Saturday, 10 May 2025
TheStatesTimes

‘ทรัมป์’ เล็ง!! ยกเลิกสถานะ ‘ผู้ลี้ภัยยูเครน’ 2.4 แสนคน ในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการกลับลำ!! จากนโยบายต้อนรับชาวยูเครนในสมัย ‘โจ ไบเดน’

(8 มี.ค. 68) แผนการยกเลิกการคุ้มครองชาวยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ที่จะยกเลิกสถานะทางกฎหมายของผู้อพยพกว่า 1.8 ล้านคน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าสหรัฐฯ ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมชั่วคราว ซึ่งริเริ่มในสมัยรัฐบาลไบเดน

เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์และแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งเปิดเผยว่า รัฐบาลมีแผนจะเพิกถอนสถานะพักพิงของชาวคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา ราว 530,000 คน ภายในเดือนนี้ โดยแผนการเพิกถอนสถานะพักพิงของคนกลุ่มนี้รายงานครั้งแรกโดยสำนักข่าว CBS News

อีเมลภายในของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) ที่รอยเตอร์ได้รับ ระบุว่า ผู้อพยพที่ถูกเพิกถอนสถานะพักพิงอาจเผชิญกระบวนการเนรเทศแบบเร่งด่วน

ทั้งนี้ โครงการของไบเดนเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างช่องทางทางกฎหมายชั่วคราว เพื่อป้องกันการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

นอกจากชาวยูเครน 240,000 คน ที่หนีภัยจากการรุกรานของรัสเซีย และชาวคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา 530,000 คนแล้ว โครงการเหล่านี้ยังครอบคลุมชาวอัฟกานิสถานกว่า 70,000 คน ที่หลบหนีจากการยึดครองของกลุ่มตาลีบัน

อันดรีย์ โดบรีอันสกี ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของคณะกรรมการชาวยูเครนแห่งอเมริกา กล่าวว่า “คนเหล่านี้จำนวนมากไม่มีบ้านให้กลับไป เรากำลังพูดถึงคนที่เมืองทั้งเมืองถูกทำลายจนราบ เราจะส่งพวกเขากลับไปที่ไหนกัน ไม่มีอะไรเหลือแล้ว”

‘DAD NIDA’ หลักสูตรการเรียน ที่เข้มข้น!! สำหรับ ‘ผู้บริหารรุ่นใหม่’ รุ่นที่ 10 สร้างคอนเนคชัน!! อัปเกรดความรู้ เทรนด์ใหม่ เพื่อ ‘โลกดิจิทัล’ แห่งอนาคต

หลักสูตรที่ รวมเครือข่าย ‘ผู้นำยุคใหม่’ จากทุกวงการ

หลักสูตรที่ มีกิจกรรมเสริม ‘สร้างมิตรภาพ กระชับความสัมพันธ์’

หลักสูตรที่ เปิดโอกาสให้ ‘ลงมือปฏิบัติจริง’

นี่คือ ‘หลักสูตร DAD NIDA’

หลักสูตร DAD เป็นหลักสูตรสำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ มุมมองใหม่ ทักษะและความสามารถเชิงพฤติกรรมผ่านการถ่ายทอดจากกูรูชั้นนำระดับประเทศจากทุกวงการ 

เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารและพัฒนาองค์กรในยุค Digital Transformation อีกทั้งยังพัฒนาทักษะที่สำคัญในยุค Digital ผ่านการร่วมกิจกรรม Design Think Workshop ที่ช่วยให้เข้าใจถึงแนวทางพื้นฐานในการแก้ปัญหาในองค์กร และกิจกรรม Bootcamp ที่ผู้เข้าอบรมจะได้นำความรู้จากกลุ่มวิชาต่าง ๆ มาลงมือปฏิบัติงานจริง ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างเครือข่ายผู้เข้าอบรมต่อไปในอนาคต

โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โลกแห่งเทคโนโลยี ต้องอัปเดตสกิลอยู่เสมอ

‘ผู้นำยุคดิจิทัลต้องไม่เดินลำพัง’

‘DAD NIDA’ ให้คุณเรียนรู้ เติบโต พร้อมสร้างเครือข่ายคุณภาพ ที่จะพาคุณไปไกลกว่าที่เคย

สร้างมิตรภาพ คอนเนคชัน ‘ระดับผู้นำ’

อัปเกรดความรู้ เทรนด์ใหม่ Soft Skills ‘เพื่ออนาคต’

ถ้าคุณอยากจะเป็น ‘ผู้นำที่โดดเด่น’ ในยุคดิจิทัล

นี่คือหลักสูตรที่จะพาคุณไปสู่ ‘ความสำเร็จ’

สมัครได้แล้ววันนี้ – 30 เมษายน 2568 

ลงทะเบียน คลิก https://forms.gle/roAqiV7U1p4oCdSa

รายละเอียดเพิ่มเติม www.dadnida.com หรือ โทร 092-728-6722 | Line: @dadnida 

‘นายกฯ แพทองธาร’ ปลื้ม!! ‘เมืองเก่าน่าน - เชียงคาน’ แหล่งท่องเที่ยวไทย!! คว้า 2 รางวัลใหญ่ ระดับโลก

เมื่อวันที่ (6 มี.ค.68) เวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ของกรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน ITB Berlin 2025 งานมหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในโลก

ในโอกาสนี้ นายกฯ ได้เยี่ยมชมคูหาประเทศไทย และบูธนิทรรศการขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. พร้อมแสดงความยินดีที่ อพท. เป็นตัวแทนแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษ เข้ารับรางวัลแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก 2 รางวัล จาก Green Destinations ได้แก่ 'เมืองเก่าน่าน' รางวัล Green Destinations Award ระดับเหรียญทองซึ่งนับเป็นแห่งเดียวของเอเชียและแห่งแรกของอาเซียน และ 'เชียงคาน' รางวัล Green Destinations Top100 Story Awards อันดับที่ 2 ของโลก ตอกย้ำผลสำเร็จตามนโยบายรัฐบาลให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางทางการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพในระดับสากล

นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ประธานกรรมการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนกล่าวว่า นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญของประเทศไทย ในการสร้างภาพลักษณ์ ยกระดับแหล่งท่องเที่ยวไทยสู่มาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในระดับสากล รางวัลเหรียญทอง Green Destinations ที่เมืองเก่าน่าน (เมืองเก่าที่มีชีวิต) ได้รับในครั้งนี้นับเป็นรางวัลที่มีมาตรฐานเข้มข้น ที่สะท้อนถึงความสำเร็จในการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่าง อพท. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืนตามมาตรฐานสากล ชูความโดดเด่นด้านการจัดการแหล่งท่องเที่ยว (Destination Management) เพราะปัจจุบันมีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับรางวัลเพียง 160 แหล่งจากทั่วโลก รวมถึง“เชียงคาน” ที่ปีนี้ได้รับรางวัล Green Destinations Top100 Story Awards อันดับที่ 2 ของโลก ในหมวด Thriving Communities ประเด็น เมื่อคูปองอาหารเช้ากลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชียงคาน ซึ่งเป็นเรื่องราวเล็ก แต่สามารถช่วยให้เกิดการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวของเมืองเชียงคานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นผลสำเร็จที่ทำให้ได้รับรางวัลในครั้งนี้

ดร. ชูวิทย์ มิตรชอบ รองผู้อำนวยการ อพท. รักษาการแทนผู้อำนวยการ อพท. กล่าวเพิ่มเติมว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ นอกเหนือจากการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนและชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่แล้ว ในระดับนโยบาย หน่วยงานภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการและต่อยอดขยายผลเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันโดยมี อพท.เป็นหน่วยงานต้นน้ำในการบูรณาการการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสู่มาตรฐานสากล กรมการท่องเที่ยวเป็นหน่วยงานกลางน้ำในการรับรองมาตรฐานทางการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวแห่งประไทยเป็นหน่วยงานปลายน้ำที่มีบทบาทสำคัญในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวไปยังกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ เพื่อยกระดับพื้นที่เมืองเก่าน่าน จังหวัดน่าน เชียงคาน จังหวัดเลย และแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่อื่นๆ ที่ได้รับมาตรฐานและรางวัลในระดับสากล นำเสนอพื้นที่พิเศษซึ่งเป็นเมืองน่าเที่ยว ให้เป็นที่รู้จักและเกิดการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว และการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวไปยังชุมชนท้องถิ่น สร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล 

สำหรับบูธนิทรรศการครั้งนี้ อพท. ได้นำเสนอข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพที่ผ่านกระบวนการพัฒนาของ อพท.โดยใช้เกณฑ์ของสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก (GSTC) และนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ พร้อมนำเสนอกิจกรรม Creative Tourism โดยสาธิตและให้ผู้ร่วมงานได้ระบายสี Art Toy หัวเรือแข่งพญานาคเมืองน่านจำลอง ออกแบบและผลิตโดยกลุ่มนักออกแบบชาวน่าน นับเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่ตอบรับกระแสความนิยมบนฐานอัตลักษณ์เมืองน่านที่มีความสวยงามและมีเรื่องราวของประเพณีการแข่งเรือของชาวน่าน และได้ร่วมประชุมหารือความร่วมมือกับหน่วยงานพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในระดับนานาชาติ ได้แก่ สมาคมท่องเที่ยวเชิงนิเวศเอเชีย (AEN) และองค์กร Green Destinations เป็นต้น

‘เคทีซี’ ยืนหนึ่ง!! ในทำเนียบ The Sustainability Yearbook 2025 อย่างต่อเนื่อง สะท้อน!! ถึงความสำเร็จ ในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยธรรมาภิบาล

(8 มี.ค. 68) เคทีซีได้รับเลือกจาก S&P Global ให้เข้าทำเนียบ Sustainability Yearbook 2025 อย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มอุตสาหกรรม Diversified Financial Services and Capital Markets และยังคงเป็นสมาชิกรายเดียวในประเทศไทยท่ามกลาง 780 บริษัททั่วโลก ที่มีคะแนนประเมินความยั่งยืนอยู่ในอันดับ 15% แรกของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน 

นางรจนา อุษยาพร ผู้บริหารสูงสุด สายงานการเงิน 'เคทีซี' หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “การที่เคทีซีได้รับคัดเลือกให้อยู่ในทำเนียบ Sustainability Yearbook 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แสดงถึงความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจ โปร่งใส และสอดคล้องกับกรอบการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล ภายใต้กลยุทธ์ 'Better Products and Services', 'Better Quality of Life' และ 'Better Climate' เพื่อส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการเงิน อีกทั้งร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยปีนี้มีบริษัทมากกว่า 7,690 แห่ง จาก 62 อุตสาหกรรมทั่วโลก ที่เข้าร่วมการประเมินความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Assessment: CSA) และได้ถูกคัดเลือกให้เข้าทำเนียบนี้ โดย S&P Global ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่รายชื่อและข้อมูลขององค์กรที่มีการบริหารจัดการความเสี่ยงและความยั่งยืน เพื่อให้นักลงทุนทั่วโลกสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

‘Zuchongzhi-3’ คอมพิวเตอร์ควอนตัมใหม่ของจีน ทำลายสถิติของ Google ถึงล้านเท่า เร็วกว่า!! ‘ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุด’ ถึง 15 เท่า ถือเป็นการก้าวกระโดด ครั้งยิ่งใหญ่

(8 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ โพสต์ข้อความระบุว่า ...

จีนเพิ่งแซงหน้าในการแข่งขันด้านควอนตัม ด้วยการเปิดตัว Zuchongzhi-3 ซึ่งเป็นเครื่องที่มีคิวบิต 105 ตัว ซึ่งทำให้โปรเซสเซอร์ Sycamore ของ Google ดูช้า

นักวิจัยกล่าวว่าเจ้าควอนตัมตัวนี้ทำการคำนวณได้เร็วกว่าผลลัพธ์ล่าสุดของ Google ถึง 1 ล้านเท่า และเร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดถึง 15 เท่า ด้วยอำนาจสูงสุดของควอนตัมที่อยู่ในสภาวะเสี่ยง ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของจีนกำลังก่อให้เกิดสัญญาณเตือนภัยในโลกแห่งเทคโนโลยี ด้าน The Independent เผย จีนก้าวกระโดดในการแข่งขันด้านอาวุธคอมพิวเตอร์ควอนตัม

Zuchongzhi-3 ของจีนเพิ่งจะแซงหน้าการประมวลผลแบบคลาสสิกไปเมื่อไม่นานนี้ โดยสามารถรันงานต่าง ๆ ได้เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นนำในปัจจุบันถึงหลายล้านล้านเท่า 

ทำลายสถิติควอนตัมล่าสุดของ Google ได้ถึง 6 อันดับ ตามคำกล่าวของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน:

“เราได้ดำเนินการสุ่มวงจรในระดับที่ใหญ่กว่าที่ Google เคยทำได้สำเร็จก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างความสามารถในการคำนวณระหว่างการประมวลผลแบบคลาสสิกและแบบควอนตัมกว้างขึ้น”

นี่ไม่ใช่แค่ความยืดหยุ่น - จีนกำลังก้าวไปข้างหน้าในการแข่งขันด้านอาวุธควอนตัมด้วยความก้าวหน้าที่จะช่วยปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของ AI การค้นพบยา และอนาคตของการประมวลผลข้อมูล

‘ธ.ก.ส.’ จัด ‘สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์’ กู้ซื้อที่ดิน!! ทำการเกษตร 8 ล้านบาท หนุนวัยใกล้เกษียณ!! ทำการเกษตรคู่ขนาน รองรับการเข้าสู่ Aging Society

(8 มี.ค. 68) นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้มีรายได้ประจำเป็นรายเดือน สามารถวางแผนการสร้างรายได้คู่ขนานจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม หรืออาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรในวัยก่อนและหลังเกษียณ รองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) เพิ่มการเกษตรที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างสินค้าเกษตรมูลค่าสูง ลดปัญหาโลกร้อนและฝุ่น PM 2.5 ธ.ก.ส.

จึงได้จัดโครงการสินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ ให้กับบุคลากรภาครัฐหรือพนักงานองค์กรเอกชน อายุตั้งแต่ 50-59 ปี ที่มีรายได้ประจำเป็นรายเดือน เพื่อนำไปเป็นค่าลงทุนซื้อที่ดินทางการเกษตรเพื่อประกอบอาชีพภาคการเกษตรและอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง เนื้อที่ไม่เกิน 20 ไร่ วงเงินกู้รายละไม่เกิน 8,000,000 บาท ทั้งนี้ ผู้กู้ต้องนำรายได้เข้าบัญชี เพื่อหักชำระหนี้เป็นรายเดือน มีแผนการประกอบธุรกิจ หรืออาชีพเกษตรกรรม หรืออาชีพที่เกี่ยวเนื่องในภาคเกษตรกรรม ตั้งแต่ก่อนและหลังเกษียณอายุ

โดยสามารถเริ่มดำเนินโครงการตามแผนที่วางไว้ได้ภายใน 3 เดือน นับถัดจากวันที่รับเงินกู้ รวมถึงมีแผนชำระเงินกู้ก่อนการเกษียณอายุด้วยเงินเดือนหรือรายได้ประจำ และแผนชำระเงินกู้หลังจากเกษียณอายุจากรายได้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง อัตราดอกเบี้ย MRR -2 ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR เท่ากับร้อยละ 6.725 ต่อปี) หรือเท่ากับร้อยละ 4.725 ต่อปี ในช่วง 5 ปีแรก และปีที่ 6 เป็นต้นไป อยู่ที่ MRR ต่อปี กำหนดชำระคืนไม่เกิน 20 ปี นับตั้งแต่วันกู้ กรอบวงเงินสินเชื่อรวม 37,500 ล้านบาท

“โครงการสินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ นอกจากจะส่งเสริมให้ผู้มีรายได้ประจำที่เตรียมแผนเกษียณอายุมีรายได้คู่ขนานจากการทำการเกษตร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตหลังเกษียณแล้ว ยังช่วยให้ผู้ที่เป็นเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงมีรายได้เสริมจากการจ้างงานในการทำการเกษตรและดูแลพื้นที่เพาะปลูกให้กับผู้กู้ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจระดับชุมชนต่อไป” นายฉัตรชัยกล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขาทั่วประเทศ และอนุมัติเงินกู้ภายใน 31 มีนาคม 2572 (เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด)

มันจบแล้วกี้ บทเรียนของ ‘ขี้ข้า’ ประเทศมหาอำนาจ หลัง ‘เซเลนสกี’ ถูกถีบออกมาจาก ‘ห้องทำงานรูปไข่’

เป็นมีมไปทั่วโลกหลังที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกประธานาธิบดีของยูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกีไปหารือแต่สุดท้ายกลายเป็นภาพที่เซเลนสกีถูกถีบออกมาจากห้องทำงานรูปไข่ นั่นทำให้ประเทศอื่นๆที่ยืนเคียงข้างยูเครนอย่างยุโรปสั่นคลอน เพราะหากมองกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของสงครามคือการที่ยูเครนต้องการจะเข้านาโต้ โดยการสนับสนุนจากชาติสมาชิกนาโต้โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในเวลานั้น

ย้อนกลับไปในการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO (North Atlantic Treaty Organization) ประจำปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 9-11กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการประกาศถึงกร้าวในที่ประชุม NATO ระบุข้อความชัดเจนในปฏิญญาวอชิงตันว่า “พันธมิตร NATO จะยับยั้งและป้องกันภัยคุกคามทางอากาศและขีปนาวุธทั้งหมดด้วยการปรับปรุงการป้องกันทางอากาศและขีปนาวุธแบบผสมผสาน” และยืนยันว่า “NATO ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อรับประกันความน่าเชื่อถือ ความมีประสิทธิผล ความปลอดภัย และความมั่นคงของภารกิจป้องปรามด้วยนิวเคลียร์” โดยขณะนั้นพี่ใหญ่ของนาโต้คือ สหรัฐอเมริกา นั่นเอง

คำถามคือเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน นโยบายระดับชาติเปลี่ยนได้หรือ….?

ต้องยอมรับข้อหนึ่งว่าชาติสมาชิกนาโต้ในยุโรปต้องไขว้เขวเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นมาและประกาศกร้าวว่าจะเป็นคนกลางเพื่อจบปัญหาสงครามยูเครน จุดนี้นี่แหละที่ทำให้การสนทนา 10 นาทีสุดท้ายเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนและสหรัฐจาก ดีล เป็น โดดเดี่ยว  หากมองว่ามาถึงวันนี้ที่ยูเครนเข้าประเทศชาติ และพลเรือนมาเป็นตัวแปรในขณะที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย แถมยังมาขอเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่วันนั้นสัญญาว่าจะให้เองตามที่ปรากฏในหน้าสื่อ ทำให้เซเลนสกี ถึงเลือกที่จะพูดว่าก็ใช่ไงสงครามมันไม่ได้เกิดที่หน้าบ้านคุณนี่ และคำนี้นี่แหละที่ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์สติหลุด

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์มา อเมริกาก็ซ่อนตัวอยู่หลังสงครามมาตลอด แม้ฝ่ายตนจะบอบช้ำจากการทำสงครามแต่หากเทียบกับคนในประเทศที่อเมริกาไปทำสงครามนั้น เทียบความสูญเสียกันไม่ได้เลยแถมการทำสงครามที่ผ่านมาหลายครั้งอเมริกาเลือกจะใช้วิธีการใช้ตัวแทนในการทำสงครามไม่ว่าจะในยูเครน ตะวันออกกลางหรือแม้กระทั่งใกล้บ้านเราอย่างผู้ก่อการร้ายทางภาคใต้หรือข้างบ้านเราอย่างสงครามระหว่างกองทัพกะเหรี่ยงและกองทัพเมียนมา  หลายครั้งจะเห็นได้ว่าการที่ฝ่ายต่อต้านมีอาวุธที่ทันสมัยขนาดกองทัพเมียนมายังไม่มีนั่นคงไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆกองกำลังเหล่านี้จะสามารถผลิตมันขึ้นมาเองได้หากไม่ได้มีเงินทุนจัดหาและสนับนุน

จากที่มีรายการรายงานเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า มีการตรวจพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่ากลุ่ม NGO สัญชาติอเมริกันและ USAIDS ให้การสนับสนุนทั้งด้านเงินทุนและยุทโธปกรณ์ให้กับเครือข่ายกบฏในพื้นที่ โดยหลักฐานที่พบประกอบด้วยเอกสารการโอนเงิน จากเครือข่าย NGO และ USAIDS ไปยังบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มกบฏ  อาวุธและอุปกรณ์สื่อสาร บางส่วนที่ตรวจพบมีเครื่องหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ NGO ต่างชาติ  รวมถึงข้อมูลปฏิบัติการลับ ที่บ่งชี้ว่าเงินทุนที่ได้รับจากองค์กรเหล่านี้ ถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย  นั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรเหล่านี้เคลื่อนไหวภายใต้คำสั่งลับของสหรัฐฯนั่นเอง  เช่นกันในฝั่งเมียนมาก็มีรายงานว่าองค์กร NGO อย่าง Free Burma Ranger ก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่รับเงินทุนจาก NGO เหล่านี้ด้วยเช่นกันในการสนับสนุนสงครามให้แก่กองกำลังกะเหรี่ยงที่ทำสงครามกับกองทัพเมียนมาในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ทรัมป์มองออกว่าการที่เขาจ่ายเงินไปในสงครามแบบนี้มันคือการจ่ายเงินไปให้คนอื่นใช้แต่ผลที่ได้ในแต่ละที่ไม่ได้เกิดประโยชน์กับสหรัฐฯอย่างเป็นรูปธรรมเลย หากสหรัฐฯจะมองใหม่ว่าเข้าไปขอคืนดีกับผู้นำกองทัพเมียนมาและช่วยเมียนมาแก้ปัญหาภายในประเทศนั่นอาจจะทำให้เมียนมามีทางเลือกที่จะไม่ไปคบค้ากับจีนและรัสเซียมากไปกว่านี้  ซึ่งน่าจะเป็นการหยุดการแผ่ขยายอำนาจของจีนและรัสเซียในภูมิภาคนี้ได้ด้วย

สุดท้ายเอย่าก็หวังแค่ว่ากลุ่มกองกำลังทั้งหลายคงได้ตระหนักถึงสิ่งที่สหรัฐฯ กระทำกับยูเครน  หากกองกำลังเหล่านั้นคิดแค่เพียงว่า “สู้แล้วรวย” คนซวยคือชาวบ้านที่เป็นกองเชียร์ต่อไป แต่หากคิดได้ว่าที่เขาให้มาไม่มีอะไรฟรี  หากคิดถึงคนของตัวเองในวันที่สหรัฐฯจะมาขอค่าอาวุธคืนโดยจ่ายเป็นทรัพยากรที่คุณมี  คุณจะยอมไหม  อย่างน้อยวันนี้กี้ก็เห็นธาตุแท้ของอเมริกาแล้ว

จำคุก!! คดี ม.116 ‘อานนท์-ณัฐชนน-ไฟซ้อน-ลูกมาร์ค’ 1 ปี ก่อนลดเหลือ 9 เดือน จากกรณี ชุมนุมปราศรัย สร้างความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง ทำลายสถาบันกษัตริย์

เมื่อวานนี้ (7 มี.ค. 68) ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดฟังคำพิพากษาในคดีข้อหาหลักตามมาตรา 116 ของนักกิจกรรม 9 ราย กรณีชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จำเลยในคดีนี้ทั้ง 9 คน ประกอบด้วย 'รุ้ง' ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, 'ไมค์' ภาณุพงศ์ จาดนอก, อานนท์ นำภา, ณัฐชนน ไพโรจน์, 'เพนกวิน' พริษฐ์ ชิวารักษ์, 'บอล' ชนินทร์ วงษ์ศรี, 'ไฟซ้อน' สิทธินนท์ ทรงศิริ, 'ลูกมาร์ค' และ 'สาธร' (นามสมมติ) 

สำหรับการชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เป็นการจัดชุมนุมในมหาวิทยาลัยซึ่งมีผู้ขึ้นปราศรัยมาจากหลากหลายกลุ่ม เพื่อเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ, ยุบสภาและหยุดคุกคามประชาชน รวมทั้งยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งในวันดังกล่าวได้มีการอ่าน ‘ประกาศกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฉบับที่ 1’ ซึ่งมีรายละเอียดเป็นข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวน 10 ข้อ 

ศาลเห็นว่าการปราศรัยมุ่งประสงค์สร้างความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง ทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันกษัตริย์ แต่ยกฟ้อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ-พ.ร.บ.คอมฯ 

ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 18 จำเลยทั้งหกคนได้แก่ ณัฐชนน, ชนินทร์, ไฟซ้อน, ลูกมาร์ค และ “สาธร” ทยอยเดินทางมาฟังยังห้องพิจารณาคดี ต่อมาอานนท์ถูกเบิกตัวมาที่ห้องพิจารณาคดีโดยมีเครื่องพันธนาการเป็นกุญแจข้อเท้า โดยพบว่ามีคิ้วข้างขวาที่ถูกโกน ซึ่งมีเหตุมาจากการประท้วงศาลของเขาในคดีละเมิดอำนาจศาลเมื่อวันพุธที่ผ่านมา 

ขณะเดียวกันยังมี 'แอมป์' ณวรรษ ถูกนำตัวมาห้องพิจารณาคดีเดียวกัน เนื่องจากมีนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานในคดีมาตรา 112 กรณีกิจกรรมหน้า สภ.คลองหลวง อีกคดีหนึ่ง

สำหรับวันนี้มีประชาชนและเพื่อนของจำเลยมาร่วมให้กำลังใจด้วยกว่าสิบคน อีกทั้งยังมีจำเลยในคดีมาตรา 112 ดังกล่าวอีก 3 คน ที่มารอการตรวจพยานหลักฐานด้วย ทำให้ห้องพิจารณาในวันนี้เต็มไปด้วยจำเลยในคดีทางการเมือง

เวลาประมาณ 10.25 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์ และแจ้งว่าจะอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ก่อนที่จะตรวจพยานฯ ในคดีมาตรา 112 อีกคดีหนึ่ง ก่อนที่จะขานชื่อจำเลยทีละคนและให้ยืนขึ้นฟังคำพิพากษา ซึ่งสรุปเป็นใจความสำคัญ ได้ดังนี้

• ข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 

เห็นว่าการชุมนุมตามฟ้อง มีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้ตรวจอุณหภูมิตรงทางเข้าที่ชุมนุม ส่วนในลานพญานาคเป็นที่โล่งกว้าง อากาศถ่ายเท เมื่อเปรียบเทียบกับที่ชุมนุมนั้นไม่คับแคบ ไม่ได้อยู่หนาแน่นที่เสี่ยงต่อการใกล้ชิดสัมผัสกัน ผู้ชุมนุมสามารถเดินไปมาได้ และผู้ชุมนุมส่วนใหญ่สวมหน้ากากอนามัย แม้มีบางคนไม่สวมหน้ากากอนามัย แต่ก็เป็นส่วนน้อย ไม่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-2019 ทั้งยังไม่ปรากฏว่าในวันเกิดเหตุจะมีเหตุไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้น 

ถือว่าจำเลยที่ 1, 3, 4, 6-9 ในฐานะผู้จัด ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งเจ็ดชุมนุมในสถานที่แออัด อันจะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดเชื้อโรคหรือความวุ่นวายในการจัดกิจกรรม

• ข้อหามาตรา 116 

เห็นว่าพยานโจทก์ที่เป็นประจักษ์พยานอยู่ในที่ชุมนุม ไปประจำตามจุดต่าง ๆ มีเวทีอยู่สูงและมีโปรเจคเตอร์ ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนไม่ว่าจะอยู่จุดใด จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองจำเลย จึงมีความน่าเชื่อถือว่าพูดตามจริง

จำเลยที่ 1 ปราศรัยพาดพิงสถาบันกษัตริย์ฯ และอ่านข้อเรียกร้องสิบประการ ส่วนจำเลยที่ 3 ปราศรัยพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ และจำเลยที่ 4 อ่านประกาศคณะราษฎรและปราศรัยพาดพิงสถาบันกษัตริย์

จำเลยที่ 1, 3, 4 ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องพระราชสถานะของกษัตริย์, ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, กล่าวว่าสถาบันกษัตริย์ขยายพระราชอำนาจตามอำเภอใจ, ใช้อำนาจแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และใช้อำนาจคุกคามทำร้ายประชาชนที่เห็นต่าง และมีการให้ผู้ชุมนุมทำสัญลักษณ์ต่าง ๆ 

ย่อมทำให้ประชาชนคิดและเกิดความเคลือบแคลงสงสัยโดยประการที่น่าจะทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย ไม่อยู่ในที่เคารพสักการะ มีการใช้ข้อมูลบางส่วนซึ่งเป็นความเชื่อที่ถูกเล่าต่อกันมาในอดีต ปราศจากการพิสูจน์มาเป็นส่วนหนึ่งในการปลุกเร้า ปลุกปั่นผู้ชุมนุมให้เห็นด้วยและคล้อยตาม เป็นการสร้างความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง เกิดความแตกแยก

จำเลยที่ 7 และ 8 เป็นพิธีกร ถึงแม้ว่าจะไม่มีการพูดปราศรัยบนเวที แต่มีการพูดว่า “รูปที่มีอยู่ทุกบ้าน” และ “ทรงพระเจริญ” เห็นว่าเป็นการล้อเลียนสถาบันกษัตริย์ฯ 

จำเลยที่ 1 ปราศรัยหยาบคาย ผู้คล้อยตามข้อมูลที่ได้รับ อาจนำไปสู่การล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยใช้ข้อมูลที่มีเจตนาเพื่อบ่อนทำลาย หรือทำให้สถาบันกษัตริย์ล่มสลายไป ไม่ว่าพูด เขียน หรือข้อเรียกร้อง เป็นการด้อยค่า ทำให้สถาบันกษัตริย์อ่อนแอ แสดงให้เห็นเจตนาล้มล้างสถาบันกษัตริย์

ฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นความหวังดี นั้นเป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ ที่ขัดกับการกระทำ ถือว่าจำเลยที่ 1, 3, 4, 7, 8 แบ่งหน้าที่กันทำ อีกทั้งยังมีการยึดหนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์ “ หรือหนังสือปกแดง และ มีจอ LCD ที่ปรากฏข้อความ ‘ไม่ใช่ปฏิรูป แต่คือปฏิวัติ’ เห็นว่าการชุมนุมในวันดังกล่าวมุ่งประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันกษัตริย์ ส่งผลให้เกิดความแตกแยก

ส่วนจำเลยที่ 6 และ 9 (ชนินทร์และ “สาธร”) พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังได้ว่ามีส่วนรู้เห็นเป็นตัวการแบ่งหน้าที่กันทำในการปราศรัย และไม่ปรากฏว่ามีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง อันมีเหตุอันควรสงสัยตามสมควร 

• ข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 

เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยที่ 1, 3, 4, 6-9 เป็นผู้เผยแพร่ข้อความเชิญชวนหรือเป็นผู้ถ่ายทอดสด (Live) และพยานโจทก์ไม่ได้ตรวจสอบ IP Adress บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กว่าเป็นของบุคคลใด 

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1, 3 (อานนท์), 4 (ณัฐชนน), 7 (ไฟซ้อน), 8 (ลูกมาร์ค) มีความผิดตามมาตรา 116 (2), (3) ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกคนละ 9 เดือน ไม่รอลงอาญา 

และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6, 9 (ชนินทร์และ “สาธร”) ในทุกข้อหา และยกฟ้องจำเลยที่ 1, 3, 4, 7, 8 ในส่วนข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

ผู้พิพากษาในคดีนี้ ได้แก่ ปรียานาถ เผือกสุวรรณ และ ชวลิต คณานิตย์ 

หลังจากฟังคำพิพากษาเสร็จสิ้น ณัฐชนนยังคงต้องอยู่ในห้องพิจารณาคดีต่อเพื่อสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานในคดีมาตรา 112 อีกคดีหนึ่งก่อน และเมื่อการพิจารณาทั้งสองคดีเสร็จสิ้นแล้ว ณัฐชนน, ไฟซ้อน และลูกมาร์ค ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลเข้าใส่กุญแจข้อมือ โดยณัฐชนนถูกใส่กุญแจมือทั้งสองข้าง ส่วนไฟซ้อนและลูกมาร์คถูกใส่กุญแจมือคนละหนึ่งข้าง ก่อนนำตัวลงไปยังห้องขังใต้ถุนศาลระหว่างรอประกันตัวในชั้นอุทธรณ์

ด้านณวรรษและอานนท์ เมื่อเสร็จการพิจารณาคดี ก็ถูกนำตัวลงไปที่ห้องขังใต้ถุนศาลเช่นกัน เพื่อที่จะรอกลับไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมกับโทษจำคุกรวมทั้งหมดของอานนท์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 18 ปี 19 เดือน 20 วัน แล้ว (ทุกคดียังไม่สิ้นสุด เป็นคำพิพากษาในศาลชั้นต้น) โดยในวันนี้อานนท์ไม่ได้ยื่นขอประกันตัวต่อศาลนี้แต่อย่างใด

ต่อมาในเวลา 14.51 น. ศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวทั้งสามคน ได้แก่ ณัฐชนน, ไฟซ้อน และลูกมาร์ค ในระหว่างอุทธรณ์คดี โดยให้วางเงินประกันตัวคนละ 100,000 บาท ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพิ่มเติม โดยหลักทรัพย์ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ ทำให้วันนี้ทั้งสามคนจะได้กลับบ้านทันที

ออกหมายจับตั้งแต่ปี 63 แต่ตามจับกุมจำเลยถึงปี 66 ก่อนถูกสั่งฟ้องแยกออกเป็นสามคดี 

เกี่ยวกับคดีนี้ จำเลยทั้งเก้าคนถูกออกหมายจับทั้งหมดตั้งแต่ปี 2563 แต่ถูกจับกุมดำเนินคดีหรือเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาในช่วงเวลาต่างกันไป จำเลยแต่ละคนยังถูกแจ้งข้อกล่าวหาไม่เหมือนกัน รวมถึงถูกอัยการสั่งฟ้องต่อศาลในวันเวลาและข้อหาที่แตกต่างกันเช่นกัน ซึ่งสามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้ดังนี้

ในการสั่งฟ้อง ทั้ง 9 คน ถูกอัยการฟ้องในวันที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ถูกแบ่งออกเป็นสามคดี ส่วนแรกเริ่มจากในวันที่ 30 ส.ค. 2565 พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีของนักกิจกรรม 5 คน ใน 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ 'ยุยงปลุกปั่น' ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในขณะที่ชนินทร์ถูกฟ้องอีกราย แต่เฉพาะข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 

ส่วนที่สอง วันที่ 6 ต.ค. 2565 ไฟซ้อนถูกอัยการสั่งฟ้องใน 3 ข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับกลุ่มแกนนำ และสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2566 'สาธร' และ 'ลูกมาร์ค' ถูกฟ้องใน 3 ข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับกลุ่มแกนนำ 

สำหรับไฟซ้อนและลูกมาร์คถูกกล่าวหาจากการทำหน้าที่เป็นพิธีกรบนเวที ส่วน 'สาธร' ถูกระบุว่ามีชื่อเป็นผู้ร่วมรับบริจาคในการจัดเวทีชุมนุม แต่ไม่ใช่ผู้ขึ้นเวทีปราศรัยแต่อย่างใด ทั้งสามคนถูกตำรวจไล่จับกุมตามหมายจับในช่วงปี 2565 และ 2566 หลังเหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 3 ปี และหลังคดีแรกสั่งฟ้องต่อศาลไปแล้ว

ต่อมา ศาลมีคำสั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งสามเข้าด้วยกัน เนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานชุดเดียวกัน 

จำเลยสู้คดี ยืนยันการชุมนุมเป็นไปโดยสงบ ไม่มีความรุนแรง-ใช้กำลัง และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ส่วนสถานที่ชุมนุมโล่งกว้าง อากาศถ่ายเท และมีมาตรการป้องกันโควิด 19

ในคดีนี้มีการสืบพยานทั้งสิ้นจำนวน 7 นัด ในระหว่างวันที่ 2–4, 9–10, 25 ต.ค., และ 12 พ.ย. 2567 โดยฝ่ายโจทก์นำพยานเข้าสืบ 11 ปาก ฝ่ายจำเลยมี ต่อพงศ์ กิตติยานุพงศ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้าเบิกความเป็นพยาน 

ในระหว่างการสืบพยานไม่สามารถติดต่อภาณุพงศ์และพริษฐ์ได้ ศาลจึงออกหมายจับและจำหน่ายคดีในส่วนของทั้งสองคน ต่อมา ในนัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2568 ปนัสยาไม่ได้เดินทางมาศาล ศาลจึงเลื่อนอ่านคำพิพากษาเป็นวันนี้ 

สำหรับฝ่ายจำเลยมีข้อต่อสู้ในคดีคือ ในที่ชุมนุมวันเกิดเหตุ เป็นการชุมนุมปราศรัยเพื่อแสดงความเห็นโดยสงบ มีการตรวจคัดกรองอาวุธก่อนเข้างาน เป็นการชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ไม่ใช้กําลังข่มขืนใจหรือใช้กําลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ 

สำหรับข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อนั้น เป็นความหวังดีต่อสถาบันกษัตริย์ โดยเป็นเพียงข้อเสนอ ไม่ได้บีบบังคับหน่วยงานใดหรือบุคคลใดให้ดําเนินการแต่อย่างใด และข้อเสนอดังกล่าวไม่ถึงกับก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เนื่องจากเป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้น จึงไม่ได้ส่งเสริมให้ใครก่อความปั่นป่วนหรือความกระด้างกระเดื่อง หรือความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคม 

อีกทั้งที่เกิดเหตุยังเป็นสถานที่โล่งกว้าง อากาศถ่ายเท ไม่แออัด และผู้จัดชุมนุมมีมาตรการป้องกันโรคโควิดและมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจวัดอุณหภูมิ แจกเจลแอลกอฮอล์ และหน้ากากอนามัยก่อนเข้าพื้นที่ชุมนุม

การชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน ยังนำไปสู่การร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดย ณฐพร โตประยูร ให้ศาลมีคำวินิจฉัยว่านักกิจกรรม 3 คน ได้แก่ อานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล มีการกระทำที่ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 จากการปราศรัยหรือไม่

ต่อมา วันที่ 10 พ.ย. 2564 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวโดยเห็นว่า การกระทำของทั้ง 3 คน เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 แต่ทั้งนี้คดีในศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เกี่ยวพันกับคดีอาญา ฝ่ายโจทก์ยังต้องนำสืบว่าการกระทำของจำเลยเข้าองค์ประกอบตามข้อกล่าวหาทางอาญาที่ฟ้องมาหรือไม่ อย่างไร

‘เถ้าแก่หลี’ ประเดิมช่วยครอบครัว 4 ผู้พิการสิงหนคร มอบ!! แพมเพิร์ม เงินสด มูลค่า 40,000 บาท

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 8 มีนาคม 2568 น.ส.ชัชฎาภรณ์ ยิ้มแก้วชึ่งเป็นภรรยานายเฉลิมชัย ครุอำโพธิ์ (เถ้าแก่หลี) เศรษฐีผู้ใจบุญแห่ง อ.สิงหนคร จ.สงขลา ได้เป็นตัวแทนของเถ้าแก่หลีนำสิ่งของ(แพมเพิร์ส)จำนวน 100โหลคิดเป็นเงิน 32,000 บาทพร้อมด้วยเงินสดอีก10,000บาทมามอบให้กับครอบครัวผู้เปราะบาง(พิการทั้งครอบครัว 4 คน ชึ่งครอบครัวดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลสทิงหม้อ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา และเยี่ยมเยียนให้กำลังใจครอบครัวกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ได้แก่ 1. นางปวีณา พรหมสถิตย์ อายุ 63 ปี 2. นายชัยยันต์ พรหมสถิตย์ อายุ 61 ปี 3. นายดำรงค์เดช พรหมสถิตย์ อายุ 36 ปี 4. นายนัทพงค์ พรหมสถิตย์ อายุ 29 ปี ซึ่งดำรงชีวิตด้วยเงินสวัสดิการจากภาครัฐ อาทิ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท เบี้ยยังชีพคนพิการเดือนละ 800 บาท และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเดือนละ 300 บาท อีกทั้งได้รับความช่วยเหลือจากชุมชน และมีรายได้เสริมจากการรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ

โดยนส.ชัชฎาภรณ์ได้พูดถึงการลงมาในครั้งว่าได้ทราบข่าวจากคุณพงค์ศักดิ์ มากสุวรรณ ชึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารมะม่วงเบาคาเฟ่ ในอำเภอสิงหนคร ช่วยเป็นสะพานบุญในการบริจาคในครั้งนี้ด้วยการแจ้งข่าวพบผู้เปราะบางอยู่ในบ้านเดียวกันถึง 4 คน เมื่อเถ้าแก่หลีทราบเรื่องจึงยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นก่อน แต่หากเดือดร้อนอะไรอย่างไรก็ขอให้แจ้งมายินดี และพร้อมให้ความช่วยเหลือ และอยากฝากถึงผู้ที่มีจิตศรัษธาที่มีกำลังทรัพย์อยากจะบริจาคถ้าเป็นสิ่งของก็สามารถบริจาคฝากไว้ที่ร้านอาหารมะม่วงเบาที่สิงหนครก็ได้หรือถ้าเป็นเงินก็สามารถบริจาคผ่านบัญชี9270437183กรุงไทย นายดำรงค์เดช พรหมสถิตย์ได้เลย นส.ชัชฎาภรณ์กล่าว

นับเป็นการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้เปราะบางโดยภาคเอกชน แต่สำหรับภาคราชการ นายอำเภอ ได้นำเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองสิงหนคร เข้าไปเยี่ยมให้กำลังใจแล้ว หลังทราบข่าว แต่ยังไม่เห็นมาตรการช่วยเหลือว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง ช่วยอะไรได้หรือไม่ เช่นเดียวกัน ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดสงขลา ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจแล้ว พร้อมควักเงินส่วนตัว 3000 บาทช่วยเหลือไปก่อน แต่มาตรการภาครัฐ ยังไม่เห็นว่าจะดำเนินการอย่างไร

ต้องขอขอบคุณพงค์ศักดิ์ มากสุวรรณ เจ้าของร้านมะม่วงเบาคาเฟ่ สิงหนคร ที่พบเห็นแล้วไม่มองผ่าน แจ้งประสานไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้เข้ามาใส่ใจดูแล ง่ายๆ คือไม่นิ่งดูดาย ขอบคุณเถ้าแก่หลีผู้มากบุญ มากด้วยน้ำใจยื่นมือเข้ามาช่วยคนบ้านเดียวกัน

ตำรวจภูธรภาค 2 ผนึก สจล. – อมตะ พัฒนาเทคโนโลยี 4 ด้าน เสริมแกร่งงานตำรวจ สร้าง 'พนักงานสอบสวน AI' รับแจ้งความฉับไว

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ( ผบช.ภ.2 ) เปิดเผยว่า ตำรวจภูธรภาค 2 ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ ( MOU ) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และ บริษัท อมตะ ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมประสิทธิภาพงานตำรวจ ลดภาระงานเอกสาร เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการประชาชน ส่งเสริมความปลอดภัยในพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ผลักดันตำรวจไทยให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยมีพิธีลงนามเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา 

ผบช.ภ.2 กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะเดินหน้า 4 ด้าน คือ 1. สร้างหุ่นยนต์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อสนับสนุนการทำงานของพนักงานสอบสวนและลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากร โดยมีศักยภาพในการพัฒนาให้สามารถเข้ามาทดแทนพนักงานสอบสวนในอนาคต 2. พัฒนาโซลูชันด้านความปลอดภัย และการเฝ้าระวังอาชญากรรมในพื้นที่อุตสาหกรรม ใช้ระบบ AI วิเคราะห์พฤติกรรมต้องสงสัย กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (Smart CCTV) ที่สามารถแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 
3. การวิจัยด้านการรวบรวมหลักฐาน หรือ Forensic Technology และความปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือ Cyber Security ซึ่งทาง สจล. จะศึกษาและพัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data และ AI เพื่อสนับสนุนงานสืบสวน และ 4. ส่งเสริมการฝึกอบรมและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีให้ตำรวจ โดยตำรวจภูธรภาค 2 จะได้รับการฝึกอบรมจาก สจล. ให้สามารถใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า เราจะร่วมดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยและงานตำรวจในระยะยาว โดยอาศัยองค์ความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีดิจิทัลจาก สจล. ควบคู่กับประสบการณ์ภาคสนามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และการสนับสนุนทรัพยากรจากภาคเอกชน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ที่จะช่วยกันพัฒนานวัตกรรมเพื่อความปลอดภัย และยกระดับระบบงานสอบสวนของประเทศไทยให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และเร็ว ๆ นี้จะได้เห็นการพัฒนาพนักงานสอบสวน AI นำมาใช้ในตำรวจภูธรภาค 2


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top