Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

‘3 Account อวตาร’ รับงานปล่อยข่าวปลอม ตั้งป้อมโจมตีกล่าวหา ‘ผู้บริหาร ปตท.’ ด้วยข้อมูลเท็จ

(29 พ.ย.67) จับตาตำรวจไซเบอร์ พุ่งเป้า ‘3 Account อวตาร’ รับงานปล่อยข่าวโจมตี-กล่าวหา ‘กลุ่มผู้บริหารปตท.’ ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ เตรียมเอาผิดข้อหาหนัก เผยผู้อยู่เบื้องหลังคือ 'กลุ่มที่ทุจริตปาล์มน้ำมันอินโดฯ-สต๊อกลม' ที่ดิ้นพล่าน ต้องการดิสเครดิตผู้บริหารในปัจจุบัน

จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จทางโลกออนไลน์ เกี่ยวกับประเด็นที่แอบอ้างว่า “DSI สรุปสำนวน เชื่อว่าผู้ว่าฯปตท.และ CEO OR เข้าข่ายทุจริต ผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ, ฟอกเงิน และฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งเนื้อหาของข่าวดังกล่าว เป็นการระบุแบบคลุมเครือ ไม่ได้มีการระบุชื่อตัวบุคคลอย่างเป็นทางการ แต่เป็นการอ้างตำแหน่ง เพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับบุคคลทั่วไปที่รับข่าวสารทางโลกสังคมออนไลน์ อีกทั้งยังมีการรวบรวมหลายประเด็นที่เกิดขึ้นใน 'อดีต' แล้วนำมาร้อยเรียงรวมกันแบบเหวี่ยงแห โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งทำลายตัวบุคคลที่ยังอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริต อื้อฉาวใน 'อดีต' แต่อย่างใด

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ (ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ : ศปอส.ตร.) ถึงกรณีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จดังกล่าวนี้ ทำให้ทราบว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบ Account ที่มีการโพสต์ประเด็นดังกล่าว ไปยังกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีจำนวนการโพสต์ ดังนี้

-ราชสมัคร xxx จำนวน 4 โพสต์
-ออสติน พระxxxxxx จำนวน 2 โพสต์
-Tom Srixxx จำนวน 1 โพสต์

และเมื่อได้ตรวจสอบพฤติกรรมของ Account ทั้งหมด พบว่า 3 Account ดังกล่าว ได้มีการทิ้งระยะห่างเวลาในการโพสต์ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เน้นไปที่ 'กลุ่มการเมือง' ที่เปิดเป็นสาธารณะ อีกทั้งยังมีการใช้รูปภาพเเละเนื้อหาเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า

1.Account : ราชสมัคร xxx โพสต์ประเด็นดังกล่าวในลักษณะเดียวกันนี้ จำนวนทั้งสิ้น 4 กลุ่ม ซึ่งที่ผ่านมา หน้าโปรไฟล์มักเเชร์ข่าวเกี่ยวกับ 'การออม/การเงิน/การลงทุน'

2.Account : ออสติน พระxxxxxx และ Tom Srixxxx มีการเข้าร่วมกลุ่ม เเละโพสต์ประเด็นดังกล่าวร่วมกัน

3.ทั้ง 3 Account ไม่ใช้รูปตนเอง เเละตั้งรูปโปรไฟล์เป็นรูปรถ, รูปการ์ตูน เเละรูปสัตว์ทะเล

ข้อมูลเท็จ-บิดเบือน
ทั้งนี้จากการตรวจสอบในเชิงลึกพบว่า กลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวเท็จ-ข่าวปลอมในเรื่องนี้ คือกลุ่มบุคคลกลุ่มที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว และ บุคคลกลุ่มเดียวกันนี้ ยังเกี่ยวข้องกับกรณี 'สต๊อกลม' ของ GGC มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บางคดียังคงอยู่ในกระบวนการสอบสวน ซึ่งดำเนินไปอย่างล่าช้าในหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ขณะที่บางคดี ศาลได้มีคำพิพากษาแล้วว่า อดีตผู้บริหารของ GGC และผู้ค้า “ร่วมกันกระทำความผิด” ในกรณีดังกล่าว

ที่ผ่านมา ยังพบว่า บุคคลกลุ่มดังกล่าว ยังมีพฤติกรรมแสวงหาผลประโยชน์จากการขายไบโอดีเซลให้กับกลุ่ม ปตท. ในราคาที่สูงกว่าปกติ แต่ผู้บริหาร ปตท.ในปัจจุบัน ได้ดำเนินมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวอีก เช่น การปฏิเสธการฮั้วประมูลไบโอดีเซล รวมถึงการเร่งรัดกระบวนการพิจารณาคดีในกรณี “สต๊อกลม” ทำให้บุคคลกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย ได้ดำเนินการตอบโต้ มีการใช้ 'ทนายความ' ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่ม ปตท. จำนวน 100 หุ้น โดยที่ไม่มีประวัติการลงทุนในตลาดหุ้นมาก่อน จากนั้นได้มีการยื่นข้อร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ โดยพุ่งเป้ามาที่ 'ผู้บริหาร ปตท.ในปัจจุบัน' ที่มีบทบาทในการดำเนินมาตรการป้องกันดังกล่าว ประกอบกับข้อร้องเรียนที่ได้มีการยื่นมา โดยอ้างสถานะการเป็นผู้ถือหุ้น แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่งได้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว และ 'ไม่พบข้อบกพร่อง' หรือ 'ประเด็นที่มีมูลความผิด' ตามที่มีการร้องเรียนแต่อย่างใด

ในเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้แจ้งว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 นั้น ระบุไว้ชัดเจนว่า

1.การกด Like ฐานข้อมูลหรือข้อมูลที่มีผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงเสี่ยง เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 หรือมีความผิดร่วม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี

2.การกด Share ข้อมูลที่มีความผิดโดยไม่ไตร่ตรองก่อน ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมฯ โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี

3.การเป็นแอดมินเพจ ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จดังกล่าว มีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯอย่างชัดเจน ถือเป็นความผิดมาตรา 14 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

4.การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น โดยเฉพาะการใส่ข้อความ รูปภาพ อันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ถือเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท

มูลนิธิบุณยะจินดา เพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัวมอบรางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบและพลเมืองดี ทุนสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจ ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

จากการปฏิบัติหน้าที่ และทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2567 จำนวน 1,998,000 บาท

(29 พ.ย.67) เวลา 13.30 นาฬิกาที่ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐพันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ประธานกรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาเพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัว เป็นประธานในพิธีมอบถ้วยรางวัลและประกาศเกียรติยศแก่ข้าราชการตำรวจและพลเมืองดี ผู้มีผลงานดีเด่นเป็นต้นแบบ มอบทุนสงเคราะห์เพื่อช่วยเหลือครอบครัวข้าราชการตำรวจ ผู้ที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดา ข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2567 โดยมี พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ, พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี, พล.ต.อ.ไกรสุข สินศุข,พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร, พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา, พล.ต.อ.สุพร พันธุ์เสือ,พล.ต.ท.หญิง ศิริจันทร์ จันทร์แสงสว่าง, พล.ต.ต.ปราโมทย์ อ่อนปาน, คุณกิ่งดาว พจน์โพธิ์ศรี กรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาฯ เข้าร่วมในพิธีฯ

คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ประธานกรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาฯกล่าวว่า “มูลนิธิบุณยะจินดาเพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัว ได้มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อสนองคุณความดีและตอบแทนคุณประโยชน์แก่ข้าราชการตำรวจผู้เสียสละ และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมเป็นประจำในทุกปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของ พล.ต.อ.พจน์  บุณยะจินดา อดีตประธานมูลนิธิบุณยะจินดาฯ ที่มีปณิธานที่จะให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ อำนวยประโยชน์เพื่อสังคมและส่วนรวมตลอดไป

ในปีนี้ มูลนิธิบุณยะจินดา ฯ มอบรางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม รางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบรางวัลพลเมืองดี  มอบทุนสงเคราะห์แก่ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ และมอบทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดา ข้าราชการตำรวจ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,998,000 บาท (หนึ่งล้านเก้าแสนแปดหมื่นแปดพันบาทถ้วน) โดยมอบเป็นรางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม 1 รางวัล 50,000 บาท ข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบ 3 กลุ่ม (สัญญาบัตร, ประทวน และดีเด่นในด้านต่าง ๆ) 22 รางวัล เป็นเงิน 400,000 บาท, พลเมืองดี 2 รางวัลเป็นเงิน 20,000 บาท,มอบทุนสงเคราะห์ฯ 133 ทุน เป็นเงิน 505,000 บาท และมอบทุนการศึกษาฯ จำนวน 120 ทุนเป็นเงิน 1,023,000 บาท”

สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลและทุนประเภทต่าง ๆ มีรายละเอียด ดังนี้
1. รางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม จำนวน 1 รางวัล มอบประกาศเกียรติยศสดุดีวีรกรรม และเงิน 50,000 บาท จำนวน 1 รางวัล ผู้ได้รับรางวัล คือ พ.ต.ท. กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป. สน.ท่าข้าม บช.น. โดยมอบรางวัลให้กับทายาทคือ พ.ต.ท.หญิง ชนม์ณกานต์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ฝ่ายควบคุมอัตรากำลัง อต.สกพ. (ภรรยา) และร.ต.ท.วันรัฐธ์ จันยะรมณ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.สำโรงใต้จ.สมุทรปราการ (บุตร)

วีรกรรมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2567 เวลา 21.45 นาฬิกา พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม ได้รับแจ้งเหตุว่ามีการทะเลาะวิวาทภายในครอบครัวและ มีอาวุธปืนในครอบครอง จึงได้รีบเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ โดยขณะเข้าไประงับเหตุ ปรากฏว่าคนร้ายในเบื้องต้นทราบว่า นายบุญมา หรือ เฮียตุ๊ง อายุ 49 ปี ผู้ก่อเหตุเป็นบิดา ได้ทะเลาะกับลูกภายในบ้าน และได้จับลูกสาววัย 15 ปีเป็นตัวประกัน พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ พยายามเข้าไปเจรจาเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน แต่กลับถูกฝ่ายบิดายิงสวน พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ ด้วยอาวุธปืน 3 นัด เข้าที่บริเวณอกด้านขวา 1 นัด หน้าอกด้านซ้าย 1 นัด และง่ามนิ้วมือซ้าย 1 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

สำหรับประวัติของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ เกิดวันที่ 16 เมษายน 2508 อายุ 59 ปี บรรจุครั้งแรกเมื่อปี 2537 ในตำแหน่งรองสารวัตร ปี 2551 เลื่อนตำแหน่งเป็นสารวัตร 
ปี 2558 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้กำกับการ ปี 2560 ดำรงตำแหน่งเป็น รอง ผกก.สส. 
สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และได้รับการแต่งตั้งเป็นรอง ผกก.ป. สภ.รามัน จ.ยะลา ปี 2563 ย้ายเป็น รอง ผกก.ป.สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ปี 2565 โยกเป็น รอง ผกก.ป.สน.บางมด  และปี 2566 จนถึงปัจจุบันเป็น รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม

2. รางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบ 3 กลุ่ม จำนวน 22 รางวัล รวมเป็นเงิน 400,000 บาท

2.1 กลุ่มสัญญาบัตร ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศและเงินรางวัล 100,000 บาท จำนวน 1 รางวัล คือ พ.ต.ท.อภิชาติ จันจุฬารอง ผกก.สส.3 บก.สส.จชต.ภ.9

2.2 กลุ่มชั้นประทวน มอบถ้วยรางวัลเกียรติยศและเงินรางวัล จำนวน 3 รางวัลๆละ 40,000 บาท รวมเป็นเงิน 120,000 บาท ผู้ได้รับรางวัล คือ
(1) จ.ส.ต.พิสุทธิ์ ศรีนอง ผบ.หมู่กก.ปพ.ภ.จว.ยะลา/ผบ.หมู่
งานสืบสวนคดีความมั่นคงและคดีพิเศษ ศปก.ตร.สน. ภ.9
(2) จ.ส.ต.หญิง รุ่งทิพย์ เวลา ผบ.หมู่ กก.ตชด.23 บช.ตชด.
(3) ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ  หลวงสอน ผบ.หมู่ งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการ
พระราชดำริ 2 กก.6 บก.จร.บช.น.

2.3 ข้าราชการตำรวจดีเด่นในด้านต่าง ๆ 5 ด้าน (ด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมดีเด่น, ด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติดดีเด่น, ด้านสืบสวนดีเด่น, ด้านจราจรดีเด่น และ ด้านสอบสวนดีเด่น) มอบในประกาศเกียรติบัตรและเงินรางวัล จำนวน 18 รางวัลๆละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 180,000 บาท ผู้ได้รับรางวัล คือ

ด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
(1) พ.ต.อ.นิกร    ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง จว.ภูเก็ต ภ.8
(2) พ.ต.ท.เอกลักษณ์ จิตชาญวิชัย รอง ผกก.ป. สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ภ.6
(3) พ.ต.ท.วิเชียร  คำชุมภู สว.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ
ต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. บช.สอท.
(4) พ.ต.ท.อมรศักดิ์ กลิ่นเมฆ ผบ.ร้อย ตชด.417 กก.ตชด.41
บก.ตชด.4 บช.ตชด.

ด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
(1) พ.ต.อ.ไกรสร ศรีอำพร ผกก.สส.ภ.จว.สระบุรี ภ.1
(2) พ.ต.อ.พรชัย สุวรรณวงศ์ ผกก.สส.2 บก.สส.จชต. ภ.9
(3) พ.ต.อ.อนุสรณ์ ดังก้อง ผกก.สภ.ตรอน จว.อุตรดิตถ์ ภ.6
(4) พ.ต.ท.นิธิศ รอดคลองตัน รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุดรธานี ภ.4
(5) พ.ต.ต.ชินวัตร บัวรอด สว.กก.สส.3 บก.สส.ภ.2 

ด้านสืบสวน
(1) พ.ต.อ.ธัชพงศ์ วงศ์พัฒนานิวาศ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก ภ.6
(2) พ.ต.อ.พีระ อัศวพิบูลย์ผล ผกก.สส.ภ.จว.สุพรรณบุรี ภ.7
(3) พ.ต.ท.พูนสุข เตชะประเสริฐพร รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1
(4) พ.ต.ท.มนตรี อินเปรี้ยว รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย สตม.
(5) ด.ต.ยุทธนา สารบูรณ์ ผบ.หมู่ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส.

ด้านจราจร
(1) พ.ต.อ.เจน โสภา ผกก.กลุ่มงานจราจร ภ.จว.เชียงใหม่ ภ.5
(2) พ.ต.ท.กฤษณกันต์ เกรียงทวีชัย รอง ผกก.จร.สภ.เมืองชลบุรี ภ.2
(3) พ.ต.ท.ณัฐฐ์ฐนนท์ สีฟ้า รอง ผกก.จร.สภ.เมืองอุบลราชธานี ภ.3

ด้านสอบสวน
(1) ร.ต.อ.สุรชาติ ไชยทองรัตน์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองหนองบัวลำภู
จว.หนองบัวลำภู .ภ.4
        
3. รางวัลพลเมืองดี มอบประกาศเกียรติคุณพลเมืองดีและเงินรางวัล จำนวน 2 รางวัลๆละ 10,000 บาท  ผู้ได้รับรางวัล คือ
3.1 พลเมืองดี 4 ราย คือ นายไสว มีสุข , นายปรีชา ฉันทสุทธา, นายกรกฤช แสงสิริ และ นายมีทรัพย์ พาหมณ์น้อย

วีรกรรมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 19.38 นาฬิกา เกิดเหตุ ชิงทองที่ร้านทองบางกอกโกลด์ ในห้างสรรสินค้าโลตัส สาขามหาชัย อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาครพื้นที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร ภ.จว.สมุทรสาครโดยคนร้ายเป็นชาย 1 คน รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อคลุมไรเดอร์ สวมหมวกกันน็อคสีขาวปิดบังใบหน้า สามถูงมือผ้า นุ่งกางเกงขายาวสีดำ ทราบชื่อต่อมาคือ นายคำพันธ์ ศรีหาสุข อายุ 24 ปี กระโดนข้าม ตู้กระจกหน้าร้าน บุกเข้าไปชิงทองรูปพรรณบนแผงโชว์ที่อยู่ด้านหลังของพนักงาน 3 คน กวาดสร้อยคอทองคำใส่กระเป๋าสะพายได้ จากนั้นนายคำพันธ์ฯ ได้กระโดดออกทางเดินวิ่งหลบหนีไปทางหน้าห้าง ที่มีกลุ่มคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง(พลเมืองดี) 4 คนช่วยกันสกัดจับคนร้าย (นายคำพันธ์ฯ) แต่คนร้ายได้วิ่งหลบหนีออกไปทางถนนพระราม 2 ขาออก โดยมีพลเมืองดีวิ่งติดตามและคนร้ายเสียหลักตกน้ำข้างทาง พลเมืองดีและเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันจับกุมคนร้ายได้พร้อมของกลาง เป็นสร้อยคอทองคำ จำนวน 45 เส้น น้ำหนักรวม 124 บาท, สร้อยข้อมือทองคำ จำนวน 39 เส้น น้ำหนักรวม 81 บาท น้ำหนักทองรวมทั้งสิ้น 205 บาท คิดเป็นมูลค่า 8.6 ล้านบาท ,มีดพับสีดำ 1 ด้าม และสิ่งเทียมอาวุธปืน 1 กระบอก       

3.2 พลเมืองดี 1 ราย คือ นายวินัย  เนียมเทศ วีรกรรมเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 เวลา 16.30 นาฬิกา เกิดเหตุหญิงอายุ 50 ปี กระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยา ลอยคอขอความช่วยเหลืออยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ใต้สะพานเจษฎาบดินทร์ ช่วงฝั่งขาออก มุ่งหน้าบางศรีเมืองต.สวนใหญ่ จ.นนทบุรี พื้นที่ สภ.เมืองนนทบุรี ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.กรชนก บุญมี ช่วงระหว่างกระโดดและลอยคอรอความช่วยเหลือ นายวินัย เนียมเทศ (พลเมืองดี) ขณะที่พาลูกและภรรยามาผูกเปลนั่งเล่นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเห็นเหตุการณ์ จึงได้รีบกระโดลงน้ำไปช่วยเหลือ น.ส.กรชนกฯ ทันที และพาตัวขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัยในสภาพหายใจรวยริน และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาสากู้ภัยให้นำส่งโรงพยาบาล

4.มอบทุนสงเคราะห์แก่ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ 133 ราย รวมเป็นเงิน 505,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
4.1 เสียชีวิต รายละ 20,000 บาท จำนวน 9 ราย
4.2 ทุพพลภาพ รายละ 10,000 บาท จำนวน 1 ราย
4.3 บาดเจ็บสาหัส รายละ 5,000 บาท จำนวน 23 ราย
4.4 บาดเจ็บ รายละ 2,000 บาท จำนวน 100 ราย

5.มอบทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาข้าราชการตำรวจ 120 ทุน รวมเป็นเงิน 1,023,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
5.1 ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่อง ระดับปริญญาโทต่างประเทศ

'รองนายกฯ ประเสริฐ' รับหนังสือสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า วอนรัฐบาลแก้ไขแก้กฎหมาย ลดความขัดแย้ง รัฐ-ประชาชน ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

(29 พ.ย.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนายทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางมารับฟังข้อเรียกร้องของกลุ่มสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า ซึ่งรวมตัวชุมนุมกว่าหลายพันคน บริเวณศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

นายประเสริฐ ยืนยันการรับทราบปัญหาและรับหลักการของสมัชชาคนอยู่กับป่าและพี่น้องประชาชน เพื่อนำเรียนต่อนายกรัฐมนตรี และจะนำสู่กระบวนการขั้นตอนการแก้ไขปัญหาแบบมีส่วนร่วมต่อไป ภายใต้บังคับกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการดำเนินการตามบันทึกนี้ จึงได้ลงนามบัณทึกไว้

โดยการประชุม ครม.สัญจรครั้งนี้นอกจากจะมุ่งเน้นการพัฒนาภาคเหนือแล้ว ยังเป็นเวทีสำคัญในการรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง โดยข้อเรียกร้องจากกลุ่มสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ยื่นหนังสือร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562  พ.ศ. 2567 และร่าง พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 รวม 2 ฉบับ จะส่งผลกระทบกับประชาชนที่มีที่ทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์ จำนวน 462,444 ครัวเรือน หรือ 1,849,792 คน และจะส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างรัฐกับชุมชนคนอยู่ในป่ามากยิ่งขึ้น

สำหรับข้อเสนอของสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าที่ยื่นต่อรัฐบาลมี 4 ประการ ดังนี้ 1.ขอให้ยุติการนำ พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ไปประกาศใช้กับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ จนกว่าจะมีการปรับแก้กฎหมาย 

2.ขอให้รัฐบาลจัดตั้งกลไกในรูปแบบที่เป็นคณะกรรมการหรือคณะทำงานจัดเวทีเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เป็นรายอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ทุกๆ พื้นที่ี เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ภายในระยะเวลา 60 วัน

3.ขอให้รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีจะต้องเร่งเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562  โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทั้งนี้ให้นำเสนอร่างสู่การพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี ภายใน 90 วัน ก่อนเสนอเข้าสภา 

4.ในระหว่างที่มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทั้งสองฉบับ รัฐบาลจะต้องชะลอยับยั้งการเตรียมประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 23 แห่ง จนกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายทั้งสองฉบับแล้วเสร็จ  เว้นแต่ในกรณีที่พื้นที่เตรียมการฯ นั้นดำเนินการกันขอบเขตชุมชน พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ป่าชุมชนแล้วเสร็จ และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

บิ๊กต่าย สั่งเปิด 'ปฏิบัติการเด็ดปีกผู้ค้ารายย่อย' ทั่วประเทศ วิสามัญนักค้ายาฯ 1 ศพ

จากนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภา วันที่ 12 ก.ย.67 ว่าปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยจะเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิต และจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ปราบปราม และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการขับเคลื่อนงานของตำรวจ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จตช.รรท.รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา,พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร, พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุมและขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย พร้อมกันในทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายที่ยังหลบหนีและยึดทรัพย์ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทุกราย

วันนี้ (29 พ.ย.67) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้เดินทางมาติดตามผลการปิดล้อมตรวจค้นเพื่อจับกุมและยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร.  และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. ซึ่งได้กำหนดให้ ตำรวจภูธรภาค 1 - 9, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมบูรณาการกับ เจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมปฏิบัติการระดมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันนี้ โดยมีผลการปิดล้อมฯ ดังนี้ จำนวน 907 เครือข่าย เป้าหมายปิดล้อมตรวจค้น 3,146 จุดตรวจค้น ผู้ต้องหาตามหมายจับ 277 หมายจับ สามารถจับกุมผู้ต้องหา คดียาเสพติด 4,642 คดี ผู้ต้องหา 4,784 คน จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 453 หมายจับ ตรวจยึดของกลาง ได้แก่ ยาบ้า 44,202,186เม็ด, ไอซ์ 2,225 กก., คีตามีน 3.93 กก, เฮโรอีน 27.64 กก., ยาอี 1,222 เม็ด อาวุธปืน 241 กระบอก ตรวจยึดอายัดทรัพย์สินรวมมูลค่า 579,008,424 ล้านบาท  

สำหรับการระดมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดในครั้งนี้ ดำเนินการกวาดล้างทั้งเครือข่ายรายใหญ่และรายย่อย เน้นการปราบปรามผู้ค้ารายย่อย ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในชุมชน ทั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนที่อยู่ในชุมชนว่า ผู้ค้ายาต้องอยู่อย่างหวาดผวา และจากสถิติการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้วงตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 - 26 พ.ย.67 ที่ผ่านมา ทั่วประเทศสามารถจับกุมผู้ค้าเสพติดได้ถึง 281,491 ราย ตรวจยึดของกลางยาเสพติดเป็น ยาบ้า 1,125,147,367 เม็ด, ไอซ์ 34,590 กก., เฮโรอีน 1,992 กก., คีตามีน 7,092 กก. และยาอี 239,343 เม็ด สามารถยึดอายัดทรัพย์สินที่รวมมูลค่ากว่า 12,640,409,374 บาท

สวนนงนุชพัทยา จัดส่งท้ายปีเข้าชมพิพิธภัณฑ์พระฟรีตลอดเดือนธันวาคม 2567

 

สวนนงนุชพัทยาโดย นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา จัดโปรโมชั่นส่งท้ายปีเข้าชมพิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณฟรี อย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้สนใจเข้าชมเกือบ 3 หมื่นคน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1ถึง 31ธันวาคม 2567 (เฉพาะนักนักท่องเที่ยวชาวไทย)

สำหรับเด็กที่มีความสูงไม่เกิน140 ซม.ที่มากับครอบครัว และผู้พิการเข้าฟรีทุกวัน ผู้สูงอายุ(มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป)เข้าชมสวนฟรีทุกวันศุกร์ สำหรับท่านที่สนใจชมการแสดงนงนุชโชว์ และการแสดงของน้องช้างแสนรู้ มีการแสดงวันละ 4 รอบ ณ โรงละครสกาลานงนุชพัทยา

ปัจจุบันสวนนงนุชพัทยามีสวนสวยมากกว่า 60 สวน บนพื้นที่ 1,700 ไร่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการถ่ายภาพสวยๆ แปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใครในโลก อาทิเช่น สวนตะบองเพชร1และ2,สวนลอยฟ้า,สวนรถ1และ2,คาเฟ่แมว,สวนกล้วยไม้ และเนิร์สเชอรี่พันธุ์ไม้ต่างๆ  และสำหรับเด็กๆพลาดไม่ได้กับหุบเขาไดโนเสาร์ที่มีมากกว่า 1,700 ตัวโดยเปิดบริการทุกวัน 08.00 น. -18.00 น. สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nongnoochpattaya.com

'สมศักดิ์' สั่งการบุคลากรทางการแพทย์และสธ.เร่งช่วยประชาชน 5 จังหวัดชายแดนใต้โดนน้ำท่วมหนัก พบผู้ประสบภัยมีภาวะความเครียดสูง เสี่ยงซึมเศร้า 

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้สร้างความเดือดร้อนต่อพี่น้องประชาชนและความเสียหายต่อทรัพย์สินได้รับความเสียหายอย่างมากนั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีความห่วง  มีความห่วงใยอย่างมากได้สั่งการไปยังนายอภิชาติ วชิรพันธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 12และผู้บริหารซึ่งรับผิดชอบทั้งส่วนกลางและในพื้นที่เร่งช่วยเหลือ แก้ไข เยียวยา ฟื้นฟูตามอำนาจหน้าที่อย่างดีที่สุด และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ปฏิบัติงานภาคสนาม ล่าสุด โรงพยาบาลจิตเวชสงขลานครินทร์และศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 ได้รายงานสรุปสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 12 มา ดังนี้

พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบสีแดง 5 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส มีอำเภอที่ได้รับผลกระทบรวม 18 อำเภอ โดยได้รับผลกระทบในลักษณะน้ำล้นตลิ่งและท่วมขัง. ประชากรที่ได้รับผลกระทบรวม 273,121 คน พบผู้เสียชีวิต 1 รายจากสาเหตุจมน้ำ มีศูนย์อพยพที่มีผู้เข้าพักแล้ว ได้แก่ สงขลา 7 แห่ง มีผู้ประสบภัยเข้าพัก 482 คน, ยะลา 15 แห่ง มีผู้ประสบภัยเข้าพัก 873  คน, ปัตตานี 9 แห่ง ยังไม่มีรายงานผู้เข้าพัก, นราธิวาส 32 แห่ง เปิดแล้ว 27 แห่ง มีผู้ประสบภัยเข้าพัก 1,095 คน

ทางดเานนายกิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตการเตรียมทีมเยียวยาจิตใจ MCATT ในพื้นที่  87 ทีม ออกปฏิบัติการแล้ว 44 ทีม แผนการดำเนินงาน ทีม MCATT วางแผนประเมินสุขภาพจิตและให้การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ และเยี่ยมครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยมีทีม MCATT กรมสุขภาพจิตให้การสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่

น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า การเกิดวาตภัย อุทกภัยและดินโคลนถล่มใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ ครั้งนี้ สถานบริการสาธารณสุขในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 12 ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงพยาบาล สาธารณสุขอำเภอ สาธารณสุขจังหวัด หน่วยบริการปฐมภูมิ สถานบริการสาธารณสุขชุมชน (สสช.) หน่วยแพทย์แผนไทย อย่างไรก็ตามบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งรวมกลุ่มกันเป็นทีมปฏิบัติได้ให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อนอย่างต่อเนื่องด้วยการไปเยี่ยมบ้าน ให้สุขศึกษา ตรวจรักษา ส่งต่อ มอบชุดดูแลสิ่งแวดล้อม การจัดศูนย์พักพิง อีกทั้งให้บริการด้านสุขภาพจิต พบว่า มีภาวะความเครียดสูง 1,643 ราย เสี่ยงซึมเศร้า 405 ราย เสี่ยงฆ่าตัวตาย 86 ราย ส่งต่อจิตแพทย์ 310 ราย

ขณะที่โรงพยาบาลปัตตานี ได้รับรายงานจากนายรุซตา สาและ ผู้อำนวยการรพ.ปัตตานี รับคนไข้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และยังใช้ยาฉีดอยู่ เข้่ามา admit มีการขยายเตียง รพ เพื่อรองรับผู้ป่วยได้อย่างน้อย 50-60 คนรพ.พร้อมเปิดโรงครัว ดูแลทุกระดับ จัดระบบ logistics มีรถ 6 ล้อ จาก วิทยาลัยกาญจนาภิเษก รับผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ ระดมแพทย์ ทั้งรพ มาตรวจคนไข้ให้เร็วขึ้น.ขออัตรากำลังพยาบาลจาก รพช. มาขยายที่ขยายหอผู้ป่วยเพื่อช่วยเหลือให้ทันท่วงที” นางสาวตรีชฎากล่าว

สภากาชาดไทย ชวนเที่ยวงานกาชาดประจำปี2567 ภายใต้แนวคิด 'ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร' สัมผัสมนต์เสน่ห์มหรสพรื่นเริงการกุศลแห่งปี 11 – 22 ธันวาคม 2567 ณ สวนลุมพินี และ www.iredcross.org

เมื่อวันที่ (27 พ.ย.67) กองอำนวยการจัดงานกาชาด โดย คณะกรรมการแผนกประชาสัมพันธ์งานกาชาดประจำปี 2567 จัดแถลงข่าวงานกาชาดประจำปี2567 “ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร” โดยมี นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย ประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้สภากาชาดไทย และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ศิลปิน ดารา สื่อมวลชน  ร่วมเป็นเกียรติในงานแถลงข่าว ณ ศูนย์นันทนาการลุมพินี สวนลุมพินี

นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาดประจำปี2567 กล่าวว่า “เนื่องในโอกาสมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชูปถัมภกสภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษาวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 สภากาชาดไทย จึงได้จัดงานกาชาดประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร” เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อสภากาชาดไทย และพสกนิกรไทย ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 22 ธันวาคม 2567 ณ สวนลุมพินี และที่แพลตฟอร์มงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org 

นอกจากนี้งานกาชาดยังจัดขึ้นเพื่อหารายได้ไปใช้ในการบรรเทาทุกข์ บำรุงสุข บำบัดโรค กำจัดภัยแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และผู้ประสบภัยพิบัติขณะเดียวกันยังสะท้อนถึงความทุ่มเทและความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่าย แม้ว่าจะมาจากหลากหลายภาคส่วน แต่ทุกฝ่ายต่างก็ให้ความร่วมมือและใช้ความเชี่ยวชาญของตนเองมาร่วมกันสนับสนุนภายใต้ความมุ่งหวังที่จะผลักดันให้การจัดงานกาชาดนั้นสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์”

ด้าน นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย ในฐานะรองประธาน คณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาดประจำปี2567 ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานกาชาดประจำปีนี้ว่า “การจัดงานกาชาดประจำปี 2567 “ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร” มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณ และพระราชกรณียกิจขององค์พระบรมราชูปถัมภ์ สภากาชาดไทย องค์สภานายิกาสภากาชาดไทย และองค์อุปนายิกาผู้อำนวยการ สภากาชาดไทย รวมถึงเป็นการเผยแพร่ภารกิจของสภากาชาดไทยให้ประชาชนได้รับรู้ ยิ่งไปกว่านั้น งานกาชาดยังเป็นกิจกรรม ที่สร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา มูลนิธิ สมาคม สโมสร ผู้มีอุปการคุณ และประชาชน ตลอดจนเพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย”

พร้อมกันนี้ภายในงานแถลงข่าวได้จัดให้มีการเสวนาในหัวข้อ “งานกาชาด เพื่อ ประชาชน” นำโดย นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้สภากาชาดไทย กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย ผู้แทนจากการไฟฟ้านครหลวง และกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยการเสวนาดังกล่าวระบุถึงความสำคัญของการจัดงานกาชาด และรายได้จากการจัดงานกาชาดที่ถูกนำไปกระจายเป็นความช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมพูดคุยถึงความร่วมมือและแนวทางบริหารจัดการต่าง ๆ ภายในงานกาชาดประจำปี 2567

ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ อาทิ การจัดรถ BMA Feeder รับส่งที่สวนลุมพินี เพื่อลดปัญหาจราจรติดขัด การจัดเตรียมแสงสว่างให้เพียงพอ รวมถึงการคัดแยกขยะ และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ อีกทั้งยัง เน้นย้ำเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจและสะดวกสบายแก่ประชาชนที่เดินทางมาร่วมงาน ครอบคลุมไปยังประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่สวนลุมพินี 

ทั้งในระหว่างงานและหลังจบงาน เพื่อคืนพื้นที่อย่างสมบูรณ์แก่ผู้ใช้สวนลุมพินี ตามด้วยการแสดงพิเศษขับเสภาทำนองเสนาะชุด “ยลเสน่ห์อัตลักษณ์งานกาชาด” ซึ่งร้อยเรียงและบอกเล่าถึง กิจกรรมที่น่าสนใจในงานกาชาดปีนี้ ประกอบด้วย กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติการแสดงไฟ “แสงแห่งพระบารมี” ซุ้มว่าวเฉลิมพระเกียรติ โคมถวายพระพร และการแสดงน้ำพุประกอบดนตรีเฉลิมพระเกียรติที่สวยงามยิ่งใหญ่ กิจกรรมรื่นเริงเปี่ยมกุศล ทั้งการเสี่ยงโชคชิงรางวัลในรูปแบบต่าง ๆ การซื้อสินค้าคุณภาพดีราคาประหยัดจากหน่วยงานที่มาร่วมออกร้านกว่า 200 หน่วยงาน แฟชั่นโชว์ผ้าไทยในสวน และเกมการละเล่นสนุกสนานอันเป็นอัตลักษณ์ของงานกาชาด 

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสุดครื้นเครงในแต่ละวันอีกมากมายให้รอติดตาม กิจกรรมงานกาชาดออนไลน์ พบกับขบวนพาเหรดน้องไอจัง สุดน่ารัก กิจกรรม แข่งว่าวกาชาดที่ทุกคนรอคอย กิจกรรมบ้านผีสิงสุดหลอนร่วมกับ The Ghost Radio และเอาใจสายมูด้วย บริการทำนายดวงชะตาออนไลน์กับนักพยากรณ์ตัวจริง ตามด้วยการซื้อสลากบำรุงสภากาชาดไทยออนไลน์ และเลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษจากร้านค้ามากมายได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมผุดกิจกรรมใหม่สุดเพลิดเพลินเลี้ยงน้องไอจังใน iJung wonderland 

โดยกองอำนวยการจัดงานกาชาด ได้เนรมิตพื้นที่ศูนย์นันทนาการลุมพินี เพื่อจำลองบรรยากาศของงานกาชาด มหรสพรื่นเริงการกุศลแห่งปีที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมหยิบยกหลากหลายกิจกรรมน่าสนใจ ทั้งออนกราวด์และออนไลน์มาจัดแสดงให้ผู้ที่มาร่วมงานแถลงข่าวได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมตกแต่งโคมถวายพระพร ว่าวเฉลิมพระเกียรติและเพลิดเพลินกับการ เลือกซื้อสินค้าจากโครงการส่วนพระองค์ ผักดองจากร้านอุปนายิกา และร้านสภากาชาดไทย พร้อมชมความงดงามของ ผ้าไหมพระราชทานจากร้านสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ลุ้นรางวัลกับสอยดาวเสี่ยงโชค และลิ้มรสอาหารอร่อยจากเหล่าร้านอาหารในงานกาชาด ปิดท้ายด้วยการเล่นเกมรับของรางวัลจากน้องไอจัง (มาสคอต) ที่บูธงานกาชาดออนไลน์

เตรียมตัวให้พร้อมแล้วมาร่วมสัมผัสมนต์เสน่ห์อัตลักษณ์งานกาชาด มหรสพรื่นเริงการกุศลแห่งปี ระหว่างวันที่ 11 – 22 ธันวาคม 2567 ตลอด 12 วัน 12 คืน ตั้งแต่เวลา 11.00 – 22.00 น. วันสุดท้ายปิดงาน เวลา 23.00 น. ณ สวนลุมพินีเข้างานฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยในปีนี้ยังคงขอความร่วมมือให้ทุกท่านที่มาเที่ยวงาน เดินทางโดยรถสาธารณะเพื่อความสะดวก และใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก รวมถึงงดใช้โฟมเป็นบรรจุภัณฑ์ใส่อาหาร เพื่อลดปริมาณ ขยะในงาน และร่วมสนุกแบบไร้ขีดจำกัด ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านงานกาชาดออนไลน์ ที่ www.iredcross.org

เที่ยวสนุกสุขใจ ได้กุศล เที่ยวงานวันกาชาด...ที่สวนลุมพินี และ สนุกได้ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมงที่ www.iredcross.org

ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ผนึกกำลังเปิดปฏิบัติการ 'ล้างบางปรสิต' กำจัดอาชญากรข้ามชาติ

ตำรวจภูธรภาค 2 นำโดย พลตำรวจโท ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เป็นประธานในการเปิดปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของชาวต่างชาติ ในพื้นที่พัทยาและโดยรอบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวก่อนเทศกาลงานพลุนานาชาติเมืองพัทยาประจำปี 2567

สืบเนื่องจากพื้นที่จังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวระดับนานาชาติ และมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมเยียนจำนวนมาก โดยเฉพาะเมืองพัทยา ซึ่งในปัจจุบันมีปรากฎข่าวสารต่าง ๆ ในภาพสื่อ ทั้งด้านอาชญากรรมและความรุนแรงต่างๆ แรงงานต่างด้าวที่แย่งอาชีพคนไทย ชาวต่างชาติ และอาชญากรรมข้ามชาติ ที่กระจายอยู่ในทั่วทุกพื้นที่ อีกทั้งยังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นนั้น พลตำรวจโทยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จึงได้สั่งการเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อสอดรับนโยบายสำคัญของพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เน้นย้ำในเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เปรียบเสมือน “ปรสิต” ที่คอยกัดกินความสุข ความเป็นอยู่ที่ดี และยังคอยทำร้าย พี่น้องประชาชน มีความจำเป็นที่จะต้องทำการ “ล้างบาง” โดยเร็วที่สุด อีกทั้งพลตำรวจโท ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน จึงได้เปิดปฏิบัติการ “ล้างบางปรสิต”

ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี นำโดย พลตำรวจตรีธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดชลบุรี จึงได้สั่งการไปยังกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และสถานีตำรวจทุกสถานีในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี สนธิกำลังร่วมกับตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี รวมไปถึงผนึกกำลังร่วมกับหน่วยงานข้างเคียง อาทิเช่น เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี และเมืองพัทยา ในการบุกปฏิบัติการจับกุมเป้าหมาย และปราบปรามอาชญากรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว โดยผลการปฏิบัติการ "ล้างบางปรสิต" สามารถดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิด โดยแยกเป็นข้อหา ดังนี้

1. ความผิดเรื่องเป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานฯ และกระทำความผิดที่เกี่ยวกับการหลอกให้ลงทุน (call center) โดยจับกุมแก๊งชาวจีนปล่อยเงินกู้ ได้รวม 17 ราย รวมยอดหนี้หมุนเวียนรวมประมาณ 392,155,000 บาท
2. ร้านลักลอบผลิตและจำหน่ายสมุนไพรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 3 ร้าน จับกุมผู้ต้องหาได้ 11 ราย โดยเป็นแรงงานต่างด้าวจำนวน 7 คน และตรวจยึดสมุนไพรแปรรูปที่แอบอ้างสรรพคุณเกินจริง ที่มีวิธีการหลอกขายให้ซื้อโดยบังคับขู่เข็ญ
ทำร้ายร่างกาย จำนวน 27 รายการ
3. ความผิดเรื่องเป็นบุคคลต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่จะทำได้ (ทำงานผิดประเภท) จำนวน 109 ราย
4. ความผิดเรื่องเป็นบุคคลต่างด้าว หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 469 ราย
5. ความผิดเรื่องเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (over stay) จำนวน 33 ราย

6. ความผิดเกี่ยวกับการแจ้งที่พักอาศัยของคนต่างด้าว ตาม ม.38 จำนวน 249 ราย
7. ความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ ซึ่งมีไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำนวน 42 ราย โดยตรวจยึดปืนได้จำนวน 23 กระบอก 
8. ความผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติด จับกุมตัวได้ รวมจำนวน 9 ราย โดยตรวจยึดยาบ้า จำนวน 300,037 เม็ด ไอซ์จำนวน 4.2 กรัม 
9. จัดระเบียบการรวมกลุ่มแข่งรถในทาง-ทะเลาะวิวาท ของชาวคูเวต โดยตรวจยึดรถจักรยานยนต์ จำนวน 33 ราย 
ข้อหาขับรถประมาทหวาดเสียว 2 ราย โดยทั้งหมดได้ดำเนินคดีกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องแล้วทุกราย
10. จัดระเบียบคนไร้บ้าน เร่ร่อน 14 ราย (โดยตรวจพบเสพสารเสพติดจำนวน 7 ราย) ขอทาน 33 ราย ขายดอกไม้ 2 ราย

ปฏิบัติการดังกล่าว เป็นเพียงหนึ่งในนโยบายในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของชาวต่างชาติในพื้นที่พัทยา และพื้นที่ใกล้เคียง หลังจากนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการป้องกัน แต่จะเป็นการปฏิบัติการเชิงรุก ทะลายกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ในรูปแบบต่าง ๆ และอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ของนักท่องเที่ยว โดยตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จะดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความปลอดภัย จนเกิดความอุ่นใจ นำไปสู่ความเชื่อมั่นของประชาชนและสายตาชาวโลก ดังวิสัยทัศน์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน”

'รองนายกฯ ประเสริฐ' ลงพื้นที่เชียงใหม่ ติดตามความพร้อมรับมือสถานการณ์ฝุ่นพิษ PM2.5 - ตรวจความคืบหน้าโครงการท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน รอบคูเมือง

เมื่อวานนี้ (28 พ.ย.67) นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ลงพื้นที่ตรวจราชการภารกิจด้านอุตุนิยมวิทยาเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหา PM 2.5 และการเฝ้าระวังแผ่นดินไหวของจังหวัดเชียงใหม่ ณ สนามบินเชียงใหม่ โดยนางสาวสุกันยาณี ยะวิญชาญ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวต้อนรับพร้อมรายงานสรุปภาพรวมการปฏิบัติงานในภารกิจสนับสนุนการแก้ปัญหา PM 2.5 และการเฝ้าระวังแผ่นดินไหวของกรมอุตุนิยมวิทยา โดยรองนายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้ร่วมสนับสนุนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเข้มข้นและเป็นรูปธรรม เนื่องจากจังหวัดเชียงใหม่นั้นเป็นพื้นที่เป้าหมายที่รัฐบาลมุ่งหวังจะยกระดับวิถีชีวิตประชาชนในทุกมิติ รวมถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอากาศสะอาด โดย PM 2.5 เป็นปัญหาที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

จากนั้น นายประเสริฐ และคณะเดินทางไปตรวจดูงานความคืบหน้า งานท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน รอบคูเมืองของ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ณ จุดดูงาน แจ่งกระต๊ำ บริเวณคูเมืองรอบใน ถนนมูลเมือง ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งโครงการดังกล่าว บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ ได้สร้างโครงข่าย single last mile เพื่อรองรับโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเมืองใหญ่ เพื่อที่จะได้ไม่มีสายสื่อสารรกรุงรังบนเสา โดยที่ผ่านมา บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ และ Operator ค่ายสื่อสารต่าง ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ ได้เริ่มตัดถ่ายลูกค้าที่อยู่โครงข่ายบนเสาไฟฟ้าลงสู่โครงข่ายใต้ดิน single last mile ใน Lot1 และได้ดำเนินการเริ่มทยอยรื้อสายสื่อสารลงจากเสาไฟฟ้า เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 เพื่อความปลอดภัย เป็นระเบียบเรียบร้อย และทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองเชียงใหม่ โครงการ Lot ที่ 1 นี้ จะสามารถรื้อสายสื่อสารลงจากเสาไฟฟ้าได้หมด ภายในสิ้นปี 2567 นี้

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติฯ ทำ MOU บริษัท ไวท์พลาย ยกระดับการให้บริการสุขภาพ ตอบสนองต่อแผนยุทธศาสตร์ ในเรื่อง Smart Hospital และนโยบาย ผบ.ทร.

พลเรือตรี พัฒนชัย เฉลิมวรรณ์ ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ พร้อมด้วย นายเดชา อุปถัมชาติ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท ไวท์พลาย จำกัด ร่วมลงนามบันทึกความตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการจัดทำระบบ Insurance Claim ระหว่าง รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ กับบริษัท ไวท์พลาย จำกัด ณ ห้องประชุม 20 ปี อาคารอำนวยการ รพ.ฯ โดยมีคณะ รอง ผอ.รพ.ฯ ทั้ง 4 ฝ่าย พร้อมทั้งบุคลากรสำนักงานสิทธิประโยชน์ และบุคลากรของ บริษัท ไวท์พลาย จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อ 27 พ.ย.67 ที่ผ่านมา

การลงนามบันทึกความตกลงความร่วมมือ (MOU) ในครั้งนี้ เป็นการยกระดับการให้บริการสุขภาพ ตอบสนองต่อแผนยุทธศาสตร์ ในเรื่อง Smart Hospital และนโยบาย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ประจำปีงบประมาณ 2567 

ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสถานพยาบาล และผู้รับบริการ ในการประสานงานและเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ตามกรมธรรม์ประกันภัย ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top