Thursday, 12 June 2025
TheStatesTimes

รู้จัก ‘Global Minimum Tax’ แบบง่ายๆ

(9 ม.ค. 68) สำหรับใครที่ติดตามข่าวเศรษฐกิจการลงทุนในช่วงนี้ ก็คงจะเห็นข่าวเกี่ยวกับการเก็บภาษี Global Minimum Tax ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อต้นปีที่ผ่านมากันเต็มไปหมด ซึ่งหลังการประกาศใช้ก็ทำให้มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นหลายบริษัทที่ได้รับผลกระทบ แล้วใครคือคนที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์ในเรื่องนี้ และ Global Minimum Tax คืออะไร เราไปรู้จักกันค่ะ 

Global Minimum Tax (ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก) คือกฎที่กำหนดให้ บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต้องจ่ายภาษีในอัตราขั้นต่ำ 15% ของกำไร ไม่ว่าจะไปตั้งอยู่ที่ประเทศไหนก็ตาม โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกบริษัทจ่ายภาษีอย่างยุติธรรม และลดปัญหาการย้ายกำไรไปยังประเทศที่เก็บภาษีต่ำ (Tax Havens) เพื่อหลบเลี่ยงภาษี

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่ละประเทศทั่วโลกก็อยากดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศ มาตรการที่นิยมใช้ คือการให้สิทธิทาง ‘ภาษี’ ที่ดีที่สุด ยิ่งประเทศไหนได้ลดกระหน่ำภาษีได้มากสุดบริษัทต่างชาติก็จะพิจารณาลงทุนในประเทศนั้นๆ เพราะบริษัทข้ามชาติส่วนใหญ่ ต่างมีการวางแผน และใช้สารพัดวิธีในการลดภาระภาษีของตนเอง ให้ได้มากที่สุด เพราะเมื่อมีภาระทางภาษีที่ลดลง ก็สามารถตั้งราคาสินค้าและบริการ ที่ต่ำกว่าได้ บริษัทเล็กๆก็แข่งขันยาก เพราะต้นทุนสู้ไม่ได้

ไทยเราก่อนจะประกาศใช้กฏหมายนี้ ก็มีการจัดเก็บอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่อัตรา 20% อยู่แล้ว และยังมีการสนับสนุนในส่วนนี้เพิ่มเติมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทำให้หลายบริษัทได้รับการลดหย่อนมากขึ้นและจ่ายจริงๆ ไม่ถึง 15% 

ดังนั้นวัตถุประสงค์หลักของ Global Minimum Tax (ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก)
 1. ป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี: ลดการย้ายกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ (Tax Havens)
 2. สร้างความเป็นธรรมทางภาษี: ให้ทุกบริษัทจ่ายภาษีในอัตราที่ใกล้เคียงกัน
 3. เพิ่มรายได้ให้รัฐบาลทั่วโลก: สร้างรายได้จากภาษีที่สูญเสียไปจากการหลีกเลี่ยงภาษี
แล้วคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ก็คงหนีไม่พ้น
 • บริษัทข้ามชาติที่มีรายได้เกิน 750 ล้านยูโรต่อปี
 • ประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ (Tax Havens)

ส่วนประโยชน์ของ Global Minimum Tax ก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
✅ ลดการแข่งขันทางภาษีระหว่างประเทศ
✅ เพิ่มความโปร่งใสในการเสียภาษี
✅ รัฐบาลมีรายได้มากขึ้นเพื่อนำไปใช้ในโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการสังคม

และในด้านความท้าทายและอุปสรรคที่จะพบก็จะประกอบไปด้วย 
❌ ความซับซ้อนในการบังคับใช้
❌ การต่อต้านจากบางประเทศที่ใช้ภาษีต่ำดึงดูดการลงทุน
❌ ความเสี่ยงในการเพิ่มภาระให้กับบริษัท

โดยสรุปก็คือ Global Minimum Tax เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมทางภาษีระดับโลก โดยมุ่งหวังลดการหลีกเลี่ยงภาษี และเพิ่มรายได้ให้กับประเทศต่าง ๆ แม้จะยังมีความท้าทายในการบังคับใช้อยู่ค่ะ 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน 5 ภัยออนไลน์ วายร้ายทำลายเด็ก ที่ผู้ปกครองต้องตรวจสอบก่อนจะสายเกินไป 

(9 ม.ค. 68) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ประกอบกับวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2568 ที่จะถึงนี้ เป็นวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ซึ่งเป็นวันเด็กแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอเตือนภัยพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอยู่ในความดูแล ให้หมั่นตรวจสอบ และระมัดระวังบุตรหลานของท่าน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของภัยออนไลน์ที่มีเป้าหมายหลักเป็นเด็กและเยาวชน ดังต่อไปนี้

1. การล่อลวงออนไลน์ - คนร้ายสร้างความไว้วางใจกับเด็ก ผ่านเกมหรือสื่อสังคมออนไลน์ แล้วพยายามนัดพบตัวจริง เพื่อล่วงละเมิดทางเพศ

2. การหลอกถ่ายคลิปลามก - คนร้ายหลอกล่อเด็กให้ถ่ายภาพหรือคลิปลามกส่งให้กับคนร้าย จากนั้นนำภาพหรือคลิปลามกไปขาย หรือนำมาแบล็กเมล์ เรียกเอาเงินจากผู้ปกครอง

3. การกลั่นแกล้งทางออนไลน์ - การที่เด็กถูกกลั่นแกล้งในสื่อสังคมออนไลน์ จากการโพสต์ข้อความหรือรูปภาพที่ทำให้เสียหาย

4. การหลอกลวงซื้อขายสินค้า - คนร้ายหลอกลวงให้เด็กโอนเงินซื้อสินค้า ผ่านเกมหรือสื่อสังคมออนไลน์ แล้วไม่ส่งของให้

5. การเข้าถึงเนื้อหาไม่เหมาะสม - การที่เด็กเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น ความรุนแรง ภาพลามก การพนันออนไลน์ ซึ่งมักจะเกิดจากการคลิกโฆษณา หรือการค้นหาโดยไม่ตั้งใจ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอให้พ่อแม่และผู้ปกครอง ติดตามพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของบุตรหลานของท่านอยู่เสมอ และเปิดใช้งานเครื่องมือในการกรองเนื้อหาสำหรับเด็กในแอปพลิเคชันหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัย รวมไปถึงการให้ความรู้กับเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อให้รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อ

หากบุตรหลานของท่านตกเป็นเหยื่อ หรือได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือ สายด่วน 1441 ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง

‘ซิกเว่ เบรกเก้’ คัมแบคธุรกิจโทรคมนาคมไทย นั่งแท่น ปธ.บอร์ด กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือซีพี

ซีพี ตั้ง ‘ซิกเว่ เบรกเก้’ นักธุรกิจระดับโลกจากนอร์เวย์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง 'ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือเจริญโภคภัณฑ์'

(9 ม.ค. 2568) นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์  เปิดเผยว่า การเข้ามาของ นายซิกเว่ เบรกเก้ ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือเจริญโภคภัณฑ์ ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับเครือซีพี  ซึ่งมั่นใจว่าด้วยวิสัยทัศน์และประสบการณ์ของนายซิกเว่ จะสามารถนำพาเครือซีพีก้าวสู่การเป็น Technology Company ชั้นนำระดับโลก ที่พร้อมเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ สังคม และประเทศชาติในทุกมิติ ทั้งนี้ บทบาทและความรับผิดชอบของนายซิกเว่ในตำแหน่งสำคัญนี้ จะครอบคลุมถึงการดูแลรับผิดชอบธุรกิจที่เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปลงทุน เช่น ธุรกิจเทคโนโลยีโทรคมนาคม ธุรกิจดิจิทัล และธุรกิจด้านการเงินดิจิทัล เป็นต้น

“ซีพีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า คุณซิกเว่ เบรกเก้ จะเข้ามาเป็นผู้นำคนสำคัญของเรา โดยดูแลรับผิดชอบด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล ผมรู้จักคุณซิกเว่มาหลายปีแล้ว มั่นใจว่าคุณซิกเว่มีประสบการณ์ระดับโลกในด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล” ซีอีโอ เครือซีพี กล่าว

ทั้งนี้ เครือซีพีมีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่กว้างขวางในวงการเทคโนโลยีดิจิทัล และการสื่อสารระดับโลกของนายซิกเว่ รวมถึงการเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำที่มีความสามารถในการขับเคลื่อนองค์กรใหญ่ด้วยนวัตกรรมและกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นอนาคต โดยตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมานายซิกเว่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง การบริหารโครงการระดับโลก และการสร้างพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนส่งเสริมความก้าวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลในหลายประเทศ

ด้าน นายซิกเว่ เบรกเก้ กล่าวว่า “เครือซีพีได้สร้างชื่อเสียงในฐานะผู้นำระดับภูมิภาคด้านการเชื่อมต่อ โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรมดิจิทัล และบริการทางการเงินมายาวนานกว่า 20 ปี ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่คุณศุภชัยเชิญให้มาร่วมพัฒนาธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัลในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ AI มีบทบาทสำคัญต่อผู้บริโภค องค์กร และสังคม ผมตั้งตารอที่จะได้กลับมาทำงานในประเทศไทยและร่วมเดินหน้ากับทีมงานของเครือซีพี”

นอกจากนี้ นายซิกเว่ ได้กล่าวย้ำต่อไปว่า “เครือซีพี ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ผมเชื่อว่าด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ ผนวกกับศักยภาพของบุคลากรในเครือซีพี เราจะสามารถผลักดันประเทศไทยให้เป็น ศูนย์กลางดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคได้อย่างแน่นอน”

อนึ่ง นายซิกเว่ เบรกเก้ เคยดำรงตำแหน่งประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทเลนอร์กรุ๊ปเป็นเวลา 9 ปี จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2024 ก่อนหน้านี้ เขาเคยดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารและหัวหน้าภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดีแทคในประเทศไทย และเคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัทต่าง ๆ หลายแห่งในกลุ่มเทเลนอร์ ทั้งยังเคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการของ GSMA ตั้งแต่ปี 2017 ถึงปี 2024 การเข้ามาของนายซิกเว่ในเครือซีพีถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์ของเครือซีพีในการลงทุนด้านโทรคมนาคม และการสร้างระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) ที่ครบวงจร ครอบคลุมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมนวัตกรรม และการยกระดับทักษะดิจิทัลของคนไทย ที่พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่อนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ร่วมกิจกรรม 'รักษ์ทะเลไทย' ตามแนวพระดำริ 

เมื่อวันที่ (7 ม.ค.68) เวลา 08.00 น. มูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา จัดกิจกรรม 'รักษ์ทะเลไทย ตามแนวพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา'  เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ 38 พรรษา ณ หาดเตยงาม หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมี พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธี 

ในการนี้ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ให้การสนับสนุนรถยนต์พยาบาล จำนวน 1 คัน พร้อมแพทย์ พยาบาล ยา และเวชภัณฑ์ รวมถึงสนับสนุนออกหน่วยรับบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติฯ 

ทั้งนี้ น.อ.พัลลภ สุภากรณ์ รอง ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พร้อมด้วย น.อ.หญิง สุชวี แสงรัตนกุล หน.กลุ่มงานเทคนิคการแพทย์ ให้การต้อนรับ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมหน่วยรับบริจาคโลหิต ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย

นักวิชาการชี้แผนยึดกรีนแลนด์-คลองปานามา โอกาสทองจีนได้แต้มต่อครองใจนานาชาติ

(9 ม.ค. 68) ว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ดูเหมือนต้องการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ด้วยการออกมาเผยความต้องกรของตนในการควบคุมกรีนแลนด์ ปานามา และแคนาดา ซึ่งถือเป็นแนวคิดการปรับแผนที่ของซีกโลกตะวันตกแบบใหม่อย่างแท้จริง

ชอว์น นาริน ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซนต์โธมัสในแคนาดากล่าวกับ Sputnik  

"กรณีของกรีนแลนด์กลาวว่า กรีนแลนด์เป็นความหลงใหลที่แปลกประหลาดของเขาในอดีต ผมคิดว่าสำหรับเขา กรีนแลนด์เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติล้วน ๆ" นารินอธิบาย โดยชี้ว่าความหมกมุ่นนี้อาจเกี่ยวข้องกับการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนในเรื่องแร่หายากและเส้นทางลอจิสติกส์ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ 

นารินชี้ว่า แม้สหรัฐจะครอบครองกรีนแลนด์ได้จริง เพื่อหวังควบคุมห่วงโซอุปทาน แต่ก็ไม่สามารถแซงหน้าจีนในด้านนี้ได้ ในฐานะที่จีนเป็นชาติที่ควบคุมห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการแปรรูปทั้งหมด โดยเฉพาะในด้านทรัพยากรธรรมชาติที่ทรัมป์หวังได้จากกรีนแลนด์
 
ขณะที่คลองปานามา ทรัมป์เคยอ้างเหตุผลในการทวงคืนคลองปานามา โดยว่าพื้นที่แห่งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของจีน ทำให้เก็บค่าผ่านทางอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งชอว์น นาริน กล่าวว่า "ไร้สาระสิ้นดี" นารินตอบโต้ "มันไม่มีความแตกต่างอะไรเลยต่อสหรัฐฯ ว่าจะควบคุมคลองนี้หรือไม่ ไม่มีใครพยายามขัดขวางการเดินเรือของอเมริกาผ่านคลองนี้"  

ขณะที่ประเด็นแคนาดาจากการที่ทรัมป์ต้องการให้แคนาดา กลายเป็นมลรัฐที่ 51 ของสหรัฐ พร้อมกับการขู่เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม ได้สร้างความกังวลให้ชาวแคนาดา นารินกล่าวว่าคำพูดดังกล่าวเป็นเรื่อง "ไร้สาระ" และเปรียบเสมือนการขู่กรรโชก  

"คุณไม่ต้องการให้คนที่ไม่มีเสถียรภาพและคาดเดาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ เพราะมันสร้างความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองในความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นผู้ใหญ่" เขาเน้นย้ำ  

ในขณะที่ทรัมป์มองว่าจีนเป็นคู่แข่งสำคัญระดับโลกของสหรัฐฯ และพยายามโดดเดี่ยวจีน นารินชี้ว่า กลยุทธ์ในการเปลี่ยนแผนที่โลกเหล่านี้อาจผลักดันให้ประเทศอื่น ๆ เข้าใกล้ปักกิ่งมากขึ้น  

"จีนมีความน่าเชื่อถือและคาดการณ์ได้มากกว่าทรัมป์" เขากล่าว "นโยบายของปักกิ่งตรงไปตรงมา จีนละเมิดกฎหมายนานาชาติน้อยกว่าสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงการแทรกแซง และใช้วิธีการทางเศรษฐกิจในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ พร้อมเน้นย้ำถึงผลประโยชน์ร่วมกันเสมอ"  

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เปิดผลงาน ‘ดีอี’ ลุยปราบโจรออนไลน์ เดินหน้าปิดกั้นโซเชียลมีเดีย-เพจ-เว็บไซต์ผิดกฎหมาย ‘ไตรมาสแรก’68’ แล้วกว่า 52,691 รายการ เพิ่มมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบเท่าตัว 

(9 ม.ค. 68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ได้เร่งรัดการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ URLs ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ เพื่อเป็นการตัดวงจรช่องทางการก่ออาชญากรรมที่สำคัญของขบวนการมิจฉาชีพ ทั้งนี้ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 ตั้งแต่เดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567 (ระยะเวลา 3 เดือน) กระทรวงดีอี ได้ดำเนินการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ URLs ผิดกฎหมายแล้ว 52,691 รายการ หรือเฉลี่ย 17,564 รายการต่อเดือน เพิ่มขึ้น 0.69 เท่าตัว จากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม – ธันวาคม 2566) ที่ปิดกั้น 31,154 รายการ หรือ เฉลี่ย 10,385 รายการต่อเดือน

สำหรับประเภทของการปิดกั้นในระยะเวลา 3 เดือน ( ตุลาคม – ธันวาคม 2567) มีดังนี้ พนันออนไลน์ จำนวน 14,010 รายการ เพิ่มขึ้น 0.163 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันก่อนหน้านี้ (ตุลาคม – ธันวาคม 2566) ที่มีจำนวน 12,045 รายการ , บิดเบือน/หลอกลวงออนไลน์ จำนวน 22,826 รายการ เพิ่มขึ้น 1.287 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันก่อนหน้านี้ (ตุลาคม – ธันวาคม 2566) ที่มีจำนวน 17,750 รายการ , อื่นๆ จำนวน 15,855 รายการ เพิ่มขึ้น 10.66 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันก่อนหน้านี้ (ตุลาคม – ธันวาคม 2566) ที่มีจำนวน 1,359 รายการ

“จากการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทำให้สถิติการปิดกั้นมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวของปีงบประมาณก่อนหน้า พร้อมกันนี้กระทรวงดีอี ยังได้ติดตามตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินการตามกฎหมายในการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ภายหลังจากที่แจ้งคำสั่งศาลไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และแพลตฟอร์มทราบแล้วด้วย เพื่อให้การปิดกั้นเว็บไซต์เป็นไปตามคำสั่งศาล โดยหากกรณีที่ยังพบเว็บไซต์บางรายการที่ยังไม่ปิดกั้น / ระงับการเผยแพร่ ถือเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล มีความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งหากพบการฝ่าฝืนดังกล่าว กระทรวงฯ จะนำผลการตรวจสอบการไม่ระงับ / ไม่ปิดกั้นเว็บไซต์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต แพลตฟอร์มด้วยระบบการจัดเก็บทางคอมพิวเตอร์ ไปทำการปรับพินัยฐานไม่ปิด ‘เว็บผิดกฎหมาย’ ต่อไป” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขยายพื้นที่ บรรเทาทุกข์ มอบไออุ่น แก่ผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดารพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี และชัยนาท รวมมูลค่ากว่า 8 แสนบาท

(9 ม.ค. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายชุมพล บุญภักดี ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีมสาธารณภัยลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มกันหนาว พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มกันหนาว พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค  ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา ให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ ตำบลวังยาว และตำบลองค์พระ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี รวมผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค รวม 750 ชุด รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น  412,500  บาท (สี่แสนหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยมี นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วย ผู้แทนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดสุพรรณบุรี และ มูลนิธิร่วมบุญสุพรรณบุรี เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ บริเวณวัดวังยาว ตำบลวังยาว และบริเวณโรงเรียนบ้านทุ่งมะกอก ตำบลองค์พระ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี

และในวันพรุ่งนี้ (วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิฯ กำหนดลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค รวม 750 ชุด ให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ตำบลวังตะเคียน อำเภอหนองมะโมง จังหวัดชัยนาท เป็นการต่อไป รวมงบประมาณการบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี และชัยนาท รวม 2 จังหวัดทั้งสิ้น 811,076 บาท (แปดแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันเจ็ดสิบหกบาทถ้วน) 

โครงการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยหนาว เป็นโครงการที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งดำเนินการต่อเนื่องมาไม่ต่ำกว่า 60 ปี โดยเมื่อปลายปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้กำหนดลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบ “ภัยหนาว” ในถิ่นทุรกันดาร ครอบคลุมพื้นที่ ภาคเหนือ  ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้  ครอบคลุม  4 ภาค  43 จังหวัด ผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภครวม 51,500 ชุด รวมมูลค่ากว่า 34.6 ล้านบาท ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินและเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านต่าง ๆ ต่อไป

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้ขยายโตรงการบรรเทาทุกข์ในอีกหลาย ๆ ด้าน เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418

‘เอกนัฏ’ คิกออฟ! ขนกากพิษ ‘วิน โพรเสส’ ล็อตแรก ตั้งเป้าปิดฉากมหากาพย์กากพิษระยอง ภายใน เม.ย. 68

คิกออฟ!! วิน โพรเสส ‘เอกนัฏ’ ลงพื้นที่สั่งเคลียร์กากพิษล็อตแรกกว่า 7 พันตัน เร่งปิดฉากมหากาพย์อนุสรณ์สถานกากพิษระยอง

(9 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมกำชับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) คุมเข้มการขนย้ายตะกรันอะลูมิเนียมหรืออะลูมิเนียมดรอสล็อตแรกทั้ง 7,000 ตัน ในทุกขั้นตอน โดยเริ่มขนย้ายออกจากบริษัทฯ แล้วเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 เพื่อนำไปบำบัดกำจัดอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการที่บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งจากการประเมินของกรมโรงงานฯ พบว่า ในพื้นที่มีกากของเสียตกค้างรวมประมาณ 33,800 ตัน ประกอบด้วย 

1) ของเสียเคมีวัตถุและเศษซากของเสียที่ถูกไฟไหม้ 12,600 ตัน 2) กากตะกอนของเสียตกค้างในอาคารและรางระบายน้ำ 4,600 ตัน 3) กากตะกอนผิวดินที่เกิดการปนเปื้อนจากเหตุไฟไหม้ 5,900 ตัน และ 4) น้ำเสียเคมีวัตถุ 10,700 ตัน ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการบำบัดกำจัดสูง ไม่สามารถดำเนินการในคราวเดียว ประกอบกับจากการสำรวจพื้นที่พบว่ามีอะลูมิเนียมดรอสประมาณ 7,000 ตัน ซึ่งเป็นกากของเสียที่สร้างปัญหาเรื่องกลิ่นรบกวนชาวบ้านในพื้นที่มากที่สุด กระทรวงอุตสาหกรรมจึงแถลงต่อศาลจังหวัดระยองขอเบิกเงินที่บริษัท วิน โพรเสส จำกัด วางไว้ต่อศาลจำนวน 4.9 ล้านบาท มาใช้ในการบำบัดกำจัด อะลูมิเนียมดรอสก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ โดยมีกำหนดการแล้วเสร็จภายในวันที่ 26 เมษายน 2568 นี้

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการประเมินตัวเลขค่าใช้จ่ายในการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอส รวมค่าขนส่งจะอยู่ที่ประมาณตันละ 10,000 บาท ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสทั้งหมด 7,000 ตัน สูงถึง 70 ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ผนึกกำลังร่วมกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ผ่านการดำเนินกิจกรรม 'อุตสาหกรรมรวมใจ' ทำการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสไปบำบัดกำจัดโดยใช้เป็นวัตถุดิบผสมร่วมกับดินอลูมินาในกระบวนการเผา เพื่อผลิตปูนซีเมนต์ซึ่งใช้อุณหภูมิสูงกว่า 1,400 องศาเซลเซียส ประกอบกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มีระบบบริหารจัดการและระบบบำบัดมลพิษประสิทธิภาพสูง ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสได้ทั้งหมดอย่างปลอดภัย ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบโรงงาน ด้วยงบประมาณเพียง 4 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ได้แล้ว ยังสามารถลดการใช้งบประมาณของภาครัฐลงได้กว่า 66 ล้านบาท

ด้าน นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การขนย้ายจะคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ โดยการยกถุงบิ๊กแบ็กที่บรรจุอลูมิเนียมดรอส บรรทุกโดยรถโรลออฟพ่วงที่ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตให้ขนส่งวัตถุอันตราย บรรทุกจำนวน 17 ถุงต่อคัน จำนวน 4-5 คันต่อวัน รวมจะทำการขนย้ายปริมาณ 115 ตันต่อวัน ซึ่งจะใช้เวลาในการขนย้ายและทำการบำบัดกำจัดอลูมิเนียมดรอสทั้งสิ้นประมาณ 60 วัน โดยรถโรลออฟพ่วงทุกคันมีการใช้ระบบติดตามจีพีเอส และมีระบบติดตามและตรวจสอบการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสเฉพาะกิจ ปิดคลุมรถด้วยแผ่นพลาสติกรัดตรึงด้วยเชือกทุกด้าน เพื่อป้องกันการหกรั่วไหลและป้องกันน้ำอย่างมิดชิด จึงสามารถมั่นใจได้ว่าการขนย้ายและการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสทั้งหมดจะดำเนินการเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด

“ผมได้สั่งการและกำชับให้ กรอ. เร่งทำการบำบัดกำจัดกากของเสียที่เหลือให้เร็วที่สุด โดยในระยะต่อไป จะทำการบำบัดของเสียเคมีวัตถุและเศษซากของเสียที่ถูกไฟไหม้ โดยเฉพาะสารเคมีที่บรรจุอยู่ในถัง IBC และถุงบิ๊กแบ็กที่อยู่นอกอาคารปริมาณ 2,600 ตัน รวมถึงวัตถุอันตรายในบ่อซีเมนต์อีกกว่า 1,400 ตัน และกากของเสียที่เหลืออื่น ๆ ทั้งหมดด้วย นอกจากนี้ กระทรวงฯ จะเสนอร่างพระราชบัญญัติกากอุตสาหกรรม พ.ศ. ... ที่ได้ยกร่างแล้วเสร็จต่อรัฐสภา ซึ่งผมเชื่อมั่นว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะอุดรอยรั่วและยกระดับมาตรการทางกฎหมายที่ครอบคลุมการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบอย่างเข้มงวด รัดกุม ป้องกันการกระทำผิดแบบครบวงจร และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยให้เกิดความสมดุลต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายเอกนัฏฯ กล่าวทิ้งท้าย

สนง.เลขาธิการวุฒิสภา ลงนาม MOU ร่วมกับสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม มุ่งส่งเสริมการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการนิติบัญญัติ

เมื่อวานนี้ (8 ม.ค.68) เวลา 09.30 นาฬิกา ณ ห้องประชุมหมายเลข 402-403 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการนำผลงานทางวิชาการและผลงานการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการนิติบัญญัติ ระหว่างสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา โดยนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา กับสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม โดยพันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ลงนามในฐานะหัวหน้าส่วนราชการ และมีนายพีระพจน์ รัตนมาลี รองเลขาธิการวุฒิสภา พร้อมด้วยพันตำรวจโท มนตรี บุณยโยธิน รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ลงนามเป็นพยาน โดยมี นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ในฐานะประธานกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา นายสุทนต์ กล้าการขาย สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และผู้บริหารของสำนักงานกิจการยุติธรรม เข้าร่วมในพิธี

ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า วุฒิสภาเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติที่มุ่งปฏิบัติหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน มีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมาย การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การให้คำแนะนำหรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย การที่วุฒิสภาจะได้รับการสนับสนุนผลงานวิชาการ งานวิจัย นวัตกรรม และองค์ความรู้ในรูปแบบอื่น ๆ จากสำนักงานกิจการยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานชั้นนำที่มีผลงานทางวิชาการและงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานในกระบวนการนิติบัญญัติของวุฒิสภา อีกทั้ง ยังเป็นการสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการเพื่อให้ภารกิจด้านต่าง ๆ ของสมาชิกวุฒิสภา และคณะกรรมาธิการเป็นไปด้วยความละเอียด รอบคอบ และอยู่บนพื้นฐานของหลักคิดทางวิชาการมากขึ้น

โอกาสนี้ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา และนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ในฐานะประธานกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา ได้เยี่ยมชมนิทรรศการการดำเนินงานของสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม เช่น นิทรรศการการให้ความรู้กฎหมายต่าง ๆ การดำเนินงานศูนย์ปฏิบัติการฐานข้อมูลการบริหารงานยุติธรรม ฐานข้อมูลงานวิจัยในกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น

ผุดไทยทาวน์ที่จางเจียเจี้ย สอนมวยไทย-ศูนย์วัฒนธรรม-ตลาดน้ำ 4 ภาค

(9 ม.ค. 68) สำนักงานส่งเสริมการลงทุนของเมืองจางเจียเจี้ย เขตหวู่เหลิงหยวน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีการจัดประชุมร่วมกับ นายศุภดล โฉมมงคล ประธานบริษัท พัทยาชาแนล จำกัด นายศักดา เจริญบุญมา ประธานบริษัท เจ บี เอ็ม เอ จำกัด และนางนุชนารถ เจริญบุญมา

เพื่อร่วมหารือในข้อตกลงการทำสัญญาสิทธิในการใช้พื้นที่ของเมืองจางเจียเจี้ย ขนาด 800,000 ตารางเมตร เพื่อทำโครงการไทยทาวน์ งบประมาณลงทุน จำนวน 21,000 ล้านบาท ที่เมืองจางเจียเจี้ย เขตหวู่เหลิงหยวน สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเร็วๆนี้

โดยนางได๋ เซียวเฝิน ผอ.ส่งเสริมการลงทุนและรองเลขาธิการสภาประชาชนเมืองจางเจียเจี้ย กล่าวในที่ประชุมว่า ยินดีต้อนรับคณะจากบริษัทพัทยา ชาแนล จำกัด และบริษัท เจ บี เอ็ม เอ ดิวิล็อปเมนท์ (ประเทศไทย)จำกัด ซึ่งมีนายศุภดล และนายศักดา พร้อมคณะ มาประชุมหารือเพื่อร่างเงื่อนไขสัญญาในการลงทุนทำโครงการไทยทาวน์ ณ เมืองจางเจียเจี้ย ซึ่งเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยเดือนละประมาณ 7,000,000 คน

มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีการพัฒนาพื้นที่ของเมืองจางเจียเจี้ยไทยทาวน์ขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องด้วยจีนและไทยมีความสัมพันธ์และมิตรกันมายาวนาน

ด้านนายศุภดล กล่าวอธิบายโครงสร้างของโครงการเมืองจางเจียเจี้ยไทยทาวน์ว่า จะมี สวนสัตว์ และสวนสนุก, เวทีแข่งขันกีฬามวยไทยมาตรฐาน, โรงเรียนสอนศิลปะมวยไทย, ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมมวยไทย, ตลาดน้ำ 4 ภาค, สวนอาหารไทย, บูธสินค้าไทย 500 บูธ และลานแสดงคอนเสิร์ต

นายศักดา กล่าวว่า สืบเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ โดยหลัก 5 F ทางบริษัท เจ บี เอ็ม เอ ดำเนินกิจการด้านกีฬามวยไทยร่วมกับศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก มวยไทยลุมพินี สังกัดกองทัพบก ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกีฬามวยไทย จึงคิดว่าจะใช้ศิลปวัฒนธรรมมวยไทยเป็นสื่อนำ ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กับเมืองจางเจียเจี้ยได้มากขึ้น

อีกทั้งเป็นการเผยแพร่กีฬามวยไทยให้แพร่หลายมากขึ้นในประเทศจีน ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมมือจากรัฐบาลเมืองจางเจียเจี้ยเพื่อให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top