคนนับหมื่นที่มาครั้งนี้ มีช่างไม้วัย 50 ปีชื่อ Kulraj Shrestha ซึ่งเคยเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านกษัตริย์เมื่อปี 2006 แต่เปลี่ยนใจแล้วและตอนนี้กลับมาสนับสนุนสถาบันกษัตริย์

“สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับประเทศคือการทุจริตคอร์รัปชันครั้งใหญ่ และนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจทุกคนไม่ได้ทำอะไรเพื่อประเทศเลย” Kulraj Shrestha ให้สัมภาษณ์กับ AP “ผมเข้าร่วมการประท้วงที่ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ด้วยความหวังว่ามันจะช่วยประเทศได้ แต่ผมคิดผิด และประเทศชาติยิ่งตกต่ำลง ผมจึงเปลี่ยนใจ”

สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อเรียกร้องให้คืนสถาบันกษัตริย์ แม้จะมีการสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น แต่โอกาสที่พระองค์จะกลับคืนสู่อำนาจนั้นริบหรี่

Lok Raj Baral นักวิเคราะห์การเมือง กล่าวกับสำนักข่าว AFP ว่าเขาไม่เห็นความเป็นไปได้ที่สถาบันกษัตริย์จะฟื้นคืนมา เพราะสถาบันกษัตริย์เป็น “แหล่งที่มาของความไม่มั่นคง”

“สำหรับกลุ่มที่ไม่พอใจบางกลุ่ม การกระทำดังกล่าวได้กลายเป็นการส่งสัญญาณถอดใจ เนื่องจากความไร้ความสามารถของนักการเมืองที่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ความหงุดหงิดดังกล่าวได้แสดงออกมาผ่านการชุมนุมและการเดินขบวนดังกล่าว” เขากล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top