Saturday, 10 May 2025
TheStatesTimes

‘โรดริโก ดูเตอร์เต’ ถูกจับกุมที่สนามบินนานาชาติมะนิลา ตามหมายจับศาล ICC จากกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติด และการใช้ความรุนแรงเกินขอบเขต

(11 มี.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โรดริโก ดูเตอร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถูกจับกุมที่สนามบินนานาชาติมะนิลา ขณะเดินทางกลับจากฮ่องกง ตามหมายจับที่ออกโดยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

การจับกุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการสอบสวนของ ICC ที่ดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายสงครามปราบปรามยาเสพติดของดูเตอร์เตในช่วงดำรงตำแหน่ง ซึ่งได้มีการกล่าวหาว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์การสังหารผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับยาเสพติดโดยไม่มีการพิจารณาคดีตามกระบวนการยุติธรรม

เมื่อเดือนกันยายน 2564 ศาลอาญาระหว่างประเทศ ได้เริ่มการสอบสวนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว หลังจากที่มีการกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวนมาก ในช่วงที่ดูเตอร์เตดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2559-2564 โดยเขาได้ให้คำมั่นว่าจะปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด 

หนึ่งในนโยบายของดูเตอร์เตคือการให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่สามารถจับกุมหรือสังหารผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติด กลายเป็นก่อให้เกิด “สงครามยาเสพติด” นำไปสู่การเสียชีวิตของ 6,200 ราย ที่ถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการปราบปราม

โดยก่อนหน้านี้ดูเตอร์เตจะประกาศถอนฟิลิปปินส์ออกจากการเป็นสมาชิกของ ICC ในปี 2560 แต่หลังจากที่ศาลเริ่มตรวจสอบนโยบายของเขา นำมาสู่การหมายจับที่ออกมาในครั้งที่นี้ยังคงมีผลบังคับใช้ และทางการฟิลิปปินส์ได้ดำเนินการตามกระบวนการจับกุมอย่างเคร่งครัด

หลังการจับกุม ดูเตอร์เตถูกส่งตัวไปยังสถานที่คุมขังภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่คณะทนายความของเขากล่าวว่าพวกเขาจะยื่นอุทธรณ์ในเร็วๆ นี้ โดยยืนยันว่าอดีตประธานาธิบดีไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว และจะต่อสู้กับข้อกล่าวหานี้อย่างเต็มที่

การจับกุมดูเตอร์เตในครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทั้งการเมืองภายในประเทศฟิลิปปินส์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิมนุษยชนและการดำเนินการของศาลฯ ICC

‘พรรคการเมือง’ เก่งแต่หาเสียงผ่านคำพูด ‘ลดเหลื่อมล้ำสร้างความเท่าเทียม’ สุดท้าย! เป็นเพียงวาทะเสนาะหู ถึงเวลากลับไม่กล้าแตะเทวดาชั้น 14

“เราจะสู้เพื่อความเหลื่อมล้ำเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม” หนึ่งในคำโฆษณาหลอกต้มผู้คนของพรรคล้มล้างการปกครอง 

วัยรุ่น วัยคะนอง ที่ไม่หัดลงลึกกับเรื่องการเมืองไทย มักทำทุกอย่างตามกระแสสังคม รวมถึงผู้ใหญ่ 'ขี้แพ้' แถม 'คิดไม่เป็น' จำนวนหนึ่ง ที่ฝังหัวตัวเองมาช้านานว่าประเทศไทยมีแต่ความไม่เสมอภาค ไร้อิสระ ถูกกดขี่ และคนจะไม่สามารถจะมีสิทธิ์มีเสียงเท่าคนรวย ผู้คนเหล่านี้มักจะสนับสนุน 'พรรคส้มเน่า' ที่ชูการหาเสียงไว้อย่างแข็งขันว่า เราจะสู้ให้ความเหลื่อมล้ำ และความไม่เท่าเทียม หมดหายไปจากแผ่นดินไทย ประชาชนทุกคนจะต้องมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน 

โดยที่การหาเสียงเพื่อเอาใจ 'เหล่าคนบ้องตื้น' เหล่านี้ ส่วนลึกก็หวังพาดผ่านไปกระทบสถาบันเบื้องสูง ดังที่เราจะเห็น 'นักการเมืองสามกีบ' คอยเซาะกร่อน บ่อนทำลาย เพื่อลด 'ความน่าเชื่อถือ' ของสถาบันที่คนไทยเคารพรักมาโดยตลอด คนพวกนี้พยายามทุกวิถีทางผ่านวิธีสกปรก แม้แต่การ 'หลอกใช้เด็กหิวแสง' ให้ไปติดคุก หรือลี้ภัย เพียงเพื่อให้ 'สถาบันอ่อนแอ' ลง ลดต่ำลงมาเทียมประชาชนคนธรรมดา เพื่อโยงเหตุผลการต่อสู้เพื่อความไม่เท่าเทียมให้ดูสมจริง แต่ความเลวร้ายสุดโต่งที่ซ่อนไว้ก็คือการปกครองแบบเดิมจะต้องถูกทำลายลง 

เมื่อแผนชั่วช้าไปไม่ถึงดวงดาว เด็กวัยรุ่น วัยคะนอง ที่เคยอ่อนด้อยในเรื่องการเมือง เริ่มอ่านหนังสือ เริ่มศึกษาความเป็นมาเป็นไป และไม่น้อยก็ลงลึกกับการสอดส่องติดตามดูพฤติกรรมของ 'พรรคการเมืองสีส้มล้มเจ้า' ก็พบว่า เรื่องที่บอกจะสู้เพื่อความเหลื่อมล้ำ ให้สังคมเกิดความเท่าเทียม เป็นเพียง 'เรื่องโกหก' ที่สร้างขึ้นมาไว้ 'หลอกต้มคนโง่แบบตัวเอง' เท่านั้น เพราะกรณีของ 'นักโทษเทวดา' ที่เป็นหัวหน้าตัวจริงของ 'พรรคเผาเมือง' กลับมารับโทษก็จริงแต่ไม่ต้องติดคุกเลยสักวันเดียว แถมยังเหาะเหินไปนอนบนสวรรค์ชั้น 14 ชนิดที่ไม่มีใครกล้าตรวจสอบ แพทย์ ตำรวจ ข้าราชการ ต่างยอมศิโรราบด้วยแพ้อำนาจเงิน และอิทธิพลเทวดา ช่วยกันเข็น 'ผิดให้เป็นถูก' โดยไม่แยแสกระแสสังคม ถือเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนเกินจะรับได้

กรณีชั้น 14 จึงสะท้อนความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียมที่ชัดเจนที่สุด ข่าวฉาวนี้ดังไปครึ่งค่อนโลก แต่พรรคการเมืองที่ประกาศก้องว่าข้านี่แหละจะสู้ให้ความเหลื่อมล้ำหมดหายไปจากแผ่นดินไทย กลับไม่มีสักตัวกล้าโผล่มาประจันหน้ากับเทวดา ไม่มีสักตัวที่จะปริปากทักท้วง หรือทัดทานการกระทำที่ตบหน้าคนไทย และเหยียบกระบวนการยุติธรรมไทยจนจมธรณี 

เสียหายต่อหน้าต่อตาหนักขนาดนี้ แต่ 'พรรคส้มสามกีบ' ก็ยังเฉย สยบยอมเป็น 'พรรคขี้ข้านักโทษ' ในคราบ 'คนรุ่นใหม่จอมปลอม' หากินกับเงินเดือนภาษีประชาชนไปวัน ๆ เท่านั้นเอง 

ครม. ไฟเขียว ตั้งกองทุนใหม่ ‘Thai ESG Extra’ หวังโยกเงินจาก LTF จูงใจลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 แสนบาท

ครม.ไฟเขียว Thai ESG Extra โยกเงินจาก LTF เดิมเข้ากองทุนใหม่ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 แสนบาท พร้อมให้ซื้อกองทุนใหม่ได้ในวงเงินอีก 3 แสนบาท พร้อมลดหย่อนภาษีได้ “พิชัย” เชื่อชะลอแรงขายหุ้น สร้างความเชื่อมั่นเพิ่มในช่วงตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก

(11 มี.ค. 68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมเห็นการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนกองทุนใหม่ หรือเรียกว่ากองทุน “Thai ESG Extra” โดยกองทุนนี้จะรองรับเงินลงทุนของนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้น 2 ส่วนโดยส่วนแรกมาจากเงินลงทุนที่มาจากนักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ปัจจุบันมีวงเงินคงค้างอยู่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท โดยในส่วนนี้จะให้นักลงทุนโยกเงินจากกองทุน LTF มาอยู่ในกองทุน Thai ESG Extra โดยได้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 แสนบาท สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในปี 2568 ได้ 3 แสนบาท ส่วนที่เหลืออีก 2 แสนบาท จะให้ใช้สิทธิ์ในปีภาษีต่อๆไปปีละ 50,000 บาทจนครบจำนวน อีกส่วนหนึ่งจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESG Extra เพื่อลดหย่อนภาษีซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นเงินลงทุนใหม่โดยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 3 แสนบาทในปี 2568 โดยจะต้องซื้อหน่วยลงทุนภายในระยะเวลา 2 เดือน ในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย.ปีนี้

นายพิชัย กล่าวว่าปัจจุบันสถานการณ์ในตลาดหุ้นทั่วโลกถือว่ามีความผันผวนมากจากนโยบายของโดนัลก์ ทรัมป์ที่มีการปรับขึ้นภาษีกับคู่ค้า ล่าสุดในสหรัฐฯตลาดหุ้นก็ลดลงมากทั้งดัชนี Nasdaq และดาวน์โจนส์ ส่วนดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงโดยหุ้นไทยเคยลงมาอยู่ในระดับต่ำประมาณ 1,200 จุด ตอนนั้นเราทำกองทุนวายุกภักษ์ก็สามารถดึงดัชนีขึ้นไปได้ที่ประมาณ 1,400 จุดก่อนจะปรับลดลงมาที่ระดับ 1,200 จุดและได้รับผลกระทบจากข่าวสารภายนอก

ทั้งนี้รัฐบาลมีแนวคิดว่าในกองทุน ESG มีการเลือกหุ้นที่ดีมีอนาคต การเติบโตที่ยั่งยืน และมีการลงทุนในเทคโนโลยี ซึ่งถือว่ามีโอกาสเติบโตในอนาคต เมื่อมีความชัดเจนเรื่องนโยบายนี้ก็เชื่อว่าจะสามารถชะลอแรงขายของดัชนีหุ้นลงได้

ป.ป.ช. ปรับหลักเกณฑ์อยู่กินฉันสามีภริยา แต่ไม่จดทะเบียน หากเข้าข่าย 3 พฤติการณ์หลัก ให้ถือว่าเป็น ‘คู่สมรส’

ราชกิจจาฯ ประกาศ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ออกหลักเกณฑ์ใหม่ 'อยู่กินฉันสามีภริยา' โดยมิได้จดทะเบียนสมรส ยก '3 พฤติการณ์หลัก' ถือว่าเป็นคู่สมรส มีผลบังคับใช้แล้ว

(11 มี.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่อง หลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรส (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ลงนามโดย นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรส พ.ศ.2561

ทั้งนี้ เพื่อให้การประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรสดังกล่าว สอดคล้องกับพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2567

ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรส (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568”

ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ ให้ยกเลิกความในข้อ 3 แห่งประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรส พ.ศ.2561 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

“ข้อ 3 บุคคลซึ่งอยู่กินกันฉันคู่สมรสโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกับเจ้าพนักงานของรัฐ และมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ให้ถือเป็นคู่สมรสตามมาตรา102 วรรคสอง และมาตรา 126 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561

1.ได้ทำพิธีมงคลสมรสหรือพิธีอื่นใดในทำนองเดียวกันกับเจ้าพนักงานของรัฐ โดยมีบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลภายนอกรับทราบว่าเป็นการอยู่กินเป็นคู่สมรสกันตามประเพณี

2.เจ้าพนักงานของรัฐแสดงให้ปรากฏว่ามีสถานะเป็นคู่สมรสกัน หรือมีพฤติการณ์เป็นที่รับรู้ของสังคมทั่วไปว่ามีสถานะดังกล่าว

ทั้งนี้ ให้หมายความรวมถึงบุคคลซึ่งจดทะเบียนสมรสกับเจ้าพนักงานของรัฐและต่อมา ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกันตามกฎหมาย แต่ยังแสดงให้ปรากฏหรือมีพฤติการณ์ซึ่งเป็นที่รับรู้ของสังคมทั่วไปว่ามีสถานะเป็นคู่สมรสกัน”

กระทรวงอุตฯ เอาจริง!! นำทีมสุดซอยบุกตรวจโรงงานผิดกฎหมายในสมุทรสาคร ทลายแหล่งผลิตกล่องโฟมเถื่อน ยึดของกลางกว่า 4 ล้านชิ้น

(11 มี.ค. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการให้ทีมตรวจ 'สุดซอย' ลงพื้นที่ตรวจสอบ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร หลังได้รับเรื่องร้องเรียนผ่านไลน์ 'แจ้งอุต' ว่ามีการประกอบกิจการโดยไม่มีใบอนุญาต

จากการตรวจสอบพบว่า โรงงานที่ถูกร้องเรียนคือ บริษัท ไทยสมายล์ เทเบิลแวร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตกล่องโฟมและจานโฟมใส่อาหาร ใช้เครื่องจักรกำลังรวม 544.9 แรงม้า ซึ่งเข้าข่ายเป็นโรงงานลำดับที่ 53(1) และจัดเป็นโรงงานจำพวกที่ 3 แต่ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน นอกจากนี้ โรงงานดังกล่าวยังแสดงเครื่องหมาย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดยไม่ได้รับอนุญาต และจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้ผ่านการรับรอง

ทีมสุดซอยและเจ้าหน้าที่ได้ทำการ ยึดอายัดผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยรวม 10 รายการ จำนวน 4,093,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 2,281,150 บาท และได้ดำเนินคดีในข้อหาตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมมีคำสั่งให้ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนตาม พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ในส่วนของ การผลิตสินค้าที่ไม่ได้รับมาตรฐาน มอก. สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

นายพงศ์พล กล่าวเพิ่มเติมว่า การตรวจสอบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากเรื่องร้องเรียนที่ประชาชนแจ้งเข้ามาผ่านแพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' ซึ่งเป็นช่องทางร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาในภาคอุตสาหกรรมที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด โดยไม่ต้องทำหนังสือร้องเรียนเหมือนในอดีต

“ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนแล้วกว่า 682 เรื่อง ทำให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่มีปัญหาได้มากขึ้นและจัดการกับธุรกิจสีเทาในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างทันท่วงที”

ทั้งนี้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับโรงงานผิดกฎหมายหรือสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ผ่านไลน์ไอดี 'traffyfondue' โดยเลือกเมนู 'แจ้งอุต' และกดเลือกปัญหาที่พบ เพื่อให้กระทรวงอุตสาหกรรมส่งทีมสุดซอยลงพื้นที่ตรวจสอบทันที

“แพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ช่วยเปิดเผยปัญหาในภาคอุตสาหกรรมให้ชัดเจนขึ้น และทำให้ภาครัฐสามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้รวดเร็วและตรงจุด” นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย

THE STATES TIMES ผนึกกำลัง SPUTNIK ร่วมพัฒนาวงการสื่อสารมวลชนไทย

(11 มี.ค. 68) ครั้งแรกในประเทศไทย กับการผนึกกำลังของ 2 หน่วยงานด้านสื่อออนไลน์ ระหว่างสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES จากประเทศไทย กับ สำนักข่าว SPUTNIK ของรัสเซีย พร้อมด้วยวิทยาลัยผู้นำและนัวตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต 

จัดสัมมนา เผยแพร่ความรู้ด้านข่าวสาร ในหัวข้อ THE FUTURE JOURNALISM 2025 “AI กับ สื่อสารศาสตร์ยุคใหม่” 

โดยจะมีผู้ทรงคุณวุฒิมากมายหลายท่าน มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ด้านการสื่อสารยุคใหม่ อาทิ 
-ผศ.ดร. สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
-ฯพณฯ นายเยฟกินี โทมิคิน เอกอัครราชทูตแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ประจำราชอาณาจักรไทย
-อ.อนุสรณ์ ศรีแก้ว คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
-คุณวาซิลี พุชคอฟ ผู้อำนวยการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของสำนักข่าว SPUTNIK 
-คุณวินท์ สุธีรชัย กรรมการปรับปรุงและยกร่างกฎหมาย กระทรวงพลังงาน

ขณะที่ คุณวารินทร์ สัจเดว ผู้ประการข่าวและสื่อมวลชน รับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการตลอดทั้งงาน

ทั้งนี้ งานสัมมนาดังกล่าว จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 09:00 – 12:00 น. 
ณ ห้องประชุม 6-200 อาคาร Student Center (อาคาร 6) มหาวิทยาลัยรังสิต

‘สว.สงขลา’ ซัดรัฐบาลล้มเหลวดับไฟใต้ งบฯ  500 ล้านแต่การข่าวไร้ประสิทธิภาพ 

(11 มี.ค. 68) ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดให้สมาชิกหารือปัญหาความเดือดร้อน

โดยนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สว.หารือเรื่องความรุนแรงในจังหวัดภาคใต้ว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา เมื่อกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็น สามารถที่จะบุกเข้าไปกลางใจเมืองของอ.สุไหง-โกลก ซึ่งเป็นเมืองหลัก เมื่อเศรษฐกิจของ8หัวเมืองในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีการก่อวินาศกรรมเผา และวางระเบิด ที่ว่าการอำเภอ รวมทั้งสถานที่ราชการอื่นๆ ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง มีเจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิต ประชาชนได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ถ้าตนไม่หยิบเรื่องนี้มาพูด ก็เหมือนกับว่าตนและพื่อนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ละเลยต่อความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และไม่ได้ทำหน้าที่ในการควบคุมการบริหาราาชการแผ่นดินของรัฐบาล

นายไชยยงค์ กล่าวต่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เราเห็นถึง ความไร้ประสิทธิภาพในหลายส่วนในการแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดใช้แดนพักใต้เริ่มจากงานการข่าวเรามีงบการข่าวในการบูรณาการของจังหวัดใช้แดนภาคใต้ปีละถึง 500 ล้านบาท แต่ปรากฏว่างานการข่าวไม่มีประสิทธิภาพ เพราะคนร้ายยกขบวนนำระเบิดข้ามมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาก่อการร้ายในพื้นที่ของเมืองชายแดนในวันเกิดเหตุเกือบ 10 จุด แต่เราไม่ได้ข่าวความเคลื่อนไหวกลุ่มคนร้ายเลย ซึ่งตนมองว่าเรากำลังใช้งบประมาณการข่าวที่ไม่มีประสิทธิภาพ และ หน่วยงานของรัฐในพื้นที่ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันหน่วยงานของตนเองเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองปล่อยให้คนร้ายสามารถบุกเข้าไปก่อวินาศกรรมในสำนักงานที่ว่าการอำเภอของตนเองได้โดยไม่มีการตั้งรับและไม่มีแผนเผชิญเหตุ ซึ่งภาพที่ปรากฏจากกล้องวงจรปิดเผยแพร่ไปทั่วประเทศทำให้เห็นชัดว่าฝ่ายปกครองยังไม่มีความพร้อมในการที่จะรับมือกับกลุ่มก่อการร้ายขบวนการบีอาร์เอ็น

นายไชยยงค์ กล่าวด้วยว่า เรื่องทั้งหมดแสดงว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องของการสร้างมวลชนการแย่งชิงมวลชนในพื้นที่จังหวัดใช้แดนพักใต้ที่ไปทำหน้าที่อยู่ในพื้นที่ประสบความล้มเหลวในการแก้ปัญหาในสถานที่บ่มเพาะของขบวนการในการดึงประชาชนกลับมาเป็นคนของเราวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ด้านความมั่นคง แต่ส่งผลกระทบกับวิถีชีวิตของประชาชนกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าการท่องเที่ยวที่เกิดมาพร้อมกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพราะประเทศมาเลเซียได้ออกแถลงการณ์ห้ามคนของเขาเดินทางเข้ามายัง จังหวัดแดนภาคใต้ของไทย

“สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดผมอยากถามไปยังรัฐบาลว่าวันนี้สถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่เรื่องของ ความไม่สงบแต่เป็นเรื่องของสถานการณ์ของการก่อการร้ายรัฐบาลต้องยอมรับความจริงและจะต้องหาเครื่องมือให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ วันนี้ ป.วิอาญาที่มีอยู่ใช้กับอาชญากรรมธรรมดา และเมื่อเราใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.ก.ความมั่นคง หรือกฎอัยการศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ล้าหลังเป็นกฎหมายเรียกแขก ทั้งโลกเขาเลิกใช้แล้ว แต่เราเอากฎหมายเหล่านี้มาใช้เมื่อไรก็กลายเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตี ให้เอ็นจีโอ กลุ่มสิทธิมนุษยชน และปีกทางการเมืองของ บีอาร์เอ็น กล่าวหาโจมตีเรา ผมขอถามว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลจะตระหนักถึงเรื่องนี้และมีการออกกฎหมายการก่อการร้ายมาใช้เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น รัฐบาลคิดแล้วหรือยังว่าปัญหาที่เกิดขึ้นควรจะมีรั้วชายแดนที่มีการปักปันเขตแดนกลับมาเลเซียแล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งอาวุธต่างๆก็ขนมาจากประเทศเพื่อนบ้าน กองกำลังติดอาวุธอาวุธเมื่อปฏิบัติการเสร็จก็กลับไปนอนตีพุงอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน เห็นว่าเราไม่มีปัญญาและล้มเหลวในการซีลชายแดน” นายไชยยงค์ กล่าว

นย.เตรียมฝึกร่วม Blue strike ณ ประเทศจีน

พล.ร.ต.โยธิน ธนะมูล ผู้บัญชาการกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (ผบ.พล.นย.) เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกเตรียมก่อนการฝึกผสม กองทัพเรือไทย-กองทัพเรือสาธารณรัฐ ประชาชนจีน (ทร.ไทย - ทร.สปจ.) 'BLUE STRIKE 2025' ณ ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า กองพลนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 

การฝึกผสมระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสาธารณรัฐ ประชาชนจีนนั้น เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2548 ภายใต้รหัสการฝึก "PASSEX" หรือ "Passing Exercise" ซึ่งเป็นการฝึกการสื่อสารระหว่างเรือ ต่อมาเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2550 ได้มีการหารือร่วมกันถึงการฝึกผสมระหว่างหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินของไทย กับนาวิกโยธินของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยในการประชุมร่วมทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการฝึก ซึ่งมีวงรอบในการฝึกทุก 2 ปี และจะมีการผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพในการฝึกแต่ละครั้ง 

จากนั้น ในเดือนพฤศจิกายน 2553 จึงมีการฝึกผสมร่วมกันเป็นครั้งแรก ภายใต้รหัสการฝึก BLUE STRIKE 2010 ซึ่งใช้พื้นที่ในการฝึกบริเวณจังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี และอ่าวไทยตอนบน และฝึกร่วมกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ครั้งนี้นับเป็น ครั้งที่ 6 ไปฝึกที่เมืองจ้านเจียง สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ในเร็วๆ นี้

โดยมีวัตถุประสงค์ของการฝึกร่วมฯ เพื่อ

1.สถานียุทธวิธีทหารราบยานเกราะ VN16 และกำลังพลประจำรถของไทย ได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆ เพิ่มเติม ซึ่งไม่เคยได้รับการถ่ายทอดความรู้จาก บริษัท ผู้ผลิตยานเกราะฯ อันได้แก่ เทคนิคการขับเทคนิคการใช้อาวุธ การลากจูง การซ่อมแซมชิ้นส่วนชำรุด ตลอดจนการปรนนิบัติบำรุงที่สำคัญทำให้กำลังพล มีความมั่นใจในการปฏิบัติงานกับยานเกราะฯ ทั้งในน้ำและบนบก เพิ่มมากขึ้น /ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน
2.การฝึกของทหารราบ ซึ่งทำการฝึกแบบเวียนสถานี ฝ่ายไทยเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนความรู้ด้านต่างๆ ทั้งองค์บุคคล องค์วัตถุ และองค์ยุทธวิธี รวมถึงเรียนรู้เทคโนโลยีจาก สปจ. ซึ่งนอกจากสิ่ง ที่ได้กล่าวมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกคือมิตรภาพระหว่าง ทร.ไทย - ทร.สปจ. ดังคำกล่าวที่ว่าไทยจีนพี่น้องกัน ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น

ประโยชน์ที่ได้รับ คือ
- เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์มิตรภาพที่ดีระหว่าง นย.ไทย กับ ทร.สปจ.
- เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติทางยุทธวิธีของหน่วยขนาดเล็ก
- เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เสริมสร้างทักษะ และประสบการณ์ทางด้านเทคนิคของอาวุธ ยุทโธปกรณ์สมัยใหม่
- เพื่อพัฒนาองค์บุคคล องค์วัตถุ และองค์ยุทธวิธี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และ วิทยาการสมัยใหม่
- เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความประสานสอดคล้อง ในการปฏิบัติการรบผสมหน่วย/เหล่า

กรมศุลกากรขานรับนโยบายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยึดบุหรี่ไฟฟ้าผ่านแดน กว่า 2 แสนชิ้น มูลค่า 33.07 ล้านบาท

วันจันทร์ที่ (10 มี.ค. 68) นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระ ทรวงการคลัง นายสุรชาติ เทียนทอง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ปฏิบัติหน้าที่เลขานุ การรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) นายพลนขชา จักรเพ็ชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมแถลงข่าว "กรมศุลกากรขานรับนโยบายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดบุหรี่ไฟฟ้าผ่านแดน กว่า 2 แสนชิ้น มูลค่า 33.07 ล้านบาท" โดยมี นายชัยพร แพภิรมย์รัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายธีรัชย์ อัตนวานิชอธิบดีกรมศุลกากร พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายดิเรก คชารักษ์ รองอธิบดีกรมศุลกากร พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรีผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่ง ชาติ สำนักงานตำรวจแห่วจแห่งชาติ และพล.ต.ท. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการดำรวจภูธรภาค 2 ณ ศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากร สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี

ตามนโยบายรัฐบาลโดยการนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานภาครัฐบูรณาการความร่วมมือเดินหน้าปราบปราม หยุดยั้งการลักลอบผลิต นำเข้าหรือจำหน่ายเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิด โดยให้เร่งดำเนินการจับกุมและเร่งสร้างภูมิคุ้มกันในการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนให้แล้วเสร็จภายใน 30 นั้น กรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง และกองสืบสวนและปราบปราบปรามกรมสอบ สวนคดีพิเศษ สถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี สถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง และตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับกันตรวจ สอบตู้สินค้าผ่านแดน จำนวน 1 ผู้คอนเทนเนอร์ ณ ท่าเรือ LCMT (A0) สำนักงานศุลกากากรท่าเรือแหลมฉบัง ประเทศต้นทางจาก CHINA ส่งไปยังประเทศ Myannar นำเข้าสินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบัง และจะไปทำการตรวจปล่อยที่ด่านศุลกากรแม่สอด สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3 โดยสำแดงสินค้าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุป กรณ์ทางการแพทย์ส่วนประกอบรถยนต์ เครื่องจักรและอื่น ๆ จำนวน 1,173 กล่อง ผลการตรวจสอบพบบุหรี่ไฟฟ้าชนิดใช้แล้วทิ้ง 6,000 ชิ้น มูลค่า 1,200,000 บาท น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 6,000 ชิ้น มูลค่า 900,000 บาท หัว พ็อดบุหรี่ไฟฟ้าที่ภายในบรรจุน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า190,100 ชิ้น มูลค่า 28,515,00 บาท และเครื่องบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 8,200 ชิ้น มูลค่า 2,460,000 บาท รวมทั้งหมด 210,300 ชิ้น มูลค่ารวม 33,075,000 บาท ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และเป็นของต้องห้ามตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง สินค้าต้องห้ามนำผ่านราขอาณาจักร พ.ศ. 2559 ประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากูไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้าในราชอาณาจักร พ.ศ.2557

สำหรับของกลางที่ตรวจยึดได้ดังกล่าวกรมศุลกากรจะได้ประเมินราคาเพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อดำเนินคดี โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้เร่งทำการสืบสวนสอบสวนและขยายผลไปยังตัวการ ผู้ใช้และผู้สนับสนุน ภายได้การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องและมาตรการพิเศษอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top