Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

“มาดามแป้ง” ขอบคุณสโมสรสนับสนุนทีมชาติไทย แม้ไม่ใช่ฟีฟ่า เดย์-เสียดายชวดแชมป์ แต่ดีใจเห็นแฟนบอลเกือบ 47,000 คน

(6 ม.ค. 68) "มาดามแป้ง" นางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวขอบคุณสโมสรที่เสียสละ และ สนับสนุน ทีมชาติไทย หลังปล่อยผู้เล่น มาลุยศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024 แม้ไม่ใช่ ฟีฟ่า เดย์ รับเสียดายชวดแชมป์ แต่ยังดีใจเห็นพลังแฟนบอลเกือบ 47,000 คน ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

สำหรับ ทีมชาติไทย พ่ายต่อเวียดนาม 2-3 สกอร์รวม 3-5 จบด้วยการเป็นรองแชมป์ในการแข่งขันฟุตบอลอาเซียน คัพ 2024

"ต้องกราบขอโทษแฟนบอลชาวไทย ที่เชียร์ช้างศึกในวันนี้ เราพลาดไม่ได้แชมป์อาเซียน ทั้งที่เราเป็นแชมป์อาเซียนเยอะที่สุดแล้วก็เป็นสองสมัยมาติดต่อกัน และวันนี้เราเล่นในบ้านเราด้วย ก็มองได้หลายมุม สิ่งแรกที่แป้งประทับใจ คือยอดผู้ชมที่เข้าสนาม คือเกือบ 47,000 คน ก็ถือว่าประชาชนคนไทย มีศรัทธาในฟุตบอลไทย" 

"แป้งต้องกราบขอบพระคุณ และยังได้เกียรติจากท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และชาวต่างชาติหลายคนก็มาชมเกมนี้ ซึ่งถือเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรี เพราะอย่าลืมว่า สองครั้งหลังสุด เราได้แชมป์ และสู้กับเวียดนามมาทั้งสองครั้ง รวมถึงวันนี้ที่สู้กับเขาอีก เราเสียเปรียบตั้งแต่เกมที่เราไปเยือนที่ พูโถ ที่แพ้มา 1-2 ทำให้เรากลับมาต้องชนะ 2-0 ต้องยอมรับว่าลูกแรกเราเสียเร็วไปหน่อย พอได้คืนกลับมา กำลังจะดี เตอร์ (วีระเทพ ป้อมพันธู์) ที่เป็นน้องรักก็มาโดนสองใบเหลืองเป็นใบแดง น้องก็เสียใจมาก ก็เป็นบทเรียน แป้งต้องกราบขอบพระคุณ เนื่องจากไม่ใช่ฟีฟ่า เดย์ ต้องขอบพระคุณสโมสรที่เมตตา ส่งนักเตะมาให้ ก็มีหลายสโมสรต้องขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นทีม อุทัยธานี เอฟซี, แบงค็อก ยูไนเต็ด , ระยอง เอฟซี, การท่าเรือ เอฟซี, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ลำพูน วอริเออร์ และราชบุรี เอฟซี รวมถึงอีกหลายทีม วันนี้จะเห็นได้ว่ามันต่างจากวันที่แป้งเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย เรามีนักเตะฟูลทีม วันนี้ในมุมของการไม่ได้แชมป์ เราก็ยังได้เห็นเด็กที่จะเกิดใหม่ ไม่งั้นวันนี้เราก็คงไม่เห็น เบนจามิน เดวิส, อัครพงศ์ พุ่มวิเศษ, พาตริก กุสตาฟส์สัน และน้องอีกหลายคน อย่าง เสกสรรค์ ราตรี หลายคนก็ดีใจที่ได้มาติดทีมชาติชุดใหญ่ชุดนี้" 

"แป้งเชื่อว่า เป็นบทเรียนของสมาคมฯเช่นกัน ในการที่แป้งดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ การแข่งขันในทุกทัวร์นาเมนต์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนไทยและทุกคนคาดหวัง ในผลของการชนะ สมาคมฯ จึงมีหน้าที่ เราได้คุยกันในสภากรรมการเมื่อสักครู่ว่าเราต้องดูตารางการแข่งขัน ให้กระทบกับทีมชาติน้อยลง" 

"วันนี้ต้องขอบคุณนักเตะทุกคนที่สู้กันมาตลอด 1 เดือน สตาฟโค้ช และผู้สื่อข่าว ที่ทำข่าวกับทีมชาติไทยมาโดยตลอด ขอบคุณสุดหัวใจ สำหรับผู้เล่นคนที่ 12 แฟนบอล ชาวไทย ซึ่งให้กระแสตอบรับดีมากๆ จากทุกกลุ่ม แป้งต้องกราบขอโทษแทนผลงานที่ไม่ได้แชมป์ ก็เสียใจ แต่ก็ดีใจที่เห็นคนไทยรักประเทศไทย ทีมชาติไทยชุดใหญ่ก็ยังมีตารางจะเล่นในเอเชียน คัพ ซึ่งเป็นศึกใหญ่ และ ฟีฟ่า เดย์ ขณะเดียวกันก็ต้องให้กำลังใจทีมชาติไทย U17 ซึ่งจะต้องไปฟุตบอลโลก เป็นภารกิจที่เราจะต้องทำให้ได้ และเราจะไปเล่นรอบสุดท้ายที่ซาอุดีอาระเบีย"

"น้องก็มาขอโทษแป้งทุกคน โดยเฉพาะน้องโย่ง (พรรษา เหมวิบูลย์) รวมถึง น้องเช็ค (สุภโชค สารชาติ) ที่ได้ร่วมงานกับแป้งมาอย่างยาวนาน ทุกคนก็เสียดาย เตอร์ (วีระเทพ ป้อมพันธุ์) เองก็ร้องไห้ ซึ่งแป้งเป็นกำลังใจให้เตอร์ เพราะเตอร์ เป็นผู้เล่นตัวหลักสำคัญสำหรับทีมชาติไทย มาโดยตลอด และก็ทำเต็มที่" 

สำหรับรายการต่อไปของ ทีมชาติไทย คือการเตรียมทีมลุยศึก เอเชียน คัพ 2027 รอบคัดเลือก นัดแรก พบกับ ศรีลังกา ในวันที่ 25 มีนาคม 2568

#FAThailand #ฟุตบอลทีมชาติไทย #ช้างศึก #บอลไทย #AFFChampionship #ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน2024 #ASEANMitsubishiElectricCup2024 #mitsubishielectriccup2024

สมุทรปราการ-แน่นปึก!! “อรัญญา สุวรรณบุตร แชมป์เก่า ยื่นใบสมัครเลือกตั้งนายกท้องถิ่น ประชาชนจำนวนมากส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าของวันนี้ เวลา 8.30 น. ประชาชนจำนวนมากต่างเดินทางมาคอยให้กำลังใจ พร้อมทั้งมอบดอกกุหลาบและส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา 

ที่เดินทางมายื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ณ ห้องประชุม ชั้น 5 สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ ซึ่งในวันนี้ได้มีการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งนายกท้องถิ่นของทางเทศบาลตำบลแพรกษาเป็นวันแรก โดย นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ในฐานะแชมป์เก่าได้เดินทางมายื่นใบสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา

โดยมี นายวันชัย โชควิเศชัยสิทธิ์ ผอ.กกต.จว.สมุทรปราการ พร้อมด้วย นายธนาเดช พันธุ์พิน
รอง ผอ.สนง.กกต.สมุทรปราการ มีว่าที่ ร.ต.ลมบล บุญมานะ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลแพรกษา นายวรรณวุฒิ มาสุข ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลแพรกษา นางสาว พัชรพร ศรีสัมฤทธิ์ และ  นางสาวศศิวิมล อั๋งสกุล คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลแพรกษา

ตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองดูแลความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งการลงสมัครรับเลือกตั้งในวันนี้นั้น ด้านนางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้หมายเลข 1 และในส่วนทางด้าน  นางสาวจริยา หลงน้อย ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ได้ยื่นเอกสารกับทางเจ้าหน้าที่ไม่ครบถ้วนตามกฎระเบียบการเลือกตั้ง ฉะนั้นทางผู้อำนวยการการเลือกตั้งจึงได้นำเอกสารการสมัครทั้งหมดส่งคืนนางสาวจริยา หลงน้อย ผู้ลงสมัครนายกเทศมนตรี ในนามพรรคประชาชนก่อนที่ทั้งหมดจะพากันออกจากห้องประชุมไป โดยอ้างว่าจะนำเอกสารกับมายื่นใบสมัครใหม่อีกครั้งนึง

อย่างไรก็ตาม โดยในวันนี้ทางด้าน นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และในฐานะแชมป์เก่า มีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม โดยมี ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 พร้อมด้วย นายเมธากุล สุวรรณบุตร อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และคณะสมาชิกสภาเทศบาลตำบลแพรกษามาร่วมให้กำลังใจ

และคาดว่าหลังจากนี้ นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา จะเตรียมตัวลงพื้นที่หาเสียงไปพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนตามชุมชนต่างๆในเขตพื้นที่ เพื่อขอคะแนนเสียงเเละป้องกันแชมป์เพื่อที่จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาตำบลแพรกษารวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษาต่อไป ซึ่งการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ระหว่างวันที่ 6–10 มกราคม 2568 เวลา 8.30-16.30 น. 

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทุ่มงบกว่า 15.8 ล้านบาท ส่งความสุข มอบของขวัญให้แก่เยาวชนทั่วประเทศ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568

( 6 ม.ค. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ  นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ และ คณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีมอบชุดของขวัญวันเด็ก  ประกอบด้วย สมุด ดินสอ ไม้บรรทัด และ กล่องดินสอ เป็นของขวัญให้กับนักเรียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีผู้แทนโรงเรียนเป็นผู้รับมอบ  ณ ลานสำนักงานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ รวมทั้งยังจัดให้มีการส่งชุดของขวัญวันเด็กของมูลนิธิฯ เพื่อมอบให้กับเยาวชนในส่วนภูมิภาค ผ่านหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ รวมจำนวนของขวัญวันเด็กที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งมอบให้กับเยาวชน เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 ทั้งสิ้น 900,000 ชุด คิดเป็นมูลค่ากว่า 15.8 ล้านบาท 

และในวันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2568 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดเข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เพื่อมอบของขวัญวันเด็ก สำหรับนำไปแจกจ่ายแก่เด็กและเยาวชน เพื่อเป็นขวัญ และกำลังใจ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 ณ ห้องสีม่วง  ตึกไทยคู่ฟ้า  ทำเนียบรัฐบาล

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า การให้ของขวัญวันเด็ก เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักที่มูลนิธิฯ ได้จัดทำต่อเนื่องมาเป็นเวลา 66 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ด้วย การมอบของขวัญให้เด็กๆ ในโอกาส “วันเด็กแห่งชาติ” แบ่งปันความรัก ความสุขและเสริมการเรียนรู้ สร้างเด็กดีในวันนี้ให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณค่าของสังคมและประเทศชาติในอนาคต โดยมูลนิธิฯ ขอส่งความรัก ความปรารถนาดีให้เด็กๆ ทุกคนเป็นเด็กดี มีคุณธรรม กตัญญู รู้คุณ พ่อแม่ ครูอาจารย์ รู้จักประหยัด มัธยัสถ์ ห่างไกลยาเสพติด ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หมั่นเรียนรู้ทุกโอกาส เพื่ออนาคตที่ดีของตนเอง และประเทศชาติ ดังคำขวัญวันเด็กของท่านนายกรัฐมนตรี ประจำปี พ.ศ.2568 ที่มอบให้ คือ “ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง”

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการส่งเสริมด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung 

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418

“ผบช.สตม.ลงพื้นที่ ประชุมร่วมหน่วยความมั่นคงวางมาตรการเข้ม สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ชายแดน ไทย-ปอยเปต”

(6 ม.ค. 68) ผบช.สตม. ลงตรวจพื้นที่สระแก้ว ประชุมหน่วยความมั่นคง วางมาตรการเข้มคัดกรองนายทุนเดินทางเข้าออกไทยฝั่งปอยเปต สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หนุนนโยบายรัฐบาล ประสานความร่วมมือทหาร ปกครอง เสริมกำลังเจ้าหน้าที่จุดเสี่ยง ช่องทางธรรมชาติ ป้องกันการเข้าออกเมืองผิดกฎหมาย พร้อมทำฐานข้อมูลคนไทยลักลอบไปทำงานกัมพูชา เพื่อตัดเส้นทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบครบวงจร พบส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุ 20-30 ปี 

วันนี้(6 ม.ค.68) เวลา 10.00 น. ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จ.สระแก้ว พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ประชุมร่วมกับ Mr.kim suvanna กงสุลใหญ่กัมพูชาประจำประเทศไทย, พล.ท.วันนา เป๊ก  หน.ประสานงานชายแดนกัมพูชา-ไทย พร้อมด้วย พล.ต.ต.ออมสิณ  บุญญานุสนธิ์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว พ.อ.ชัยณรงค์  กาสี ผบ.กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ นายสุเทพ ชัยวัฒน์ ปลัดจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วย พม.จว., รอง ผอ.รมน.จว. และจัดหางาน จว.สระแก้ว หารือมาตรการป้องกันแรงงานไทยที่ลักลอบไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งนายทุนต่างชาติที่เดินทางเข้าออกไทย โดยอาศัยวีซ่านักท่องเที่ยว พร้อมลงพื้นที่สำรวจจุดเสี่ยง ช่องทางธรรมชาติ ที่เป็นเส้นทางหลบเลี่ยง และที่กบดานของแรงงานไทยเพื่อไปทำงานในประเทศกัมพูชา 
พล.ต.ท.ภาณุมาศ ฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม.เข้มงวดกวดขันคนต่างชาติที่เดินทางเข้าออกไทยมากผิดปกติ ซึ่งเชื่อว่าอาจไปทำธุรกิจผิดกฎหมาย และอาศัยประเทศไทยเป็นเส้นทางหลอก หรือเป็นแหล่งที่พำนักเพื่อไปทำงานที่กัมพูชา ทั้งนี้ สตม.ได้เพิ่มมาตรการตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยบ่อยครั้ง แต่ไม่มีปัจจัยยังชีพ เช่น แผนการท่องเที่ยว หรือ ไม่มีเงินสดติดตัว หรือคนที่เข้ามาหลายครั้งในรอบปี แต่ไม่มีหลักฐานการท่องเที่ยว ก็จะปฏิเสธการเข้าเมือง และบันทึกประวัติไว้ทันที 

นอกจากนี้แล้วยังดำเนินคดีคนไทยที่ถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับกุม ข้อหาหลบหนีเข้าเมือง แล้วถูกผลักดันกลับมาไทย ซึ่งจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ฐานเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่า สถานี หรือท้องที่ ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลไว้แล้วส่งต่อให้หน่วยงานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป จากสถิติ ปี 2567 มีคนไทยที่ถูกส่งกลับนับตั้งแต่ ม.ค.-ธ.ค.67 รวมทั้งสิ้น 210 คน เป็นผู้ชาย 125 คน ผู้หญิง 86 คน ส่วนใหญ่อายุประมาณ 20-30 ปี ส่วนรายใดมีหมายจับก็จะส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีต่อไป 

ด้าน พ.อ.ชัยณรงค์ ฯ ผบ.กรมทหารราบที่ 12 รอ. กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการจับกุมคนต่างชาติ ที่ลักลอบเข้าประเทศ และยังให้ข้อมูลอีกว่า ณ ตอนนี้การลักลอบออกนอกประเทศนั้นมักจะออกโดยผ่านพื้นที่ส่วนบุคคล โดยเฉพาะพื้นที่เฝ้าระวังบริเวณรับฝากรถยนต์ จำนวน 7 แห่ง ตามแนวชายแดน

ในขณะที่ นายสุเทพ ฯ ปลัดจังหวัดสระแก้ว กล่าวด้วยว่าชายแดนไทยกัมพูชาเป็นแผ่นดินติดแผ่นดินมีระยะทางกว่า 165 กิโลเมตร ซึ่งทางฝ่ายปกครองก็ได้มีการขอความร่วมมือผู้ใหญ่บ้านคอยสอดส่องและส่งข้อมูลให้ทางจังหวัด

นางกนกวรรณฯ พม.จว.สระแก้ว ได้กล่าวว่าภารกิจของ พม.นั้นเป็นกระบวนการส่งต่อระดับชาติฯ(NRM) อันได้แก่ คัดกรอง คัดแยก คุ้มครอง ซึ่งในปี2567 ที่ผ่านมามีผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์3ราย จากทั้งหมด 210 ราย

นายปรีชา ดุจจานุทัศน์ จัดหางานจังหวัดสระแก้ว ได้ชี้แจงว่าการที่คนไทยต้องไปทำงานในต่างประเทศนั้นต้องมีเอกสารดังนี้

-เอกสารนายจ้างในต่างประเทศ
-มีหนังสือจ้างงานจากกงสุลไทยในต่างประเทศ
-มีpassport และ วีซ่าทำงาน ที่ถูกต้อง
จึงจะทำงานในต่างประเทศได้ ทั้งนี้จัดหางานจังหวัดสระแก้ว ได้ร่วมกับ ตม.จว.สระแก้วในการคัดกรองคนไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วย

ซึ่งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่กัมพูชา โดยนายเลียม  โซดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียนเมียนเจย กล่าวอีกว่า ทางกัมพูชา รับทราบข้อมูลของทางฝั่งไทยแล้ว และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางฝั่งไทยในการสะกัดกั้นคนข้ามแดนผิดกฎหมาย

กองทัพอากาศ จัดพิธีทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2568

(6 ม.ค. 68) พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ คุณมนทิรา  พัฒนกุล นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ เป็นประธานในพิธีพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2568 ณ ลานอเนกประสงค์ สโมสรทหารอากาศชั้นประทวน เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลในปี 2568 โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ นักเรียนทหาร และครอบครัว เข้าร่วมพิธี

ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อกำลังพล พร้อมทั้งอวยพรปีใหม่ โดยเน้นถึงความสามัคคีและความเสียสละของบุคลากรทุกระดับในกองทัพอากาศ ที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของภารกิจต่าง ๆ ความว่า “ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ได้พร้อมใจกันมาร่วมทำบุญตักบาตรในวันนี้ และอำนวยพรให้ผมและครอบครัว ผมรู้สึกอบอุ่นใจและขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีที่ทุกท่านมอบให้ พร้อมทั้งขอฝากความระลึกถึงและความปรารถนาดีไปยังพี่น้องข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ นักเรียนทหาร และทหารกองประจำการที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ทุกท่านทราบว่า ผู้บังคับบัญชามีความห่วงใย และพร้อมดูแลช่วยเหลือด้านสวัสดิการ เพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ผมยืนยันเจตนารมณ์ที่จะอุทิศตนปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับทุกท่านด้วยความเสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต และนำพาความเจริญก้าวหน้ามาสู่กองทัพอากาศและประเทศชาติสืบไป”

พร้อมกันนี้ ได้มีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 45 รูป จากวัดชูจิตธรรมาราม และพิธีเจริญพระพุทธมนต์จากพระสงฆ์ จำนวน 9 รูป จากวัดดอนเมือง (พระอารามหลวง) เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความสุข ความสงบ และความเป็นสิริมงคล รวมทั้งเพื่อสืบสานประเพณีอันดีงามของประชาชนชาวไทย

#กองทัพอากาศ

‘พิชัย’ จับมือปากีสถาน ฟื้นเวทีประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า JTC ครั้งแรกในรอบ 10 ปี ตลาดใหญ่เอเชียใต้ประชากร 240 ล้านคน

(6 ม.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการพบหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย (นางรุคซานา อัฟซอล) ณ กระทรวงพาณิชย์ ว่าทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบที่จะกลับมาประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ปากีสถาน (ระดับรัฐมนตรี) หลังจากห่างหายไปกว่า 10 ปี เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกันภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและบริบทการค้าปัจจุบัน อาทิ การกลับเข้าสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ไทย-ปากีสถาน การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และการพัฒนาความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ได้แก่ อาหาร สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ ประมง และการท่องเที่ยว อันจะช่วยส่งเสริมโอกาสทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน รวมทั้งเพิ่มพูนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในระยะยาว โดยไทยยินดีเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ปากีสถาน ครั้งที่ 4 ในปี 2568

นายพิชัย กล่าวว่า ปากีสถานเป็นตลาดใหญ่ มีประชากรกว่า 240 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของโลก มีประชากรวัยทำงานที่มีกำลังซื้อมากถึง 80 ล้านคน ทั้งนี้ การค้าระหว่างกันมีความเกื้อกูลกันและมีโอกาสขยายตัวได้อีกมากเนื่องจากสินค้าหลายรายการเป็นสินค้าขั้นกลางจากไทยที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของปากีสถานเพื่อรองรับตลาดภายในและส่งออกไปต่างประเทศ เช่น ใยสังเคราะห์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและ ส่วนประกอบ และชิ้นส่วนรถยนต์ ขณะที่ปากีสถานมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สามารถเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมการผลิตของไทยได้ เช่น สัตว์น้ำ อัญมณี ถ่านหิน และแร่เหล็ก ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างกัน โดยไทยได้เชิญชวนให้ผู้ประกอบการปากีสถานเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ My Karachi ระหว่างวันที่ 1-3สิงหาคม 2568 ณ เมืองการาจี ขณะที่ปากีสถานได้เชิญผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน Pakistan ASEAN Trade Development Conference ระหว่างวันที่ 6-9 สิงหาคม 2568 ณ กรุงจาการ์ตา 

นายพิชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยและปากีสถานยังยืนยันความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน โดยปากีสถานได้มีการจัดตั้งสภาอำนวยความสะดวกการลงทุนพิเศษ(Special Investment Facilitation Council) เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติใน 5 สาขาหลัก ได้แก่ เกษตรและอาหาร เทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงานหมุนเวียน การทำเหมืองแร่ และท่องเที่ยว ในขณะที่ไทยได้เชิญชวนให้ปากีสถานเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทย โดยไทยมีความพร้อมด้านระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีรองรับการลงทุนอย่างเต็มที่ อาทิ ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะไฟฟ้าและน้ำ

ปากีสถานเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม – พฤศจิกายน) การค้าระหว่างไทยกับปากีสถานมีมูลค่า 1,031.76.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกของไทยไปปากีสถานมูลค่า 781.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เส้นใยประดิษฐ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และยางพารา และการนำเข้าของไทยจากปากีสถานมูลค่า 250.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ  สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป น้ำมันดิบ กระดาษ และผลิตภัณฑ์กระดาษ เสื้อผ้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 530.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เชียงใหม่-แม่ทัพภาคที่ 3 เปิดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าฯ ตั้งเป้าเมษายนปีนี้อากาศจะต้องดี

(6 ม.ค. 68) แม่ทัพภาคที่ 3 มอบนโยบายให้ 17 จังหวัดภาคเหนือ พร้อม เปิดกิจกรรม “รณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคเหนือ” ประจำปี 2568 และตรวจความพร้อมของกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และอากาศยาน ในการป้องกันและแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ในพื้นที่ 17 ภาคเหนือ ย้ำ กองทัพภาคที่ 3 พร้อมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มขีดความสามารถ

กิจกรรม “รณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคเหนือ” ประจำปี 2568 ซึ่งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ได้ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จัดขึ้น โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 จัดตั้งขึ้นตามคำสั่ง กองทัพภาคที่ 3 ,ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 ,กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ,ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 3  ที่ 421/2567 / ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567  มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

1. วางแผน อำนวยการและบูรณาการ การป้องกันแก้ปัญหาไฟป่า รวมทั้งการควบคุมและดับไฟที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบและในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดระหว่าง โดยบูรณการด้านงบประมาณอัตรากำลัง เจ้าหน้าที่ เครือข่ายอาสาสมัคร ยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ เครื่องมือ ยานพาหนะ และอากาศยาน ฯลฯ
2. ปฏิบัติการเฝ้าระวัง ติดตาม ประเมินสถานการณ์ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และดับไฟป่า รวมทั้งบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ ฝุ่นละออง ระดับจังหวัด และรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
3. สนับสนุนการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบของไฟป่าและหมอกควัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน 
4. แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติแก้ไขปัญหาและหมอกควันในพื้นที่ 14 กลุ่มป่าแปลงใหญ่รอยต่อไฟป่า เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ ฝุ่นละอองระดับภาค
5. ปฏิบัติงานอื่นตามที่คณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศมอบหมาย
 
โดยได้จัดตั้ง ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ที่ อาคารยอดทัพ กองพลทหารราบที่ 7  อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 30 เมษายน 2568 หรือ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ซึ่งจัดให้มีการประชุมประสานงาน กับศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองระดับจังหวัด และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน 17 จังหวัด รวมทั้งชุดขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม 17 จังหวัดภาคเหนือ 

เพื่อบูรณาการสรรพกำลังทั้งมวลของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้มีส่วนร่วมในการป้องกัน แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ตามนโยบายของ รัฐบาลให้ทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อมบูรณาการแผนงานป้องกันการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และแผนเผชิญเหตุในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสาธารณภัยให้มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสาร เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองในปี 2568  จะพิจารณาจากสถิติจุดความร้อน  และพื้นที่เผาไหม้ของปีที่ผ่านมา  

กำหนดเป้าหมายสำคัญ 7 ดอย , 19 รอยต่อ , และ 12 ป่าแปลงใหญ่ พร้อมทั้งผลลัพธ์ที่ต้องการ คือ จุดความร้อนลดลง พื้นที่เผาไหม้ลดลง และฝุ่นละอองขนาดเล็กลดระดับความรุนแรงลง จนไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ตามที่รัฐบาลกำหนด 

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 ได้มอบนโยบายแผนการปฏิบัติงานและแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประจำปี 2568 ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ , หัวหน้าส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้อง และรับฟังการบรรยายลักษณะสภาพอากาศ อัตราการระบายอากาศ ความกดอากาศ จาก ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ , การสนับสนุนอากาศยานยุทโธปกรณ์ตรวจหาจุดความร้อน จากกองทัพอากาศ , กระบวนการสร้างความชุ่มชื้นในอากาศ และการทำฝนหลวง  จาก ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือตอนบน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร , มาตราการ/แนวทางการ ควบคุมไฟป่า 14 cluster พื้นที่ไหม้ซ้ำซาก พื้นที่รอยต่อ จากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ และ แนวทางการบังคับใช้กฎหมาย ตำรวจภูธรภาค 5  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรม “รณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคเหนือ” ประจำปี งบประมาณ 2568 ตั้งเป้าหมายเดือนเมษายนปีนี้อากาศเชียงใหม่จะต้องดี

นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองจาก 10 หน่วยงาน และตรวจความพร้อมและให้กำลังใจชุดปฏิบัติการดับไฟป่า อากาศยานและอุปกรณ์ดับไฟป่า จาก กองทัพภาคที่ 3 , กรมป่าไม้ , กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช , กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย , องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และมวลชนจิตอาสา กว่า 500 นาย ณ ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 กองพลทหารราบที่ 7 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 
 
ทั้งนี้ กองทัพบก และ กองทัพภาคที่ 3 โดย ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาไฟป่า-หมอกควันและการเผาป่าในพื้นที่ภาคเหนือเป็นอย่างมาก ด้วยการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาล ในการขับเคลื่อนภารกิจพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือประชาชน และการบรรเทาสาธารณภัยอย่างเต็มขีดความสามารถ รวมทั้ง การบูรณาการและประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพสูงสุด

นภาพร/เชียงใหม่

'ทรูโด' ลาออกนายกแคนาดา หลังคะแนนนิยมร่วง สมาชิกพรรคไม่หนุน

(6 ม.ค. 68) นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังดำรงตำแหน่งมานานเกือบ 10 ปี โดยเขาเผชิญกับกระแสความไม่พอใจจากประชาชนเกี่ยวกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปัญหาราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งทะยาน นอกจากนี้ แคนาดายังประสบวิกฤตผู้อพยพและปัญหาความวุ่นวายภายในรัฐบาล ซึ่งเห็นได้จากการลาออกอย่างกะทันหันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านถึง 3 พรรคได้ประกาศชัดเจนว่าจะร่วมกันลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการประชุมสภาครั้งหน้า

นายทรูโดระบุว่า เขาจะยุติบทบาทนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีนิยมคนใหม่เสร็จสิ้น โดยยืนยันว่าเขาไม่สามารถทำหน้าที่หัวหน้าพรรคในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ เนื่องจากความขัดแย้งภายในพรรค

“ผมไม่ใช่คนที่ยอมถอยง่ายๆ โดยเฉพาะในเรื่องที่มีความสำคัญต่อพรรคและประเทศชาติ” ทรูโดกล่าวในแถลงการณ์ “แต่ผมเชื่อว่าผมได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีเพื่อประชาชนและส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่แล้ว ผมเชื่อมั่นว่าหัวหน้าพรรคคนใหม่จะสานต่อคุณค่าและอุดมการณ์ของพรรคเสรีนิยมเพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป”

ความเห็นจากพรรคเสรีนิยมและฝ่ายค้าน

นายซาชิต เมห์รา ประธานพรรคเสรีนิยม กล่าวขอบคุณนายทรูโดสำหรับบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศด้วยนโยบายสำคัญ เช่น นโยบายดูแลเด็กในราคา 10 ดอลลาร์ต่อวัน โครงการดูแลสุขภาพฟัน และแผนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมระบุว่า พรรคจะจัดการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าคนใหม่ในสัปดาห์หน้า

ด้านนายปิแอร์ ปัวลีแวร์ ผู้นำพรรคอนุรักษนิยม โพสต์วิดีโอบน X (เดิมชื่อ Twitter) ระบุว่า “ชาวแคนาดารู้สึกเหมือนได้หลุดพ้นจากยุคมืด” พร้อมตำหนิผู้สมัครรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีนิยมว่าเป็นผู้ร่วมมือกับทรูโดในการทำลายประเทศในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน นายจักมีต ซิงห์ ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ใหม่ กล่าววิจารณ์ว่า “ไม่สำคัญว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคเสรีนิยม เพราะพวกเขาทั้งหมดจะทำให้ประชาชนผิดหวัง พรรคเสรีนิยมไม่ควรได้รับโอกาสอีกต่อไป”

การลาออกของทรูโดนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเวทีการเมืองแคนาดา ซึ่งต้องจับตาดูว่าพรรคเสรีนิยมจะสามารถฟื้นตัวและนำพรรคเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไปได้หรือไม่

BRICS ประกาศรับ 'อินโดนีเซีย' เป็นชาติสมาชิกเต็มรูปแบบรายล่าสุด

(7 ม.ค.68) รัฐบาลบราซิล ในฐานะประธานกลุ่ม BRICS ของปีนี้ ได้ประกาศให้ประเทศอินโดนีเซียเป็นส่วนหนึ่งของ BRICS ในฐานะรัฐสมาชิกเต็มรูปแบบ ตามคำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศบราซิลเมื่อวันที่ 6 มกราคม

"ในฐานะที่บราซิลดำรงตำแหน่งประธานของกลุ่ม BRICS ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2025 รัฐบาลบราซิลได้ประกาศในวันนี้ว่า สาธารณรัฐอินโดนีเซียได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของ BRICS" กระทรวงระบุ

การตัดสินใจรับอินโดนีเซียเข้าร่วมกลุ่มได้รับการเห็นชอบจากสมาชิก BRICS ทุกประเทศแล้ว กระทรวงการต่างประเทศบราซิลย้ำ

ทั้งนี้ สำหรับกลุ่ม BRICS เป็นกลุ่มความร่วมมือระหว่างรัฐบาลที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 โดยประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ส่วนแอฟริกาใต้เข้าร่วมในปี 2010 ในปี 2024 BRICS มีการขยายกลุ่มครั้งที่สอง โดยรับสมาชิกใหม่ ได้แก่ อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย 

อย่างไรก็ตาม ซาอุดีอาระเบียยังไม่ได้ดำเนินการขั้นสุดท้ายในการเป็นสมาชิก แต่ได้เข้าร่วมการประชุมของกลุ่ม BRICS แล้ว

ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2024 รัสเซียในฐานะประธานกลุ่ม BRICS เมื่อปีที่แล้ว ได้ให้การรับรอง ไทย มาเลเซีย และชาติอื่น ๆ อีก 9 ประเทศร่วมเป็นประเทศหุ้นส่วนพันธมิตรอย่างเป็นทางการ

ความน่าสนใจของกลุ่มประเทศBRICS คือ การมีสมาชิกที่เป็นชาติมหาอำนาจอย่าง จีนและรัสเซีย รวมทั้งอีกหลายประเทศที่ทรงอิทธิพลในแต่ละทวีป เช่น แอฟริกาใต้และบราซิล

ขณะเดียวกัน เมื่อกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งนี้มีจำนวนสมาชิกมากขึ้น จะทำให้ครอบคลุมประชากรราว 3.5 พันล้านคน หรือราว 45% ของประชากรโลก

หากพิจารณาในแง่มูลค่าทางเศรษฐกิจแล้ว ขนาดเศรษฐกิจของกลุ่ม มีมูลค่ากว่า 28.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 28% ของมูลค่ารวมของเศรษฐกิจโลก ที่สำคัญ คือ ประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์ยังเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบป้อนตลาดโลกราว 44% อีกด้วย

‘ดร.หิมาลัย’ โต้คนบงการเขียนบทความโจมตี ‘พีระพันธุ์’ ซัด!! ไร้ความเข้าใจนโยบาย แนะลาออกไปรับเงินเดือน บ.น้ำมัน

‘ดร.หิมาลัย’ ร่ายยาวสวนกลับบทความคนในกระทรวงพลังงานโจมตี ‘พีระพันธุ์’ ย้ำชัด หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มุ่งทำเพื่อประชาชน ชี้ การสำรองน้ำมัน 90 วัน มีความจำเป็นด้านความมั่นคง ซัดคนเขียนบทความเพ้อเจ้อ ไม่รู้ข้อเท็จจริง ซัด ความคิดอคติแบบนี้ ลาออกไปรับเงินเดือนเอกชนเลยดีกว่า

(7 ม.ค. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ และที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ” กรณีมีบทความโจมตีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งถูกเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานข่าว THE ROOM44 และทางเฟซบุ๊กพลังงานจังหวัดลำปางได้นำไปโพสต์ต่อ ก่อนจะถูกลบทิ้งในเวลาต่อมา 

โดย ดร.หิมาลัย ได้ระบุว่า รู้กฎหมาย และสำนึกในบุญคุณของประชาชนและประเทศชาติ

ตามที่เป็นข่าวฮือฮา ในเรื่องของการลงบทความ โจมตี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในหัวข้อ “ รู้กฎหมาย ไม่รู้เรื่อง พลังงาน” โดยผู้เขียนบทความ ผ่านเพจพลังงานจังหวัดลำปางนั้น เป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ เมื่อคุณ สายธาร ประสงค์ความดี พลังงานจังหวัดลำปาง ได้เปิดเผยว่า โพสต์ดังกล่าว มาจากทีมงานประชาสัมพันธ์จากส่วนกลาง ยิ่งน่ากังวลเป็นอย่างมาก

ผู้เขียนบทความ อ้างว่าเป็นคนในกระทรวงพลังงานที่อึดอัดกับการทำงานของ ท่านรัฐมนตรีพลังงานเป็นอย่างมาก ใช้คำพูดค่อนข้างรุนแรง ว่านโยบายของท่าน เป็นคำพูดสวยหรู ดันทุรัง เป็นการสร้างภาพ แสดงว่าผู้เขียนบทความ ไม่ได้ทำความเข้าใจอย่างแท้จริง กับนโยบาย ของนายพีรพันธุ์ฯ ที่ทำเพื่อประชาชน

ผมเคยเขียน บทความ และพูด ให้กลุ่มคนเล็กๆที่สนใจในเรื่องนี้ฟังหลายครั้ง ซึ่งหลังจากอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ก็สามารถสร้างความเข้าใจได้ แต่อาจจะยากสำหรับท่านผู้เขียนบทความท่านนี้ ท่านน่าจะมีการศึกษาที่สูงส่ง จนไม่เข้าใจ คำอธิบายง่ายๆ ของท่านรัฐมนตรีพลังงาน ผมใคร่ขอชี้แจง อีกสักครั้ง

การสำรองน้ำมัน 90 วันนั้น เป็นไปเพื่อความมั่นคงของประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ท่านอย่าคิดว่า สถานการณ์ที่จำเป็นจะไม่เกิดขึ้น ให้ย้อนไปดูสถานการณ์ของโลก ในปัจจุบันนี้ ที่มีความขัดแย้งอยู่ทั่วไปในภูมิภาค หากเกิดความขัดแย้งในภูมิภาคแถวนี้ และการขนส่งน้ำมันไม่สามารถจะทำได้ นั่นหมายความว่าธุรกิจภายในประเทศจะต้องหยุดชะงักหลังจากพ้น 30 วันไปแล้ว

การที่ประเทศมหาอำนาจ และประเทศที่ต้องการความมั่นคงทางเศรษฐกิจ กำหนดให้ระยะเวลา 90 วันนั้น ได้มีการคำนวนตามหลักวิชาการและประสบการณ์ อย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขบวนการขนส่ง การเจรจาคู่ขัดแย้ง การเปิดน่านน้ำ การบริโภคภายในประเทศ ตัวเลข 90 วัน จึงเป็นตัวเลขที่เหมาะสมที่สุด ที่สำคัญ ภาระในการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง ไม่ใช่ของประชาชน เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องแบกรับ แต่หากเกิดสถานการณ์ขึ้นจริง เขาก็สามารถ มีน้ำมันที่จะขาย สร้างรายได้ให้บริษัทฯ ในช่วงนั้นอยู่แล้ว ทีนี้เรามาตั้งคำถามต่อไปว่า ผู้เขียนบทความอ้างว่าหากใช้ระบบนี้ จะทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้น อาจจะถึงขั้นแบกรับไม่ไหวต้องถอนตัวออกจากธุรกิจไป ก็ต้องถามต่อไปว่า แล้วที่เขาไปทำธุรกิจน้ำมัน กับหลายประเทศ ที่กำหนดไว้ 90 วัน ทำไมเขาถึงทำได้ ก็เห็นข่าวว่ามีแหล่งน้ำมันที่ไหน บริษัทที่ท่านเป็นห่วงก็ไปแย่งประมูลทุกที่ไป อย่าไปกังวลแทนเขาเลยครับ

ผู้เขียนบทความ ยังเหวี่ยงแหระหว่างการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง ที่บริษัทผู้ค้า ต้องเป็นผู้สำรองเพื่อเป็นหลักประกันว่าท่านจะมีน้ำมันขายให้กับประชาชนในประเทศนี้ไม่ต่ำกว่า 90 วัน ไปพูดขยายความว่า รัฐจะต้องนำเงินจากภาษีประชาชนมาซื้อน้ำมันส่วนนี้ หากกระทรวงพลังงานมีข้าราชการแบบนี้อยู่ น่าเป็นห่วงนะครับ เพราะท่านนี้หากเป็นนักเรียนก็เป็นประเภทไม่สนใจเรียน เวลาครูสอนก็ไม่ฟัง ผลสอบมาก็ตก แล้วยังหน้าด้านไปติวเพื่อนอีก ถ้าไม่เข้าใจก็ย้อนกลับไปอ่านซ้ำๆหลายทีนะครับ ส่วนที่ท่านพูดถึงว่าอาจจะต้องใช้เงินภาษีประชาชนซื้อ น่าจะเป็น น้ำมันเพื่อความมั่นคงตามยุทธศาสตร์ชาติ ท่านพีรพันธุ์ ท่านก็มาคิดว่าเมื่อสำรองน้ำมันให้ประชาชนใช้ 90 วันแล้ว หากมีสถานการณ์เกิดขึ้น รัฐจะเอาน้ำมันที่ไหนมาบริหารด้านความมั่นคง เช่น ให้ทหารใช้เพื่อการป้องกันประเทศ ให้ตำรวจใช้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ให้หน่วยราชการต่าง ๆ ใช้ เพื่อให้บริการประชาชน ทำอย่างไรไม่ให้การใช้น้ำมันของภาครัฐไปเบียดบังประชาชนในสถานการณ์วิกฤต ท่านจึงคิดระบบสำรองน้ำมันเพื่อยุทธศาสตร์ชาติ และเชื่อไหมครับว่า ระบบของท่าน ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว ทำอย่างไรหรอครับ ท่านก็ใช้วิธีเก็บกองทุนน้ำมันเป็นน้ำมันครับ น้ำมันส่วนนี้แหละครับ ที่ที่รัฐจะใช้ เพื่อความมั่นคงของประเทศ และยังใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพ ราคาน้ำมันด้วย ทำได้อย่างไรหรอครับ ผมจะอธิบายให้ฟัง

เรามาดูที่มาของกองทุนน้ำมันก่อนครับ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ในช่วง วันที่ 5 ม.ย. 2510 - 10 มิ.ย. 2510 ได้เกิดสงคราม 6 วัน ระหว่าง อิสราเอลกับกลุ่มประเทศอาหรับ ได้แก่ จอร์แดน ซีเรีย และอียิปต์ ผลของสงครามทำให้เกิดวิกฤตการณ์ขาดแคนน้ำมันในตลาดโลกทำให้ราคาน้ำมันขึ้นสูงมาก ประเทศต่างๆจึงได้คิดระบบกองทุนน้ำมันเพื่อรักษาเสถียรภาพ ของราคาน้ำมันในประเทศตัวเองขึ้น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆในยุโรปใช้วิธีตั้งกองทุนน้ำมันเป็นน้ำมัน คือเก็บน้ำมันเข้าคลังสำรองน้ำมันของประเทศ หากราคาน้ำมันขึ้นราคา ก็ใช้วิธีนำน้ำมันจากกองทุนน้ำมัน ออกสู่ท้องตลาด ทำให้มีน้ำมันเพียงพอต่อความต้องการ ราคาน้ำมันก็จะลดระดับลง ท่านพีรพันธุ์ก็นำความคิดนี้แหละครับ มาใช้ในประเทศเรา ระบบนี้มีข้อดีอย่างไรผมขอชี้แจงอย่างนี้นะครับ

ในปัจจุบัน กองทุนน้ำมันที่ตั้งขึ้นมาที่ประเทศอื่นเขาเก็บเป็นน้ำมัน แต่เราเก็บเป็นเงิน สภาพกองทุน ติดลบตลอดเวลา เพราะอะไรรู้มั้ยครับ เพราะมันผิดธรรมชาติครับ เจตนาการตั้งกองทุน เพื่อแบ่งกำไรจากผู้ประกอบการมาเข้ากองทุนในช่วงที่ราคาน้ำมันของตลาดโลกลดราคาลงและนำเงินส่วนที่เก็บไว้นี้จ่ายคืนให้ผู้ประกอบการในช่วงที่ราคาน้ำมันของตลาดโลกขึ้นราคา เพื่อเป็นการชดเชยให้ผู้ประกอบการสามารถขายน้ำมันในราคาที่ถูกลงได้ แต่มันผิดธรรมชาติอย่างไรรู้มั้ยครับ กองทุนน้ำมันที่เราตั้งใจเก็บจากกำไรของผู้ประกอบการกลับถูกนำไปบวก เพิ่มในราคาน้ำมันของเรา แสดงว่ากองทุนนี้โดนผลักภาระมาเป็นของประชาชน เท่านั้นยังไม่พอนะครับ สมมุติว่า วันนี้ ต้นทุนน้ำมันอยู่ที่ 20 บาท รัฐให้มีค่าใช้จ่ายต่างๆได้ 10 บาท ราคาขายจะเป็น 30 บาท รัฐแจ้งว่า ต้องการให้ลดราคาน้ำมันเหลือ 25 บาท นั่นหมายความว่ารัฐต้องชดเชยต้นทุนน้ำมันลิตรละ 5 บาทเพื่อให้ราคาลงมาที่ 25 บาท ประเด็นอยู่ตรงนี้นะครับ ที่ผ่านมารัฐไม่เคยทราบต้นทุนราคาน้ำมันที่แท้จริงเลย เมื่อรัฐ แจ้งให้ขายในราคา 25 บาท แล้วผู้ประกอบการแจ้งว่า ต้นทุนราคาน้ำมันของตัวเองอยู่ที่ 30 บาท ราคาขายจะต้องเป็น 40 บาท เมื่อรัฐต้องการให้ขาย ที่ 25 บาท นั่นหมายความว่า รัฐต้องจ่ายให้ผู้ประกอบการ 15 บาท ท่านเห็นอะไรไหมครับ เป็นเรื่องตลกสิ้นดี ถ้าเราไม่รู้ต้นทุนราคาน้ำมัน ผู้ประกอบการได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ครั้งแรก กองทุนน้ำมันผู้ประกอบการก็ไม่ได้ควักกระเป๋า มาบวกเอากับผู้บริโภคเอาดื้อๆ เท่านั้นยังไม่พอเมื่อรับแจ้งควบคุมราคาน้ำมันก็มาเอาเงินของประชาชนกลับเข้ากระเป๋าของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย ทีนี้เรามาดูนะครับ น้ำปลา มาม่า เนื้อหมู เนื้อไก่ ผู้ประกอบการยังต้องแจ้งต้นทุน จะขึ้นราคายังต้องขออนุญาต ที่ผ่านมาผู้ประกอบการน้ำมันขึ้นราคาได้ตามอำเภอใจ โดยอ้างว่าต้นทุนมีราคาสูงแล้วเมื่อรัฐขอดูก็ไม่ให้ นี่คือเหตุผลที่ท่านพีรพันธุ์ ต้องออกกฎหมายให้แจ้งต้นทุนราคาน้ำมัน เพื่อใช้คำนวณและหาค่าเฉลี่ยนำไปสู่การควบคุมราคาน้ำมันให้ขึ้นลงได้เดือนละ 1 ครั้ง สิ่งนี้มีผลในทางธุรกิจสูงมากนะครับ เพราะต้นทุนราคาน้ำมันนั้น เป็นต้นทุนสำคัญของภาคการผลิต อย่างน้อยราคาน้ำมันปรับเดือนละครั้ง ผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ก็จะสามารถทราบต้นทุนการผลิตของตนเองในส่วนนี้ได้ ในขณะเดียวกันเมื่อรัฐแจ้งนโยบายราคาน้ำมัน รัฐก็จะรู้ต้นทุนที่แท้จริง ว่าจะต้องเอากองทุนอุดหนุนกลับไปให้กับผู้ค้าน้ำมันเป็นเงินเท่าไหร่ จึงจะเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย

ทีนี้มาดูต่อครับ ถ้าเราเก็บกองทุนน้ำมันเป็นน้ำมัน เวลารัฐจะอุดหนุน ก็จะอุดหนุนกลับไปเป็นน้ำมันใช่ไหมครับ ทีนี้ลองมาดูนะครับ ถ้ารับสั่งให้คงราคาน้ำมันที่ 25 บาท บริษัท A แจ้งว่า ต้นทุนเขาอยู่ที่ 20 + ค่าประกอบการตามที่รัฐให้อีก 10 บาท ราคาขายของเขา ก็จะเป็น 30 บาท รัฐต้องชดเชยให้เขา 5 บาทสมมุติเค้าขายไป 100 ลิตร รัฐต้องชดเชยเขา 500 บาท ราคาน้ำมันของเขา 30 บาท เขาจะได้น้ำมันกลับไปเท่าไร ก็เอา 500 หาร 30 บริษัท A ก็จะได้ นำมันกลับไป 16.667 ลิตร 

ที่นี้มาดู บริษัท B เจ้าเล่ห์หน่อย แจ้งต้นทุน 30+ ค่าประกอบการตามที่รัฐให้อีก 10 บาท ค้าขายของเขา ก็จะเป็น 40 บาท เมื่อรัฐสั่ง ให้ราคานโยบาย อยู่ที่ 25 บาท ถ้ารับเป็นเงินแบบเดิม และไม่มีการพิสูจน์ต้นทุนราคาน้ำมันเหมือนที่ผ่านมา บริษัท B ก็จะได้รับชดเชย 15 บาท ถ้าขายไป 100 ลิตร เขาจะได้รับชดเชยเป็นเงิน ถึง 1500 บาท แต่ถ้ากองทุนน้ำมันเป็นน้ำมัน ก็เอา 1500 หารด้วยราคาน้ำมัน 40 บาท ตามที่เขาแจ้ง เขาจะได้น้ำมันกลับไป 37.5 ลิตร 

เห็นหรือยังครับว่า การแจ้งต้นทุนราคาน้ำมัน สำคัญอย่างไร เพราะหาก บริษัท B แจ้งต้นทุนราคาน้ำมัน มาสูงกว่าราคากลางที่รัฐกำหนด บริษัท B จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ต้นทุนราคาน้ำมันของตัวเองนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร หากชี้แจงไม่ได้ก็ต้องใช้ราคากลางที่รัฐกำหนด ซึ่งถ้าผู้ประกอบการทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล

ท่านผู้เขียนบทความที่อ้างว่าเป็นคนในกระทรวงพลังงาน ยังพยายามที่จะใส่ร้ายท่านพีรพันธุ์ต่อไปอีกว่า ระบบ Cost Plus จะทำให้ประชาชนต้องมาแบกรับความเสี่ยง ผมว่าท่านน่ะเพ้อเจ้อ ท่านเขียนบทความนี้รู้สึกละอายบ้างไหมครับ วันนี้ประชาชนไม่ได้โง่นะครับ ทุกวันนี้น้ำมันที่ขายในประเทศถามจริงๆนะครับ เรือน้ำมันเข้ามาส่งที่ไหนครับ ที่แหลมฉบัง เกาะสีชังกับท่าเรือต่างๆในประเทศใช่ไหมครับ แล้วการไปอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ มีการเอาค่าขนส่งจากสิงคโปร์มาไทยบวกเข้าไปในต้นทุนราคาน้ำมัน ในฐานะที่ท่านเป็นข้าราชการกินเงินเดือนภาษีจากประชาชนท่านปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไรครับ ไม่ว่าจะเป็นการเอาเงินกองทุนน้ำมันไปบวกในโครงสร้างราคาน้ำมัน เอาค่าขนส่งไปบวกในโครงสร้างราคาน้ำมัน ทำไมท่านไม่ค้านเขาครับ แล้วไปห่วงเรื่องค่าการตลาดของเขาอีก ค่าการตลาดก็ไปบวกในโครงสร้างราคาน้ำมันอีก การตลาดของธุรกิจที่ไหนก็ตามก็ต้องเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการทั้งนั้นแหละครับ แล้วค่าการตลาดของบริษัทน้ำมัน มันมีอยู่จริงหรอครับ มันต้องโฆษณาต้องจัดอีเวนท์ ต้องสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ทำปั๊มน้ำมันหรอครับ ที่ผมสงสัยเนี่ยประชาชนหลายคนก็สงสัยท่านช่วยตอบผมด้วยนะครับ

และการที่ท่านพีรพันธุ์ มีแนวคิดให้ผู้ประกอบการเฉพาะด้านเฉพาะกลุ่ม สามารถรวมตัวกันจัดซื้อน้ำมันได้เอง ก็เพื่อลดภาระของประชาชน เช่นกลุ่มขนส่ง กลุ่มเกษตรกร กลุ่มประมง เมื่อเค้าซื้อน้ำมันได้ถูก ต้นทุนสินค้าจากกลุ่มพวกนี้ก็จะถูกลงไปด้วย เรื่องแบบนี้ท่านคิดไม่ออกจริง ๆ หรอครับ

ท่านรู้มั้ยครับ ว่าพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำงานหนักเพื่อประชาชนขนาดไหน ตีสองตีสามท่านยังส่งข้อความสั่งงานผมอยู่เลยครับ พอตอนเช้า ก่อน 8 โมงเช้าท่านถึงกระทรวงหรือทำเนียบแล้วครับ ท่านบอกผมว่าท่านต้องเร่งทำงานทุกวันเพราะไม่รู้ว่าจะอยู่ทำงานได้ถึงวันไหนท่านต้องการให้ทุก ๆ วันท่านได้ตอบแทนประชาชน ไม่ใช่คำพูดสวยหรูครับ พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่พรรคที่มีทุนหนา แต่อยู่ได้ด้วยศรัทธาและความรักจากประชาชน เราได้รับเงินอุดหนุนพรรคการเมืองจาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง ปี 2568 เป็นอันดับ 1 เป็นจำนวนถึง 17,934,107.84 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ส่วนหนึ่งมาจากการบริจาคให้พรรคการเมืองของประชาชน ดังนั้น ทุกสิ่งอย่างที่พีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำนั้น เป็นเพราะรู้สำนึกในบุญคุณของประชาชนและประเทศชาติ สำหรับท่านผู้เขียนบทความ ในฐานะคนในกระทรวงพลังงานแต่ลงท้ายบทความว่า “ในฐานะผู้ผลิต” ผมขอแนะนำให้ท่านลาออกจากราชการ และไปรับเงินเดือนจากบริษัทผู้ค้าน้ำมันน่าจะถูกต้องกว่า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top