Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

‘พีระพันธุ์’ เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงต้องใช้ออกซิเจน จ.เชียงใหม่ หลังบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ‘ห้ามตัดไฟเด็ดขาด’

เมื่อวันที่ (28 พ.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ใช้โอกาสก่อนการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2567  (ครม.สัญจร) ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2567 ลงพื้นที่ไปเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องใช้ไฟฟ้าในการให้ออกซิเจนตลอด 24 ชั่วโมง ที่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ พร้อมมอบอุปกรณ์และสิ่งของจำเป็นสำหรับผู้ป่วย 

โดยก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์ ได้ผลักดันให้เกิดบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อให้ผู้ใช้พลังงานที่มีผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลได้รับการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าในทุกกรณี

'พล.อ.ณัฐพล' ประสานตั้งศูนย์ช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมเร่งดูแลผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วน

เมื่อวันที่ (28 พ.ย.67) พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัย และร่วมประชุมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ห้องประชุม 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 

ในที่ประชุมฯ พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้นำความห่วงใยจากนายกรัฐมนตรีมายังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบอุทกภัย โดยสั่งการให้มาติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจากการประเมิน และติดตามการบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้ง 4 จังหวัด ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา ที่ผ่านมานั้น ควรมีศูนย์ประสานงานในพื้นที่ เนื่องจากที่ผ่านมาดำเนินการภายใต้ศูนย์การบริหารปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. ส่วนกลาง และเพื่อให้การบริหารจัดการที่มีประสิทธิผลมากขึ้น ได้รับมอบหมายให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นศูนย์ประสานงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นหน่วยงานแกนกลางที่บูรณาการทั้งหมดในการช่วยเหลือ และมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 4 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นศูนย์กลางการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆเพื่อสนับสนุนศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้

"ได้รับคำสั่งให้ ศอ.บต.เป็นศูนย์บูรณาการการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่  จชต. เพื่ออำนวยการในภาพรวมหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพและให้ ทภ.4/กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นศูนย์บูรณาการทรัพยากรของ กห. และ กอ.รมน. รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย ในการให้การสนับสนุนกำลังพล ยานพาหนะและเครื่องมือ ตามที่ ศอ.บต. ร้องขอ…" พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ กล่าว

มหกรรมมูเดิร์น รวบรวมสินค้าและกิจกรรมสายมู สไตล์โมเดิร์นไว้ในงานเดียว

วันนี้ ถึง วันอาทิตย์นี้ พบ อีเวนท์สำหรับคนชอบมู รวบรวมสินค้าสายมู กิจกรรมเวิร์คช็อปต่าง ๆ กลุ่มอาร์ตทอยสายมู อีกทั้งยังมีการจัดโซนสำหรับดูดวง และที่พิเศษสุด ๆ ผู้ที่เข้าร่วมงานสามารถมากราบไหว้องค์เทพภายในงานได้เลย เตรียมตัวให้พร้อมแล้วมาเจอกัน กับ 5 โซนวันเดอร์ของเรา!🔮

Wonder Goods zone🛒✨
G1 Blessyou Jewelry
G2 MANTRA
G3 MUU
G4 BRAIN SCULPTURE
G5 qlay station
G6 PHYAJEWELRY พญาจิวเวอรี่
G7 The Mu Collection
G8 STRAY CAT TAROT
G9 อาจารย์ป็อปวิเคราะห์เบอร์
G10 กำยานธูปหอม GAJANAN
G11 Chebbear
G12 Rainbow Jewelry
G13 NORTHxAMULET
G14 Wara_stone
G15 ASTRELLA ENERGYHOUSE
G16 VALLEJO
T1 Phraphai Aroma - พระพายอโรม่า
T2 Mudernized
T3 มงคลพัฒน์ ดวงและฮวงจุ้ย
T4 Poly Holy
T5 ธยาน - Dhyana Studio
T6 VINAYAKA BANGKOK
T7 Cute Amulet
T8 FOREVERNNNS
T9 Ceremi studios
T10 Pixel craft art toy x Daliah.indilah
T11 BUU SHA
T12 MUNKKY STUDIO
T13 Punsanook64
T14 Kuma Monster Studio
T15 PUJA GANEJA

Wonder Workshop zone🖌️🖼️
W1 Sstar.Wish x Airy Aura
W2 HORO NEXT GEN
W3 ดวงจีน & ฮวงจุ้ยด้วยตัวเอง
W4 Sun.daisy Flower

Wonder Fortune Tellers zone🔮
F1 เรื่องของดวง by Maemortik
F1 mimi.mooo
F2 วอวาฬกางไพ่
F3 Kevin The Oracle
F3 Tine Tarot 
F4 ดูดวงกับพี่เหนือ
F5 Maimongni
F6 ธิดาทาโรต์
F7 Friendscope

Wonder Exhibition zone🧚‍♀️
สำหรับสักการะองค์เทพ ได้แก่ พระพิฆเนศ ท้าวเวสสุวรรณ และองค์พญานาค

‘อดีตดาราซีรีส์เน็ตฟลิกซ์’ ถูกจับคาสนามบินอังกฤษ หลังลักลอบขนกัญชาเกือบ 40 กก. จากภูเก็ต

(29 พ.ย. 67) อดีตดาราซีรีส์เรียลิตีเน็ตฟลิกซ์ ถูกจับได้ขณะพยายามลักลอบขนยาเสพติดมูลค่า 150,000 ปอนด์ (ราว 6.5 ล้านบาท) ด้วยเที่ยวบินจากไทย เข้าสู่สหราชอาณาจักร

โอลกา เบดนารสกา (Olga Bednarska) วัย 27 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ สนามบินแมนเชสเตอร์ เรียกตรวจ และจากการตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ 2 ใบ พบว่ามีกัญชาซุกซ่อนอยู่ภายใน 40 กิโลกรัม

อินฟลูเอนเซอร์สาว ซึ่งเคยปรากฏตัวในเรียลิตีโชว์ทางเน็ตฟลิกซ์ 'Too Hot to Handle' อ้างว่าเธอรับกระเป๋าทั้ง 2 ใบ มาจากเพื่อนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า 'เท็กซ์'

เบดนารสกา อ้างว่า เท็กซ์ จ้างเธอให้ขึ้นเครื่องบินจากภูเก็ตในเที่ยวบินดังกล่าว โดยเพื่อนรายนี้วานให้เธอช่วยนำกระเป๋าเสื้อผ้าและนาฬิกากลับไปอังกฤษ

สุดท้ายแล้ว เธอถูกจับกุมและต่อมายอมรับสารภาพ ในความผิดเกี่ยวกับการตบตาหลบหลีกข้อห้ามนำเข้ายาเสพติดประเภท บี

ทั้งนี้ เบดนารสกา อยู่ภายใต้การควบคุมตัวมาตั้งแต่ถูกจับกุมเมื่อเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม เธอถึงกับร่ำไห้ระหว่างการพิจารณาคดี เมื่อรอดพ้นจากโทษจำคุก เนื่องจากศาลให้รอลงอาญาไว้ก่อน

ผู้พิพากษา จอห์น พอตเตอร์ บอกว่าอดีตสตาร์เรียลิตีโชว์รายนี้ พาตัวเองตกเป็นหนี้ 16,000 ปอนด์ เนื่องจากพยายามมีไลฟ์สไตล์ที่หรูหรา แต่ด้วยวิถีชีวิตที่เลยเถิดเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นเธอจึงเลือกหนทางแห่งการก่ออาชญากรรมในการปลดหนี้

เธอ ตอบตกลงบินไปประเทศไทย ในทริปที่มีคนออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด สำหรับไปขนสินค้าออกนอกประเทศ แลกกับเงิน 18,000 ปอนด์

ในวันที่ 10 ตุลาคม เธอได้พบกับคนรู้จักรายหนึ่งชื่อ 'เท็กซ์' ก่อนเช็กอินเข้าพักในโรงแรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จากนั้นบุคคลรายดังกล่าวก็มอบเงินให้ เบดนารสกา ไปใช้จ่าย ซึ่งเธอก็นำไปซื้อกระเป๋าสัมภาระ 2 ใบ เพื่อลักลอบขนสินค้า

เบดนารสกา ถูกขอให้อำพรางสินค้าดังกล่าว ที่เธอเชื่อว่าเป็นเพียงเสื้อผ้าและนาฬิกา และไม่มีความตั้งใจเกี่ยวข้องกับมันมากกว่านั้น

ต่อมาครั้งที่บินกลับอังกฤษเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม เบดนารสกา ถูกเรียกตรวจโดยพวกเจ้าหน้าที่ศุลกากร เธอบอกกับเจ้าหน้าที่ไปว่า เธอเป็นคนแพ็กกระเป๋าด้วยตนเอง

เบดนารสกา ถูกร้องขอให้ปลดล็อกกระเป๋า แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเธอไม่มีรหัส สุดท้ายเธอยอมให้ข้อมูลกับพวกเจ้าหน้าที่ว่า เธอเพิ่งได้รับมอบกระเป๋าทั้ง 2 ใบ ที่สนามบินต้นทาง

จากนั้นพวกเจ้าหน้าที่จึงทำการรื้อค้น และพบว่าสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่บริเวณใต้เสื้อผ้าในกระเป๋าสัมภาระใบดังกล่าว เป็นห่อกัญชาหลายมัด น้ำหนักรวม 39.4 กิโลกรัม ว่ากันว่ามีมูลค่าราว ๆ 157,600 ปอนด์

ผู้พิพากษาพอตเตอร์ กล่าวว่า "คุณตัดสินใจไว้วางใจคนบางคนที่คุณแทบไม่รู้จักเลย คุณดำเนินการภายใต้คำสั่งของคนอื่น ๆ เป็นไปได้เพื่อผลตอบแทนเพิ่มเติม"

"ผมมั่นใจว่าคุณสามารถจินตนาการได้เองว่า ยาเสพติดนี้จะทำร้ายชุมชนของเรามากแค่ไหน คุณส่งเสริมเรื่องนี้โดยตรง ด้วยการยินยอมทำในสิ่งที่คุณทำ" ผู้พิพากษาระบุ

เบดนารสกา ถูกพิพากษาจำคุก 20 เดือน แต่โทษให้รอลงอาญา 2 ปี นอกจากนี้แล้วเธอยังถูกสั่งให้เข้าร่วมกิจกรรมบำบัดตามที่กำหนดเป็นเวลา 15 วัน

‘Munira Abdulla’ บุคคลที่ฟื้นจากโคม่านานที่สุดในโลก หลังประสบอุบัติเหตุทำหลับไหลกว่า 27 ปี

Munira Abdulla บุคคลที่ฟื้นจากอาการโคม่านานที่สุดในโลก

เมื่อ Munira Abdulla หญิงชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์รู้สึกตัวเป็นครั้งสุดท้ายในปี 1991 ขณะนั้น George Bush (ผู้พ่อ) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตก็กำลังใกล้ที่จะล่มสลายเต็มที และเป็นปีที่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกยุติลง ขณะอายุ 32 ปี นาง Munira ชาวเมือง Al Ain ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งทำให้เธอหมดสติ และอยู่ในสภาพผักเกือบตลอดสามทศวรรษต่อมา โดยผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะหมดสติจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่มีอาการไม่รู้สึกตัวเต็มที่ ผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการตื่นตัว ตาปิด และไม่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม กลุ่มที่สองคือ กลุ่มที่รู้สึกตัวแต่ไม่มีอาการรู้ตัว ส่วนกลุ่มที่รู้สึกตัวน้อยมากอาจรวมถึงช่วงที่ผู้ป่วยตอบสนองบางอย่าง เช่น ขยับนิ้วเมื่อถูกถาม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกลุ่มที่สามนี้มักเรียกกันว่า ‘โคม่า’ (Comas) และ Munira ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่สามนี้

หลังจากประสบอุบัติเหตุ Munira ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และต่อมาก็ถูกส่งตัวไปยังกรุงลอนดอน ที่นั่น เธอถูกวินิจฉัยว่าอยู่ในอาการไม่ตอบสนอง แต่สามารถรับรู้ความเจ็บปวดได้ จากนั้นเธอถูกส่งตัวกลับไปที่เมืองอัลไอน์ ซึ่งเป็นเมืองในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่อยู่ติดชายแดนโอมาน ซึ่งเธออาศัยอยู่ และถูกย้ายไปยังสถานพยาบาลต่าง ๆ ตามแต่ความเห็นชอบของบริษัทประกันภัย และ NMC ProVita International Medical Centre เธออยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี (2011-2015) โดยต้องให้อาหารผ่านทางสายยางและยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอเข้ารับการกายภาพบำบัดเพื่อให้แน่ใจว่า กล้ามเนื้อของเธอจะไม่อ่อนแรงลงจากการขาดการเคลื่อนไหว

Munira Abdulla กับ Omar Webair ลูกชาย

ในปี 2017 ครอบครัวของ Munira Abdulla ได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนของมกุฏราชกุมารแห่งนครรัฐอาบูดาบี (the Crown Prince Court Abu Dhabi) เพื่อย้ายเธอไปทำการรักษายังประเทศเยอรมนี ซึ่งที่นั่น เธอได้เข้ารับการผ่าตัดหลายครั้งเพื่อแก้ไขกล้ามเนื้อแขนและขาที่สั้นลงอย่างมาก และเธอได้รับยาเพื่อให้อาการของเธอดีขึ้นที่ Schön โรงพยาบาลเอกชนในเมือง Bad Aibling ใกล้นครมิวนิก ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี ซึ่งแพทย์ได้ทำการรักษาภาวะแทรกซ้อนจากอาการเจ็บป่วยที่ยาวนานของ Munira ด้วยการใช้แนวทางแบบองค์รวมในการรักษา โดยใช้ “การกายภาพบำบัด ยา การผ่าตัด และการกระตุ้นประสาทสัมผัส” 

หลังจากผ่านไป 27 ปี เธอก็ได้ตื่นขึ้นมาในเดือนมิถุนายน ปี 2018 Omar Webair ลูกชายวัย 32 ปีของเธอ ซึ่งอายุเพียง 4 ขวบเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เล่าว่า ไม่กี่นาทีขณะเดินทางจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน รถของเขากับแม่นั่งก็ชนเข้ากับรถโรงเรียน ทำให้ Munira วัย 32 ปีในขณะนั้นได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง Omar ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของแม่ซึ่งพยายามกอดเขาไว้ก่อนที่ก่อนจะเกิดการชน ทำให้เขารอดชีวิตมาได้ โดยมีรอยฟกช้ำบริเวณศีรษะ “แม่ของผมนั่งอยู่ที่เบาะหลังกับผม เมื่อแม่เห็นว่ารถจะชน แม่ก็กอดผมไว้เพื่อปกป้องผมจากผลของแรงกระแทก” เขากล่าว “สำหรับผม เธอเปรียบเสมือนทองคำ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร เธอก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น” 

นพ. Friedemann Müller

นพ. Friedemann Müller ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท หัวหน้าแพทย์ประจำ Schön โรงพยาบาลเอกชนที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศเยอรมนี กล่าวว่า Munira อยู่ในภาวะหมดสติกลุ่มที่ 3 เขาบอกว่า มีเพียงไม่กี่กรณีที่เหมือนกับเธอ ที่ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวหลังจากหมดสติเป็นเวลานาน โดยสัญญาณที่บ่งบอกว่า Munira กำลังฟื้นตัวเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อปี 2017 เมื่อเธอเริ่มเรียกชื่อลูกชายของเธอ สองสามสัปดาห์ต่อมา เธอเริ่มท่องบทต่าง ๆ ในคัมภีร์อัลกุรอานที่เธอเคยเรียนรู้เมื่อหลายสิบปีก่อน “ตอนแรกเราเองก็ไม่เชื่อ” นพ. Müller กล่าว “แต่ในที่สุดก็ชัดเจนมากว่าเธอเรียกชื่อลูกชายของเธอ” นพ. Müller เองก็ไม่ได้คาดหวังว่า Munira จะฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้ เธอเข้ารับการรักษาอาการชักและกล้ามเนื้อบิดเบี้ยวที่คลินิกในประเทศเยอรมนี ซึ่งทำให้ร่างกายของเธอเคลื่อนไหวได้ยาก และทำให้เธอไม่สามารถนั่งรถเข็นได้อย่างปลอดภัย ส่วนหนึ่งของการรักษาคือ การติดตั้งอุปกรณ์ที่ส่งยาโดยตรงไปยังกระดูกสันหลังของเธอ ซึ่ง นพ. Müller กล่าวว่า ปัจจัยนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เธอฟื้นตัวได้

Schön โรงพยาบาลเอกชนในเมือง Bad Aibling ใกล้นครมิวนิก ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี

Terry Wallis ฟื้นจากโคม่านานถึง 19 ปี มีชีวิตอยู่อีก 19 ปี และเสียชีวิตในปี 2022

มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบกันดีว่าสามารถฟื้นตัวได้ในลักษณะเดียวกัน อาทิ Terry Wallis ชาวเมือง Ozark Mountains มลรัฐ Arkansas สหรัฐอเมริกา บาดเจ็บสาหัสและหมดสติเมื่อรถของเขาลื่นไถลลงจากสะพาน ในวันที่ 13 กรกฎาคม 1984 และหมดสตินานถึง 19 ปี การฟื้นตัวเมื่อ 11 มิถุนายน 2003 ของเขาค่อนข้างผิดปกติมาก จนนักวิทยาศาสตร์ใช้โอกาสนี้ในการศึกษาการทำงานของสมองเพื่อช่วยในการพิจารณาว่า ผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายทางสมองอย่างรุนแรงอย่างไรจึงจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกถึงสิทธิของบุคคลที่จะเลือกการมีชีวิตอยู่หรือตาย ด้วยการดูแลทางการแพทย์ในปัจจุบันผู้ป่วยบางรายอาจอยู่ในสภาวะที่หมดสติไปนานหลายทศวรรษ เช่นกรณีของ Aruna Shanbaug พยาบาลชาวอินเดีย อยู่ในสภาวะดังกล่าวเป็นเวลานานกว่า 40 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตในวัย 66 ปี ในปี 2015 เธออยู่ในสภาพผักถาวรหลังจากถูกรัดคอด้วยโซ่โลหะระหว่างที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ

Munira Abdulla ในวัย 65 ปีได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จนทุกวันนี้

ผู้ป่วยที่ฟื้นตัวจากภาวะที่รู้สึกตัวในระดับต่ำเป็นเวลานาน (ซึ่งพบได้บ่อยในช่วงไม่กี่ปีแรก) มีแนวโน้มที่จะมีความบกพร่องทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงและถาวร พวกเขายังคงต้องพึ่งพาผู้อื่นในการดูแลในแต่ละวัน และขาดความสามารถในการตัดสินใจที่สำคัญเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง พวกเขาอาจมีอาการมึนงง จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา และสามารถสนทนาได้เพียงเล็กน้อยเมื่อได้รับคำพูดกระตุ้น กรณีของ Munira Abdulla นั้น เกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ มีเพียงไม่กี่กรณีที่คนจะฟื้นคืนสติได้หลังจากผ่านไปหลายปี และแม้จะเป็นเช่นนั้น การฟื้นตัวก็ยังต้องยืดเยื้อต่อไป ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าโอกาสที่ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะหมดสติจะดีขึ้นจะเป็นอย่างไร ผู้ที่ฟื้นคืนสติส่วนใหญ่มักมีอาการพิการร้ายแรงเนื่องมาจากสมองได้รับความเสียหาย หลังจากเธอฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว สามารถตอบสนองได้ดี และมีความรู้สึกเจ็บปวดและสนทนาได้บ้างแล้ว เธอจึงได้เดินทางกลับมาที่นครรัฐอาบูดาบี ซึ่งเธอได้รับการกายภาพบำบัดและการฟื้นฟูเพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่แล้วเพื่อปรับปรุงท่าทางการนั่งของเธอและป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหดตัว และ Munira Abdulla ในวัย 65 ปีได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จนทุกวันนี้

‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ประกาศตามหาสร้อยคอ 5 บาท บอกคนหาพบพร้อมยกสร้อยทองให้ ขอคืนแค่พระ 3 องค์

(29 พ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ต้นปราการ’ ได้โพสต์ข้อความประกาศตามหาสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 5 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 4 องค์ ได้แก่หลวงปู่ทวด ,หลวงปู่ทิม, หลวงพ่อโอภาสี , และพระราหู ซึ่งเป็นสร้อยคอทองคำประจำกายของ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ดารานักแสดงชื่อดัง ซึ่งกำลังนำทีมงานมูลนิธิร่วมกตัญญูลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดภาคใต้ โดยคาดว่าจะหล่นหายขณะเปลี่ยนเสื้อ หลังจากเสร็จสิ้นช่วยเหลือชาวบ้านที่ยะลา

โดย บิณฑ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สวัสดีครับเพื่อนๆ ครับ ผมมีเรื่องรบกวนพี่ๆเพื่อน ๆ ครับ คือเมื่อวานนี้ ช่วงเวลาประมาณเวลาห้าทุ่ม ผมได้ทำภารกิจ ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนออกจากพื้นที่จนภารกิจเสร็จเรียบร้อย ก็เปิดรถ เพื่อจะเปลี่ยนเสื้อที่เปียกเพราะฝนตกตลอดทั้งวัน แต่ด้วยเป็นเสื้อคอกลมคอเต่า อาจจะทำให้สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาทพร้อมพระเลี่ยมทอง หลุดออกไปจากคอ

“แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าสร้อยคอได้หายไปแล้ว มารู้สึกอีกทีก็เกือบถึงปัตตานี เพราะเมื่อคืนนี้ที่จังหวัดยะลาไม่มีที่พักเลย ต้องนั่งรถมาพักที่ปัตตานี เลยแจ้งให้กู้ภัยที่ยะลาตามหา ในเวลานั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็น จึงอยากจะรบกวนทุกๆท่านนะครับที่อยู่บริเวณบนสะพานตรงที่น้ำท่วม และทำภารกิจกันเมื่อคืนนี้ ถ้าใครพบเจอสร้อยคอทองคำ พร้อมกับพระเลี่ยมทองของผม 3 องค์”

“ขอความกรุณาเอาพระมาคืนผมครับ ส่วนสร้อยคอผมยินดีที่จะให้ไป ผมขอพระคืนครับ เพราะมีคุณค่าทางจิตใจของผมครับ ผมพยายามหารูปถ่ายของพระกับสร้อยหาไม่มีครับ ยังไงถ้าท่านใดเจอนะครับกราบขอบพระคุณมากครับ ผมขอแค่พระครับ”

ถ้าท่านใดเจอสามารถติดต่อมาเบอร์นี้ได้เลยนะครับ 063-773-0936 ชื่อยอดนะครับ
กราบขอบพระคุณมากครับผม

‘สุริยะ’ เตรียมลงพื้นที่ดูเหตุเครนสร้างทางด่วนพระราม 2 ถล่ม พร้อมเล็งลงโทษบริษัทลดชั้นผู้รับเหมา - ห้ามรับงาน 2 ปี

(29 พ.ย.67) สุริยะสั่งอธิบดีกรมทางหลวงบินด่วนดูเหตุเครนสร้างทางด่วนพระราม 2 ถล่ม ก่อนตามลงพื้นที่เย็นนี้ เล็งตัดคะแนนลดชั้นผู้รับเหมา ห้ามรับงาน 2 ปี ส่วนสาเหตุขอรอตรวจสอบ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเหตุการณ์คานเหล็กก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ถล่มเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาแล้ว พบว่ามีผู้เสียชีวิต 2 ราย สูญหาย 2 คน บาดเจ็บ 10 คน ได้สั่งการให้อธิบดีกรมทางหลวง ที่ขณะนี้มาปฏิบัติงานกับตนเองที่จังหวัดเชียงใหม่ให้กลับไปดูในพื้นที่เพื่อไปดูสาเหตุ

และช่วงเย็นวันนี้ตนก็จะกลับไปตรวจพื้นที่ ก่อนที่จะกลับมาปฏิบัติภารกิจต่อที่จังหวัดเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เคยเน้นย้ำกับผู้รับเหมามาโดยตลอด คือการปฏิบัติภารกิจด้วยความปลอดภัย แต่หากมีอุบัติเหตุทางกรมทางหลวง ก็มีสมุดพกที่จะประเมินตัดคะแนนผู้รับเหมา และประสานกับกรมบัญชีกลาง เพื่อลดชั้นผู้รับเหมา

ปัจจุบันผู้รับเหมาชั้นพิเศษมีแต่ปรับขึ้น แต่ผลงานไม่ดีไม่มีการปรับลง ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกรมบัญชีกลาง และอย่างกรณีที่เกิดขึ้นนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต บริษัทผู้รับเหมาที่ทำให้เกิดเหตุจะถูกตัดสิทธิไม่ให้เข้ามารับงาน ซึ่งอาจจะถึง 2 ปี หลังจากนั้นหากปรับปรุงจนดีขึ้นอาจจะคืนสิทธิ ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงคมนาคมเห็นถึงความสำคัญและความปลอดภัยกับสาธารณะ

นายสุริยะกล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นคนละบริษัทกับที่เคยเกิดอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ ที่ผ่านมาบริษัทนี้มีผลงานค่อนข้างดี ส่วนข้อผิดพลาดเกิดจากอะไรขอกลับไปตรวจสอบก่อน แต่เมื่อเกิดเหตุก็ได้สั่งการให้หยุดการก่อสร้างทันที ส่วนจะให้หยุดกี่วันขอกลับไปตรวจสอบ ก่อนกำหนดวันอีกครั้ง

นายสุริยะยังกล่าวว่า ตนเองเคยให้สัมภาษณ์ และยืนยันว่าถนนพระราม 2 อยากให้แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2568 แต่ระยะหลังมีสถานการณ์โควิดที่เกิด จึงทำให้ผู้รับเหมาสามารถขอขยายสัญญาออกไปได้จนถึงสิ้นปี 2568 ซึ่งตามสัญญาถือเป็นสิทธิของผู้รับเหมาที่สามารถทำได้ แต่ได้ขอความร่วมมือในเบื้องต้นให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนปี 2568

ส่วนกรณีที่ประชาชนหวาดกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอีก จะมีมาตรการอย่างไร นายสุริยะกล่าวว่า ปัญหาคือ เมื่อไม่มีมาตรการที่จะลดชั้นผู้รับเหมา ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วจะไม่เป็นไร ซึ่งผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ถ้าเกิดลดชั้นจะทำให้กระทบต่อธุรกิจ ดังนั้น หากมีมาตรการเรื่องการลดชั้นออกมา ก็จะทำให้ผู้รับเหมาเกรงกลัว ทำให้อุบัติเหตุลดลง

นายสุริยะยังกล่าวถึงการขยายระยะเวลาก่อสร้างให้ผู้รับเหมา อาจจะทำให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด ผู้รับเหมาก็มีสิทธิได้รับการขยายสัญญา ไม่ใช่แค่ผู้รับเหมาที่พระราม 2 แต่ผู้รับเหมาทุกโครงการก็ได้รับการขยายระยะเวลาออกไปด้วยเช่นกัน พร้อมย้ำว่า ส่วนตัวอยากให้มีการก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ก็ต้องเน้นถึงความปลอดภัยเป็นหลักด้วย

ททท. - มิชลิน เปิด 462 ลิสต์ ร้านอาหารชวนกิน ‘ศรณ์’ คว้ารางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ ร้านแรกในไทย

เมื่อวันที่ (28 พ.ย.67) ททท. และมิชลิน จัดงานเปิดตัวคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568  (The MICHELIN Guide Thailand 2025) ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพ โดยเปิดรายชื่อ 462 ร้านที่ผ่านการคัดสรร ให้ตีพิมพ์ลงในคู่มือฯ ฉบับล่าสุดแล้ว ทั้งประกาศข่าวดี  ‘ศรณ์’ ได้รับการประกาศชื่อเป็นร้านอาหารที่คว้ารางวัลระดับ ‘สามดาวมิชลิน’ อันทรงเกียรติมาครองได้สำเร็จเป็นร้านแรกในไทย และยังมีพิธีมอบรางวัลและฉลองความสำเร็จให้กับบุคลากรและทีมงานร้านอาหารที่ได้รับรางวัล ‘ดาวมิชลิน’ และรางวัลพิเศษอื่น ๆ อีกด้วย

คู่มือฉบับปีล่าสุดนี้บรรจุรายชื่อร้านอาหารที่ผ่านการคัดสรรรวมทั้งสิ้น 462 แห่ง เป็นร้านที่ได้รับรางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ 1 ร้าน (เลื่อนระดับจาก ‘สองดาวมิชลิน’), รางวัล ‘สองดาวมิชลิน’ 7 ร้าน (เลื่อนระดับจาก ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ 1 ร้าน), รางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ 28 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 4 ร้าน และเลื่อนระดับจาก MICHELIN Selected 1 ร้าน), รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ 156 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 20 ร้าน) และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected อีก 270 ร้าน  (ติดอันดับครั้งแรก 44 ร้าน) โดยในจำนวนร้านใหม่ที่ติดอันดับครั้งแรกในคู่มือฯ ฉบับล่าสุดซึ่งเป็นฉบับที่ 8 ของไทย เป็นร้านที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี ซึ่ง ‘มิชลิน ไกด์’ ขยายขอบเขตเข้าดำเนินการสำรวจและจัดอันดับเป็นปีแรก รวมทั้งสิ้น 20 ร้าน (ร้านระดับ ‘บิบ กูร์มองด์’ 5 ร้าน และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected 15 ร้าน)

เกว็นดัล ปูลเล็นเนค (Gwendal Poullennec) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก กล่าวแสดงความเห็นว่า “การที่ประเทศไทยมีร้านอาหารได้รับรางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ เป็นร้านแรก ทำให้ปี 2568 เป็นปีสำคัญของไทยในหน้าประวัติศาสตร์แวดวงอาหารระดับสากล  รายชื่อร้านอาหารที่ผ่านการคัดสรรเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความรุ่มรวยและหลากหลายของอาหารไทย แต่ยังแสดงให้เห็นว่าศาสตร์และศิลป์ด้านอาหารการกินของไทยโอบรับวัฒนธรรม ความทันสมัย และเทรนด์ใหม่ ๆ เอาไว้อย่างลงตัว”

‘ศรณ์’ สร้างประวัติศาสตร์ คว้า ‘สามดาวมิชลิน’ มาครองเป็นร้านแรกในไทย  
ศรณ์ ร้านอาหารใต้ที่ถ่ายทอดศิลปะการปรุงอาหารผ่านฝีมืออันเป็นเลิศ ตลอดจนการผสมผสานอย่าง  ลงตัวระหว่างตำรับโบราณและนวัตกรรมสมัยใหม่ รังสรรค์อาหารขึ้นอย่างประณีต พิถีพิถัน และลุ่มลึก นำเสนอประสบการณ์การรับประทานที่น่าตื่นเต้นและกลมกล่อมอย่างไม่มีที่ติซึ่งได้รับการจัดอันดับในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2562 เป็นครั้งแรก โดยได้รับรางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ เพียงหนึ่งปีต่อมาก็ได้รับการเลื่อนระดับเป็นร้าน ‘สองดาวมิชลิน’ และสามารถครองสถานะระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปี และล่าสุดก้าวสู่การเป็นร้านอาหารระดับตำนานในฐานะที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดระดับ ‘สามดาวมิชลิน’ มาครองเป็นร้านแรกในประเทศไทย ตอกย้ำถึงความเป็นเลิศ คุณภาพ และความสม่ำเสมอ  กลายเป็นสุดยอดร้านอาหารที่ควรค่าแก่การเป็นจุดหมายปลายทางที่ควรดั้นด้นเดินทางเพื่อไปชิมสักครั้ง

รางวัล ‘สองดาวมิชลิน’ มีร้านติดอันดับเพิ่มหนึ่งแห่ง คือ ‘โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค’ ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 มีร้านอาหารคว้ารางวัลระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ เพิ่มขึ้นเพียงร้านเดียว โดยได้รับการเลื่อนระดับจาก ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ คือ โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค

สำหรับร้านอาหาร บ้านเทพา, เชฟส์เทเบิล, กา, เมซซาลูน่า, อาหาร และซูห์ริง ยังคงครองสถานะ    ‘สองดาวมิชลิน’ เอาไว้ได้ ทำให้ประเทศไทยมีร้านระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ จำนวนทั้งสิ้น 7 ร้าน

รางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ มีร้านติดอันดับเพิ่มขึ้น 5 ร้าน
สำหรับรางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ ซึ่งมีร้านใหม่ติดโผ 5 ร้าน ในจำนวนนี้ 4 ร้านได้รับการจัดอันดับในคู่มือ  ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย เป็นครั้งแรก ได้แก่ อัคคี จังหวัดนนทบุรี, เอวองท์ กทม.,  โกท กทม.และ อาวลิส จังหวัดพังงา ส่วนอีก 1 ร้านได้รับการเลื่อนระดับจากร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected คือ โคด้า

รางวัล MICHELIN Green Star หรือ 'ดาวมิชลินรักษ์โลก' มีร้านติดอันดับเพิ่มขึ้นหนึ่งร้าน คือ ‘บ้านเทพา’

นอกจาก พรุ, ฮาโอมา และ จำปา ซึ่งครองรางวัล MICHELIN Green Star หรือ 'ดาวมิชลินรักษ์โลก' ที่มอบให้กับร้านอาหารซึ่งดำเนินกิจการและมีแนวปฏิบัติประจำวันด้านการประกอบอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนแล้ว ยังมีร้านอาหารร่วมครองรางวัลนี้อีก 1 ร้านในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 ได้แก่ บ้านเทพา ร้านอาหารไทยร่วมสมัยที่เชฟและทีมงานไม่เพียงทุ่มเทใส่ใจในเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังริเริ่มโครงการเพื่อขับเคลื่อนชุมชนให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย 

รางวัลพิเศษ 4 รางวัล
ปัจจุบัน คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย มอบรางวัลพิเศษรวม 4 รางวัล ให้กับบุคลากรมืออาชีพจากร้านอาหารที่ติดอันดับในคู่มือฯ ซึ่งมีความสามารถโดดเด่นและมีบทบาทในการยกระดับประสบการณ์ด้านอาหารให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

รางวัล MICHELIN Guide Young Chef Award
MICHELIN Guide Young Chef Award เป็นรางวัลพิเศษที่ได้รับการสนับสนุนโดย 'บลองแปง' (Blancpain) แบรนด์นาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ รางวัลนี้มอบให้กับสุดยอดเชฟรุ่นใหม่ที่แสดงศักยภาพโดดเด่นตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ด้วยคุณสมบัติและทักษะความสามารถในการรังสรรค์อาหารอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ 'อู๋' สิทธิกร จันทป เชฟและเจ้าของร้านอัคคี

รางวัล MICHELIN Guide Opening of the Year Award
MICHELIN Guide Opening of the Year Award เป็นรางวัลที่ได้รับการสนับสนุนโดยธนาคารยูโอบี (UOB) มอบให้กับบุคลากรและทีมงานซึ่งประสบความสำเร็จในการเปิดร้านอาหารใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยมีแนวคิดที่โดดเด่นในการนำเสนออาหารอย่างสร้างสรรค์ จนกลายเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจจากวงการอาหารในประเทศ สำหรับผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ ดิมิทริออส มูดิออส (Dimitrios Moudios) เชฟและเจ้าของร่วม (Co-Owner Chef) ของร้าน Ōre  

รางวัล MICHELIN Guide Service Award
MICHELIN Guide Service Award เป็นรางวัลที่ได้รับการสนับสนุนโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มอบให้สุดยอดบุคลากรของร้านอาหารที่ทุ่มเทให้กับการบริการเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การทานอาหารที่ยอดเยี่ยม สำหรับผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ ยุพา สุขเกษม ผู้จัดการร้านบ้านเทพา  

รางวัล MICHELIN Guide Sommelier Award 
MICHELIN Guide Sommelier Award เป็นรางวัลที่มอบให้กับ 'ซอมเมอลิเยร์' หรือผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น โดยให้บริการอย่างมืออาชีพ และมีความชำนาญในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับไวน์ชนิดต่าง ๆ รวมถึงการจับคู่ไวน์กับเมนูอาหาร เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ด้านอรรถรสสูงสุด โดยผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ ฐานสิทธิ์ วาสินนท์ จากร้าน โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค ณ โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ

ช่วงเวลามาตรฐานแห่งสยามประเทศ พระอัจฉริยภาพของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔

ในช่วงหลายวันก่อนเพื่อนผมคนหนึ่งได้ส่งคลิปซึ่งตัดมาจากภาพยนตร์เรื่อง “ทวิภพ” ปี ๒๕๔๗ นำแสดงโดย “รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง” และ “ฟลอเรนซ์ วนิดา เฟเวอร์” โดยฉากที่ตัดมานั้นคือการสนทนากันเรื่องของ “บางกอกมีนไทม์” (Bangkok Mean Time) ซึ่งกำหนดขึ้นจากการคำนวณของ “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๔ เพื่อใช้เป็นการนับเวลามาตรฐานของสยาม ซึ่งในข้อนี้พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพทางการด้านคำนวณ ทางดาราศาสตร์ และภูมิศาสตร์ของพระองค์ ซึ่งการคำนวณเหล่านี้เชื่อมโยงไปถึงการคำนวณปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่จะเกิดขึ้นที่ หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์ ที่ทรงคำนวณไว้ได้อย่างเที่ยงตรง แต่ “บางกอกมีนไทม์” (Bangkok Mean Time) คืออะไร ? และเชื่อมโยงไปสู่ GMT หรือ Greenwich Mean Time หรือไม่ อย่างไร ? ค่อย ๆ ไล่เรียงอ่านกันไปเพลิน ๆ นะครับ 

เบื้องแรกสยามเรานั้นมีการนับเวลากันเป็นโมงยาม มีอุปกรณ์ท้องถิ่นทำจากะลามะพร้าวเจาะแล้วนำไปลอยน้ำเรียกกันว่า “นาฬิเก” ซึ่งตัวโอ่งน้ำและตัวกะลาจะมีการวัดขนาดเพื่อให้อยู่ในเกณฑ์ เมื่อจะใช้ก็เติมน้ำให้ได้ตามาตรวัดแล้วนำ “นาฬิเก” ไปลอย พอนาฬิเกมีน้ำเข้าเต็มแล้วจมลงก็จะถือว่าเป็น ๑ ชั่วโมง “นาฬิกา” ถ้าวัดกันในกลางวันคนวัดก็จะตี “ฆ้อง” เราก็จะได้ยินเสียงดัง “โมง” และแน่นอน !!! เมื่อวัดกันตอนกลางคืนก็จะตี “กลอง” เราก็จะได้ยินว่า “ทุ่ม” ซึ่งก็เป็นที่มาของหน่วยเรียกเวลาแบบของไทยเรา ซึ่งยังไม่เป็นมาตรฐานมากนัก (หอกลองหน้าเป็นยังไงไปชมกันได้ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง ตรงข้ามวัดโพธิ์ ส่วนตัวกลองไปชมได้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๔ นั้น พระองค์ทรงเป็นนักศึกษาค้นคว้า ทรงสนพระทัยในด้านดาราศาสตร์ ทรงศึกษาตำราจากต่างประเทศทั้งจากฝั่งอังกฤษและอเมริกาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จนกระทั่งพระองค์ได้ทรงคำนวณการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างสุริยุปราคาได้ล่วงหน้าถึง ๒ ปี จากการคำนวณในครั้งนั้นทำให้พระองค์ได้ทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการ "สถาปนาเวลามาตรฐานประเทศไทย" โดยทรงวัดจุดเริ่มต้นจากตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษแล้วทรงวัดมาที่สยาม ทำไม ? ถึงต้องวัดจากกรีนิชประเทศอังกฤษ อันนี้มาจากตำราต่าง ๆ ที่ปรากฏในช่วงรัชสมัยของพระองค์นั้น เป็นตำราดาราศาสตร์ เพื่อการเดินเรือ (เนื่องจากเขาสังเกตดวงดาวในเวลาเดินเรือ) ทั้งตำราของอังกฤษเอง หรือจะเป็นตำราของอเมริกาก็ตาม จะอ้างอิงจากเมืองท่าของอังกฤษซึ่งถือว่าเป็นมหาอำนาจในขณะนั้น ในทุก ๆ ครั้งที่ผ่านหอนาฬิการิมท่าก็จะเทียบเวลา ไป - กลับ เข้า – ออก โดยทุกลำเรือมักจะมีนาฬิกาอยู่ ๒ เรือน คือเรือนใหญ่เป็นเวลาของกรีนิช เรือนเล็กเป็นเวลาที่ปรับตามท้องถิ่นของประเทศที่เดินทางไปติดต่อ ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ท่านทรงได้ศึกษาจนเข้าใจ ก่อนจะทรงคำนวณระยะห่างของชั่วโมงตามองศาที่เปลี่ยนไป จนได้เวลาของสยามที่ค่อนข้างแน่นอนตามที่พระองค์ได้ทรงอธิบายเอาไว้ใน “พระกระแสรับสั่งรัชกาลที่ ๔ เรื่องสุริยุปราคา เมื่อปีมะโรง พศ. ๒๔๑๑ ต้นฉบับของขุนวรจักรธรานุภาพ และตำราวัดพระอาทิตย์ของพระจอมเกล้า” ว่า 

"ลองติชูต" (Longitude) ๑๐๐ องศา ๓๐ ลิปดา ตะวันออก ห่างจาก "กรีนุวิศมินไตม์" (Greenich Mean Time ) อยู่ ๖ ชั่วโมง ๔๒ นาที 

แต่จริง ๆ แล้วนักวิชาการหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ นั้นพระองค์ไม่ได้วัดองศามาที่กรุงเทพ ฯ แต่เทียบวัดไปที่บริเวณจังหวัดเพชรบุรี (เขาวัง - พระนครคีรี) ไม่ใช่ที่กรุงเทพฯ เพราะการเทียบวัดครั้งนั้นเป็นไปเพื่อพยากรณ์การเกิดสุริยุปราคาเป็นหลัก ซึ่งตรงนี้ยังเป็นข้อถกเถียงที่อาจจะยังสรุปไม่เรียบร้อยนัก แต่อย่างไรก็ดี ณ เวลานั้น พระองค์ทรงให้กำเนิดเวลามาตรฐานประเทศไทย ก่อนนานาอารยประเทศ ๑๖ ปี 

จากการกำหนดเวลาดังกล่าวจึงเป็นเหตุสำคัญที่พระองค์ทรงมีรับสั่งให้สร้างหอนาฬิกาขึ้น ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “พระที่นั่งภูวดลทัศไนย” ขึ้นทางด้านเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม (เดิม) ตรงพุทธนิเวศน์ ในเขตพระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งองค์นี้เป็นตึกสูง ๕ ชั้น ชั้นบนสุดติดตั้งนาฬิกาขนาดใหญ่ทั้ง ๔ ด้าน มีพระราชประสงค์ให้ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวง เพื่อทำหน้าที่บอกและรักษาเวลามาตรฐาน นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงกำหนดให้เส้นแวง ๑๐๐ องศา ๒๙ ลิปดา ๕๐ พิลิปดาตะวันออก เป็นเส้นแวงหลักผ่านพระที่นั่งภูวดลทัศไนย 

ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้มีเจ้าหน้าที่รักษาเวลามาตรฐาน ประจำหอนาฬิกาหลวง ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งงานทางวิทยาศาสตร์ไทยชุดแรกอันได้แก่ เจ้าหน้าที่เทียบเวลากลางวันจากดวงอาทิตย์ คือ ‘พันทิวาทิตย์’ และเจ้าหน้าที่เทียบเวลากลางคืนจากดวงจันทร์ คือ ‘พันพินิตจันทรา’ คอยสังเกตและบันทึกการเคลื่อนที่ผ่านของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่เส้นเมอริเดียนของ“พระที่นั่งภูวดลทัศไนย” สำหรับพระที่นั่งภูวดลทัศไนยนั้นต่อมาถูกรื้อลงในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อสร้างทิมดาบใหม่

นอกจากนี้รัชกาลที่ ๔ พระองค์ยังได้ทรงสังเกตดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ามานานหลายปี ทรงพบว่า การขึ้น-ตก และแนวการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ในเดือนต่าง ๆ นั้น แตกต่างกัน ทำให้ที่หอนาฬิกาหลวงจึงมีการคำนวณทางดาราศาสตร์เป็นรายวันทุกๆ วัน เพื่อตั้งปรับเวลาที่หอนาฬิกาหลวงตามที่ได้คำนวณไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เป็น เวลามาตรฐานกรุงเทพปานกลาง หรือที่เรียกว่า “บางกอกมีนไทม์” (Bangkok mean time) นั่นเอง

นอกจาก “พระที่นั่งภูวดลทัศไนย” รัชกาลที่ ๔ ยังโปรดเกล้าฯ ให้ “พระบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม” ทรงออกแบบสร้างหอนาฬิกาตรงมุขเด็จของพระที่นั่งจักรีอีกแห่งหนึ่ง แต่มิได้ระบุชื่อและปีที่สร้าง แต่เชื่อว่าพระองค์มีพระราชประสงค์จะให้ชาวเรือขึ้นล่องแม่น้ำเจ้าพระยามองเห็น และเทียบเวลาเดินเรือได้สะดวก ซึ่งพระองค์มีพระราชดำริเกี่ยวกับการสถาปนาระบบเวลามาตรฐาน ไว้ในบันทึกการประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ไว้ว่า

"...จะเป็นเหตุให้เขาหัวเราะเยาะเย้ยได้ว่าเมืองเรา ใช้เครื่องมือนับทุ่มโมง เวลาหยาบคายนักไม่สมควรเลย เพราะเหตุฉะนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพินิจพิจารณาตรวจตราคำนวณความดำเนินพระอาทิตย์ ให้ฤดูทั้งปวงสอบกับนาฬิกา ที่ดีมาหลายปีทรงทราบถ้วนถี่ทุกประการ แจ้งในพระราชหฤทัยแล้ว..."

ภายหลังใน พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้มีการประชุมสภาสากลอุทกนิยม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อแบ่งภาคเวลา โดยกำหนดให้ตำบลกรีนิช เป็นจุดแรกของการกำเนิดเวลา ประเทศไทยจึงได้มีการกำหนดเวลามาตรฐานใหม่ จากเส้นแวงที่ ๑๐๐ ตะวันออก ซึ่งพาดผ่านพระบรมมหาราชวัง มาเป็นเส้นแวงที่ ๑๐๕ องศาตะวันออก จังหวัดอุบลราชธานี โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ใช้อัตราเวลาทั่วราชอาณาจักรไทย เป็น ๗ ชั่วโมงก่อนเวลาที่กรีนิชตั้งแต่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ นับตั้งแต่นั้น

“บางกอกมีนไทม์” (Bangkok mean time) เวลามาตรฐานของกรุงเทพฯ ที่เทียบจากมาตรฐานเวลาสากลของโลกที่ตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษ โดยวัดมุมในแผนที่ออกมาจากเมืองกรีนิชถึงกรุงเทพฯ ได้ที่ประมาณ ๑๐๐ องศา ๓๐ ลิปดา

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงคำนวณไว้ตั้งแต่ในปลายรัชสมัยของพระองค์คือ พ.ศ. ๒๔๑๑ ความแม่นยำของการคำนวณนี้ รวมไปถึงการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์นั้น ล้วนตรงตามเวลาที่พระองค์ท่านคำนวณไว้ทุกประการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านโดยแท้ 

หากวันนี้ท่านอยากจะเห็นหน้าตาของหอนาฬิกาที่ใกล้เคียงกับสมัยที่แรกสร้างนั้นท่านสามารถไปชมได้ที่ “หอนาฬิกาหลวงจำลอง” แถวถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง ตรงข้ามกับวัดโพธิ์ ซึ่งตัวนาฬิกาเดิมที่รื้อถอนลงในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงกลาโหม ส่วนหอนาฬิกาหลวงจำลองนั้นสร้างขึ้นในวาระสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี โดยยังคงรูปแบบเดิมไว้ แต่ย้ายตำแหน่งมาตั้งเคียงอยู่กับหอกลองที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดออกแบบโดย ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา สถาปนิกระดับตำนาน ผู้เป็นโหลนของ “กรมขุนราชสีหวิกรม” ผู้สร้างหอนาฬิกาหลังเดิมในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั่นเอง

ตำรวจ ปส. ทลายเครือข่ายชาติพันธุ์ ลอบขนยาเสพติด ส่งลงพื้นที่ภาคกลางยึดยาบ้ากว่า 6 ล้านเม็ด, ไอซ์เกือบ 1 ตัน

สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ก.ย.67 ว่าปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ปราบปราม และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย การขับเคลื่อนงานของตำรวจ

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จตช.รรท.รอง ผบ.ตร/ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี  ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. บช.ปส. พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย จตร.รรท.ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.ปส, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง รอง ผบช.ปส., ผบก.ปส.1 - 4, ผบก.สกส. และ ผบก.ขส. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ              

ลงพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุม และขยายผลเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายที่ยังหลบหนี และยึดทรัพย์ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทุกราย

วันนี้ บช.ปส.ได้บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร และ ป.ป.ส. โดย พล.ท.ภัณห์ สถิตยุทธการ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, นายบัณฑิต ลีลาพตะ นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการพิเศษ สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ร่วมจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญของ บช.ปส. โดยมีการจับกุม ดังนี้
บก.ปส.3

คดีที่ 1 เครือข่ายนักบินข้ามถิ่น ยาบ้า 5,000,000 เม็ด (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.ทิวาพงษ์ พลูโต ผกก.2 บก.ปส.3) จากการสืบสวนของ ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 พบว่า มีเครือข่ายค้ายาเสพติดจะลำเสียงยาเสพติด                  

จากพื้นที่ชายแดน อ.แม่ฟ้าหลวง จว.เชียงราย วันที่ 23 พ.ย.67 พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายใช้รถกระบะลำเลียงสิ่งของต้องสงสัยจำนวนมาก จากพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมา ในเขตพื้นที่บ้านนะ ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง ก่อนจะมาเก็บซุกซ่อนไว้ในพื้นที่เพื่อลำเลียงส่งต่อให้กับเครือข่าย ในพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย                   

อีกทอดหนึ่ง จนเวลาประมาณ 00.30 น. ของ วันที่ 24 พ.ย.67 รถกระบะต้องสงสัยออกจากพื้นที่ ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง โดยมีเครือข่ายขับขี่จักรยานยนต์ นำทางและสำรวจเส้นทาง กระทั่ง เวลา 04.00 น. พบรถกระบะ คันดังกล่าว ขับมุ่งหน้าไปยังตัว อ.เมืองเชียงราย ชุดจับกุมจึงวางกำลังเพื่อสกัดจับ แต่เครือข่ายพยายายามขับรถหลบหนีเข้าไปบริเวณสวนสับปะรด พื้นที่หมู่บ้านแคววัวดำ หมู่ 12 ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย ก่อนจะทิ้งรถหลบหนีไป จากการตรวจค้นรถกระบะ พบสิ่งของจำนวนมากถูกผ้าใบสีดำคลุมมิดชิด บริเวณท้ายกระบะ ตรวจสอบเป็นยาบ้า จำนวน 3,000,000 เม็ด และพบยาบ้าซุกซ่อนในห้องโดยสารอีกจำนวน 2,000,000 เม็ด รวมจำนวน 5,000,000 เม็ด

คดีที่ 2 เครือข่ายนักวิ่งชายแดนยาบ้า ไอซ์ 299 กิโลกรัม (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.ทิวาพงษ์ พลูโต ผกก.2 บก.ปส.3) จากการสืบสวนของตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 พบเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ลีซอ มีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติด จากแนวชายแดนทางด้าน อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ โดยใช้รถกระบะและรถสิบล้อ จึงได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมเรื่อยมา กระทั่งวันที่ 26 พ.ย.67 พบชายต้องสงสัย 2 ราย ขับรถกระบะบรรทุกลังบรรจุส้มมาวางไว้บริเวณพื้นที่ว่างตรงข้ามรีสอร์ทแห่งหนึ่งใน อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ ก่อนจะมีคนขับรถสิบล้อจอดรถแล้วลงมายกลังบรรจุส้มทั้งหมดขึ้นรถ และขับออกไปโดยมีรถกระบะขับนำหน้า เข้าไปในพื้นที่บ้านห้วยจะค่าน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ และจอดบริเวณสวนท้ายหมู่บ้าน กระทั่งประมาณ 20.00 น. รถสิบล้อได้ขับออกมาจากบริเวณดังกล่าว โดยใช้เส้นทางเชียงใหม่-พร้าว มุ่งหน้าพื้นที่ภาคกลาง จนมาถึงบริเวณ อ.บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา ก่อนเข้าจอดที่ปั๊มน้ำมัน บริเวณถนนสายเอเชีย-บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา ต่อมาวันที่ 27 พ.ย.67 เวลาประมาณ 13.00 น. มีรถกระบะตู้ทึบขับเข้ามาจอดบริเวณปั๊มน้ำมัน และขับออกไปพร้อมกับรถสิบล้อ ก่อนเข้าไปจอดยังบริเวณโกดัง 11/7 ม.7 ต.ลำโพ อ.บางบัวทอง จว.นนทบุรี ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 4 คน พร้อมของกลาง ไอซ์ 299 กิโลกรัม

บก.สกส.
คดีที่ 3 เครือข่ายนักบินพบพระ ไอซ์ 500 กก. (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.ไพฑูรย์ งามลาภ ผกก.1 บก.สกส.)
ตำรวจ กก.1 บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส., สภ.ด่านช้าง, ป.ป.ส.ภาค 1 และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกันจับกุมนายจิรชีพ และ นายนู่ ชาติพันธุ์ม้ง หลังชุดจับกุมพบว่ามีกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ จว.ตาก จะลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ชายแดน จว.แม่ฮ่องสอน มาส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ปริมณฑล กระทั่งวันที่ 24 พ.ย.67 พบกลุ่มรถยนต์ของเครือข่าย ขับขี่ในลักษณะนำ และตาม ห่างกันประมาณ 2-3 กิโลเมตร จากพื้นที่ จว.แม่ฮ่องสอน ใช้เส้นทางผ่าน เชียงใหม่ - แพร่ - สุโขทัย ผ่าน จว.อุทัย - ชัยนาท มุ่งหน้า จว.สุพรรณบุรี จึงจัดชุดสะกดรอยติดตาม จนเวลา 14.50 น. รถยนต์ทั้ง 3 คืน คือ รถโตโยต้า Fortuner สีดำ หมายเลขทะเบียน 7กฬ 31xx กทม., รถยนต์ หมายเลขทะเบียน บ5 99xx ตาก และรถยนต์ หมายเลขทะเบียน 3ฒฮ 50xxx กทม. ขับเข้าไปจอดริมถนน หลังโรงพยาบาลหันคา ต.หันคา อ.หันคา จว.ชัยนาท ชุดจับกุมจึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นรถทั้ง 3 คัน พบด้านหลังของรถโตโยต้า Fortuner สีดำ มีกระสอบต้องสงสัย 25 กระสอบ ถูกปิดด้วยผ้าบังอำพรางไว้ ตรวจสอบภายในมีไอซ์บรรจุรวม 500 กก. เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหา"ร่วมกันกับพวกที่หลบหนี จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน หรือ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ"
บก.ปส.1

คดีที่ 4 เครือข่ายนักบินสมุทรปราการ ยาบ้า 998,000 เม็ด (ผู้นำเสนอ พ.ต.ท.บดินทร์ ร้อยกรอง รอง ผกก.2 บก.ปส.1) สืบเนื่องช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ตำรวจ กก.2 บก.ปส.1 ได้จับกุม น.ส.คณาปพัฒน์ กับพวก พร้อมยาบ้า1.2 ล้านเม็ด จากนั้นได้สืบสวนขยายผล พบว่า กลุ่มของเครือข่ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติด จากภาคเหนือ จึงเฝ้าติดตาม กระทั่งวันที่ 22 พ.ย.67 รถเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังอยู่มีความเคลื่อนไหว ในเส้นทาง จว.เชียงใหม่ ต่อเนื่องลงมาใน จว.เชียงราย-ลำปาง-สุโขทัย-พิษณุโลก-พิจิตร-นครสวรรค์ ตำรวจจึงจัดชุดติดตาม และสกัดจับกุมได้ทั้งหมด 3 คัน ในพื้นพื้นที่ จว.สิงห์บุรี ต่อเนื่อง จว.อยุธยา คือ 1. รถยนต์โตโยต้า แคมรี่หมายเลขทะเบียน ชห 18xx กทม. มีนายฐานทัพ เป็นผู้ขับขี่ โดยสารมากับ น.ส.เพชรรัตน์ (แฟนสาว) ทำหน้าที่ขับนำขบวน, 2. รถกระบะโตโยต้า วีโก้ 7กส 33xx กทม. มี นายวัชรพล เป็นผู้ขับขี่ และ 3. รถยนต์ฟอร์ด เอฟเวอเรส ฆง 5xx กทม. ซึ่งมีนายสำไรมาณ เป็นผู้ขับขี่โดยสารมากับ น.ส.ศศิประภา (แฟนสาว) จากการตรวจสอบพบยาบ้ารวมจำนวน 998,000 เม็ด บรรจุอยู่ในกล่องพัสดุ 5 กล่อง วางอยู่ในห้องโดยสารของรถยนต์ฟอร์ด เบื้องต้นแจ้งข้อหา "ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการเพื่อการค้า แพร่กระจายสู่ประชาชนฯ" ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป

สำหรับการปราบปรามยาเสพติดของ บช.ปส. ตั้งแต่ 1 ต.ค.67 - 28 พ.ย.67 สามารถจับกุมขบวนการค้า ยาเสพติดทุกคดีได้ 166 คดี ผู้ต้องหา 175 คน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 43,842,893 เม็ด, ไอซ์ 2,757 กก. เฮโรอีน 28 กก. และ คีตามึน 190 กก. ยึดอายัดทรัพย์สินผู้ค้ายาเสพติด 410,461,353 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top