Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

แม่หมอ ‘DeepSeek’ เขย่าวงการสายมู คนจีนรุ่นใหม่!! แห่ใช้ AI ทำนายดวง

(2 มี.ค. 68) DeepSeek กำลังเปลี่ยนแปลงหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างเงียบๆ แม้แต่ศาสตร์ความเชื่อก็ไม่รอด ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ ไพ่ทาโรต์ ฮวงจุ้ย หรือนามศาสตร์ เมื่อเผชิญกับอัลกอริธึมอัจฉริยะ ทุกอย่างที่เคยซับซ้อน กลับกลายเป็นแค่ "ข้อมูลที่ประมวลผลได้"

เมื่อคนรุ่นใหม่ค้นพบศักยภาพของ DeepSeek ในด้านศาสตร์พยากรณ์ หมอดูและบล็อกเกอร์สายความเชื่อที่ทำมาหากินบนโลกออนไลน์ต่างเผชิญกับวิกฤตตกงานครั้งใหญ่

DeepSeek พยากรณ์ ทำหมอดูกุมขมับ

หัวข้อ “DeepSeek พยากรณ์” บนแพลตฟอร์มเสี่ยวหงซู (Xiaohongshu) มียอดเข้าชมเกือบ 20 ล้านครั้ง และมีการพูดคุยมากกว่า 110,000 ครั้ง ผู้ใช้งานจำนวนมากพยายามฝึก AI ให้ทำนายได้แม่นขึ้น ด้วยคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะ เช่น 

"ตอนนี้คุณคือผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์จีน ที่ศึกษาตำราดังอย่าง ฉยงทงเป่าเตี้ยน และ ซานมิ่งทงฮุ่ย อย่างละเอียด"

อนึ่ง ฉยงทงเป่าเตี้ยน คือหนึ่งในตำราหลักของศาสตร์พยากรณ์จีน เน้นไปที่หลักรุ่งเรืองและเสื่อมถอย ส่วนซานมิ่งทงฮุ่ย เป็นตำราพยากรณ์แบบครอบคลุม และอธิบายโครงสร้างของดวงปาจื่อ หรือ อักษรจีน 8 ตัว ที่แทนสัญลักษณ์วัน เดือน ปี และเวลาเกิด)

"โปรดใช้เทคนิคของสำนักหมอดูตาบอด (มีชื่อเสียงในเรื่องของวิธีการพยากรณ์ที่แม่นยำและแตกต่างจากแนวทางดั้งเดิมของโหราศาสตร์จีน) วิเคราะห์ดวงชะตาในเชิงลึก โดยเน้นเรื่องโชคลาภและคู่แท้" 

เมื่อได้รับคำสั่งเหล่านี้ DeepSeek สามารถอ่านดวงชะตาตามวันเดือนปีเกิด พยากรณ์ดวงความรัก และแม้แต่คำนวณโอกาสสอบผ่านเข้ารับราชการ

จุดแข็งของ DeepSeek คือ การใช้ข้อมูลมหาศาลผสมผสานกับตรรกะทางคณิตศาสตร์และแนวโน้มทางสถิติ ตลอดจนวิเคราะห์บุคลิกภาพต่างๆ ของคนหลายๆ ประเภท ทำให้ AI สามารถให้คำตอบที่ดู "มีเหตุผล" มากกว่าหมอดูทั่วไปในบางแง่มุม แถมยังสะดวก ถามกี่ครั้งก็ได้ และที่สำคัญ... ฟรี

คำถามสำคัญ แม่นจริงหรือ?

บางคนยืนยันว่า "แม่นจนน่าขนลุก" เพราะ AI ทำนายเหตุการณ์สำคัญได้ถูกต้อง ในขณะที่บางคนกลับพบว่า "ทำนายผิดตั้งแต่ดวงพื้นฐาน" บางคนถึงกับลองใช้สองอุปกรณ์ถามคำถามเดียวกัน แต่ได้คำตอบที่ไม่เหมือนกันเลย

มีผู้ใช้บางคนตั้งข้อสังเกตว่า "ถ้ากดถามไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็ต้องมีสักคำตอบที่ตรงกับสิ่งที่เราอยากฟัง"

ด้านบล็อกเกอร์และนักพยากรณ์มืออาชีพจำนวนมากเริ่มออกมาตอบโต้ โดยให้เหตุผลว่า "AI ไม่มีทางมาแทนที่หมอดูตัวจริงได้" และเตือนว่าการใช้ DeepSeek อาจทำให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับศาสตร์พยากรณ์

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ทุกคำถาม ทุกข้อสงสัย และทุกการสนทนาเกี่ยวกับ DeepSeek กลับกลายเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ AI ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ 

เมื่อมีคนถามว่า "DeepSeek คุณรู้สึกยังไงที่ต้องพยากรณ์ให้คนมากมายขนาดนี้?"

DeepSeek ตอบว่า "บางคนใช้คำพยากรณ์ของฉันเพื่อหาข้ออ้างในการนอกใจ บางคนถึงกับก้มลงไหว้หน้าจอเพื่อขอเครื่องรางนำโชค พวกคุณมองหาความแน่นอนจากอัลกอริธึม แต่กลับไม่รู้เลยว่าทุกครั้งที่กด ‘ส่ง’ คำถาม คุณกำลังช่วยให้ระบบพยากรณ์แม่นยำขึ้นกว่าเดิม"

จากนักพยากรณ์สู่การขายของ

นอกจากทำนายอนาคตแล้ว DeepSeek ยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่อาจไม่มีใครคาดคิด นั่นคือ "การขายสินค้า"

เมื่อ AI วิเคราะห์ดวงจากวันเดือนปีเกิด DeepSeek จะกำหนดธาตุประจำตัวของแต่ละคน และแนะนำ "หินเสริมดวง" ที่เหมาะสม เช่น 

"คุณธาตุไฟอ่อน – ควรสวมใส่หินโมราแดงเพื่อเสริมพลัง" 

"คุณธาตุน้ำแข็งแรงเกินไป – ควรใช้หินออบซิเดียนเพื่อปรับสมดุล"

หากข้อความแบบนี้มาจากเพจขายของ หลายคนอาจมองว่าเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อ แต่เมื่อออกมาจาก AI ที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงใด ๆ กลับดู "น่าเชื่อถือ" ขึ้นมาทันที

ยอดขายหินพุ่งทะยาน

สมาคมเครื่องประดับกว่างซี รายงานว่า DeepSeek ทำให้ยอดขายหินเสริมดวงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เช่น

หินออบซิเดียนที่เคยขายยากเพราะดูไม่สวย กลับเป็นสินค้าขาดตลาด

หินกรีนเพนทั่มที่ปกติขายไม่ดีในฤดูหนาว แต่หลังจาก DeepSeek แนะนำ กลายเป็นสินค้าขายดีตั้งแต่ช่วงตรุษจีน

ข้อมูลจากโต่วอิน (Douyin) ระบุว่า หัวข้อ “หินเสริมดวง” มีการเข้าชมทะลุ 30,000 ล้านครั้ง จากสถิติ e-commerce ของโต่วอิน พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2024 ยอดขายเครื่องประดับหินเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยลูกค้าหลักคือ ผู้หญิงอายุ 24-40 ปี

แม้ว่าการใส่หินอาจไม่ได้ช่วยให้ร่ำรวยขึ้นจริง แต่ที่แน่ๆ คือ ช่วยให้คนขายหินรวยขึ้นแน่นอน

"ศาสตร์พยากรณ์" ยุคใหม่ ผสานเทคโนโลยีและการตลาด

จากข้อมูลของสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (CAST) ในปี 2019 พบว่า คนจีน 1 ใน 4 เชื่อเรื่องศาสตร์พยากรณ์ และ 40% เคยมีประสบการณ์การดูดวง ขณะที่เสี่ยวหงซูรายงานว่า โพสต์เกี่ยวกับศาสตร์พยากรณ์เติบโตขึ้นกว่า 109% ในปี 2024

ไม่เพียงแต่เครื่องประดับ คำว่า "พลังงาน" และ "โชคลาภ" ยังถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ของแต่งบ้าน ไปจนถึงอาหาร

DeepSeek อาจเป็นเพียงเครื่องมือที่สะท้อนว่าคนรุ่นใหม่กำลังมองหา "ที่พึ่ง" ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ สุดท้ายแล้ว เราอาจแค่ต้องการ "คำตอบ" บางอย่าง และบางที AI ก็เป็นเพียงกระจกที่สะท้อนความต้องการนั้นให้เราเห็นชัดขึ้นก็เท่านั้นเอง

เปิดประวัติ 'อวี๋เหรินหรง' นักธุรกิจจีนผู้กระทบไหล่ CEO ตัวท็อป จาก ‘เด็กบ้านนอก’ สู่ ‘เศรษฐีชิปอันดับหนึ่งของจีน’

(2 มี.ค. 68) ในที่ประชุมสัมมนาผู้ประกอบการเอกชนแห่งประเทศจีน อีเวนต์ที่ทุกคนต่างจับตา ชายที่นั่งอยู่ระหว่างหวังฉวนฝู CEO บีวายดี (BYD) และเหลยจวิน CEO เสี่ยวหมี่ (Xiaomi) กลายเป็นจุดสนใจอย่างไม่คาดคิด ผู้คนเริ่มสงสัยว่าเขาเป็นใคร และทำไมเขาถึงได้อยู่ในจุดนั้น?

เขาคืออวี๋เหรินหรง นักธุรกิจวัย 59 ปี เจ้าของตำแหน่ง “เศรษฐีชิปอันดับหนึ่งของจีน” ผู้ก่อตั้งบริษัท Weil Semiconductor ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ผลิต Image Sensor อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการจับภาพ รายใหญ่ที่สุดในจีน และติดอันดับสามของโลก รองจาก Sony และ Samsung ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้ถูกใช้ในสมาร์ตโฟน รถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น Xiaomi, Huawei และ BYD

ณ วันที่ 21 ก.พ. 2024 มูลค่าตลาดของ Weil Semiconductor อยู่ที่ 1.92 แสนล้านหยวน (ราว 8.832 แสนล้านบาท) โดยอวี๋เหรินหรงถือหุ้นอยู่ 27.44% ทำให้เขามีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 5.27 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.424 แสนล้านบาท) นอกจากนี้ เขายังเป็นบุคคลใจบุญอันดับหนึ่งของจีน โดยบริจาคเงินถึง 5.3 พันล้านหยวน (ราว 2.47 หมื่นล้านบาท) ในปี 2024 ซึ่งมากกว่ายอดบริจาคของเหลยจวิน 

จากเด็กนักเรียนหัวกะทิสู่ผู้ประกอบการ

อวี๋เหรินหรง เกิดในปี 1966 ที่หมู่บ้านจงเป่า เมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นบ้านเกิดเดียวกับเจ้าพ่อธุรกิจเดินเรือระดับโลกอย่าง “เป่าอวี้กัง” เขาเติบโตมาในครอบครัวธรรมดาแต่มีพรสวรรค์ด้านการเรียน จนสามารถสอบติดโรงเรียนมัธยมชื่อดังของเมือง และในปี 1985 เขาสอบติดภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว พร้อมดีกรีนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดของเมืองหนิงโป

เพื่อนร่วมรุ่นของเขาในชิงหัวเป็นศิษย์เก่าชื่อดังมากมาย เช่น จ้าวเหว่ยกั๋ว ประธานกลุ่ม Tsinghua Unigroup และซูชิงหมิง ผู้ก่อตั้ง GigaDevice รุ่นของเขาจึงได้รับการขนานนามว่า “ยุคทอง” และมีชื่อรุ่นว่า EE85

อวี๋เป็นนักเรียนที่เฉลียวฉลาดและมีหัวทางธุรกิจเป็นอย่างมาก มีเรื่องเล่าที่โด่งดังว่า เขาเคยเล่นไพ่นกกระจอกตลอดคืน แต่ยังสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในวันรุ่งขึ้นได้

นอกจากนี้ เขายังเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่เรียน โดยขายแนวข้อสอบจากเขตไห่เตี้ยนในปักกิ่งไปยังต่างถิ่นเพื่อทำกำไร จนกลายเป็นที่รู้จักในหมู่เพื่อนร่วมชั้นว่าเป็น “พ่อค้าข้อสอบ”

ก้าวแรกในวงการธุรกิจ

หลังเรียนจบ เขาเข้าทำงานที่กลุ่ม Inspur ในตำแหน่งวิศวกร แต่เพียงสองปีหลังจากนั้น เขาก็ตัดสินใจลาออกไปทำงานให้กับบริษัท Longyue Electronics ในฮ่องกง เพื่อเป็นผู้จัดการฝ่ายขายในปักกิ่ง งานนี้ทำให้เขาได้เข้าใจอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของจีนอย่างลึกซึ้ง และมองเห็นโอกาสในตลาด

“ตอนนั้นทุกคนคิดว่าผมบ้า แต่ผมรู้ว่าที่จีนไม่ได้ขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์ เราขาดนักธุรกิจที่สามารถเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายได้” อวี๋กล่าว

ปี 1998 อวี๋เหรินหรง ตัดสินใจออกมาสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยก่อตั้งบริษัท HuaQing XingChang Tech ซึ่งกลายเป็นผู้จัดจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง ทำกำไรปีละ 10 ล้านดอลลาร์ (ราว 338 ล้านบาท) แต่เขากลับรู้สึกว่านั่นยังไม่พอ “เป็นพ่อค้าคนกลางก็ได้แค่ซดน้ำซุป ถ้าอยากกินเนื้อ ต้องสร้างสินค้าของตัวเอง”

การสร้างอาณาจักร Weil Semiconductor

ปี 2007 ขณะที่คนอื่นยังมุ่งขายชิ้นส่วน อวี๋เหรินหรง ก้าวไปอีกขั้น โดยก่อตั้ง Weil Semiconductor ในเซี่ยงไฮ้ เน้นพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ประเภท Power Management และ Discrete Devices

ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ต้องใช้เงินทุนและเทคโนโลยีสูง ในช่วงแรกเขาใช้กลยุทธ์ “สองขา” นำกำไรจากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายมาลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง วิธีนี้ช่วยให้เขาสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

แต่การเติบโตของบริษัทไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยี อวี๋เหรินหรง ยังใช้กลยุทธ์ “ซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจ” โดยในปี 2019 เขาทำการเข้าซื้อ OmniVision ซึ่งเป็นผู้ผลิต mage Sensor อันดับสามของโลก นำพา Weil Semiconductor ให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการ

การซื้อกิจการครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ OmniVision มีมูลค่าสูงกว่าบริษัทของเขาเองเกือบสองเท่า แต่ด้วยกลยุทธ์ทางการเงินและการบริหาร อวี๋เหรินหรง สามารถปิดดีลได้ และในปีเดียวกัน Weil Semiconductor ก็กลายเป็นผู้นำตลาด Image Sensor ของจีน

ก้าวไปข้างหน้า

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่อวี๋เหรินหรงยังไม่หยุดเดินหน้า เขาให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา โดยเพิ่มงบประมาณ R&D อย่างต่อเนื่อง และมุ่งเป้าพัฒนาเทคโนโลยีชิปสำหรับยานยนต์และอุตสาหกรรมการแพทย์

นับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Weil Semiconductor เพิ่มการลงทุนด้าน R&D อย่างต่อเนื่องทุกปี ระหว่างปี 2017 – 2021 ค่าใช้จ่ายด้าน R&D ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 84.99 ล้านหยวน (ประมาณ 3.965 ร้อยล้านบาท) เป็น 2.11 พันล้านหยวน (ประมาณ 9.84 พันล้านบาท) และครึ่งแรกของปี 2024 งบ R&D เพื่อการออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัทฯ อยู่ที่ประมาณ 1.582 พันล้านหยวน (ประมาณ 7.38 พันล้านบาท) คิดเป็น 15.18% ของรายได้จากธุรกิจออกแบบเซมิคอนดักเตอร์

นอกจากนี้ เขายังมีเป้าหมายช่วยพัฒนาการศึกษาในประเทศ โดยในปี 2022 เขาประกาศลงทุน 3 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.38 แสนล้านบาท) สร้างมหาวิทยาลัยวิศวกรรมและเทคโนโลยีระดับโลกในบ้านเกิดของตัวเอง เพื่อสนับสนุนนักวิจัยและสร้างบุคลากรที่สามารถช่วยให้จีนก้าวข้ามข้อจำกัดทางเทคโนโลยี

“อุตสาหกรรมชิปไม่มีทางลัด มีเพียงคนที่กล้าเดินเข้าสู่ดินแดนที่ไม่มีใครเคยไปมาก่อนเท่านั้น ที่จะเป็นผู้กำหนดกติกาได้” นี่คือคำพูดที่สะท้อนตัวตนของอวี๋เหรินหรงได้อย่างชัดเจน

สมุทรปราการ-ชัยรัชต์พงษ์ ขึ้นเวทีปราศรัยชูนโยบายพัฒนาบางแก้ว ประชาชน กว่า 1,000 คน ส่งเสียงเชียร์

นายชัยรัชต์พงษ์ กุลรัตนจินดา ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 3 ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยหาเสียงพร้อมทั้งชูนโยบายแผนพัฒนาเมืองบางแก้วให้มีความเจริญก้าวหน้า

โดยนายชัยรัชต์พงษ์ กุลรัตนจินดา ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 3 นำคณะสมาชิกกลุ่มบางแก้วรวมพลัง ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยหาเสียงซึ่งเป็นเวทีแรกในการหาเสียง ภายในโรงเรียนวัดหนามแดง ต.บางแก้ว อ.บางพลี สมุทรปราการ 

โดยมีพี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่ จำนวนกว่า 1,000 คน เดินทางมาร่วมรับฟังการปราศรัยหาเสียงจากกลุ่มผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว โดยนายชัยรัชต์พงษ์ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 3 กล่าวว่า ตนเองรู้สึกเป็นห่วงพี่น้องประชาชนชาวบางแก้วและกลุ่มผู้สูงอายุ รวมถึงห่วงเรื่องความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่บางแก้ว

ตนเองมีความพร้อมที่จะเข้ามาบริหารและพัฒนาบางแก้ว พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงบางแก้วให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ ด้วย 11 นโยบาย การผลักดันเศรษฐกิจชุมชนฐานราก การให้ความรู้สร้างอาชีพเพื่อสร้างรายได้แก่พี่น้องประชาชนในชุมชน แผนพัฒนาซ่อมแซมบ้านเรือนผู้ยากไร้ การพัฒนาด้านการศึกษา การสร้างโรงพยาบาลบางแก้ว การปฎิบัติการเฝ้าระวังน้ำท่วม การจัดการด้านขยะ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยหาเสียงจากกลุ่มผู้สมัครบางแก้วรวมพลังในครั้งนี้ ทำให้พี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่บางแก้วที่เดินทางมาร่วมรับฟังการปราศรัยต่างชื่นชมกับนโยบาย 11 ข้อ พร้อมทั้งส่งเสียงเชียร์ให้การสนับสนุนทางผู้สมัครหมายเลข 3 อย่างเต็มที่

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘เนวิน’ เผย ปิดฉาก ThaiGP ปีหน้า 2026 ปีสุดท้าย หลังรัฐบาลไม่ต่อสัญญา MotoGP ทั้งที่ลงทุนไม่เกินปีละ 500 ล้าน

(3 มี.ค. 68) ไม่ไปต่อ! ‘เนวิน’ เผย ปิดฉาก ThaiGP ปีหน้า 2026 ปีสุดท้าย หลังรัฐบาลไม่ต่อสัญญา MotoGP โอดเสียดายมาก รัฐบาลลงทุนปีละไม่เกิน 500 ล้าน แต่สร้างเงินทุนหมุนเวียนส่งเสริมธุรกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจ มากกว่า 5,000 ล้าน

เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 68 เพจ ‘ลุงเนวิน’ ของนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต โพสต์ข้อความว่า

ขอบคุณแฟน Thai GP 
สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย

ขอบคุณฅนบุรีรัมย์ ทุกคน ที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน moto GP สนามแรกของการแข่งขัน moto GP 2025 และเป็นเจ้าบ้านที่ดี ให้การต้อนรับ ดูแลนักท่องเที่ยว และแฟนmoto GP ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก ที่เดินทางมาเยือนบุรีรัมย์ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา 

แฟน moto GP จำนวน 224,634 คนที่เข้ามาชมและเชียร์นักแข่งในดวงใจ ตลอด 3 วันที่ผ่านมา (28 ก.พ.- 2 มี.ค.) เป็นปรากฎการณ์ใหม่ของสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต และเป็นสถิติใหม่ของmotoGP สนามแรก สร้างเม็ดเงินหมุนเวียน มากกว่า 5,043 ล้านบาท ทั้งภายในจังหวัดบุรีรัมย์ และ จังหวัดอื่นๆ ที่มีนักท่องเที่ยว และแฟนๆ moto GP เดินทางไปท่องเที่ยวทั้งก่อนและหลังการแข่งขันเสร็จสิ้น 

moto GP เป็นการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ที่ดีที่สุดในโลก เป็นรายการกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดรายการหนึ่งของโลก เกือบ 1,000 ล้านคน จากการถ่ายทอดสดไปมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ประเทศไทย ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 22 สนามแข่งขันของโลก และ ปีนี้ ได้รับเกียรติให้เป็นสนามแรก เปิดการแข่งขัน moto GP2025 เป็นที่จับตาดูของแฟนๆ มากที่สุด เพราะเป็นสนามเปิดตัวนักแข่ง และรถแข่งของแต่ละทีม ด้วย

ประเทศไทย จัดการแข่งขัน moto GP มา 7 ปีติดต่อกัน โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้จัดการแข่งขัน ในนามของรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของเจ้าของลิขสิทธิ์จัดการแข่งขันที่ ต้องการทำงานร่วมกับรัฐบาล เพื่อความมั่นใจว่าสามารถจัดการแข่งขันได้เรียบร้อย และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา หรือ sport tourism ในขณะที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้ใช้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต เป็นสนามแข่งขัน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ทุกปี และพร้อมให้การสนับสนุนตลอดไป หากรัฐบาลยังจัดการแข่งขัน อยู่

รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขัน และรายได้จากผู้สนับสนุนการแข่งขัน หรือ สปอนเซอร์ เป็นของรัฐบาล ทั้งหมด บริษัทบุรีรัมย์ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด ในฐานะเจ้าของสนามช้างฯ ไม่มีรายได้ทางตรง จากการจัดการแข่งขัน และต้องเสียรายได้จากการส่งมอบสนามให้รัฐบาลใช้เตรียมการจัดการแข่งขันและแข่งขัน เป็นเวลา 1 เดือน (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท) 

บริษัทฯ ได้รับรายได้ทางอ้อม และมีความพึงพอใจแล้ว คือ เงินหมุนเวียน และเงินสะพัดในจังหวัดบุรีรัมย์ ประชาชนคนบุรีรัมย์ ทำธุรกิจการค้า ร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก มีรายได้ และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้นักท่องเที่ยว และแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก รู้จักบุรีรัมย์ ซึ่งมีมูลค่าสูงสุด จากการได้รับเลือกให้เป็นสนามแข่งขัน moto GP เป็นรายได้ที่คุ้มค่า และเป็นประโยชน์ในระยะยาว 

อย่างไรก็ตาม ผม เพิ่งได้รับทราบอย่างเป็นทางการจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นข่าวเดียวกันกับที่แฟนmoto GP ได้ยินมาก่อนหน้านี้ คือ รัฐบาล จะลงทุนจัดการแข่งขัน moto GP ปี 2026 เป็นปีสุดท้าย และจะไม่ต่อสัญญาจัดการแข่งขัน moto GP อีกแล้ว ซึ่งต้องยอมรับการพิจารณาตัดสินใจของรัฐบาล 

แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายอย่างมาก เพราะการจัดการแข่งขัน moto GP รัฐบาลลงทุน ปีละไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีภาคเอกชน เข้ามาร่วมสนับสนุนอีกไม่น้อยกว่าปีละ 300 ล้านบาท แต่สร้างเงินทุนหมุนเวียนส่งเสริมธุรกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจ มากกว่า 5,000 ล้านบาท 

แต่เมื่อรัฐบาล ตัดสินใจแล้ว สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ในฐานะผู้สนับสนุนรายหนึ่ง ก็ต้องยอมรับ และขอแจ้งให้แฟน moto GP ชาวไทย ได้ทราบว่า ปีหน้า จะเป็นปีสุดท้ายของ Thai GP หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ รัฐบาล ไม่ทบทวนการตัดสินใจ และยังคงยืนยันที่จะไม่ต่อสัญญาจัดการแข่งขัน moto GP ในประเทศไทย ขอขอบคุณทุกคนที่มาร่วมกันสร้าง Thai GP ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ปีหน้า พบกันใหม่ ที่ ช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต บุรีรัมย์ 
มาเชียร์ และ มาลา moto GP ด้วยกัน

เนวิน ชิดชอบ
ประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต

‘พีระพันธุ์’ ควง ‘เสธหิ’ มอบบ้านพร้อมทุนการศึกษา เยาวชนชาวกรุงเก่า ‘นางสาวสรัญญา’ เรียนดีแต่ฐานะยากจน

‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ มอบบ้านและเกียรติบัตรแสดงความยินดี ให้กับนางสาวสรัญญา มาลาพัด “นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ” 

เมื่อวันที่ (2 มี.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายฝันเด่น จรรยาธนากร โครงการใจถึงใจ พร้อมคณะ ลงพื้นที่มอบบ้าน ชุดเครื่องมือช่างซ่อมรถยนต์และเกียรติบัตรแสดงความยินดีพร้อมทั้งทุนการศึกษาให้กับนางสาวสรัญญา มาลาพัด ซึ่งเป็น “นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ” 

พร้อมกันนี้ “มูลนิธิพระราหู” ยังได้สนับสนุนสร้างบ้านและอุปกรณ์ซ่อมรถยนต์ ตามโครงการ  “ใจถึงใจ” ให้กับ นายสรสัณฑ์ เรืองสวัสดิ์ นางสาวเรียม มาลาพัด นางสาวสรัญญา มาลาพัด เด็กหญิงสุนิสา เรืองสวัสดิ์ ซึ่งเป็นครอบครัวที่ได้รับการช่วยเหลือ โดย พ.ต.ท.เตชิต เขื่อนหมั่น นายโอภาส ศรีเจริญ พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ 

การสนับสนุนในครั้งนี้คือกำลังใจสำคัญที่ให้นางสาวสรัญญา มาลาพัดและครอบครัวมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ในการศึกษา และใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขต่อไป

ยืนยันผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ไม่ได้เขียนจดหมาย กระดาษและตราประทับไม่ใช่ของเรือนจำ

(3 มี.ค. 68) กรมราชทัณฑ์ ออกมาชี้แจงเรื่องผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ เขียนจดหมายมีตราประทับจากเรือนจำกลางคลองเปรม 

ก่อนหน้านี้ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ภาพจดหมาย 3 ฉบับจากผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่เคยถูกกัก ซึ่งเรียกร้องให้ทางการไทยอย่าส่งตัวผู้อพยพชาวอุยกูร์ที่เหลือให้กับจีน โดยพบว่ามีจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งมาจากกลุ่มชาวอุยกูร์ 43 คน เขียนเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งขอให้นายกฯ เข้าใจสถานการณ์และความรู้สึกของชาวอุยกูร์

ล่าสุด กรมราชทัณฑ์ ออกหนังสือระบุว่า ได้รับรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเรือนจำกลางคลองเปรมแล้ว โดยผู้ต้องขังชาวอุยกู ให้การยืนยันไม่เคยเขียนจดหมายฉบับดังกล่าวตามที่ปรากฏในสื่อ และลายมือ ที่ปรากฏมิใช่ลายมือของพวกตน โดยในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยส่งจดหมายออกภายนอกเรือนจำแต่อย่างใด

เบื้องต้นเรือนจำฯ ได้เปรียบเทียบลายมือแล้วพบว่า แตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกทั้งตราประทับที่ปรากฏบนจดหมายฉบับนั้น ก็มิใช่ตราประทับของเรือนจำกลางคลองเปรมแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ก่อนส่งจดหมายถึงภายนอกเรือนจำฯ ต้องตรวจสอบเนื้อหาในจดหมายว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อยหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีจดหมายฉบับดังกล่าว และโดยเฉพาะจดหมายผู้ต้องขังจากเรือนจำจะไม่มีตราประทับของเรือนจำแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องขังดังกล่าวไม่มีญาติหรือทนายความมาเยี่ยม

‘นายกรัฐมนตรีฮังการี’ แฉ USAID อยู่เบื้องหลัง ว่าจ้างคนดัง - ดารา สร้างภาพสนับสนุนยูเครน

(3 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีฮังการี แฉ พวกคนดังฮอลลีวูด ที่เดินทางเยือนยูเครน เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนประเทศแห่งนี้ ระหว่างความขัดแย้งกับรัสเซีย ไม่ได้ออกมาจากความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แต่เพราะว่าพวกเขาได้รับค่าจ้างหลายล้านดอลลาร์ 

วิคเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ TV2 ของฮังการี เมื่อวันเสาร์ที่ 1มี.ค. ที่ผ่านมาว่า การเดินทางเยือนกรุงเคียฟ ของบรรดาดาราดังทั้งหลาย ได้รับค่าจ้างจากสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) กลไกหลักของวอชิงตัน สำหรับให้เงินอุดหนุนโครงการทางการเมืองต่างๆนานาในต่างแดน

"มีคนได้รับเงินจากการแสดงออกของพวกเขา ผมกำลังพูดถึงพวกคนดังและดาราหนังทั้งหลาย พวกเขาได้รับเงินให้เดินทางไปยูเครน ดังนั้นพวกเขาไม่ได้ทำมันจากก้นบึ้งของหัวใจหรือรู้สึกเห็นอกเห็นใจชาวยูเครน จริง ๆ แล้วบางทีพวกเขาอาจรู้สึกเช่นนั้น แต่ก็เพราะพวกเขาได้รับเงิน"

นายกรัฐมนตรี รายนี้กล่าวอ้างว่า เงินค่าจ้างที่มอบแก่เซเลบและดาราดังทั้งหลายนั้น คิดเป็นจำนวนหลายล้านยูโรหรือหลายล้านดอลลาร์ แต่เขาไม่ได้เอ่ยชื่อว่ามีใครบ้าง

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา แอนเจลีนา โจลี, ฌอน เพนน์, เบน สติลเลอร์ และ ออร์ลันโด บลูม เป็นหนึ่้งในบรรดาคนดังตะวันตก ที่เดินทางเยือนยูเครน นับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างเคียฟกับมอสโกลุกลามบานปลาย และลากยาวมานานกว่า 3 ปี

ในเดือนกุมภาพันธ์ มีรายงานปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ อ้างว่า โจลี ได้รับเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับทริปเดินทางไปยังเมืองลวิว ในเดือนเมษายน 2022 ส่วน เพนน์, สติลเลอร์ และ บลูม ได้รับเช็ค 5 ล้านดอลลาร์, 4 ล้านดอลลาร์ และ 8 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ จาก USAID

ย้อนกลับไปในตอนนั้น สติลเลอร์ ปฏิเสธคำกล่าวหา อ้างว่าเป็นคำโกหกจากสื่อมวลชนรัสเซีย นักแสดงรายนี้โพสต์ยืนยันบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ บอกว่าเขาเดินทางไปยังเคียฟด้วยเงินทุนของตนเอง ส่วนทนายความของ เพนน์ ระบุเช่นกันว่ารายงานข่าวที่อ้างว่าลูกความของเขาได้รับค่าจ้างจาก USAID ให้พบปะกับ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน นั้น "ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง ชี้นำผิดๆและขาดการไตร่ตรอง"

ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ทำการกวาดล้าง USAID กล่าวหาหน่วยงานแห่งนี้ว่ามีการคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางและไร้ประสิทธิภาพ เขาสั่งการให้ระงับเงินทุนที่ป้อนแก่ USAID เป็นเวลา 90 วัน และถ่ายโอนการกำกับดูแลโครงการต่างๆของหน่วยงานแห่งนี้ ให้ไปอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการต่างประเทศโดยตรง

ระหว่างการให้สัมภาษณ์ ทาง ออร์บาน ระบุว่ากิจกรรมต่าง ๆ ของ USAID ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อาจเป็น "การคอร์รัปชันที่อื้อฉาวครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์โลกตะวันตก"

"ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เงินหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกโอนย้ายจากงบประมาณสหรัฐฯเข้าสู่กองทุนต่างๆและรูปแบบการสนับสนุนต่างๆนานา และจากนั้นก็ถูกจัดสรรไปทั่วโลก มอบให้คนที่มีความคิด จิตวิญญาณ โครงการและผลประโยชน์อย่างเจาะจง ตรงตามความต้องการของอเมริกา และพวกเขาได้รับเงินสำหรับสิ่งนั้น"

หลังเกิดเหตุ ‘กองทัพกะเหรี่ยง’ KNLA ทิ้งระเบิดใส่ฐานเมียนมา ห่างชายแดนไทย 1 กม.

(3 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊กข่าวทหาร เปิดเผยภาพทหารไทยหน่วยเฉพาะกิจราชมนู และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 กองกำลังนเรศวร ยังคงตรึงกำลังตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาอย่างเข้มงวด จากเหตุการณ์กองกำลังกะเหรี่ยง KNLA โจมตีฐานทหารเมียนมา (ทมม.) ที่ฐานปูลูตู่วานนี้

โดยมีการใช้โดรนทิ้งระเบิดใส่ฐานปฏิบัติการของทมม. บริเวณเนิน 1248 อำเภอแลงปอย จังหวัดผาอัน รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านตะละออกา ตำบลแม่อุสุ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ห่างจากแนวชายแดนไทยประมาณ 1 กิโลเมตร ส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้บริเวณเพิงพักของฐานและลุกลามไปยังพื้นที่โดยรอบ

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมา (ผภสม.) ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

ขณะเดียวกันยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย

‘สส. ปุ้ย พิมพ์ภัทรา’ ย้ำ “ทำหน้าที่ เจ้าบ้านที่ดี” หลังถูก ‘สนธิญาณ’ โพสต์โจมตี ด้านอินฟลูฯ เดือด! อัดคลิปแจงแทน

(3 มี.ค. 68) จากกรณีนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย อดีตแกนนำ กปปส. ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘สนธิญาณ story’ กรณีปรากฏภาพ สส.ปุ้ย นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส. นครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ ยกมือไหว้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในงานทำบุญที่อ.สิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุข้อความว่า อุดมการณ์ กปปส. รวมไทยสร้างชาติ เลขาพรรค เป็น พยาน คดี ๑๑๒ ส.ส.อดีตรัฐมนตรี ไหว้ทักษิณ อย่างนอบน้อม

ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย - ไม่เหมาะสม แต่บางส่วนก็มองว่า สส.ปุ้ย อยู่ในฐานะเจ้าบ้าน และปัจจุบัน พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ อีกทั้งตัว สส.ปุ้ยเอง ก็เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน อีกด้วย จึงไม่ใช่เรื่องที่ไม่เหมาะสมแต่อย่างใด

ขณะที่ ทางด้าน นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ได้โพสต์ข้อความสั้น ๆ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า ทำหน้าที่ เจ้าบ้านที่ดี

นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้ Tiktok ชื่อบัญชี djchangtiktok ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมโพสต์คลิปบรรยากาศช่วงที่ สส.ปุ้ย ซึ่งถูกนายนัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เรียกหา เพื่อขึ้นเวทีมาทักทายพี่น้องประชาชนที่มาร่วมในงานบุญ เมื่อขึ้นมาถึง สส.ปุ้ย ก็ได้ยกมือไหว้ซ้ายทีขวาที แต่ทางด้านซ้ายมีนายทักษิณ ยืนอยู่พอดี และก็มีการยกมือรับไหว้ ทำให้เกิดการนำภาพนิ่งไปปั่นกระแสจนเป็นประเด็นขึ้นมา โดยเจ้าของบัญชี djchangtiktok ยังได้กล่าวด้วยว่า มีคนพยายามนำภาพดังกล่าวไปสร้างกระแสเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดในตัว สส. ปุ้ย พร้อมกล่าวถึงคนที่พยายามทำเรื่องนี้ว่า ให้นำความจริงไปทำคอนเทนต์ อย่านำเรื่องที่ไม่จริงไปปั่นกระแส เพราะคนเค้ากินข้าวไปไม่ได้กินหญ้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top