Thursday, 12 June 2025
TheStatesTimes

สวนนงนุชพัทยา จับมือ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากประเทศจีน  ลงนามความร่วมมือการพัฒนาสายพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้า ใหม่ไปทั่วโลก

วันนี้ เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมเฟื่องฟ้า โดยนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วย บริษัท Sanya Yazhou Bay Science and Technology City Investment Holding Co., Ltd. สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง(MOU)ว่าด้วยกรอบการสื่อสารความร่วมมือ เพื่อจะสร้างพันธุกรรม รวบรวม วิจัย และพัฒนาพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้า ใหม่ไปทั่วโลก

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูล,พันธุกรรม,พัฒนาเทคนิคการเพาะพันธุ์,การพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ และสร้างแพลตฟอร์มแบ่งปันข้อมูลสำหรับสถานที่จัดเก็บพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้าร่วมกัน อีกทั้งร่วมแก้ไขและเผยแพร่ "รายชื่อพันธุ์ไม้ดอกเฟื่องฟ้าโลก" ก่อนปี 2570  ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้ทั้ง 2 แห่งนี้มีจำนวนสายพันธุ์และสายพันธุ์ใหม่ๆของต้นเฟื่องฟ้ามากที่สุดในโลก  โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2571

ทั้งนี้สำหรับ Hainan Sanya Bougainvillea Science and Technology Park เป็นสวนวิทยาศาสตร์และนิทรรศการดอกเฟื่องฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสถานที่เพาะพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของจีน และสวนนงนุชพัทยา เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสิบสวนที่สวยที่สุดในโลก มีสายพันธุ์ดอกเฟื่องฟ้ามากที่สุดในโลก ทั้งสองแห่งถือว่าเป็นสถาบันมีสำคัญ และมีบุคลากรที่เชียวชาญในเรื่องของการศึกษาดอกเฟื่องฟ้าของโลก หลังจากนั้นทางคณะเดินทางไปปลูกต้นเฟื่องฟ้ายักษ์ บริเวณสวนรุกขชาติเชิงเขาบรรไดกฤษ ที่สวนนงนุชพัทยา

ผู้นำเม็กซิโกสวนทรัมป์ เสนอเปลี่ยนชื่อ 'อเมริกาเหนือ' เป็น ‘เม็กซิกัน อเมริกา’ ยกประวัติศาสตร์บางรัฐในสหรัฐฯ เคยเป็นของเม็กซิโก

(9 ม.ค.68) ประธานาธิบดีคลอเดีย ไชน์บาว์มแห่งเม็กซิโกออกแถลงการณ์ตอบโต้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเสนอว่าภูมิภาคอเมริกาเหนือควรกลับไปใช้ชื่อดั้งเดิมว่า 'เม็กซิกัน อเมริกา' หลังทรัมป์แสดงความเห็นอยากเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา'

การแถลงข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม โดยไชน์บาว์มย้ำว่า รัฐบาลเม็กซิโกคาดหวังความสัมพันธ์เชิงบวกกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมนี้ อย่างไรก็ตาม ไชน์บาว์มใช้โอกาสนี้วิจารณ์แนวคิดของทรัมป์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนชื่อ พร้อมชูแผนที่โบราณจากศตวรรษที่ 17 เพื่อสนับสนุนข้อเสนอของเธอ

ไชน์บาว์มกล่าวว่า 'อ่าวเม็กซิโก' ได้รับการยอมรับในระดับสากลโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) และการเปลี่ยนชื่อดังกล่าวอาจก่อให้เกิดข้อโต้แย้งในวงกว้าง นอกจากนี้ เธอยังระบุว่าภูมิภาคอเมริกาเหนือ รวมถึงบางส่วนของอเมริกากลาง มีชื่อดั้งเดิมว่า 'เม็กซิกัน อเมริกา' ดังนั้น เธอจึงเสนอให้ทุกประเทศในบริเวณนี้กลับมาใช้ชื่อนี้ร่วมกัน เพื่อสะท้อนประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม

แถลงการณ์ของไชน์บาว์มมีขึ้นเพื่อตอบโต้คำพูดของทรัมป์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น 'อ่าวอเมริกา' พร้อมทั้งวิจารณ์เม็กซิโกว่าเป็นประเทศที่ถูกครอบงำโดยขบวนการค้ายาเสพติด ไชน์บาว์มตอบกลับว่า “เม็กซิโกคือประเทศประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุด” และปฏิเสธคำกล่าวหาดังกล่าว

ทรัมป์ยังขู่ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกถึง 25% และขึ้นบัญชีดำแก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโกให้เป็น 'กลุ่มก่อการร้าย' ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ไชน์บาว์มมองว่าเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย

สวนนงนุชพัทยามอบของขวัญในวันเด็กแห่งชาติปี2568 สำหรับเด็ก 3 ฟรีเที่ยวสวนสวยระดับโลก

สวนนงนุชพัทยาโดยคุณกัมพล  ตันสัจจา  ประธานสวนนงนุชพัทยา  ขอมอบประสบการณ์ความสนุกและความรู้แบบเต็มอิ่มให้กับน้องๆหนูๆ ตามคำขวัญวันเด็กที่ว่า ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง ในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2568 วันเด็กแห่งชาติ ด้วยสิทธิ์พิเศษสำหรับเด็กที่มากับครอบครัว 

ทั้งนี้ 3 ฟรี ที่ทางสวนนงนุชพัทยาจัดให้ 1.บัตรผ่านประตูชมสวนฟรี 2.ชมการแสดงนงนุชโชว์และการแสดงช้างแสนรู้ฟรี 3. เข้าชมพิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณฟรี สำหรับเด็กไทยที่มีความสูงไม่เกิน 140 เซนติเมตร พร้อมกิจกรรมอีกมากมายตลอดทั้งวัน นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เกิดในเดือนมกราคม เข้าฟรีถึง 31 มกราคม 2568

สำหรับเด็กๆพลาดไม่ได้หุบเขาไดโนเสาร์ ที่มีไดโนเสาร์มากกว่า 1,700 ตัว และยังมีสวนสวยมากกว่า 60 สวน อาทิเช่น สวนตะบองเพชร1,2 สวนกล้วยไม้ สวนรถ เนิร์สเซอรี่ไม้ภายใน  และยังมีสถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิให้ได้ชมอีกมากมาย เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00 น. – 18.00 น. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.nongnoochpattaya.com 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าของบริษัทตึ๊งหุ้นตัวเอง สัญญาณเตือน! บริษัทอาจกำลังขาดสภาพคล่อง

(9 ม.ค. 68) ในช่วงนี้ถ้าใครที่เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นก็จะเห็นบรรดาข่าวที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นบ้านเราเต็มไปด้วยปัจจัยลบทั้งจากตัวเศรษฐกิจเองที่เงินเฟ้อไทยที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาด หรือมาตรการของภาครัฐที่กดดันหุ้นอุตสาหกรรมบางประเภท อย่าง กลุ่มโรงไฟฟ้า และหุ้นที่พากันลงไปแตะที่ระดับต่ำสุดของวันหรือที่เราเรียกว่า หุ้นลงแตะที่ฟลอร์ จากปัจจัยเฉพาะตัวของหุ้นตัวนั้นๆเอง 

ล่าสุดเราก็จะเห็นได้จากกรณีของหุ้นตัวหนึ่งที่ลงไปแตะฟลอร์หลายวันติดกันจากกรณีที่เจ้าของนำหุ้นตัวเองไปตึ๊ง เพื่อนำเงินไปหมุนเวียน และเมื่อมีการกู้ที่เยอะเกินกว่าปกติทำให้โบรกเกอร์เริ่มจำกัดวงเงิน และส่งผลทำให้หมุนเงินไม่ทัน จนนำมาซึ่งการถูกบังคับขาย แล้วการตึ๊งหุ้นตัวเองคืออะไร เดี๋ยววันนี้จะมาสรุปให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆกันค่ะ 

การตึ๊งหุ้นตัวเองก็คือการที่ผู้บริหาร หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ นำหุ้นของบริษัทตนเองออกไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อกู้เงิน และนำเงินที่กู้ได้นั้นไปเชื่อเพื่อเป็นเงินหมุนเวียนในการทำธุรกิจ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการเอาหุ้นที่เรามีไปวางเป็นหลักประกันเพื่อที่จะขอเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นด้วยวงเงินที่สูงขึ้น ที่เรารู้จักคุ้นหูว่า “บัญชีมาร์จิ้น” โดยเราจะเรียกพฤติการณ์การทำแบบนี้ในทางการว่า “ธุรกรรมหุ้นหลักประกัน” 

แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมายและก็ถือเป็นสิทธิของผู้กู้และผู้ให้กู้อยู่แล้ว แต่การทำเช่นนี้ก็มีความเสี่ยงมากมายที่อาจจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อนักลงทุนและราคาหุ้นตัวนั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหุ้นตัวนั้นมีข่าวที่ไม่ดีอย่างงบการเงินที่ออกมาไม่ดี หรือข่าวที่เกี่ยวกับธรรมาภิบาลของเจ้าของบริษัท ก็จะทำให้เกิดแรงขายในหุ้นตัวนั้นได้ และเมื่อมูลค่าหุ้นลดลง เจ้าของที่ทำการกู้เงินจากการตึ๊งหุ้นตัวเองก็จำเป็นต้องเติมเงินเข้ามาเพื่อรักษามูลค่า หรือที่เรียกว่า Margin Call และถ้าไม่สามารถหาเงินมาเติมได้ก็จะถูกให้บังคับขายหุ้น (Forced Sell) ที่มี และนั่นก็จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ราคาหุ้นตกลงไปอีก และยิ่งไปซ้ำเติมปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นตัวนั้นในแย่ลงไปอีก

ซึ่งเรื่องนี้บอกอะไรเราในฐานะนักลงทุนบ้าง? ในฐานะนักลงทุนพวกเราควรเห็นสัญญาณเตือนนี้ว่า การที่ผู้ถือหุ้นใหญ่นำหุ้นของตัวเองไปจำนำ อาจสะท้อนถึงความต้องการเงินสดเร่งด่วน ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเพราะบริษัทมีปัญหาด้านสภาพคล่อง หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องการเงินทุนสำหรับโครงการอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท เราเองจึงตรวจสอบสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างละเอียดมากขึ้น รวมถึงต้องมองหาบริษัทที่มีธรรมาภิบาลที่ดี มีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบและโปร่งใส รวมถึงศึกษาหาข้อมูลจากกรณีศึกษาที่เคยเกิดขึ้นในอดีตค่ะ 

โรงเรียนดุริยางค์ทหารบก ใช้ไอเดียคุกกี้กล่องแดง เปิดรับสมัครนักเรียนประจำปี 2568

(9 ม.ค.68) เพจ หมวดดุริยางค์ มณฑลทหารบกที่ 13 จ.ลพบุรี สร้างกระแสไวรัลสุดฮือฮาหลังประกาศรับสมัครนักเรียนดุริยางค์ทหารบก ด้วยไอเดียโฆษณาสุดสร้างสรรค์ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม  

ประกาศรับสมัครในครั้งนี้ไม่ได้มาแบบธรรมดา เพราะทางโรงเรียนดุริยางค์ทหารบกเลือกใช้ คุกกี้กล่องแดงในตำนาน เป็นพื้นหลังในป้ายโฆษณา พร้อมใส่ภาพวงดุริยางค์ทหารบกและรายละเอียดการรับสมัครอย่างครบถ้วน อ่านง่าย ดึงดูดสายตา จนทำให้โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลในเวลาอันรวดเร็ว  

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเข้าเป็นนักเรียนดุริยางค์ทหารบก ประจำปีการศึกษา 2568 สามารถสมัครได้ตั้งแต่ วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่านระบบออนไลน์เท่านั้นที่เว็บไซต์  
(https://rtasm.thaijobjob.com/202412/index.php)  

รายละเอียดการติดต่อเพิ่มเติม  
Facebook:  
- โรงเรียนดุริยางค์ทหารบก  
- นักเรียนดุริยางค์ทหารบก RTABS  
 โทรศัพท์:  
- 02-245-9378  
- 02-245-3373 ต่อ 89530  
- 088-994-4414 

กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงรับทูลเกล้าฯ ถวาย ปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก ม. เเห่งชาติสิงคโปร์

ทรงพระเจริญ

มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แด่กรมสมเด็จพระเทพฯ  

เมื่อวันที่ (8 ม.ค. 68) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชวโรกาสให้ นายทาร์มัน ชันมูการัตนัม (Tharman Shanmugaratnam) ประธานาธิบดีสิงคโปร์ และนาย Tan Eng Chye อธิการบดีมหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ เฝ้าทูลละอองพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ณ ทำเนียบประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์

จุฬาฯ เติมหลักสูตร Non-Degree จบได้ใน 6 เดือนรับตลาดแรงงานอนาคตโลก

(9 ม.ค. 68) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมมือกับ World Economic Forum เผยรายงาน Future of Jobs 2025 ชี้ให้เห็นว่าอีก 5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงานอย่างมหาศาล โดยอาชีพเก่าอาจหายไปถึง 92 ล้านตำแหน่ง ขณะเดียวกัน อาชีพใหม่ที่อาศัยทักษะด้าน AI และ Big Data จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด มหาวิทยาลัยต้องเร่งปรับตัว โดยการออกแบบหลักสูตรระยะสั้น เพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะเหนือกว่า AI  

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รายงานนี้อ้างอิงจากการสำรวจบริษัทกว่า 1,000 แห่ง ครอบคลุมพนักงาน 14 ล้านคนใน 22 อุตสาหกรรม และ 55 ประเทศทั่วโลก โดยมีข้อมูลสำคัญดังนี้  ตำแหน่งงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่ง จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม,  92 ล้านตำแหน่งงานจะหายไป เนื่องจากระบบอัตโนมัติและการปรับตัวของเศรษฐกิจ, การเติบโตสุทธิของการจ้างงานทั่วโลก จะอยู่ที่ 7% หรือประมาณ 78 ล้านตำแหน่ง  

อย่างไรก็ตาม งานบางส่วนที่ถูกดิสรัปไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิง แต่เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นดิจิทัล โดยต้องการแรงงานที่มีทักษะรอบด้านและสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ  

ปัจจัยสำคัญเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงานในปี 2573  รายงานยังชี้ถึง 5 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน ได้แก่:  
1. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น AI หุ่นยนต์ และนวัตกรรมด้านพลังงาน  
2. สิ่งแวดล้อม การรับมือกับสภาพภูมิอากาศสร้างความต้องการแรงงานด้านพลังงานหมุนเวียน  
3. ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่ายและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ  
4. การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร เช่น ประชากรสูงอายุในประเทศพัฒนาแล้ว  
5. ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก การค้าระหว่างประเทศและข้อจำกัดทางการค้า  

ขณะที่ 10 ทักษะในอนาคตของประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลกภายในปี  2573 ประกอบด้วย

ทักษะด้าน AI และ Big Data
Analytical thinking ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์
Creative thinking ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์
Networks and cybersecurity ทักษะด้านเครือข่าย และความปลอดภัยทางข้อมูล
Leadership and social influence มีความเป็นผู้นำ และสร้างอิทธิพลต่อสังคมได้
Resilience, flexibility and agility ปรับตัวไว ทำงานอย่างยืดหยุ่น และคล่องตัว
Empathy and active listening มีความเห็นอกเห็นใจ และมีทักษะในการรับฟัง
Motivation and self-awareness มีความเข้าใจตนเอง และมีแรงจูงใจในการทำงาน
Talent management ทักษะด้านการบริหารจัดการคนเก่งในองค์กร
Curiosity and lifelong learning มีความช่างสงสัย ใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต

ในปี 2573 ทักษะในอนาคตของประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลก โดยในไทย ทักษะที่โดดเด่น คือ ทักษะด้าน AI และ Big Data ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์ ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล ในขณะที่ระดับโลกเน้นทักษะด้าน AI และ Big Data ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล ความฉลาดในการใช้งานเทคโนโลยี และทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์

กลยุทธ์สำคัญ 4 ประการสำหรับประเทศไทย

1. สร้างการเปลี่ยนแปลง แบบ Holistic Skill Change:ยกเครื่องการ upskill ของบุคลากรในมิติไม่ใช่ทักษะใดทักษะหนึ่งเท่านั้น
2. สร้างองค์กร ให้เป็น Future-Ready Organization: มีระบบการพัฒนาทักษะอนาคตของบุคลากร
3. Human Replacement: งานที่ซ้ำชากควรเลิกใช้คนและทดแทนด้วยระบบ Automation 
4. Enhancing Dynamic Work Role: มีการส่งเสริมให้ไม่ยึดติดกับบทบาทการทำงานในแบบเดิมๆ แต่มีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมุ่งสู่การเป็น The University of AI โดยมีเป้าหมายในการสร้าง คนพันธุ์ใหม่ หรือ ‘Future Human’ ที่ไม่เพียงแค่มีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) แต่ยังต้องมีทักษะพิเศษอย่าง II (Instinctual Intelligence) หรือ ‘ปัญญาสัญชาตญาณ’ ที่สามารถสร้างสรรค์ความรู้ที่ไม่สามารถประดิษฐ์ขึ้นได้ การเป็น ‘คนพันธุ์ใหม่’ ไม่ใช่แค่การมีสมองที่เฉลียวฉลาด แต่ยังต้องมีหัวใจที่ดีงาม เพื่อใช้พลังของเทคโนโลยีในการสร้างคุณค่าทั้งต่อตนเองและสังคม”

ประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นในการเรียนรู้และพัฒนา AI โดยให้ความสำคัญกับการ Reskill และ Upskill เพื่อเตรียมแรงงานให้พร้อมสำหรับ "งานแห่งอนาคต" ซึ่งบุคลากรต้องมีทักษะที่หลากหลายและสามารถนำไปใช้ได้จริง

“สิ่งที่สามารถเอาชนะปัญญาประดิษฐ์ได้คือปัญญาสัญชาตญาณ ความเข้าใจโลก และการฝึกฝนจนชำนาญ” ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าว

ดร.วิเลิศเน้นย้ำว่า มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนบทบาทจากการสอนปริญญา 2-4 ปี มาเป็นหลักสูตรระยะสั้นที่ใช้เวลาเพียง 6 เดือน และมุ่งเน้นสร้าง “skill incubator” เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นในอนาคต โดยเน้นการสอนที่สามารถปรับตัวตามเทคโนโลยีและตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน

“มหาวิทยาลัยต้องสร้างบุคลากรที่ไม่เพียงแค่มีความรู้ แต่ต้องมีความฉลาดที่ไม่ล้าสมัย” ดร.วิเลิศ กล่าวเพิ่มเติม

ดร.วิเลิศระบุว่า ปัจจุบันหลักสูตรการศึกษาที่เน้นปริญญาและใช้เวลา 2-4 ปีไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานในอนาคตอีกต่อไป มหาวิทยาลัยต้องจัดให้มีหลักสูตร Non-degree ที่เน้นการศึกษาระยะสั้น 6 เดือน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยการถ่ายทอดความรู้ผ่านเทคโนโลยี AI และเข้าใจศักยภาพของผู้เรียน การเปลี่ยนสถาบันให้เป็น “skill incubator” จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องมุ่งบ่มเพาะพรสวรรค์และพัฒนาทักษะแห่งอนาคตให้แก่บุคลากร เพื่อให้พวกเขาเข้าใจศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ มหาวิทยาลัยต้องเป็นสถาบันที่ไม่เพียงแต่สอนความรู้ แต่ต้องเน้นการพัฒนาความฉลาดที่สามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างยั่งยืน

“วันนี้หากประเทศไทยต้องการคนที่มีทักษะใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากปริญญาตรี แต่อาจนำคนที่จบปริญญาตรีแล้วมาพัฒนาทักษะเพิ่มในเวลา 6 เดือน การศึกษาของมหาวิทยาลัยไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้ แต่ต้องนำความรู้เหล่านั้นไปสู่สังคม ทั้งในหลักสูตร Degree และ Non-degree”

จุฬาเปิดตัว 'ChulaGENIE' คู่แข่งแชทจีพีที ตั้งเป้าปีนี้เปิดให้คนทั่วไปใช้งาน

(9 ม.ค.68) ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มหาวิทยาลัยได้เตรียมความพร้อมโดยร่วมมือกับ World Economic Forum (WEF) นำเสนอรายงาน The Future of Jobs 2025 เพื่อเสนอแนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลงด้านทักษะและอาชีพในช่วงปี 2568–2573  

นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ด้วยการร่วมมือกับ Google Cloud สร้างแพลตฟอร์มเจนเนอเรทีฟเอไอ (Generative AI) ภายใต้ชื่อ ChulaGENIE ที่มีความสามารถคล้ายกับ ChatGPT โดยมุ่งสนับสนุนการทำงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยเริ่มเปิดทดลองใช้งานเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา  

ดร.วิเลิศ อธิบายว่า ChulaGENIE มีความพิเศษแตกต่างจากแพลตฟอร์ม AI อื่น ๆ ตรงที่ไม่ได้ตอบคำถามเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องได้ด้วย ปัจจุบันการใช้งานยังจำกัดเฉพาะบุคลากรและนักศึกษาภายในจุฬาฯ แต่ในอีก 2–3 เดือนข้างหน้า มีแผนจะขยายกลุ่มผู้ใช้งานให้กว้างขึ้น โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการยืนยันตัวตนผู้ใช้เป็นหลัก  

ในระยะยาว มหาวิทยาลัยมีแผนขยายการใช้งาน ChulaGENIE สู่ประชาชนทั่วไป พร้อมวางเป้าหมายเปิดให้บริการในรูปแบบสาธารณะภายในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการต่อยอดแพลตฟอร์มเพื่อสร้างโอกาสการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน  

“ประเทศไทยไม่ควรหยุดอยู่เพียงการใช้งาน AI แต่ควรก้าวสู่การเป็นเจ้าของและผู้พัฒนาเทคโนโลยีเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนรอบด้านและรองรับเทรนด์โลกในอนาคต” ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าวทิ้งท้าย

ชื่นชม ‘อิน - เอม ทองแตง’ เยาวชนดีเด่นประจำปี 68 สองพี่น้องหัวใจอนุรักษ์ ผู้ก่อตั้ง ‘Below the Tides’

ชื่นชม น้องอิน-น้องเอม อริณชย์ - อริสา ทองแตง สองเยาวชนคนเก่ง นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรุ่นเยาว์ ผู้ก่อตั้ง Below the Tides รับรางวัลเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2568

เมื่อวันที่ (8 ม.ค. 68) สองเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2568 นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรุ่นเยาว์ ที่มีผลงานด้านสิ่งแวดล้อม และได้รับรางวัลมากมายทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ น้องอิน อริณชย์ ทองแตง อายุ 17 ปี น้องเอม อริสา ทองแตง อายุ 15 ปี จากโรงเรียนนานาชาติ Shrewsbury ผู้ก่อตั้ง Below the Tides เข้ารับรางวัลพร้อมรับฟังโอวาทจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ มอบโอวาท เด็กและเยาวชนดีเด่น และนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ขอให้ทุกคนภาคภูมิใจ มีสติ และรู้คุณค่าในตัวเอง รัฐบาลพร้อมสนับสนุนด้านการศึกษา และอาชีพ

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบโอวาทให้กับเด็กและเยาวชนดีเด่น , เด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติที่มีผลงานโดดเด่น จำนวน 1,292 คน จากทั่วประเทศ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2568 โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมเด็ก และเยาวชน ทุกคนที่ได้รางวัลในสาขาต่าง ๆ ขอให้ทุกคนมีความภูมิใจในตัวเอง ถ้าทุกคนรวมกลุ่มกันคิดในเรื่องที่ดี ทำในเรื่องที่ดี จะเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศชาติอย่างแน่นอน และอยากให้รู้ว่าทุกคนมีคุณค่ากับประเทศชาติ เมื่อโตขึ้นไปจะเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งที่ไม่ได้วางแผนไว้ ดังนั้น ขอให้ทุกคนมีความยืดหยุ่นในตัวเอง และพร้อมที่จะปรับตัวอยู่เสมอ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่วนตนเองที่มาอยู่ตรงนี้ก็ผ่านการเป็นเยาวชนมาแล้ว และเมื่อรู้คุณค่าของตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งที่สุด สวยที่สุด รวยที่สุด และอย่าลืมขอบคุณตัวเอง ซึ่งการที่ย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่ามีคุณค่า จะโตขึ้นไปด้วยใจที่แข็งแรง ไม่มีใครเข้ามาเปลี่ยนความคิดตรงนี้ได้ ทำให้รู้สึกด้อยค่า หรือไม่มีค่า จึงอยากให้ทุกคนมีต้นทุนตรงนี้ไว้ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง 

ขณะเดียวกัน สังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง มีสติ เพราะเป็นกฎในการดำเนินชีวิตที่ถ้ามีสติก็จะเข้าใจปัญหานั้น และรับมือได้ดี ขอให้เติบโตขึ้นไปอย่างมีสติ รู้คุณค่าของตัวเอง และพร้อมที่จะพัฒนาประเทศชาติต่อไป มั่นใจว่า ทุกคนเป็นความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว ขอให้นำความภาคภูมิใจนี้ไปต่อยอดขึ้นไปอีกในชีวิต พร้อมย้ำว่า รัฐบาลจะสนับสนุนทุกคนในเรื่องของการศึกษา การประกอบอาชีพ หรือหางานทำใหม่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลพยายามสนับสนุนอย่างรอบด้าน และปีใหม่นี้ขอให้ประสบความสำเร็จ อะไรที่ตั้งใจไว้ก็ขอให้สำเร็จ ขอให้มีความภาคภูมิใจในตนเองในทุกวัน ขณะที่ เด็กและเยาวชนที่ได้รับคัดเลือกรางวัลดีเด่นด้านกีฬา และนันทนาการ และด้านวิชาการ กล่าวว่า รู้สึกปลาบปลื้มดีใจ ภาคภูมิใจ ที่ได้รับรางวัล เพราะก่อนหน้านี้จะต้องพยายามฝึกฝนอย่างหนัก ลงแข่งในหลายสนาม เพื่อที่จะให้ผลการแข่งขันนั้นประสบผลสำเร็จ และอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากเล่นกีฬา อยากทำความดี ให้มีความกล้า มีความพยายาม และทำให้เต็มที่

ขณะที่ผู้แทนเด็กและเยาวชน ได้มอบของขวัญที่ระลึกให้กับนายกรัฐมนตรี เช่น สร้อยคอลูกปัดโนรา ภาพวาด ภาพถ่าย การ์ดอวยพร ตุ๊กตาลาบูบู้ที่สวมชุดแบรนด์เนม พร้อมข้อความว่า “น้ำอุ่นรักนายก” ขนมและผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นต้น โดยนายกรัฐมนตรี ได้เดินทักทายเด็กและเยาวชน และร่วมเซลฟี่ รวมถึงได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลอย่างเป็นกันเอง

ทั้งนี้ น้องอิน-น้องเอม อริณชย์ - อริสา ทองแตง สองเยาวชนคนเก่ง นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรุ่นเยาว์ ผู้ก่อตั้ง Below the Tides กล่าวว่า มีความยินดีและภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ได้รับรางวัลเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2568 พร้อมยืนยันจะมุ่งมั่นเดินหน้าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการทำสาธารณประโยชน์ในมิติต่างๆ ต่อไป

‘อัครเดช’ หนุนตัดคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ออกจากกฎหมาย ชี้หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คงโดนชี้หน้าว่าทำร้ายประเทศไทย

เมื่อวันที่ (8 ม.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ในส่วนของการตัดนิยามคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ออกจากร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวว่า

คำว่าชนเผ่าพื้นเมืองเป็นศัพท์ตามที่ได้มีการลงนามในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่มีความหมายว่าเป็นคนกลุ่มดั้งเดิม ก่อนที่จะมีกลุ่มใหม่เข้ามายึดครองพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มอินเดียแดงในทวีปอเมริกา

ด้วยความเชื่อมโยงของประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มาตั้งแต่โบราณกาล ไม่มีการรุกล้ำดินแดนของใคร เราจึงไม่มีกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง ตนขอย้ำว่าบนแผ่นดินนี้ เรามีเผ่าเดียว คือ เผ่าไทย

แต่กลุ่มที่พูดมาทั้งหมดที่มีความหลากหลาย คือ กลุ่มชาติพันธุ์ ที่ประเทศไทยมีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์ เราออกกฎหมายฉบับนี้เพื่อคุ้มครองความเป็นตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งรวมถึง สิทธิที่ดินทำกิน สิทธิในการเข้าถึงการศึกษา และความเป็นคนไทยจะสามารถสำเร็จได้ด้วยกฎหมายฉบับนี้

นอกจากนี้ถ้อยคำดังกล่าวยังมีข้อห่วงใยหลายประการ ที่อาจจะเปิดช่องให้มีการใช้เป็นข้ออ้างในการแบ่งแยกดินแดนของประเทศแห่งนี้ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แต่หากมันเกิดขึ้นในอนาคต คนรุ่นหลังคงชี้นิ้วมาที่รัฐสภาแห่งนี้ว่าเป็นกลุ่มคนที่เปิดช่องให้มีการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศไทย 

วันนี้ขอให้มีการถอยโดยการตัดคำว่า ‘ชนเผ่าพื้นเมือง’ ออก ประเทศแห่งนี้จะได้รับความมั่นคง จะได้มีความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย บนแผ่นดินที่มีความหลายหลากทางชาติพันธุ์ ทางวัฒนธรรม ทางประเพณี 

ทั้งนี้ การออกกฎหมายโดยคงนิยามดังกล่าว จะยิ่งตอกย้ำความแตกต่างในประเทศไทย รัฐสภาแห่งนี้ควรจะเน้นการออกกฎหมายที่สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในประเทศ ไม่ใช่ตอกย้ำความแตกต่างมากยิ่งขึ้น

“ทุกชาติพันธุ์ที่อยู่ในประเทศไทย ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร เราล้วนแต่เป็นเผ่าไทย ตนยืนยันว่าตนเคารพทุกสิทธิ ทุกวัฒนธรรม แต่การออกกฎหมายโดยตัดคำว่าชนเผ่าพื้นเมืองออกจะทำให้ประเทศได้รับความมั่นคงมากยิ่งขึ้น และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันของหลากหลายชาติพันธุ์ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น” นายอัครเดช กล่าวในตอนท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top