Thursday, 12 June 2025
TheStatesTimes

ลิซ่า จับมือ Erewhon เปิดตัวเมนูพิเศษ 'Thai Up The World' พาชาไทย สู่เวทีโลก

(8 ม.ค.68) 'ลิซ่า' ลลิษา มโนบาล ยังคงตอกย้ำบทบาทของเธอในฐานะตัวแทน Soft Power ของไทย ล่าสุดเธอได้เปิดตัวเมนูชาไทยสูตรพิเศษ 'Thai Up The World by Lisa' ร่วมกับ Erewhon ซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อสุขภาพระดับไฮเอนด์ของสหรัฐอเมริกา โดยเมนูนี้ถือเป็นการนำชาไทยแบบดั้งเดิมมายกระดับใหม่ ผสมผสานวัตถุดิบออร์แกนิกระดับพรีเมียมที่เหมาะสำหรับสายรักสุขภาพ 

เมนู 'Thai Up The World' ใช้ส่วนผสมที่ลงตัว เช่น Just Iced Tea ชาดำออริจินัลแบบไม่หวาน, Clover Sonoma ครีมออร์แกนิกจากฟาร์มโคนมในแคลิฟอร์เนีย, เมเปิ้ลไซรัปออร์แกนิก, ผงวานิลลา และ ARMRA Colostrum™ โปรตีนเสริมสุขภาพ เมนูนี้มีรสชาติที่กลมกล่อมและยังคงเอกลักษณ์ของชาไทยแบบดั้งเดิมไว้ พร้อมจำหน่ายในราคา 11 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 380 บาท) โดยวางขายที่ Erewhon จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น 

นอกจากจะสร้างความประทับใจในวงการเครื่องดื่ม ลิซ่าและ Erewhon ยังร่วมสนับสนุนองค์กร Best Friend Animal Society องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ช่วยเหลือสัตว์ถูกทอดทิ้งและยุติการฆ่าสัตว์อีกด้วย ซึ่งเป็นการสะท้อนความตั้งใจของลิซ่าในการใช้ชื่อเสียงเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม

ก่อนหน้านี้ ลิซ่าเคยสร้างไวรัลด้วยการโชว์ทำเมนูข้าวไข่เจียวและพริกน้ำปลาผ่านความร่วมมือกับ Spotify และในครั้งนี้ เมนูชาไทยของเธอกับ Erewhon ยิ่งทำให้วัฒนธรรมอาหารไทยโดดเด่นในเวทีโลก นับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของการใช้ Soft Power ในการโปรโมตประเทศไทยผ่านอาหารไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

แฟนๆ สามารถลองเมนูนี้พร้อมชมซีรีส์ดังอย่าง The White Lotus ซีซั่น 3 ที่มีลิซ่าร่วมแสดง เพิ่มอรรถรสให้กับประสบการณ์การดื่มเมนู 'Thai Up The World by Lisa' ได้อีกด้วย

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ นำคณะ ‘คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ’ ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) และสายสีส้ม (ช่วงบางขุนนนท์–มีนบุรี) ลดผลกระทบประชาชน-สิ่งแวดล้อม 

(7 ม.ค. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล. ) พร้อมด้วย ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายสิทธิชัย เสรีสงแสง รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม , ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ นำคณะลงพื้นที่ติดตามโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ช่วงเตาปูน–ราษฎร์บูรณะ) และสายสีส้ม (ช่วงบางขุนนนท์–มีนบุรี) บริเวณสถานีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เพื่อย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินงานให้เป็นไปตามมาตรการปองกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดลอม ซึ่ง กก.วล. เห็นชอบเมื่อเดือนเมษายน  2562 และเดือนธันวาคม 2564 รวมทั้งให้ความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีนายกิตติกร ตันเปาว์ รองผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ 

นอกจากจะเป็นการติดตรวจเพื่อรับทราบข้อมูลผลกระทบที่มีต่อประชาชน ผลกระทบต่อการจราจร การท่องเที่ยวและความห่วงใยที่มีต่อพี่น้องประชาชนจากการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าแล้ว ประธาน กก.วล. ยังได้เน้นย้ำถึง ความสำคัญและความจำเป็นที่ผู ้รับเหมาโครงการต้องมีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการป้องกันผลกระทบในระยะการก่อสร้างของโครงการรถไฟฟ้าทั้งสองโครงการอย่างเคร่งครัด เช่น การป้องกันปัญหาการฟุ้งกระจายของฝุ่น เสียง การสั่นสะเทือน การคมนาคมขนส่ง การโยกย้าย การเวนคืนและชดเชยที่ดิน ทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้าง ให้ดำเนินการแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฯ อย่างครบถ้วน 

รวมถึงขอความร่วมมือในการบริหารจัดการพื้นที่ก่อสร้างให้มีความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกต่อการสัญจรของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับแหล่งโบราณคดี ประวัติศาสตร์และศาสนสถานในพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ ที่ต้องมีการดำเนินการก่อสร้างด้วยความระมัดระวัง และปฏิบัติตามมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าในเรื่องรูปแบบและตำแหน่งสถานีให้สอดคล้องกลมกลืนกับอารยสถาปัตย์ของพื้นที่โดยรอบการก่อสร้างโครงการ 

มุกดาหาร​ -​ฉก.ทพ.2105 จับ 2 นักค้า พร้อมยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด ล่า "ไอ้พล"ต่อ หลังถูก M-16 ยิงจนรถพรุนแต่ยังหนีไปได้

เมื่อวันที่ (7 ม.ค. 68)​ ที่กองร้อยเฉพาะกิจทหารพราน 2105 (ร้อย.ฉก.ทพ.2105) มุกดาหาร นายวรญาณ บุญณราช. ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร และพลตรี สุคนธรัตน์ ชาวพงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี แถลงข่าว เจ้าหน้าที่ทหารพรานจับขบวนการค้ายาเสพติด ตรวจยึดยาบ้าได้ 1,200,000 เม็ด รถยนต์ 2 คัน และผู้ต้องหา 2 คน 

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม  พ.อ.อินทราวุธ ทองคำ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 ได้รับแจ้งว่ามีรถยนต์กระบะบรรทุกจะเข้ามารับยาเสพติดในพื้นที่บ้านท่าไค้ ต.นาสีนวน อ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร จึงสั่งการให้ พ.ต.คำรณ คุ้มเขต​ ผบ.ร้อย.ฉก.ทพ.ที่2105​ ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมชุดปฏิบัติการข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง พบรถยนต์ต้องสงสัย จำนวน 2 คัน ประกอบด้วย รถกระบะบรรทุกอีซูซุ  4 ประตู ๆสีขาว หมายเลขทะเบียน  ขฉ 3269 สุราษฏร์ธานี วิ่งนำหน้าโดยมีรถกระบะบรรทุกโตโยต้าหมายทะเบียน บฉ 6208 นครพนม ซึ่งบรรทุกยาบ้าแล่นตาม โดยเจ้าหน้าที่สามารถขับรถเข้าสกัดกั้นรถกระบะบรรทุกอีซูซุซึ่งเป็นรถนำทางไว้ได้ 1 คัน มีนายจิรายุทธ หรือ หนุ่ม   อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 170 ม.4 ต.ดงมอน อ.เมืองมุกดาหาร เป็นคนขับโดยมี น.ส.ปัทมา หรือ หมิว อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 107 ม.10 ต.ดงมอน อ.เมืองมุกดาหาร นั่งโดยสารมาด้วย ส่วนรถกระบะบรรทุกโตโยต้าที่บรรทุกยาบ้าได้พุ่งชนรถเจ้าหน้าที่เพื่อขับหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้อาวุธปืนยิงสกัดเพื่อให้รถหยุดแต่รถคันดังกล่าวก็ยังคงสามารถวิ่งฝ่าออกไปได้ เจ้าหน้าที่จึงได้ขับรถไล่ติดตามไปถึงถนนบ้านสงเปือย ม.5 ต.บ้านโคก อ.เมืองมุกดาหาร คนขับรถซึ่งเป็นผู้ชายก็ได้เปิดประตูรถแล้ววิ่งเข้าไปในหมู่บ้านจนสามารถหลบหนีไปได้ โดยทราบชื่อต่อมาภายหลังว่า คือ นายวีระพล หรือ พล  ภูมลา อยู่ระหว่างเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี จากการตรวจค้นรถยนต์กระบะบรรทุกโตโยต้า  พบกระสอบบรรจุยาบ้าจำนวน 6 กระสอบ เมื่อเปิดออกดูพบเป็นยาบ้ากระสอบละ 200,000 เม็ด รวมเป็นยาบ้าทั้งหมดจำนวน 1,200,000เม็ด จึงได้ทำการควบคุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน และตรวจยึดยาบ้าทั้งหมดพร้อมรถยนต์กระบะบรรทุก 2 คัน ไว้เป็นของกลางนำส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบของขวัญวันเด็ก 240,000 ชิ้น แด่นายกรัฐมนตรี เพื่อมอบให้กับเด็กและเยาวชน เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 ณ  ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

(8 ม.ค. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ  นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย คณะกรรมการ และผู้บริหารมูลนิธิฯ เข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อมอบชุดของขวัญวันเด็ก ประกอบด้วย สมุด ดินสอ ไม้บรรทัด และกล่องดินสอ รวมจำนวน 240,000 ชิ้น เพื่อนำไปแจกจ่ายให้เด็กและเยาวชน เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2568 ณ  ห้องสีม่วง  ตึกไทยคู่ฟ้า  ทำเนียบรัฐบาล

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ เปิดเผยว่า งานสังคมสงเคราะห์ กิจกรรมที่สำคัญหนึ่งที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทำเป็นประจำต่อเนื่องมาเป็นเวลา 66 ปี  คือ การมอบของขวัญให้เด็กๆ ในโอกาส “วันเด็กแห่งชาติ”แบ่งปันความรัก ความสุขและเสริมการเรียนรู้  เพราะ “ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง”  สร้างเด็กไทยในวันนี้ให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณค่าของสังคมและประเทศชาติในอนาคต  โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้จัดพิธีมอบชุดของขวัญวันเด็กให้กับนักเรียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีผู้แทนโรงเรียนเป็นผู้รับมอบ ณ ลานสำนักงานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ รวมทั้งยังจัดให้มีการส่งชุดของขวัญวันเด็กของมูลนิธิฯ เพื่อมอบให้กับเยาวชนในส่วนภูมิภาค ผ่านหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ

โดยในปี พ.ศ. 2568 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบของขวัญให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนและหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 ทั้งสิ้น รวม 3,600,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 15 ล้าน 8 แสนบาท

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการส่งเสริมด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418

สิงคโปร์ให้อำนาจตำรวจ คุมบัญชีปชช.สกัดสแกมเมอร์

(8 ม.ค. 68) สิงคโปร์สร้างความฮือฮาในวงการกฎหมายโลกด้วยการผ่านกฎหมายใหม่ที่มอบอำนาจให้ตำรวจควบคุมบัญชีธนาคารของบุคคล หากพบหลักฐานชัดเจนว่าบุคคลนั้นกำลังตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง โดยกฎหมายดังกล่าวผ่านการอนุมัติเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2025 และถือว่าเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลกที่มีมาตรการเช่นนี้  

ภายใต้กฎหมายใหม่นี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานสืบสวนอาชญากรรมทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ สามารถออกคำสั่งหยุดการทำธุรกรรมทางการเงินได้ทันที หากพบหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าผู้ถือบัญชีกำลังจะโอนเงินให้กับกลุ่มผู้หลอกลวง แม้ว่าเจ้าของบัญชีจะเต็มใจโอนเงินด้วยตัวเองก็ตาม  

สำหรับบุคคลที่ถูกสั่งจำกัดตามกฎหมายนี้ จะถูกระงับการใช้งานบัญชีธนาคาร การเข้าถึงตู้เอทีเอ็ม และวงเงินสินเชื่อ โดยยังคงอนุญาตให้ถอนเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้เพียง 30 วัน และสามารถต่ออายุได้สูงสุด 5 ครั้ง  
“เป้าหมายหลักของกฎหมายนี้คือการให้ตำรวจมีเวลามากขึ้นในการโน้มน้าวและแจ้งเตือนเหยื่อว่ากำลังถูกหลอกลวง รวมถึงขอความช่วยเหลือจากสมาชิกในครอบครัวของเหยื่อ”  

ทั้งนี้ คำสั่งควบคุมจะถูกใช้ก็ต่อเมื่อไม่มีวิธีอื่นที่สามารถป้องกันเหยื่อได้ ซุนยังยกตัวอย่างกรณีหญิงวัย 64 ปีที่สูญเสียเงิน 400,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ให้กับผู้หลอกลวงที่อ้างว่าเป็นคนรัก  

ซุนเปิดเผยว่ามาตรการป้องกันในปัจจุบันไม่สามารถจัดการปัญหาหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก 86% ของกรณีหลอกลวงมาจากการที่เหยื่อโอนเงินด้วยตัวเอง และคิดเป็น 94% ของความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายนปีที่ผ่านมา  

ยูจีน ตัน นักวิเคราะห์การเมืองและศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ กล่าวว่า  
“นี่เป็นกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองสถานการณ์เฉพาะของสิงคโปร์ และยังไม่พบประเทศอื่นที่มีกฎหมายลักษณะเดียวกัน” 

แม้จะมีความกังวลว่ากฎหมายอาจเป็นการล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคล แต่เขาเชื่อว่ารัฐบาลสิงคโปร์มองว่าการหลอกลวงเป็นภัยคุกคามทางสังคมที่สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวาง  

จามัส ลิม ส.ส.ฝ่ายค้านจากพรรคแรงงานแสดงความกังวลว่ากฎหมายนี้อาจแทรกแซงสิทธิในการทำธุรกรรมส่วนบุคคล แต่ยังคงสนับสนุนเนื่องจากเห็นถึงปัญหาการหลอกลวงที่ทวีความรุนแรงขึ้น  

ข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยระบุว่าในปี 2023 สิงคโปร์สูญเสียเงินกว่า 650 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จากกรณีหลอกลวง และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปี 2024 พร้อมกับมูลค่าความเสียหายที่อาจเพิ่มขึ้น 40%  

ยูจีน ตัน เสริมว่า  “ปัญหาหลอกลวงกำลังอยู่ในจุดวิกฤติ หากยังไม่ถึงจุดนั้นแล้ว”  การออกกฎหมายใหม่นี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสิงคโปร์ในการปกป้องประชาชนจากกลุ่มมิจฉาชีพ แม้จะเป็นการดำเนินการที่เข้มงวดและไม่เคยมีมาก่อนในโลก

ค้นพบลิเทียมแหล่งใหม่ ทะยานสู่เบอร์ 2 มหาอำนาจลิเทียมโลก

(8 ม.ค. 68) จีนสร้างความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการสำรวจแร่ลิเทียม ส่งผลให้ปริมาณสำรองลิเทียมเพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 16.5% ของปริมาณสำรองโลก พร้อมขยับอันดับจากที่ 6 ขึ้นสู่อันดับ 2 ของโลก

กรมสำรวจธรณีวิทยาจีนเผยว่า หนึ่งในความสำเร็จสำคัญคือการค้นพบแหล่งแร่ลิเทียมชนิดสปอดูมีนขนาดใหญ่ที่ทอดยาวถึง 2,800 กิโลเมตรในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ นอกจากนี้ การสำรวจทะเลสาบเกลือบนที่ราบสูงชิงไห่-ซีจ้าง ยังทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นฐานสำรองลิเทียมจากทะเลสาบเกลือใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก

ลิเทียมมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน การสื่อสารเคลื่อนที่ และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ โดยจีนยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดลิเทียมจากเลพิโดไลต์ แร่ที่มีปริมาณลิเทียมสูงแต่สกัดได้ยาก

ผู้เชี่ยวชาญมองว่าความก้าวหน้าเหล่านี้จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างความสมดุลในตลาดลิเทียมโลกได้ในอนาคต

'EA' พร้อมระดมทุนก้าวฟื้นตัว ร่วมมือพันธมิตรจีน ลุยยานยนต์-แบตเตอรี่ กระแสเงินสดพลิกบวก 5,610 ล้านบาท

(8 ม.ค. 68) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) หนึ่งในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของไทย ล่าสุดเมื่อวานนี้ (7 มกราคม 2568) ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากผู้ถือหุ้นในการระดมทุนประมาณ 7,400 ล้านบาท ผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งบริษัทคาดว่าจะใช้ในการเสริมสร้างการฟื้นฟูธุรกิจ หลังจากการปรับโครงสร้างอย่างเข้มข้นภายในกลุ่มบริษัทในระยะเวลา 5 เดือน ที่ผ่านมา

การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ EA ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตเชื้อเพลิงจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลม, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การจัดหาผลิตภัณฑ์และระบบที่ใช้ในการกักเก็บและจำหน่ายไฟฟ้า เช่น ธุรกิจพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ ธุรกิจสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า และรวมถึงธุรกิจประกอบยานยนต์ไฟฟ้า เช่น รถบรรทุกไฟฟ้า รสบัสไฟฟ้า และเรือไฟฟ้า

นายฉัตรพล ศรีประทุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีที่ได้จัดการธุรกิจจนสถานการณ์เริ่มนิ่งแล้ว ผ่านการตัดสินใจที่ยากลำบากบางอย่าง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือ กระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง เป็นบวก และการสร้างกำไรอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีกำไรและปรับโครงสร้างธุรกิจที่ขาดทุน”

นายฉัตรพล กล่าวว่า "เรามีธุรกิจที่ทำกำไรจากการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการดำเนินธุรกิจสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีผลประกอบการเป็นบวก ธุรกิจเหล่านี้รวมกันคิดเป็น 60% ของรายได้ EA และเกือบทั้งหมดของกำไรของเรา เราเริ่มต้นธุรกิจเหล่านี้แทบจะก่อนใครในประเทศไทย และการตัดสินใจที่มีวิสัยทัศน์นั้นกำลังให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม ด้วยกระแสรายได้ที่มั่นคงและอัตรากำไรที่นำหน้าในอุตสาหกรรม"

"อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของธุรกิจเหล่านี้ได้ถูกหักล้างด้วยธุรกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์และธุรกิจการผลิตแบตเตอรี่ของเรา ซึ่งกำลังขาดทุนและดูดซับเงินสดของเราไป หลักๆ แล้วสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจเหล่านี้ ดังนั้น ในส่วนของการปรับโครงสร้าง เราจึงหยุดธุรกิจการประกอบยานยนต์ไฟฟ้าชั่วคราว และปรับลดขนาดธุรกิจแบตเตอรี่ และการตัดสินใจทั้งสองอย่างนี้ได้ช่วยหยุดการไหลออกของเงินสดของเราได้สำเร็จ"

นายฉัตรพล กล่าวว่า "เรามองเห็นศักยภาพในการเติบโตและการทำกำไรอย่างมหาศาลสำหรับ EA ทั้งในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์และธุรกิจแบตเตอรี่ แต่เพื่อที่จะฉวยโอกาสเหล่านี้ เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของเรา ก่อนอื่นเราต้องสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้เล่นขนาดใหญ่ในตลาดโลกในภาคธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยให้เรามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นและสามารถขยายตลาดไปยังนอกประเทศไทยได้ และประการที่สอง เราจำเป็นต้องใช้เงินทุนของเราให้น้อยลง ในภาคธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีเวลาจำกัดในการคืนทุน เราได้ลงมือเดินหน้าขับเคลื่อนตามกลยุทธ์นี้แล้ว ซึ่งจะทำให้เรามีความคล่องตัวและฟื้นกลับมารับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น"

นายฉัตรพลรายงานว่า ตอนนี้ EA กำลังจัดตั้งการร่วมทุนกับหนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์ประเภทพิเศษรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ในการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าประเภทพิเศษ โดยบริษัทร่วมทุนนี้คือ Chengli Special Automobile Co., Ltd. ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถประเภทพิเศษมากกว่า 30,000 คัน ไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลก

ในบันทึกข้อตกลงที่ได้ลงนามร่วมกับ EA ในเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาได้ตกลงกันว่า ยานยนต์จะถูกประกอบในโรงงานประกอบของ EA ที่มีพื้นที่ขนาด 65,000 ตารางเมตร (80 ไร่) ตั้งอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยความสามารถในการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 3,000 - 9,000 คันต่อปี ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของยานยนต์ประเภทพิเศษที่ผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตในเดือนเมษายน 2568  โดยยานยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานเราจะประกอบมีทั้ง รถพยาบาล รถขยะ และรถกระเช้า ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทพิเศษเหล่านี้จะถูกประกอบขึ้นในประเทศไทยในระดับอุตสาหกรรม การร่วมทุนนี้คาดว่าจะสร้างรายได้มากกว่า 3,000 ล้านบาท สำหรับรายได้ปีแรกของการดำเนินการเต็มรูปแบบในปี 2569

EA ยังได้รายงานการลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อจัดตั้งการร่วมทุนกับหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับแนวหน้าของประเทศจีน ซึ่งมีฐานลูกค้าสำคัญอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยการร่วมทุนนี้จะเป็นการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และจะเป็นโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่แรกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แบตเตอรี่เหล่านี้จะถูกใช้งานหลักๆ ในด้านระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ การผลิตจะดำเนินการที่พื้นที่ผลิตแบตเตอรี่ของ EA ขนาด 80,000 ตารางเมตร (91 ไร่) ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะขยายกำลังการผลิตจาก 2 กิกะวัตต์ในปัจจุบันไปเป็น 4 กิกะวัตต์ การลงนามข้อตกลงการร่วมทุนคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยจะเริ่มการจัดเตรียมสถานที่และเครื่องจักรการผลิตในปี 2568 

นายฉัตรพลกล่าวเพิ่มเติมว่า "เรามีความยินดีที่ได้รับความไว้วางใจอย่างท่วมท้นในแผนธุรกิจที่นำเสนอ โดยได้รับการโหวตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น ถึง 99.9% ในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวานนี้ ผมขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่านที่เชื่อมั่นในการเดินหน้าตามแผนเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่”

“เงินทุนใหม่ที่ได้รับจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงินของ EA และช่วยให้เราสามารถคว้าโอกาสที่น่าสนใจต่างๆ ในอนาคตได้ เมื่อเราเดินหน้าเข้าสู่ก้าวของการฟื้นตัว” นายฉัตรพลกล่าว

นายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) กล่าวว่า “เงินทุนที่จะได้จากการเพิ่มทุนที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น ในวันที่ 7 มกราคม หลักๆ จะถูกนำไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ธนาคารและใช้ในการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด เราหวังว่าจะลดหนี้สินจาก 58,664 ล้านบาท ลงเหลือ 52,004 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยรายปีลงได้ประมาณ 300 ล้านบาทแล้ว จะช่วยปรับปรุงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้ดีขึ้นด้วย และเป็นประโยชน์ต่อเสถียรภาพทางการเงินและความน่าเชื่อถือของบริษัท รวมทั้งจะช่วยในส่วนของเงินกู้ให้ได้รับเงื่อนไขที่ดีขึ้นส่งผลให้เราประหยัดดอกเบี้ยมากขึ้นด้วย"

ระยะเวลาในการสมัครเข้าร่วมการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน คือระหว่างวันที่ 17 - 23 มกราคม 2568

จากรายงานล่าสุดของ EA เปิดเผยว่า กระแสเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เป็นบวกดีมากอยู่ที่ 5,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกระแสเงินสดที่เดิมติดลบ 1,726 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และสูงกว่าเกือบสามเท่าจากปีก่อนหน้านี้ กำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 1,852 ล้านบาท และ EBITDA อยู่ที่ 6,183 ล้านบาท จากรายได้ 14,397 ล้านบาท

9 มกราคม พ.ศ. 2472 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ทรงวางศิลาฤกษ์ ก่อสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้า

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 บ้านเมืองในฝั่งพระนครขยายตัวตามความเจริญ และการเพิ่มของประชากร ผิดกับฝั่งธนบุรีที่เป็นเรือกสวนไร่นา การเดินทางไปมาระหว่างกันต้องใช้เรือข้ามฟาก 

เมื่อจะฉลองพระนคร ในโอกาสสถาปนากรุงเทพมหานคร 150 ปี นอกจากจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างพระบรมราชานุสรณ์เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ยังทรงพระราชดำริให้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกอีกด้วย 

โดยได้รับสั่งให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบให้มีลักษณะคล้ายลูกศร สื่อถึงตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ 7 โดยหัวศรพุ่งตรงไปยังฝั่งธนบุรี พร้อมทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 9 มกราคม พุทธศักราช 2472 พระราชทานนามว่า “สะพานพระพุทธยอดฟ้า” 

สำหรับ สะพานพระพุทธยอดฟ้า เป็นสะพานโครงเหล็ก เชื่อมถนนตรีเพชรกับถนนประชาธิปก ตรงกลางเปิดให้เรือใหญ่ผ่านได้ นอกจากเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ยังเป็นสะพานสำคัญที่ใช้สัญจรในปัจจุบัน

'สิงคโปร์-มาเลเซีย' ผุดแผนปั้น 'ยะโฮร์' ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ หวังเป็นศูนย์กลางการค้า-เทคโนโลยี แบบ 'เซินเจิ้น'

(8 ม.ค.68) สิงคโปร์และมาเลเซียประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่ที่มีขนาดใหญ่ถึง 3,500 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าสิงคโปร์ถึง 4 เท่า และใหญ่กว่าเซินเจิ้น 2 เท่า โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทะลุ 9 แสนล้านบาทต่อปี พร้อมทั้งสร้างงานนับแสนตำแหน่ง  

เขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่นี้มีเป้าหมายดึงดูดโครงการลงทุนกว่า 50 โครงการในช่วง 5 ปีแรก และเพิ่มเป็น 100 โครงการภายใน 10 ปีแรก ทั้งนี้ การร่วมมือดังกล่าวคาดว่าจะช่วยสร้างอาชีพนับแสนตำแหน่ง พร้อมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9 แสนล้านบาทต่อปี ภายในปี 2030  

พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่นี้จะตั้งอยู่บริเวณพรมแดนรัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย เชื่อมต่อกับสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันมีผู้สัญจรผ่านพรมแดนกว่า 3 แสนรายต่อวัน ทำเลดังกล่าวถูกมองว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน  

ความร่วมมือดังกล่าวถูกพูดถึงมาหลายปี โดยแผนเดิมคือการลงนามข้อตกลงตั้งแต่ปี 2024 แต่เนื่องจากนายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง ของสิงคโปร์ ติดโควิดในช่วงนั้น จึงเลื่อนมาเริ่มต้นในเดือนมกราคม ปี 2025  

นี่ไม่ใช่ความร่วมมือครั้งแรกระหว่างสองประเทศ ก่อนหน้านี้ สิงคโปร์และมาเลเซียเคยพยายามพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงมูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่โครงการดังกล่าวต้องชะลอไปเนื่องจากปัญหาทางการเงินและการจัดการ  

แม้จะมีความคืบหน้า แต่ยังคงมีประเด็นที่ต้องแก้ไข เช่น การจัดการเรื่องภาษีที่แตกต่างกัน (ภาษีเงินได้นิติบุคคลของสิงคโปร์อยู่ที่ 17% ขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 24%) รวมถึงปัญหาด้านระบบอนุญาตข้ามพรมแดน การนำยานยนต์เข้าสู่พื้นที่ และความแตกต่างในขั้นตอนดิจิทัล เช่น สิงคโปร์มีระบบ QR-code สำหรับข้ามแดนที่พัฒนาไปไกลกว่ามาเลเซีย  

ถึงแม้จะมีอุปสรรค แต่ทั้งสองประเทศยังคงเดินหน้าพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ โดยคาดว่าแรงจูงใจด้านภาษีและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยผลักดันให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จในอนาคต

ชลบุรี..'น้องฝ้าย' พิมพ์พิศา รับรอง คว้าแชมป์ Honda LPGA Thailand 2025 National Qualifiers ได้สิทธิ์เข้าดวล วงสวิงกับนักกอล์ฟระดับโลกในศึกฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2025

ที่สยามคันทรีคลับ โรลลิ่งฮิลส์ พัทยา จ.ชลบุรี ได้มีการจัดพิธีมอบรางวัลการแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2025 National Qualifiers ซึ่งมีการจัดแข่งในระหว่างวันที่ 7 - 8 มกราคม 2568 โดยมี นายนคร วิมลจิตรสอาด ผู้จัดการทั่วไป สายงานการสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด พร้อมด้วยนางสาวมนวรา เพชรพลากร  ผู้จัดการทั่วไปส่วนการตลาด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ร่วมแสดงความยินดีกับ “น้องฝ้าย” พิมพ์พิศา รับรอง ผู้ชนะการแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2025 National Qualifiers ที่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน  ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2025 ชิงเงินรางวัลรวม 1.7 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 60 ล้านบาท) ระหว่างวันที่ 20-23 กุมภาพันธ์ 2568  ณ สยามคันทรีคลับ โอลด์คอร์ส พัทยา จ.ชลบุรี
     
สำหรับ การแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2025 National Qualifiers ณ สยามคันทรีคลับ โรลลิ่งฮิลส์ พัทยา จ.ชลบุรีในครั้งนี้ มีนักกีฬากอล์ฟหญิงทั้งมืออาชีพและสมัครเล่น เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 88 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มจัดการแข่งขัน โดยผลการแข่งขันฝ้าย-พิมพ์พิศา นักกอล์ฟสมัครเล่นทีมชาติไทย วัย 18 ปี จากกรุงเทพมหานคร สามารถคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จด้วยผลงานยอดเยี่ยม 6 อันเดอร์พาร์ 138 (69-69) ทิ้งอันดับ 2 สรัลพร เกตุสุวรรณ ที่ทำสกอร์เข้ามา 4 อันเดอร์พาร์ 140 (69-71) 

ด้านนายนคร วิมลจิตรสอาด ผู้จัดการทั่วไป สายงานการสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ได้ผนึกกำลังกับ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้ามอเตอร์ จำกัด และบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนการแข่งขัน ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ ซึ่งการแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2025 National Qualifiers จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 7 ในปีนี้ สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพสตรี (ไทยแอลพีจีเอ) ผู้จัดการแข่งขันกอล์ฟอาชีพสตรี ส่งเสริมและพัฒนากอล์ฟสตรีไทยก้าวสู่ระดับนานาชาติ ได้เข้าร่วมดำเนินการจัดการแข่งขันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก โดยเวทีนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของนักกอล์ฟหลายคน      

ส่วนการแข่งขัน ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2025 จะกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่และความตื่นเต้นเร้าใจให้กับแฟนกอล์ฟอีกครั้งในวันที่ 20-23 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สยามคันทรีคลับ โอลด์คอร์ส พัทยา จ.ชลบุรี สำหรับนักกอล์ฟไทยที่เข้าร่วมแข่งขัน นำโดย จีโน่-อาฒยา ฐิติกุล ที่คว้า 2 แชมป์แอลพีจีเอ ในปีที่ผ่านมา ทั้ง Dow Championship และ CME Group Tour Championship ก่อนจะก้าวขึ้นสู่อันดับ 4 ของโลก ในฤดูกาล 2024 พร้อมด้วย แพตตี้-ปภังกร ธวัชธนกิจ แชมป์ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2024 ที่จะกลับมาป้องกันแชมป์ โดยรายชื่อทั้งหมดของนักกอล์ฟสตรีชั้นนำระดับโลกทั้งไทยและต่างชาติจำนวน 72 คน จะมีการเปิดเผยในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top