Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

“พล.ต.อ.ธัชชัยฯ” เสริมมาตรการคัดกรองเข้มงวดป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ สั่งบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่างประเทศ เสริมสร้างความร่วมมือในระดับสากล

วันนี้ (14 ม.ค. 68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (จตช./ผอ.ศพดส.ตร.) เป็นประธานการประชุมกำหนดมาตรการป้องกันการถูกหลอกลวงให้ไปทำงานยังประเทศที่สามโดยอาศัยประเทศไทยเป็นทางผ่าน ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท พล.ต.ต.มณฑล บัวจีบ รอง ผบช.ส., พล.ต.ต. ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.กัญชล อินทราราม รอง ผบช.ตชด., พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม., พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท., และ พล.ต.ต.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผบก.อก.บช.น. ร่วมประชุม พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่เคยมีการบังคับขู่เข็ญ หรือหลอกลวงให้ไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน

โดยประเทศไทยไม่ได้เป็นแหล่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการหลอกลวงชาวต่างชาติมาทำงานผิดกฎหมายไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย แก๊งหลอกลวงมักจะใช้ประเทศไทยเป็นเพียงจุดผ่านเพื่อพาผู้เสียหายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกระบวนการหลอกลวงเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระบบความมั่นคง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้สั่งการให้ตำรวจทุกภาคส่วนดำเนินการคัดกรอง ป้องกัน ช่วยเหลือ และดำเนินคดีแก่ ผู้เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงดังกล่าว พร้อมทั้งให้จัดช่องทางประชาสัมพันธ์แก่ชาวต่างชาติที่มายังประเทศไทย และกำชับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองผู้ที่เข้าประเทศ โดยการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งภาครัฐและเอกชน

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ยังได้สั่งการให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ โดยการ ตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อป้องกันการหลอกลวงข้ามประเทศและเสริมสร้างความร่วมมือในระดับสากล รวมถึงการตรวจสอบและดำเนินการกับรถรับจ้างที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ จะมีการตั้งจุดสกัดตามแนวชายแดน เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการลักลอบการค้ามนุษย์ ในส่วนของการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการถูกหลอกลวง หากพบเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องจะต้องแจ้งเตือนและรายงานข้อมูลให้ ศพดส.ตร. ภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน เพื่อติดตามและดำเนินการต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ททท. เร่งกู้สร้างภาพลักษณ์บนโลกออนไลน์ สร้างความมั่นใจ นทท.จีน หลังเกิดกรณี ‘ซิงซิง’

(15 ม.ค. 68) น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจีน หลังมีรายงานว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงรวมถึงมีการยกเลิกคอนเสิร์ตสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ดาราจีน “ซิง ซิง” จะสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์กลับมาอย่างไร ว่า หลังเกิดสถานการณ์ ททท.รับมือเรื่องของวิกฤติบนโลกออนไลน์ ซึ่งการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์มีหลากหลายมากบางคนไม่เคยมาเมืองไทย   แต่คิดไปโน่นไปนี่ ดังนั้น ททท.จึงต้องมีการบริหารภาพลักษณ์บนโลกออนไลน์  เพราะขณะนี้มีความตื่นตระหนกของนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่เคยเดินทางมาเมืองไทย ในกลุ่มนี้เราพยายามทำในเรื่องชาร์เตอร์ไฟลท์ หรือ เครื่องบินแบบเช่าเหมาลำเข้ามาในเมืองไทย ซึ่งยอมรับว่ามีการยกเลิกไฟลท์บินบ้าง แต่ในส่วนของนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางมาเมืองไทยรับรู้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่สงบสุขและเป็นประเทศที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนก็ยังมาอยู่ 

น.ส.ฐาปนีย์ กล่าวว่า ในส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยตนเองสายการบินแบบปกติยังไม่กระทบ เพราะ 90 ถึง 95% ยังเดินทางมาอยู่ อย่างไรก็ตามเราต้องบริหารจัดการเรื่องภาพลักษณ์บนโลกออนไลน์และสื่อสารให้เห็นถึงมุมที่แท้จริงของประเทศไทยเพื่อไปยังกลุ่มชุมชนออนไลน์ของจีนให้มากกว่านี้ 

น.ส.ฐาปนีย์ กล่าวอีกว่า ทาง ททท. 5 สำนักงานในประเทศจีนได้พูดคุยกับเอเจ้นต์ (Agent) บริษัททัวร์ และสายการบินในประเทศจีน เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวในช่วงตรุษจีน โดยมีการเตรียม 3 เรื่องหลักคือความปลอดภัย สินค้า และบริการ รวมถึงการได้ประสบการณ์ที่ดีในการมาเมืองไทย ซึ่งนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับตำรวจท่องเที่ยวเป็นอย่างมากเพื่อความปลอดภัยของการท่องเที่ยว รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆฝ่ายความมั่นคงก็มาเข้ามาช่วยดูแล

สตูล นาวาเอก ธนพล  กล่อมนาค รองผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง 1 ลงตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ ของกำลังพล

นาวาโท ธนภูมิ ประทีป ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยาน และรักษาฝั่งที่ ๔๕๒ให้การต้อนรับ นาวาเอก พงษ์ศักดิ์ รามนุช ผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง นาวาเอก ธนพล กล่อมนาค รองผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (๑) และ นาวาโท อนุวัฒน์ อายุยืน ผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งประจำพื้นที่ ๑ เนื่องในโอกาสเดินทางมาตรวจเยี่ยม กำลังพลสนับสนุนหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ ๔๕๒ พื้นที่เกาะปูยู และเกาะยาว จังหวัดสตูล เพื่อตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ ของกำลังพล รับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อขัดข้อง ในการปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกล สร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลในหน่วยเฉพาะกิจที่ปฏิบัติงานตรวจตราในพื้นที่ชายแดน

สถานีเรดาร์ตรวจการณ์ทางทะเลเกาะปูยูและ เกาะยาวมึภารกิจตรวจการณ์ทางทะเลโดยเรดาร์เพื่อตรวจและติดตามเรือในทะเลที่มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยในภัยต่างๆในพื้นที่ทางทะเลและตะเข็บชายแดนเพื่อแจ้งชี้เป้าและสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยเรือในการพิสูจน์ทราบต่อไป ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาในการซีลชายแดนป้องกันการค้ามนุษย์และป้องกันอาชญากรรมตามแนวชายแดน

‘เอกนัฏ‘ สั่งปิดโรงงานน้ำตาล-โรงไฟฟ้าไทยอุดรฯ หลังพบฝ่าฝืนกฎหมายความปลอดภัยหลายข้อ

(15 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ 'ทีมตรวจการสุดซอย' นำโดยพนักงานเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี บูรณาการร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานน้ำตาลของบริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด และโรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยอุดรธานี เพาเวอร์ จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.คำบง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด มีการรับอ้อยเผาเข้าหีบสะสมสูงสุดจากโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 58 โรงงาน คิดเป็น 43.11% ของปริมาณอ้อยทั้งหมด หรือกว่า 4.1 แสนตัน เทียบเท่าการเผาป่ากว่า 4.1 หมื่นไร่ โดยจังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนการรับอ้อยเผาเข้าหีบสูงสุดของประเทศ อีกทั้งยังพบว่า บริษัท ไทยอุดรธานี เพาเวอร์ จำกัด ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำส่งให้กับโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี โดยบริษัทฯ ฝ่าฝืนกฎหมายความปลอดภัย มีการประกอบกิจการในสภาพที่อาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงถึงชีวิตและทรัพย์สินของพนักงานและประชาชนที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับโรงงาน 

นอกจากนี้ บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด ยังมีการประกอบกิจการที่อาจก่อให้เกิดอันตราย ความเสียหายหรือความเดือดร้อนแก่พนักงานหรือทรัพย์สินที่อยู่ในโรงงานหรือที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับโรงงานในหลายประเด็น เช่น มีการจัดเก็บหรือการดำเนินการเกี่ยวกับสารเคมี วัตถุอันตราย และกากอุตสาหกรรมที่ใช้และเกิดจากกระบวนการผลิตของโรงงานที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ตู้ควบคุมไฟฟ้าอยู่ในสภาพชำรุดอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ อีกทั้ง มีการติดตั้งระบบดับเพลิงที่ไม่พร้อมใช้งานในหลายจุด อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานีจึงมีคำสั่งด่วนที่สุดให้บริษัทฯ ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายทั้งหมด จนกว่าจะปรับปรุงแก้ไขโรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเข้มงวด

“ผมขอย้ำว่า การประกอบการโรงงานต้องมีกระบวนการผลิตที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหนือสิ่งอื่นใด การสร้างกำไรจากการทำธุรกิจอุตสาหกรรมต้องไม่เบียดเบียนสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและการทำธุรกิจของภาคส่วนอื่นด้วย” นายเอกนัฏฯ กล่าวทิ้งท้าย

พีท เฮกเซธ ว่าที่รมว.กลาโหมสหรัฐ ถูกจี้กลางสภา ปมขาดความรู้เรื่องอาเซียน

(16 ม.ค.68) วุฒิสภาสหรัฐได้จัดประชุมพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่เตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งในคณะรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โดยหนึ่งในผู้เข้ารับการพิจารณาคือ พีท เฮกเซธ อดีตทหารผ่านศึกและผู้ประกาศข่าวจากช่อง Fox วัย 44 ปี ซึ่งถูกเสนอชื่อเป็นว่าที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ  

ในการประชุม แทมมี ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกสหรัฐสังกัดพรรคเดโมแครตได้สอบถามถึงความรู้ด้านยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศของเฮกเซธ โดยถามว่าเขาสามารถระบุชื่อประเทศสมาชิกอาเซียนได้หรือไม่ พร้อมอธิบายถึงความสัมพันธ์และข้อตกลงของสหรัฐกับประเทศเหล่านั้น  

เฮกเซธตอบกลับอย่างไม่ตรงคำถาม โดยระบุว่าเขาไม่ทราบจำนวนประเทศในอาเซียน แต่กล่าวถึงพันธมิตรของสหรัฐในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น รวมถึงข้อตกลง AUKUS ระหว่างออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐ  

คำตอบดังกล่าวทำให้แทมมีสวนกลับทันทีว่า “ทั้งสามประเทศที่คุณกล่าวมาไม่ได้อยู่ในอาเซียน” และยังแนะนำให้เฮกเซธศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูมิภาคนี้  "ฉันแนะนำให้คุณทำการบ้านเพิ่มเติม"

รายงานระบุว่า คำถามของแทมมีเกิดขึ้นหลังจากเฮกเซธกล่าวถึงความสำคัญของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จีนกำลังแผ่อิทธิพลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ที่มีข้อพิพาทกับประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบรูไน อินโดนีเซียเองก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยจีน  

ที่ผ่านมาสหรัฐมีพันธมิตรตามสนธิสัญญากับไทยและฟิลิปปินส์ และพยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์ในภูมิภาคเพื่อถ่วงดุลอำนาจจีน โดยทำเนียบขาวเน้นย้ำถึงการสร้างภูมิภาคที่ "เปิดกว้าง เจริญรุ่งเรือง ปลอดภัย และยืดหยุ่น"  

ประธานาธิบดีโจ ไบเดนย้ำว่า อาเซียนเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก โดยนอกจากจีนและสหรัฐ อาเซียนยังมีความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซีย อินเดีย ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมถึงการประชุมอาเซียน+3 และอาเซียน+6 ที่มีผู้นำจากทั่วโลกเข้าร่วม  

นอกจากนี้ อาเซียนยังเป็นศูนย์กลางของข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ลงนามในปี 2563 และถือเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

กกต.ตรวจสอบ 'มาดามหน่อย' ผู้สมัครนายก อบจ. เบอร์ 2 ส่อฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง หลังโอนงบ 23 ล้านก่อนลาออก

เมื่อวันที่ (15 ม.ค. 68) ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมโรงแรมเซ็นทาราโคราช อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ "สร้างผู้ปฏิบัติงานการเลือกตั้งมืออาชีพ" ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีตัวแทนประชาชนระดับอำเภอจากทั่วทั้งจังหวัดรวมกว่า 1,200 คน เข้าร่วมงาน ทั้งนี้ นายไพฑูรย์ ถนัดหมอ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา ได้กล่าวถึงความสำคัญของการทำงานอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมในการเลือกตั้ง  

นายไพฑูรย์ ยังเปิดเผยถึงการตรวจสอบกรณี นางยลดา หวังศุภกิจโกศล หรือ “มาดามหน่อย” ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา หมายเลข 2 ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีการกระทำที่อาจขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น หลังจากมีรายงานว่า ในระหว่างดำรงตำแหน่งนายก อบจ. ได้เสนอญัตติการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพื่อซื้อครุภัณฑ์ใหม่แทนของเก่าที่ชำรุด โดยรายการโอนงบประมาณดังกล่าวรวมเป็นเงินกว่า 23 ล้านบาท ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสมาชิก อบจ. 36 คน จากทั้งหมด 39 คน  

อย่างไรก็ตาม การอนุมัติในช่วงเวลา 90 วันก่อนที่นางยลดาจะยื่นลาออกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 65 ของพระราชบัญญัติการเลือกตั้งท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2566 โดยกฎหมายดังกล่าวระบุห้ามกระทำการใดๆ ที่อาจเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งนี้โทษตามกฎหมายดังกล่าวระบุไว้ในมาตรา 126  

ปัจจุบัน การตรวจสอบยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของนางยลดา และสมาชิก อบจ. ที่ร่วมเห็นชอบการอนุมัติครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมหรือสนับสนุนการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ โดยจะพิจารณาในแต่ละกรณีอย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อไป 

องค์กรแพทย์แห่งทั่วโลกหนุนวัดรอบเอว แทนเกณฑ์ BMI ประเมินความเสี่ยงโรคอ้วน

(16 ม.ค.68) กลุ่มองค์กรการแพทย์ 76 แห่งทั่วโลกประกาศสนับสนุนแนวทางใหม่ในการวินิจฉัยโรคอ้วน โดยไม่จำกัดเพียงการใช้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งคำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูงเท่านั้น แต่เพิ่มการพิจารณาปัจจัยอื่น เช่น รอบเอว เพื่อให้การประเมินแม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น  

ทีมนักวิจัย 56 คนเสนอการแบ่งโรคอ้วนออกเป็น 2 ระยะ ตามการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสาร The Lancet Diabetes and Endocrinology เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ได้แก่  

1. โรคอ้วนทางคลินิก (Clinical Obesity) ซึ่งมักมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หายใจลำบาก การทำงานของหัวใจผิดปกติ หรือปัญหาที่กระทบชีวิตประจำวัน  
2. ระยะเสี่ยงโรคอ้วน (Pre-clinical Obesity) ที่แม้จะมีไขมันเกินแต่ยังไม่มีอาการแสดงชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้มีโอกาสสูงที่จะพัฒนาเป็นโรคอ้วนทางคลินิกหรือโรคเรื้อรังอื่น เช่น เบาหวาน จึงจำเป็นต้องได้รับการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด  

ศ.นพ.ฟรานเชสโก รูบิโน จากคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ซึ่งเป็นประธานคณะทำงานกล่าวว่า "โรคอ้วนมีหลากหลายระดับ และต้องการการดูแลที่เหมาะสมตามความเสี่ยงที่แตกต่างกัน"  

รายงานจากรอยเตอร์ระบุว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคอ้วนมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าเกณฑ์ใหม่นี้จะทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่คาดว่าจะช่วยยุติข้อถกเถียงในวงการแพทย์เกี่ยวกับสถานะของโรคอ้วน  

แนวทางดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระดับโลก อาทิ สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน สมาคมเบาหวานจีน และสหพันธ์โรคอ้วนโลก โดยคณะทำงานนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งเริ่มศึกษามาตั้งแต่ปี 2562  

แม้การพัฒนายากลุ่ม GLP-1 โดยบริษัทอิไล ลิลลี่ และโนโว นอร์ดิสค์ จะส่งผลต่อการรักษาโรคอ้วนอย่างมีนัยสำคัญ แต่ ศ.นพ.รูบิโนย้ำว่า เกณฑ์ใหม่ไม่ได้มุ่งเน้นที่การใช้ยาโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม หากระบบสาธารณสุขทั่วโลกนำเกณฑ์นี้ไปใช้ จะช่วยให้แพทย์สามารถตัดสินใจจ่ายยาตามความเสี่ยงของผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม

เกณฑ์วินิจฉัยใหม่ยังอาจส่งผลต่อบริษัทประกันสุขภาพ โดยอาจอนุมัติคุ้มครองค่ายารักษาโรคอ้วนทางคลินิกโดยไม่ต้องรอให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เบาหวาน  

“เราเชื่อว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ทั้งในด้านการดูแลรักษาและการเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อโรคอ้วน” ศ.นพ.รูบิโนกล่าวทิ้งท้าย

'เผ่าภูมิ' เผย 'เงิน 10,000' เฟสสอง โอน 27 ม.ค. เช็คสิทธิ 22 ม.ค. ผ่านทางรัฐ แนะรีบผูกพร้อมเพย์ รัฐโอนซ้ำให้ 3 ครั้ง

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน แก่ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ ดังนี้

1. เป็นผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน 'ทางรัฐ' สำเร็จ (ลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สำเร็จ) ที่มีสัญชาติไทยและมีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ 15 กันยายน 2567 (เกิดก่อนหรือในวันที่ 16 กันยายน 2507) และมีคุณสมบัติเพิ่มเติม ดังนี้
1.1 ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566 
1.2 ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
1.3 ไม่เป็นผู้อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
1.4 ไม่เป็นผู้ต้องขัง 4 ประเภท ได้แก่ นักโทษเด็ดขาด ผู้ต้องขังระหว่าง ผู้ต้องกักขัง และผู้ต้องกักกัน ตามฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
1.5 ไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ

2. ตรวจสอบสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน 'ทางรัฐ' ได้ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. 68 เป็นต้นไป โดยกรอกบัญชีผู้ใช้หรือเลขประจำตัวประชาชน (Username) และรหัสผ่าน (Password) เพื่อ 'เข้าสู่ระบบ' และกด 'ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน' โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เพื่อเข้าสู่หน้าแสดงผลผู้มีสิทธิโครงการฯ

3. ผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเงินในโครงการฯ จะได้รับเงิน 10,000 บาท ผ่านบัญชีเงินฝากที่ผูกพร้อมเพย์
กับเลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น (ไม่สามารถรับเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับเบอร์โทรศัพท์ได้) ซึ่งสามารถผูกกับบัญชีเงินฝากของธนาคารใดก็ได้โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นธนาคารของรัฐ ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 22 ม.ค. 68 เพื่อรอรับการจ่ายเงินในวันที่ 27 ม.ค. 68

4. ควรตรวจสอบกับธนาคารด้วยว่าบัญชีพร้อมเพย์ดังกล่าวยังคงมีสถานะปกติที่สามารถรับเงินโอนได้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมรับเงินในวันที่ 27 ม.ค. 68

5. ในกรณีที่จ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจำนวน 3 ครั้ง ได้แก่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 28 มีนาคม และ 28 เมษายน 68

ขอนแก่น - 'มข.' กระชับสัมพันธ์ เครือข่ายสื่อมวลชน 2568 ชื่นมื่น พร้อมเผยแพร่องค์ความรู้สู่ ปชช.

ขอบคุณสื่อมวลชน ที่ได้มีบทบาทในการสื่อสารผลงานวิชาการ และนวัตกรรม ที่มหาวิทยาลัยสร้างขึ้น นับเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์เนื้อหา ทางวิชาการ บนพื้นที่สื่อส่วนกลาง ให้รับรู้ในวงกว้าง ส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชน ตลอดจนการเผยแพร่วัฒนธรรมและค่านิยมต่างๆ  จากการได้รับการสนับสนุน จากเครือข่ายสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ทำให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น เติบโตก้าวหน้าในทุกด้าน ด้านภาพลักษณ์ ได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากสังคม

ค่ำวันที่ 14 มกราคม 2568 ที่ ห้องจัดเลี้ยง ชั้น 3 โรงแรมบายาสิตา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น รายงานว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้จัดโครงการ 'มข.ส่งมอบความสุขเครือข่ายสื่อมวลชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568' โดยมี รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน  พร้อมด้วย รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ รักษาราชการแทนรองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์,อาจารย์ณัฐสมล ธนกุลรังสฤษดิ์ รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายกฎหมายและสื่อสารองค์กร,นายชุมพร พารา ผู้อำนวยการกองสื่อสารองค์กร ตลอดจนเจ้าหน้าที่และบุคลากร ,นายชาญสิทธิ์ ฝางชัยภูมิ นายกสมาคมช่างภาพ ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ จังหวัดขอนแก่น ,นายเจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดขอนแก่น ,นายเจริญ เพ็งมูล นายกสมาคมสื่อมวลชนเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น ,นายหมวดตรีชูไทย วงศ์บุญมี ประธานชมรม-นักข่าวนักหนังสือพิมพ์ และนักจัดรายการจังหวัดขอนแก่น ร่วมกิจกรรม ในการนี้ มีสื่อมวลชนด้านโทรทัศน์ สื่อมวลชนด้านวิทยุกระจายเสียง สื่อมวลชนด้านหนังสือพิมพ์ และ สื่อออนไลน์ ที่ลงทะเบียนเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก 

พิธีการเริ่มจาก รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล รักษาราชการอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวเปิดงาน ว่า ปีนี้เป็นวาระพิเศษเนื่องในโอกาสครบรอบ 61 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็น 61 ปี ที่เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์งานในทุกพันธกิจ เพื่อพัฒนาสังคม และประเทศชาติในทุกมิติ การจัดงาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่งมอบความสุข เครือข่ายสื่อมวลชน ในวันนี้ จึงนับเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญ ที่เราจะได้ยกระดับความสัมพันธ์มากขึ้น และร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อสังคมและประเทศชาติ

“ขอบคุณสื่อมวลชน ที่ได้มีบทบาทในการสื่อสารผลงานวิชาการ และนวัตกรรม ที่มหาวิทยาลัยสร้างขึ้น นับเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์เนื้อหา ทางวิชาการ บนพื้นที่สื่อส่วนกลาง ให้รับรู้ในวงกว้าง ส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชน ตลอดจนการเผยแพร่วัฒนธรรมและค่านิยมต่างๆ  จากการได้รับการสนับสนุน จากเครือข่ายสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ทำให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น เติบโตก้าวหน้าในทุกด้าน ด้านภาพลักษณ์ ได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากสังคม ด้านความร่วมมือ ก็ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อันเป็นที่ปรากฏผล แห่งความสำเร็จตลอดมา”

ภายหลังอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวขอบคุณสื่อมวลชนเป็นการมอบรางวัลแก่ผู้โชคดี ต่อจากนั้น ตัวแทนสื่อมวลชนได้กล่าวแสดงความรู้สึกระหว่างสื่อมวลชน ที่มีต่อมหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังเสร็จช่วงพิธีการ เป็นการแสดงวงดนตรี สลับด้วยการจับรางวัลให้กับสื่อมวลชนที่ร่วมงาน ที่โชคดี ตลอดจนจัดกิจกรรม ประกวดการแต่งกายชาย/หญิง ภายใต้ธีมสายมู ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความตื้นเต้น ดีใจ สนุกสนาน ชื่นมื่นตลอดงาน

‘รสนา’ ฟาดกลับ 3 บก.เครือเนชั่น กล่าวหาเป็นขุนพลข้างกาย ‘นักการเมือง’ ย้ำชัด ไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายใคร ชี้ ‘พีระพันธุ์‘ ทำงานแนวของเขา

‘รสนา’ โต้ 3 บก. สื่อเครือเนชั่น เต้าข่าวกล่าวหา เป็นขุนพลข้างกาย ‘พีระพันธุ์’ โดยไม่มีการวิเคราะห์ใด ๆ ย้ำชัด เป็นพลทหารของประชาชน ไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายนักการเมืองพรรคใด 

เมื่อวันที่ (15 ม.ค. 68) นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่ผู้ดำเนินรายการเนชั่นสุดสัปดาห์กับ 3 บก. ซึ่งประกอบด้วยนายวีระศักดิ์ พงษ์อักษร, นายสมชาย มีเสน และนายบากบั่น บุญเลิศ จัดรายการพาดพิงตนเองว่าเป็นขุนพลข้างการนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน โดยระบุว่า รสนาเป็นพลทหารของประชาชนไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายนักการเมืองพรรคใด ตามที่สื่อเต้าข่าว !?!

วันนี้มีเพื่อนส่งคลิปนักข่าว 3 คนเครือเนชั่น ออกมาวิเคราะห์เรื่องนโยบายพลังงานของนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน มีการเอาภาพใครต่อใครมาแปะข้างกายนายพีระพันธุ์ และพาดหัวใต้ภาพว่า ‘ขุนพลข้างกาย “พีระพันธุ์” พานโยบายย้อนยุค?’

ในภาพดังกล่าว มีรูปดิฉันอยู่ด้วย และมีการพูดชื่อดิฉันชัดเจนในรายการ ทุนสื่อเนชั่นแกล้งเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า!? สิ่งที่นักข่าวทั้ง 3 คนพูด ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรในเชิงวิเคราะห์ข่าวที่เต้าขึ้นมาแม้แต่น้อย แต่กล่าวหาดื้อ ๆ ว่าดิฉันเป็นขุนพล รมว.พีระพันธุ์

นักข่าว นักสื่อมวลชนจะสื่อสารอะไรกับสังคมและประชาชนที่เวลานี้มีช่องทางอิสระในการหาความจริงได้มากกว่าทุนสื่อบางกลุ่มที่ทั้งตกยุค ตกเทรนด์พลังงานโลกยุคใหม่เสียอีก สื่อจึงควรมีเนื้อหาสาระ มีข้อมูลที่เป็นความจริงน่าเชื่อถือ มิเช่นนั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นทุนสื่อของค่ายธุรกิจการเมืองบางกลุ่มที่หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์พลังงานโลกจนต้องเต้าข่าว ปั่นข่าวโคมลอย เพื่อดิสเครดิตใครก็ตามที่มุ่งสู่การปลดแอกทุนพลังงานจากบ่าประชาชน สื่อเต้าข่าวจำพวกนี้ ควรระวังที่จะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือในอนาคตอันใกล้ !!

ดิฉันก็จบคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ สิ่งที่เราได้รับการอบรมสั่งสอนคือสื่อต้องมีจริยธรรม ในการนำเสนอความจริงต่อสังคม การเต้าข่าวเลื่อนลอยถือว่าเป็นอนันตริยกรรมในวิชาชีพสื่อ ใช่หรือไม่??!!

ดิฉันไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายนักการเมืองของพรรคใดๆ ถ้าจะเป็น ก็จะเป็นเพียงพลทหารของประชาชน ที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนอย่างสุดฤทธิ์เท่านั้น

ดิฉันทำงานต่อสู้เรื่องพลังงานมานานมากก่อนที่นักการเมืองคนใดจะสนใจประเด็นนี้เสียอีก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top