ปริมาณสำรองทองคำ ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ณ ปี 2024
เปิด 30 อันดับ ประเทศที่เก็บสำรอง ‘ทองคำ’ มากที่สุดในโลก ในปี 2024 ประเทศไทยอยู่อันดับที่เท่าไหร่ ไปส่องกันเลย

เปิด 30 อันดับ ประเทศที่เก็บสำรอง ‘ทองคำ’ มากที่สุดในโลก ในปี 2024 ประเทศไทยอยู่อันดับที่เท่าไหร่ ไปส่องกันเลย
(7 ม.ค.68) มูฮูซี ไคเนรูกาบา หัวหน้ากองทัพยูกันดา ซึ่งเป็นบุตรชายของประธานาธิบดีโยเวอรี มูเซเวนี ผู้นำคนปัจจุบันของยูกันดา ได้โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายว่าเขาต้องการตัดศีรษะ 'บ็อบบี้ ไวน์' ผู้นำฝ่ายค้านที่มีชื่อเสียงของประเทศ
ไคเนรูกาบา ซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีจากบิดา ผู้ปกครองยูกันดามาตั้งแต่ปี 1986 มักจะโพสต์ข้อความที่กระตุ้นความโกรธในสื่อสังคมออนไลน์ โดยในปี 2022 เขาเคยข่มขู่จะบุกประเทศเคนยา ก่อนที่ในภายหลังเขาจะขอโทษและกล่าวว่าโพสต์บางรายการเป็นเพียงการประชดประชัน
ในโพสต์ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ (5 ม.ค.) ไคเนรูกาบาได้กล่าวว่า พ่อของเขา 'มซี่' คือบุคคลเดียวที่ทำให้บ็อบบี้ ไวน์ ผู้นำฝ่ายค้านยังคงปลอดภัยจากเขา "หากมซี่ไม่อยู่ ผมจะตัดหัวเขาวันนี้" ไคเนรูกาบากล่าว
บ็อบบี้ ไวน์ ซึ่งมีชื่อจริงว่า โรเบิร์ต คยากูลันยี เคยได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับสองในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2021 ตอบโต้โพสต์ของไคเนรูกาบาโดยกล่าวว่า เขาไม่มองคำขู่ครั้งนี้เป็นเรื่องเล่น ๆ และไม่เคยละเลยความพยายามหลายครั้งในการลอบสังหารตน
ไคเนรูกาบาได้ตอบกลับว่า "ในที่สุด! ฉันปลุกคุณแล้วหรือ? ก่อนที่ฉันจะตัดหัวคุณ คืนเงินที่พวกเราเคยให้คุณยืม" โดยอ้างว่ารัฐบาลเคยจ่ายเงินให้ไวน์เพื่อหวังทำลายฝ่ายค้าน
โฆษกรัฐบาลยูซานดาเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าโพสต์ของไคเนรูกาบาในโซเชียลมีเดียควรถือเป็นความคิดเห็นที่ไม่ควรนำมาคิดจริงจังหรือมองว่าเป็นนโยบายของรัฐบาล
ไวน์ ซึ่งเคยเป็นนักดนตรีและได้ผันตัวมาทำการเมืองเป็นผู้ท้าชิงที่แข็งแกร่งในเวทีการเมืองของมูเซเวนี และได้ปฏิเสธผลการเลือกตั้งปี 2021 โดยอ้างว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้งและการข่มขู่ประชาชน
นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาว่ารัฐบาลมูเซเวนีมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างแพร่หลาย รวมถึงการทรมานและการกักขังโดยไม่มีการตัดสิน ขณะที่รัฐบาลยูซานดาได้ยืนยันว่าไม่เคยมีการทุจริตในการเลือกตั้งหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน
(7 ม.ค. 68) จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหลอกลวง ซิงซิง นักแสดงจีน แจงกระบวนการคัดเลือกศิลปินโปร่งใส ขอ ปชช.อย่าเชื่อข่าวปลอม
จากกรณีหญิงรายหนึ่งระบุใน weibo ของจีน ว่าแฟนหนุ่มของเธอคือ ซิงซิง หรือ หวังซิง นักแสดงจีน หายตัวไปที่ชายแดนไทย-เมียนมา เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากเดินทางมาเพื่อถ่ายทำงานในประเทศไทย โดยมีการกล่าวอ้างถึงค่ายศิลปินยักษ์ใหญ่
ทางด้านบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GMM Grammy ออกแถลงการณ์ผ่าน Weibo ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกรณีนักแสดงชาวจีนหายตัวที่แม่สอด
" บริษัทขอย้ำว่ากระบวนการคัดเลือกศิลปินและนักแสดงของเรามีความโปร่งใส และปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เราจะไม่ติดต่อบุคคลใดๆ ผ่านช่องทาง ส่วนตัว และจะไม่ขอให้ผู้สมัครรายใดจ่ายค่าธรรมเนียมใดๆ
บริษัทขอแนะนำให้ประชาชนไม่เชื่อในข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และตรวจสอบข้อมูลผ่านช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางการของบริษัทเท่านั้น"
(7 ม.ค.68) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพิ่มชื่อบริษัทจีนหลายแห่งในบัญชีดำ โดยรวมถึง เทนเซ็นต์ (Tencent) และ CATL ซึ่งถูกกล่าวหาว่าทำงานให้กับกองทัพจีน แม้ว่าทั้งสองบริษัทจะปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่การดำเนินการนี้ทำให้หุ้นของบริษัททั้งสองร่วงทันที
บัญชีดำของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า Section 1260H ได้เพิ่มบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนหลายแห่ง ซึ่งถือเป็นคำเตือนให้บริษัทและองค์กรต่าง ๆ ในสหรัฐฯ พิจารณาความเสี่ยงในการทำธุรกิจกับบริษัทเหล่านี้ แม้บริษัทที่ถูกระบุในบัญชีดำจะไม่ได้รับคำสั่งห้ามทำธุรกิจในสหรัฐฯ โดยตรง แต่ก็เพิ่มแรงกดดันในการคว่ำบาตรบริษัทจีน
หลังจากการเปิดเผยรายงานดังกล่าว หุ้นของ Tencent ลดลง 7% ในเช้าวันที่ 7 มกราคม ส่วนหุ้นของ CATL ก็ร่วง 4% ทันที อย่างไรก็ตาม Tencent ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่าเป็นความเข้าใจผิด บริษัทยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือทำธุรกิจกับกองทัพจีน และการถูกขึ้นบัญชีดำจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท
ในทางเดียวกัน CATL ก็ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ โดยระบุว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน และทางการจีนก็ได้ตอบโต้คำกล่าวหาดังกล่าวว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลและเป็นการปราบปรามบริษัทจีนอย่างไม่ยุติธรรม
เมื่อวันที่ (6 ม.ค. 68) ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบกระทู้ ที่ถามโดยนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา ที่ถามถึงเรื่องมาตรการสนับสนุนตลาดพลังงานสะอาดผ่านโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ว่าการผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันปล่อยมลพิษมากที่สุด ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านไฟฟ้าไปเป็นพลังงานสะอาดเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งที่ผ่านมาถูกเอื้อให้กับกลุ่มทุน ที่รัฐบาลซื้อพลังงานหมุนเวียน ที่เริ่มตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เวลาที่รัฐบาลจะซื้อก็อ้างเรื่องความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ซี่งตนตั้งคำถามทุกครั้งว่าเป็นความมั่นคงของประเทศหรือของใครกันแน่ เพราะปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงกว่าความต้องการหรือหลักการสำรองไฟฟ้าอยู่แล้ว โดยเป็นการเพิ่มภาระค่าไฟให้กับประชาชนทั่วประเทศ มีโรงงานไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตเลย แต่ยังได้เงินจากประชาชนผ่านค่า FT ที่สำคัญคือการรับซื้อนั้น ไม่มีการประมูล ตนเห็นด้วยกับความกล้าหาญของนายพีระพันธุ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการรับซื้อไฟฟ้าและให้ชะลอการรับออกไป แต่เรายังต้องติดตามว่าจะกลับมาดำเนินการต่อหรือไม่
นายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้มีบารมีนอกรัฐบาลที่ไปถ่ายรูปในสนามกอล์ฟใช่หรือไม่ ตนก็ไม่ทราบ เรื่องนี้ท่านมองเห็นถึงโครงสร้างการรับซื้อพลังงานสะอาดหรือไม่ เช่น โซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop)จะมีการขยายการรับซื้อจากภาคประชาชนเหมือนกับกลุ่มทุนหรือไม่ รวมถึงข้อกฎหมายต่างๆ ที่ทำให้การขออนุญาตใช้เวลานาน ท่านจะทำอย่างไร จะมีมาตรการจูงใจภาคครัวเรือนเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น และจะมีวิธีลดภาระอย่างไร
ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ได้ชี้แจงว่า ตนยืนยันว่าส่วนตัวไม่ทราบมาก่อนว่ามีการผูกขาดพลังงาน เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง จึงยังไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ในทันทีทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่ยอมรับว่าตนหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้ง ยังมีข้อผูกพันทางกฎหมาย มันไม่ใช่ทันใจที่เราอยากทำ ซึ่งนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมามีความชัดเจนอยู่แล้วว่า จะต้องลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดย 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่มีนโยบายขึ้นค่าไฟฟ้าและตรึงราคาค่าแก๊สไว้ตลอด ซึ่งแม้จะยังไม่สามารถลดราคาได้ แต่ได้พยายามไม่ให้ขึ้นไปมากกว่านี้ ที่สำคัญรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อประเด็นปัญหานี้ ถ้าติดตามการทำงานของตน มันมีคำตอบอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว
“ส่วนตัวผมไม่ชอบเรื่องความไม่โปร่งใส ไม่ถูกต้อง และไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้น นโยบายเรื่องนี้ ตนขออนุญาตกราบเรียนว่าเรามีความคิด ผมกับท่าน ตรงกันอยู่แล้วที่จะดำเนินการ สำหรับประเด็นเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน ผมเห็นด้วยกับท่าน ผมคิดอีกแบบ ความมั่นคงทางพลังงานไม่ใช่เพียงแค่การทำให้มีพลังงานในปริมาณที่มากขึ้น แต่ความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริงต้องทำให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองในการมีไฟฟ้าใช้ได้ โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ทั้งจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานน้ำ ประเทศเราที่เหมาะสมที่สุดคือแสงอาทิตย์ ดังนั้น จึงควรคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความมั่นคงทางด้านพลังงาน อย่าพูดถึงขายเลยครับ เอาแค่ไม่ต้องจ่ายค่าไฟ ไม่ต้องพะวงว่าอีก 4 เดือน ค่าไฟจะปรับเท่าไหร่ ปัจจุบันที่ต้องปรับเพราะไฟฟ้าผลิตจากแก๊ส เราเจอภาวะราคาตลาดโลก ทำให้กำหนดราคาไม่ได้คงที่ ผมก็พยายามศึกษา เพราะเป็นสัญญาที่ทำข้อตกลงไว้แล้ว” นายพีระพันธุ์ กล่าว
นายพีระพันธุ์ ย้ำว่าตนไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องแยกส่วนการไฟฟ้าไปอยู่ในกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทย เพราะเมื่อมีการแยกระหว่างการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ทั้ง 2 หน่วยงาน ต้องรับไฟฟ้ามาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งเป็นฝ่ายผลิตแต่ไม่ได้เป็นฝ่ายขาย ทุกขั้นตอนต้องมีกำไร หากไม่มีกำไรก็ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย ตนอยากจะหาทางแก้ปัญหา แต่ทั้งหมดนี้ สว. และ สส. เป็นผู้บัญญัติกฎหมาย รู้หรือไม่ กฎหมายไฟฟ้าฝ่ายผลิตกำหนดตั้งแต่ปี 2511 ดังนั้น ควรมีการปรับแก้ ปัญหาพลังงาน ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเห็น แต่ประเด็นคือใครจะเป็นคนทำ
“ท่านนายกฯ แพทองธารก็กำชับผมด้วยซ้ำไป ผมไม่อยากให้เข้าใจผิด ท่านนายกฯเศรษฐามาถึงนายกฯแพทองธารได้กำชับผมมาโดยตลอดให้ช่วยแก้ปัญหา” นายพีระพันธุ์ กล่าว
นายพีระพันธุ์ ชี้แจงรายละเอียดว่า เวลาประชาชนจะขอติดแผงโซลาร์ต้องขออนุญาตถึง 5 หน่วยงาน ซ้ำซ้อน และยุ่งยากมาก รวมถึงต้องรอเป็นปี ตนในฐานะกำกับกระทรวงอุตสาหกรรมและพลังงานก็ได้สั่งการแก้ระเบียบไปแล้ว วันนี้การแก้กฎหมายไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน อีกนานกว่าจะเข้า ครม. รวมถึงเรื่องการหาเงินทุน
“ผมไม่ทราบหรอก เพราะผมไม่ใช่นายทุน แต่วันนี้มันเกิดกับพี่น้องประชาชน ผมต้องแก้ไข แล้วถ้าหากว่าท่านติดตามข่าวสารเหมือนที่ท่านพูด ท่านจะเห็นเลยว่าอะไรที่ส่อไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ผมสั่งระงับทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับใคร ผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ก็เหมือนกับท่านครับ เรามาเป็นผู้แทนมาทำงานให้กับประชาชน ครั้งหนึ่งในชีวิตทำตรงนี้ทำให้ดีที่สุด ผมทำทุกอย่างภายใต้นโยบายรัฐบาลและตามแนวทางคือเพื่อความมั่นคงทางพลังงานให้กับประชาชน” นายพีระพันธุ์ กล่าว
วันนี้ (7 ม.ค. 68) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุและเยี่ยมให้กำลังใจข้าราชการตำรวจและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ อาคารบ้านพักส่วนกลาง ตร. (วิภาวดี) เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ณ แฟลตตำรวจส่วนกลางวิภาวดี อาคาร 2 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ตามนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ที่ให้ความใส่ใจด้านการดูแลสวัสดิการตำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสถานที่พักอาศัย ความเป็นอยู่และสวัสดิการขั้นพื้นฐานของข้าราชการตำรวจ เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและมีความสุขในชีวิตการทำงาน โดยมี พล.ต.ต.สมิทธิ สุวรรณสุขโรจน์ ผบก.ยธ., พ.ต.อ.กล้าหาญ โชคพิพัฒน์ไพบูลย์ รอง ผบก.สก., พ.ต.อ.มารุต สุดหนองบัว ผกก.สน.พหลโยธิน, พ.ต.อ.หญิง ประติชญา อินทรสุขศรี ผกก.ฝ่ายสวัสดิการบ้านพัก และ พ.ต.ต.อาทิตย์ บือซา สว.ฝ่ายสวัสดิการบ้านพัก /ผู้ปกครองอาคารบ้านพัดส่วนกลาง (วิภาวดี) ร่วมให้การต้อนรับ
จากการตรวจสอบเบื้องต้น เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกลางสันนิษฐานว่าเกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้าลัดวงจร แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดใด จึงเก็บหลักฐานต่างๆ เพื่อดำเนินการตรวจพิสูจน์ต่อไป โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นมีข้าราชการตำรวจและครอบครัวได้รับผลกระทบ จำนวน 3 ครัวเรือน ซึ่งกองสวัสดิการได้จัดห้องพักอาศัยชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือ และกองโยธาธิการได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบเพื่อประมาณการความเสียหายและการซ่อมแซมอาคารที่พัก
พล.ต.อ.กรไชยฯ ได้สั่งการให้มีการติดตั้งสัญญาณเตือนไฟไหม้ ทั้งหัวและท้ายอาคารที่พัก เพื่อตรวจจับควัน หรือความร้อน อันจะลดการสูญเสียหรืออันตรายจากการสำลักควันหรือถูกไฟคลอก ที่อาจเกิดขึ้นได้และ กำชับฝ่ายโยธาธิการตำรวจ ให้เร่งรัดการซ่อมแซมอาคารที่พักด้วยความมั่นคงและแข็งแรง เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ ได้มอบเงินและสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นเบื้องต้นให้แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว โดยหนึ่งในครอบครัวของข้าราชการตำรวจที่ได้รับผลกระทบ มีบุตรชาย อายุ 7 ปี ซึ่งพิการป่วยติดเตียงรวมอยู่ด้วย
(8 ม.ค.68) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สร้างกระแสฮือฮาอีกครั้งเมื่อวันอังคาร (7 ม.ค.) ด้วยการประกาศแผนเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' โดยถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เขาเสนอเพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของสหรัฐฯ ก่อนเข้ารับตำแหน่งในปลายเดือนนี้
พร้อมกันนั้น ทรัมป์ยังเปิดเผยถึงความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารหรือมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อครอบครอง 'คลองปานามา' และ 'กรีนแลนด์' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์การขยายดินแดนที่เขาพยายามผลักดันตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พ.ย.
ทรัมป์ยังกล่าวถึงแนวคิดการผนวก 'แคนาดา' ให้กลายเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐฯ พร้อมระบุว่าจะกดดันพันธมิตรในองค์การนาโต (NATO) ให้เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม และย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก'
แม้ยังมีเวลาอีกสองสัปดาห์ก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ทรัมป์ได้เริ่มร่างนโยบายต่างประเทศเชิงรุก โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักการทางการทูตหรือความกังวลจากประเทศพันธมิตร
เมื่อถูกถามในงานแถลงข่าวที่รีสอร์ตในฟลอริดา ว่าจะรับประกันได้หรือไม่ว่าจะไม่ใช้กำลังทหารหรือมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อยึดคลองปานามาและกรีนแลนด์ ทรัมป์ตอบว่า
“ผมรับประกันไม่ได้ แต่สิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเรา”
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังวิจารณ์การที่สหรัฐฯ ต้องสนับสนุนแคนาดาโดยไม่ได้รับผลตอบแทน พร้อมกล่าวถึงเส้นพรมแดนระหว่างสองประเทศว่าเป็นเพียง 'เส้นที่ใครบางคนขีดขึ้นมา'
เขายังขู่จะตั้งกำแพงภาษีกับเดนมาร์ก หากเดนมาร์กไม่ยอมขายกรีนแลนด์ให้สหรัฐฯ โดยอ้างว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ ขณะที่ก่อนการแถลงการณ์ ดอน จูเนียร์ บุตรชายของทรัมป์ได้เดินทางเยือนกรีนแลนด์เป็นการส่วนตัว
ด้านเดนมาร์กแสดงจุดยืนชัดเจน โดยเมตเต เฟรเดอริกเซน นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก ย้ำว่า 'กรีนแลนด์' ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองในราชอาณาจักรเดนมาร์ก ไม่ได้มีไว้ขาย
“การใช้มาตรการทางการเงินมาต่อสู้กันไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม เมื่อเรายังเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนที่ใกล้ชิด” เฟรเดอริกเซนกล่าวเพื่อตอบโต้แถลงการณ์ของทรัมป์ในคืนวันอังคารที่ผ่านมา
(8 ม.ค. 68) ลิม กึมยา (Lim Kim Ya) อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชาจากพรรคสงเคราะห์ชาติ (Cambodia National Rescue Party หรือ CNRP) วัย 74 ปี ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณเกาะกลางถนนตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ เวลาประมาณ 18.00 น.
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากลิม กึมยา วิพากษ์วิจารณ์ "รัฐบาลตระกูลฮุน" อย่างหนักในประเด็นที่เกี่ยวกับเกาะกูด โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลฮุน เซนกำลังวางแผนยกเกาะกูดให้ไทยเพื่อแลกกับผลประโยชน์ผ่านบันทึกความเข้าใจ MOU 44
พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตามตัวผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นชายขับรถจักรยานยนต์สีแดงที่คาดว่าใช้ปืนยิงผู้เสียชีวิต ก่อนหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ
รายงานจากคมชัดลึกระบุว่า ลิม กึมยา ถูกยิงเข้าบริเวณชายโครงขวาและหัวไหล่ขวาอย่างละนัด เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกู้ชีพพยายามช่วยเหลือด้วยการปั๊มหัวใจ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตเขาไว้ได้
ในขณะเดียวกัน สื่ออมรินทร์รายงานว่าผู้เสียชีวิตเดินทางมาจากเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยรถบัสพร้อมภรรยาชาวฝรั่งเศสและญาติชาวกัมพูชา ก่อนจะถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต
ลิม กึมยา เป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรค CNRP ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2555 และเคยประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งปี 2556 ด้วยการคว้าที่นั่งในสภาได้ 55 จาก 123 ที่นั่ง พรรคนี้เป็นแกนนำในการวิพากษ์วิจารณ์สมเด็จฯ ฮุน เซน และรัฐบาลของเขา
สมเด็จฯ ฮุน เซน เคยออกมาระบุว่าสมาชิกพรรค CNRP เป็น "ผู้ก่อการร้าย" และกล่าวหาว่าพรรคนี้สมคบคิดกับต่างชาติในการโค่นล้มรัฐบาล จนศาลกัมพูชาสั่งยุบพรรคในปี 2560 และห้ามสมาชิกพรรค 118 คนยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
การโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่องทำให้พรรค CNRP ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาก็เผชิญแรงกดดันจากประชาคมโลกในเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางการเมือง
เหตุการณ์นี้ยังสร้างความสนใจในประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีเกาะกูด ซึ่งถูกหยิบยกมาเป็นข้อถกเถียงทั้งในฝั่งไทยและกัมพูชา โดยฝ่ายค้านกัมพูชาเชื่อว่ารัฐบาลฮุน เซน จะยกเกาะกูดให้ไทย
สมเด็จฯ ฮุน เซน เรียกร้องให้มีกฎหมายใหม่เพื่อตราหน้าผู้พยายามล้มล้างรัฐบาลลูกชายของเขา ฮุน มาเนต ว่าเป็น "ผู้ก่อการร้าย" ซึ่งสะท้อนถึงความตึงเครียดทางการเมืองที่ยังคงสูงขึ้นในกัมพูชา
ล่าสุด (8 ม.ค. 68) พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผู้กำกับการสถานีตำรวจชนะสงคราม เปิดเผยว่า สน.ชนะสงคราม ได้ออกหมายจับคนร้าย นายเอกลักษณ์ แพน้อย อายุ 41 ปี ที่ก่อเหตุยิง นายลิม กิมยา ชายสัญชาติฝรั่งเศส-กัมพูชา ที่ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวานนี้ (7 ม.ค.68) ในข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พกอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควรยิงปืนฯ หลังก่อเหตุยิง นาย ลิม กิมยา เสียชีวิต เมื่อวันที่ 7 ม.ค.68 เวลา 17.45 น.บริเวณวงเวียน 13 ห้าง ถนนสิบสามห้าง แขวงบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กทม
เมื่อวานนี้ (7 ม.ค. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีฌาปนกิจศพ ร.ต.ท.บรรรัง เกษาพร อายุ 55 ปี รอง สว (ป) สน.สายไหม โดยมีคณะผู้บังคับบัญชา และเพื่อนข้าราชการตำรวจ ร่วมพิธี ณ วัดสายไหม ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
ร.ต.ท.บรรรัง เกษาพร รอง สวป.สน.สายไหม เสียชีวิตในขณะเข้าระงับเหตุฯ จากกรณีผู้ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.ยิงขณะเข้าระงับเหตุทะเลาะวิวาท บริเวณถนนเฉลิมพงษ์ แขวงและเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงค่ำวันที่ 3 มกราคม 2568
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอแสดงความไว้อาลัย และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของ ร.ต.ท.บรรรัง เกษาพร ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลดูเรื่องเกี่ยวกับสวัสดิการปูนบำเหน็จให้ตามระเบียบต่อไป
ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังต้องการเข้าช่วยเหลือ SME ที่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินพาณิชย์ เนื่องจากยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อในภาวะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ รัฐบาลจึงเร่งใช้กลไกสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเพิ่มเติม โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการด้านการเงิน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และ 2) โครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME ผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME-D Bank) ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อ 'ปลุกพลัง SME' วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการให้กับ SME รายย่อยและมีความเปราะบางที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 – 3 ร้อยละ 3 ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 12 เดือน รับคำขอถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
2) โครงการสินเชื่อ Beyond 'ติดปีก SME' วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ ปรับเปลี่ยนทรัพย์สินหรือเครื่องจักร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้กับ SME ที่มีรายได้ต่อปีไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 15 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 – 3 ร้อยละ 3 ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 12 เดือน รับคำขอถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุน SME ในทุกภาคธุรกิจทั้งในส่วนของ SME รายย่อยและมีความเปราะบาง สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงและมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจทันที