Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2568

ในโลกนี้ 
มีทั้งสิ่งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ 
เราจะเป็นทุกข์ เพราะสิ่งที่เรารัก 
และหวงแหนมากทั้งนั้น
สิ่งเหล่านี้ ทุกคนต้องเจอ 
นี่คือแก่นแท้

หลวงปู่แบน ธนากโร

‘เอกนัฏ’ ปิดเกมเร็ว ‘มหากาพย์ วิน โพรเสส’ หลังเรื้อรังกว่า 15 ปี เร่งขนย้ายสารพิษอลูมิเนียมดรอสเสร็จใน 46 วัน เซฟงบประมาณอื้อ

‘เอกนัฏ’ ชม ขรก. - เอกชน ร่วมใจขนย้ายอลูมิเนียมดรอส ‘วิน โพรเสส’ จบภารกิจใน 46 วัน ปิดจ็อบมหากาพย์เรื้อรังกว่า 15 ปี พร้อมวางแนวป้องกันรัดกุม ตัดตอนน้ำปนเปื้อนสารเคมีช่วงหน้าฝน ลั่นเดินหน้าสุดซอยเคลียร์ทุกพื้นที่-ปัญหา

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังจากลงพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยของการขนย้ายตะกรันอลูมิเนียม หรืออลูมิเนียมดรอส ที่ตรวจพบลักลอบกักเก็บสะสมในพื้นที่โรงงานของ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ว่าภายหลังจากที่ตนเข้ารับตำแหน่งได้เร่งสะสางปัญหา บริษัท วิน โพรเสส จำกัด อย่างต่อเนื่อง จนเห็นผลภายในระยะเวลา 5 เดือน ล่าสุดได้ทำการขนย้ายอลูมิเนียมดรอสที่เป็นกากของเสียอันตรายออกจากพื้นที่จนแล้วเสร็จ แม้เดิมทีจะติดปัญหาในส่วนตัวเลขค่าใช้จ่ายการบำบัดกำจัด รวมค่าขนส่ง ซึ่งสูงถึงประมาณ 1 หมื่นบาทต่อตัน หรือต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างน้อย 70 ล้านบาท จึงได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมแถลงต่อศาลจังหวัดระยอง ขอเบิกเงินที่ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด วางไว้ต่อศาล จำนวน 4.94 ล้านบาท มาใช้ในการบำบัดกำจัดอลูมิเนียมดรอสราว 7,000 ตัน เป็นลำดับแรก อีกทั้งยังได้ผนึกกำลังภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และได้รับความร่วมมือจาก บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านกิจกรรม ‘อุตสาหกรรมรวมใจ’ ทำการขนย้ายอลูมิเนียมดรอสไปบำบัดกำจัด ด้วยงบประมาณเพียง 4 ล้านบาทเท่านั้น

นายเอกนัฏ เปิดเผยด้วยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เริ่มปล่อยรถขนย้ายคันแรกออกจาก บริษัท วิน โพรเสส จำกัด เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 โดยกำชับให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมคุมเข้มการขนย้ายอย่างระมัดระวัง รัดกุม เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในทุกขั้นตอน พร้อมเร่งรัดเดินรถขนย้ายเต็มกำลัง กระทั่งสามารถขนย้ายอลูมิเนียมดรอสทั้งหมดแล้วเสร็จ 100% ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม-1 มีนาคม 2568 รวมระยะเวลาเพียง 46 วัน ด้วยรถขนย้าย 225 เที่ยว จำนวนกว่า 5,400 ตัน เร็วกว่ากำหนดเดิมที่คาดการณ์ไว้ 60 วัน

‘กรณี วิน โพรเสส ถือเป็นปัญหาที่สะสมมานานกว่า 15 ปี จนเรามาเร่งสะสาง และเห็นผลใน 5 เดือนที่เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งก็ต้องชื่นชมและขอบคุณข้าราชการและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมแรงร่วมใจจนสามารถขนย้ายกากของเสียอันตราย บรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ก่อนจะเข้าสู่ฤดูฝนในปีนี้ ที่สำคัญยังใช้งบประมาณในการขนย้ายและบำบัดกำจัดสุดคุ้มเพียง 3.09 ล้านบาท สามารถลดการใช้งบประมาณของภาครัฐลงได้กว่า 67 ล้านบาท’ นายเอกนัฏ กล่าว

รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยด้วยว่า นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เตรียมมาตรการรับมือช่วงฤดูฝน โดยบูรณาการความร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบลบางบุตร กำหนดแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชุมชนบ้านหนองพะวา ในการบล็อกน้ำฝนเพื่อเบี่ยงเบนทางน้ำไม่ให้ไหลหลากผ่านพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารเคมี รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ซีลคันดินบ่อที่กักเก็บน้ำเสียปนเปื้อน ป้องกันไม่ให้ของเหลวซึมรั่วไหลออกมา ตลอดจนสำรวจและแก้ไขจุดรั่วไหลที่ตรวจพบ ด้วยการนำหินมาเสริมความแข็งแรงแนวคันดิน และนำดินมากลบทับอุดจุดที่รั่วเพื่อเสริมแนวป้องกันการรั่วซึม พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

“ผมจะไม่หยุดแค่พื้นที่นี้ จะเดินหน้าเคลียร์ทุกพื้นที่ ทุกปัญหา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยจะนำทีมเฉพาะกิจของกระทรวงอุตสาหกรรม ‘ตรวจสุดซอย’ เฝ้าระวังการประกอบการที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หากตรวจพบจะสั่งการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดอย่างเด็ดขาด เพื่อปั้นภาคอุตสาหกรรมตามนโยบาย ‘สู้ เซฟ สร้าง ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย’ MIND ใช้หัวและใจปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” นายเอกนัฏ ระบุ

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งหาวิธีจัดการและผู้รับบำบัดกำจัดที่มีศักยภาพในการดำเนินการกับกากของเสียที่เหลือทั้งหมดให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อลดการเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนให้น้อยที่สุด โดยจะใช้บทเรียนการทำงานจากโมเดลการจัดการกากของเสียตกค้างในพื้นที่กรณี บริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี รวมถึงโกดัง อำเภอภาชี และบริษัท เอกอุทัย จำกัด ตำบลสามบัณฑิต อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาเป็นต้นแบบการจัดการกากของเสียที่ตกค้างอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้าน นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะเร่งบำบัดกำจัดกากของเสียที่เหลือในพื้นที่บริษัทฯ ให้เร็วที่สุด ขณะนี้อยู่ระหว่างรองบกลาง ปี 2568 จำนวน 40 ล้านบาท ที่จะใช้บำบัดของเสียเคมีวัตถุและเศษซากของเสียที่ถูกไฟไหม้ ประมาณ 4,000 ตัน โดยเฉพาะสารเคมีที่บรรจุอยู่ในถัง IBC และถุงบิ๊กแบ็กที่อยู่นอกอาคารปริมาณ 2,600 ตัน รวมถึงวัตถุอันตรายในบ่อซีเมนต์อีกกว่า 1,400 ตัน ส่วนในปี 2569 อยู่ระหว่างขอรับการจัดสรรงบ EEC วงเงินงบประมาณ 459 ล้านบาท สำหรับบำบัดของเสียที่เหลือทั้งหมดอีกกว่า 24,300 ตัน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ หากประชาชนพบปัญหาอุตสาหกรรม โรงงานเถื่อน โรงงานที่ทำให้เดือดร้อน สามารถแจ้งเรื่องได้ที่แอปพลิเคชันไลน์ ‘แจ้งอุต’ ภายใต้ Traffy Fondue (https://landing.traffy.in.th/?key=gmyeYDBV) เปิดรับเรื่องทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

Harley-Davidson® สร้างปรากฎการณ์ ในงานโมโตจีพีไทยแลนด์ 2025 เปิดตัว Pan America® 1250 ST ใหม่ ในราคา 874,000 บาท

(2 มี.ค. 68) Harley-Davidson กลับมาอีกครั้งที่งานโมโตจีพี ไทยแลนด์ 2025 พร้อมสานต่อตำนาน ในวงการมอเตอร์สปอร์ต 

● โดยเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์สายแอดเวนเจอร์สปอร์ต Pan America® 1250 ST รุ่นใหม่ ปี 2025 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเปิดตัวในราคา 874,000 บาท พร้อมให้จองแล้ววันนี้

● โดยรถมอเตอร์ไซค์ Pan America 1250 ST ออกแบบเบาะที่นั่งให้ผู้ขับขี่อยู่ในตำแหน่งที่พร้อม ควบคุมตัวรถได้อย่างมั่นใจและสะดวกสบาย มาพร้อมกับสมรรถนะรอบด้านจากเครื่องยนต์ Revolution® Max 1250 แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ล้อหน้า 17 นิ้วพร้อมยางสตรีทแบรนด์ชั้นนำ ช่วงล่างและระบบเบรกระดับพรีเมียม ปรับช่วงล่างและตำแหน่งเบาะนั่งใหม่ต่ำลง พร้อมด้วยระบบ ท่อไอเสียน้ำหนักเบาและควิกชิฟเตอร์ 

● นอกจากนี้ ในงานโมโตจีพีไทยแลนด์ 2025 Harley-Davidson ได้นำสุดยอดคอลเลกชัน รถมอเตอร์ไซค์มาจัดแสดง ประกอบด้วยรุ่น Sportster™ S, Pan America Rimba Raid, R2M 2024 Bagger Racing, Street Bob ซึ่งเป็นรุ่นที่ชนะการแข่งขัน Missile Drag 2025, Low Rider™ ST และ Street Glide™

● พร้อมกันนี้ ยังมีการจัดแสดงรถมอเตอร์ไซค์รุ่นพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจจากรถรุ่น CVO™ Road Glide™ หมายเลข 43 ของ James Rispoli และรุ่น Road Glide™ หมายเลข 33 ของ Kyle Wyman ซึ่งแสดงถึงจิตวิญญาณเจ้าแห่งความเร็วในรายการแข่ง King of the Baggers™ และเปิดโอกาสให้แฟนๆ ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด

มาพบกับความสนุกแบบนี้ได้ ที่บูธ Harley-Davidson!!

‘ซินเจียงอุยกูร์’ ท่องเที่ยวสุดคึกคัก!! ปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ กว่า 1.6 ล้านล้านบาท

(2 มี.ค. 68) สำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน รายงานจำนวนการเดินทางเยือนซินเจียงในปี 2024 ที่ผ่านมาว่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 300 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบปีต่อปี และรายได้จากการท่องเที่ยวสูงราว 3.55 แสนล้านหยวน (ราว 1.66 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 21

อวี๋เจี๋ย รองผู้อำนวยการสำนักฯ กล่าวว่าซินเจียงยังคงพยายามพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดใจ ครอบคลุมรอบด้าน และสามารถเข้าถึงได้ยิ่งขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการท่องเที่ยวโดยมุ่งพัฒนาจุดหมายท่องเที่ยว รีสอร์ต และเมือง รวมถึงปรับปรุงถนนชมวิวสายหลัก เช่น ทางหลวงตู๋คู่ เป็นเส้นทางขับขี่อัตโนมัติชั้นนำ

ทั้งนี้ การขนส่งที่พัฒนาดีขึ้น รวมถึงเส้นทางบินภายในประเทศ-ระหว่างประเทศ และโครงการถนนชนบทที่ขยายเพิ่มเติม จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางการท่องเที่ยวของซินเจียงยิ่งขึ้น

สำหรับซินเจียง มีภูมิทัศน์ธรรมชาติงดงาม ตั้งแต่ยอดเขาสูงตระหง่าน โกรกธารลึก จนถึงทะเลทรายกว้างใหญ่และทะเลสาบเงียบสงบ กลายเป็นจุดหมายห้ามพลาดสำหรับผู้อยากชื่นชมความมหัศจรรย์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ เช่น ภูเขาเทียนซาน ทะเลสาบซ่ายหลี่มู่ ซากโบราณเจียวเหอ และเมืองเก่าคัชการ์

นอกจากนี้ ยังมี ตรอกลิ่วซิง เมืองอี้หนิง แคว้นปกครองตนเองอีหลี กลุ่มชาติพันธุ์คาซัค สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่มาแรง ซึ่งเป็นย่านที่มีการรวมตัวของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มานานเกือบ 100 ปี จนมีเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว 

โดยปัจจุบันตรอกดังกล่าวมีทั้งกิจกรรมการท่องเที่ยว นิทรรศการทางวัฒนธรรม การทำงานฝีมือและงานศิลปะ

'เปิ้ล ไอริณ'ไม่ทน!! เอาผิดอินฟลูฯ เล่าข่าว วิจารณ์เดือด เรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท นำเงินไปช่วยทหารผ่านศึก

(2 มี.ค. 68)  ‘เปิ้ล ไอริณ’ เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.คันนายาว พร้อมทนายอัครเดช หวังสุข และ ทนายนพฤทธิ์ จันทร์สุวรรณ เข้าแจ้งความหมิ่นประมาท กรณี ‘อินฟลูเล่าข่าว’ ได้โพสต์คลิปโดยมีการวิพากษ์วิจารณ์ในแอพพลิเคชั่น TikTok ที่โพสต์ไว้เมื่อปี 2566 

เปิ้ล ไอริณ เผยว่า ปกติไม่เล่นติ๊กต็อก แต่วันนั้นเข้าไปเห็นคลิปที่อินฟลูฯสาวโพสต์ มีการกล่าวพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญในชีวิตของเปิ้ลก็คือคุณแม่ ทุกวันนี้ก็ยังห้อยกระดูกแม่ติดตัว โดยเปิ้ลได้สืบมาแล้วว่า เขาเป็นใคร ทำอะไร

รวมไปถึงคนที่เข้ามาคอมเมนต์ในโพสต์ดังกล่าวด้วยว่า ที่มีการด่าด้วยถ้อยคำรุนแรงถึงแม่ ตา ยาย ใครที่แตะถึงบรรพบุรุษ เปิ้ลเอาเรื่องทุกคน ให้เวลา 3 วันรีบลงทิ้ง หากไม่ลบจะให้ทางทนายจัดการทั้งหมด

เปิ้ล กล่าวว่า ที่ผ่านมาขอให้จัดการให้เรียบร้อย แต่ 1 เดือนผ่านไป ยังไม่มีการตอบกลับ หากจะมาขอโทษ ทุกคำด่ามีค่าใช้จ่าย ตนเองมาที่ สน.ก็ต้องมีการจ้างทนายความ ในทุกเดือนเปิ้ลจะนำเงินไปบริจาคให้กับทหารผ่านศึก เงินที่ได้จากการฟ้องก็จะนำไปมอบให้กับทหารผ่านศึกเช่นกัน โดยฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย 1 ล้านบาท ก็เห็นคู่กรณีนั่ง first class อยู่ตลอดเวลา เงินจำนวนเท่านี้คงไม่ได้มาก แต่มันมากสำหรับการเอาไปช่วยทหารผ่านศึก

เปิ้ล ยังได้โพสต์ภาพคุณแม่และข้อความว่า เนื่องในวันที่ 28 ก.พ.นี้ เวลา 10.00 น. เปิ้ลจะไปแจ้งความในคดีหมิ่นประมาทออนไลน์ ซึ่งตั้งแต่เปิ้ลอยู่ในวงการมาเกือบ 30 ปี ครั้งนี้ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทที่รุนแรงที่สุด โดยนักข่าวและพิธีกรคนดังได้กล่าวพาดพิงและสร้างความเกลียดชัง ชักชวนผู้อื่นให้เข้ามาด่าทอ ด้อยค่าเปิ้ล ถึงเรื่องที่เปิ้ลเคยแสดงออกในการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และบุคคลนี้ ได้กล่าวลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเปิ้ล ซึ่ง ณ ที่นี้ ทุกคนจะรู้ดีว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในชีวิตเปิ้ล ที่เปิ้ลระลึกและพูดถึงอยู่เสมอ ก็คือคุณแม่ของเปิ้ล แม้คุณแม่จะจากไป เป็นคนบนฟ้านับ 10 ปีแล้ว แต่ทุกๆปี เปิ้ลก็ยังคงระลึกถึงท่าน ทำบุญทุกวันครบรอบ นำกระดูกแม่มาห้อยคอติดตัวเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดและยังสวดมนต์แผ่เมตตาให้ท่านทุกคืน ไม่เคยขาด!!

....การอยู่ในวงการนี้ จะด่าทำร้าย....การใช้พื้นที่ในโลกโซเชียล ถือเป็นสิ่งพึงระวัง หากพาดพิงถึงบุคคลอื่นที่เราไม่รู้จัก ด้วยความเกลียดชัง เพื่อสร้างยอดไลค์ สามารถสร้างความเสียหาย มีโทษอาญาถึงขั้นจำคุก และถ้าบุคคลนั้น ยิ่งเป็นบุคคลสาธารณะ ที่มีอิทธิพลกับคนหมู่มาก ยิ่งพึงต้องระวัง โดยเฉพาะการใช้คำพูด ที่มีเจตนาในการสร้างความเกลียดชัง ในที่สาธารณะและสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่นทั้งทางด้านจิตใจและชื่อเสียง

ข่าวเช้าอารมณ์ดี!! เติมพลังบวก พร้อมเสียงหัวเราะ ฟังได้ที่ FM 103.5 และ ทุกช่องทางออนไลน์ เริ่ม 3 มี.ค.นี้

ข่าวดี ๆ มีให้ฟังได้ทุกวัน เริ่มต้นเช้าวันใหม่ เติมพลังบวก กับ THE STATES TIMES

สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES เปิดตัวรายการข่าวเช้าอารมณ์ดี “เดอะสเต็ทส์ไทม์ ยามเช้า” ภายใต้แนวคิด ข่าวดี ๆ มีให้ฟังได้ทุกวัน รายการข่าวเช้า ที่ไม่ใช่แค่นำเสนอข่าว แต่ยังช่วยเติมพลังบวก และเสียงหัวเราะให้ผู้ฟัง และผู้ชมได้ทุกวัน ซึ่งคัดสรรสาระข่าวสาร เรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมถึงสาระน่ารู้ ซึ่งเกิดขึ้นรอบโลกที่เป็นประโยชน์ ไม่ตกเทรนด์ ผ่าน 3 ผู้ดำเนินรายการมากฝีมือ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ประกอบด้วย ไอยรา อัลราวีย์ บรรณาธิการข่าว และผู้ประกาศข่าว ที่จะเปลี่ยนทุกข่าวจริงจัง ให้กลายเป็นเรื่องเล่าสำหรับเพื่อน ๆ ได้ทุกเช้า ร่วมด้วย จิว จิวเวอรี่ ยศภาคย์ นักร้องหนุ่มอารมณ์ดี กับบทบาทใหม่ ในการเล่าข่าวให้ง่าย สนุกสนาน และน้อย ศตกมล วรกุล อดีตผู้ประกาศข่าว 'เส้นทางบันเทิง' มากประสบการณ์ ที่จะพาแขกรับเชิญสุดพิเศษ มาร่วมพูดคุยทุกสัปดาห์

โดย “THE STATES TIMES ยามเช้า” จะเริ่มออกอากาศวันแรก จันทร์ที่ 3 มีนาคม นี้ เต็มอิ่ม 1 ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างเวลา 07.30-09.00 น.ในรูปแบบคู่ขนานทั้ง Online และ On Air ดังนี้ 

เวลา 07.30 น. เริ่มรับชม Live ผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook YouTube และ TiKToK สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES 

ส่วน On Air เริ่มเวลา 08.00 น. ผ่านสถานีวิทยุกองทัพบก FM 103.5 Mhz. (กรุงเทพฯและปริมณฑล)

THE STATES TIMES ยามเช้า ข่าวดี ๆ มีให้ฟังได้ทุกวัน เริ่มต้นเช้าวันใหม่ ใช้เวลากับสิ่งดี ได้ทุกวัน ที่นี้ THE STATES TIMES สำนักข่าวออนไลน์ สำหรับคนรุ่นใหม่

ผลโพลชี้!! ผลงาน 6 เดือนรัฐบาลแพทองธาร สอบไม่ผ่าน!! ประชาชนยังไม่พอใจผลงาน

(2 มี.ค. 68) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “6 เดือน รัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน การสำรวจอาศัย

การสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก

ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก

สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ  พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี
แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า

1. กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

2. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

3. กระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

4. กระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

5. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57
ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

6. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

7. กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

8. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

9. สำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

10. กระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า
ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

11. กระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

12. กระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

13. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

14. กระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

15. กระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

16. กระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

17. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ รองลงมา
ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

18. กระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

19. กระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

20. กระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่าไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

สสว. ประกาศนิยาม ‘เอสเอ็มอีสตรี’ มุ่งให้การส่งเสริม สอดคล้องกับสากล

(2 มี.ค. 68) นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ตามที่ สสว. ได้ขับเคลื่อนและผลักดันการกำหนดนิยามผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรี ของประเทศมาตั้งแต่ปลายปี 2565 เป็นต้นมา ขณะนี้ประสบความสำเร็จโดยราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศฯ เรื่องการกำหนดนิยามวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรี ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ทุกภาคส่วนนำไปเป็นแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ขอบข่ายการส่งเสริมสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือ รวมถึงจัดทำสิทธิประโยชน์เพื่อการส่งเสริมผู้ประกอบการ SME สตรี และช่วยให้หน่วยงานภาครัฐมีข้อมูลเชิงสถิติที่สามารถจัดทำตัวชี้วัดได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางขององค์การสหประชาชาติ ที่กำหนดให้ความเสมอภาคทางเพศ (Gender Equality) เป็น 1 ใน 17 เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก “Sustainable Development Goals : SDGs” 

“ประเทศไทยมิได้มีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินธุรกิจ อาจจะมีประเด็นเล็กน้อย เช่น ความน่าเชื่อถือในการตัดสินใจ ความไว้วางใจในการจัดลำดับความสำคัญระหว่างงานกับครอบครัว ฯลฯ ซึ่งผู้ประกอบการสตรีไทยก็พิสูจน์ความสามารถจนก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมาก แต่เพื่อให้ตอบรับกับการที่องค์กรระหว่างประเทศให้ความสำคัญและรณรงค์เรื่องบทบาทของผู้ประกอบการสตรีมาอย่างต่อเนื่อง สสว. จึงได้เริ่มจัดทำนิยามผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีตั้งแต่ปลายปี 2565 โดยศึกษาข้อมูลต้นแบบจากนานาประเทศ ประชุมระดมความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรระดับนานาชาติ พร้อมทั้งนำเสนอนิยามผู้ประกอบการเอสเอ๋มอีสตรี และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหาร สสว. และคณะกรรมการส่งเสริมเอสเอ็มอีก่อนจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 142 ตอนพิเศษ 52 ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีต่อไป” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว

สำหรับนิยามผู้ประกอบการสตรีเอสเอ็มอีประกอบด้วย 1. กิจการเจ้าของคนเดียว หมายถึง กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นเจ้าของธุรกิจ 2. ห้างหุ้นส่วนสามัญ หมายถึง กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยมีสัดส่วนการลงทุนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 3. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล/ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ (ก) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยมีสัดส่วนการลงทุนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 หรือ (ข) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยมีสัดส่วนการลงทุนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และมีผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการที่มีอำนาจลงนาม 4. บริษัทจำกัด แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ (ก) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นผู้ถือหุ้นรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 หรือ (ข) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นผู้ถือหุ้นรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และมีผู้หญิงสัญชาติไทยอย่างน้อยหนึ่งคนเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม 5. วิสาหกิจชุมชน หมายถึง มีสมาชิกไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นผู้หญิงสัญชาติไทย และผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นประธานหรือมีผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นผู้มีอำนาจทำการแทน 

ทั้งนี้ ภายหลังที่นิยามผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรี ประกาศใช้เรียบร้อยแล้ว สสว. จะทำการเผยแพร่นิยามดังกล่าวเพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดทิศทางและแนวทางการส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรี ให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ นอกจากนี้จะต่อยอดการดำเนินงาน โดยจะประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่มีภารกิจในการจัดเก็บข้อมูลโดยเฉพาะด้านการดำเนินธุรกิจ เพื่อร่วมกันจัดทำฐานข้อมูลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีของประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อประโยชน์ในการกำหนดทิศทาง นโยบาย และมาตรการส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการเสตรี ใอสเอ็มอีให้ได้รับประโยชน์และความช่วยเหลือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศ รวมถึงเชื่อมโยงกับองค์กรระดับนานาชาติในการนำสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มาเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ SME สตรีของประเทศไทย ต่อไป  

‘แยม ฐปณีย์’ โพสต์เฟซ!! วอนอย่าคุกคามกัน ถ้าเห็นไม่ตรงกัน ให้มาเมนต์ในเพจส่วนตัว

(2 มี.ค. 68) แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวจากำนักข่าว ‘The Reporters’ โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ถ้าเห็นไม่ตรงกันเรื่องอุยกูร์จะส่วนตัวหรือ IO มาเมนต์ในเพจส่วนตัว เพจข่าวได้ค่ะ แต่อย่าคุกคามในเพจร้านอาหารเลยค่ะ อย่าคุกคามกันถึงชีวิต เราก็แค่นักข่าวที่จะกี่รัฐบาลก็เป็นแบบนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top