ช่วงเวลามาตรฐานแห่งสยามประเทศ พระอัจฉริยภาพของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔

ในช่วงหลายวันก่อนเพื่อนผมคนหนึ่งได้ส่งคลิปซึ่งตัดมาจากภาพยนตร์เรื่อง “ทวิภพ” ปี ๒๕๔๗ นำแสดงโดย “รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง” และ “ฟลอเรนซ์ วนิดา เฟเวอร์” โดยฉากที่ตัดมานั้นคือการสนทนากันเรื่องของ “บางกอกมีนไทม์” (Bangkok Mean Time) ซึ่งกำหนดขึ้นจากการคำนวณของ “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๔ เพื่อใช้เป็นการนับเวลามาตรฐานของสยาม ซึ่งในข้อนี้พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพทางการด้านคำนวณ ทางดาราศาสตร์ และภูมิศาสตร์ของพระองค์ ซึ่งการคำนวณเหล่านี้เชื่อมโยงไปถึงการคำนวณปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่จะเกิดขึ้นที่ หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์ ที่ทรงคำนวณไว้ได้อย่างเที่ยงตรง แต่ “บางกอกมีนไทม์” (Bangkok Mean Time) คืออะไร ? และเชื่อมโยงไปสู่ GMT หรือ Greenwich Mean Time หรือไม่ อย่างไร ? ค่อย ๆ ไล่เรียงอ่านกันไปเพลิน ๆ นะครับ 

เบื้องแรกสยามเรานั้นมีการนับเวลากันเป็นโมงยาม มีอุปกรณ์ท้องถิ่นทำจากะลามะพร้าวเจาะแล้วนำไปลอยน้ำเรียกกันว่า “นาฬิเก” ซึ่งตัวโอ่งน้ำและตัวกะลาจะมีการวัดขนาดเพื่อให้อยู่ในเกณฑ์ เมื่อจะใช้ก็เติมน้ำให้ได้ตามาตรวัดแล้วนำ “นาฬิเก” ไปลอย พอนาฬิเกมีน้ำเข้าเต็มแล้วจมลงก็จะถือว่าเป็น ๑ ชั่วโมง “นาฬิกา” ถ้าวัดกันในกลางวันคนวัดก็จะตี “ฆ้อง” เราก็จะได้ยินเสียงดัง “โมง” และแน่นอน !!! เมื่อวัดกันตอนกลางคืนก็จะตี “กลอง” เราก็จะได้ยินว่า “ทุ่ม” ซึ่งก็เป็นที่มาของหน่วยเรียกเวลาแบบของไทยเรา ซึ่งยังไม่เป็นมาตรฐานมากนัก (หอกลองหน้าเป็นยังไงไปชมกันได้ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง ตรงข้ามวัดโพธิ์ ส่วนตัวกลองไปชมได้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๔ นั้น พระองค์ทรงเป็นนักศึกษาค้นคว้า ทรงสนพระทัยในด้านดาราศาสตร์ ทรงศึกษาตำราจากต่างประเทศทั้งจากฝั่งอังกฤษและอเมริกาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จนกระทั่งพระองค์ได้ทรงคำนวณการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างสุริยุปราคาได้ล่วงหน้าถึง ๒ ปี จากการคำนวณในครั้งนั้นทำให้พระองค์ได้ทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการ "สถาปนาเวลามาตรฐานประเทศไทย" โดยทรงวัดจุดเริ่มต้นจากตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษแล้วทรงวัดมาที่สยาม ทำไม ? ถึงต้องวัดจากกรีนิชประเทศอังกฤษ อันนี้มาจากตำราต่าง ๆ ที่ปรากฏในช่วงรัชสมัยของพระองค์นั้น เป็นตำราดาราศาสตร์ เพื่อการเดินเรือ (เนื่องจากเขาสังเกตดวงดาวในเวลาเดินเรือ) ทั้งตำราของอังกฤษเอง หรือจะเป็นตำราของอเมริกาก็ตาม จะอ้างอิงจากเมืองท่าของอังกฤษซึ่งถือว่าเป็นมหาอำนาจในขณะนั้น ในทุก ๆ ครั้งที่ผ่านหอนาฬิการิมท่าก็จะเทียบเวลา ไป - กลับ เข้า – ออก โดยทุกลำเรือมักจะมีนาฬิกาอยู่ ๒ เรือน คือเรือนใหญ่เป็นเวลาของกรีนิช เรือนเล็กเป็นเวลาที่ปรับตามท้องถิ่นของประเทศที่เดินทางไปติดต่อ ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ท่านทรงได้ศึกษาจนเข้าใจ ก่อนจะทรงคำนวณระยะห่างของชั่วโมงตามองศาที่เปลี่ยนไป จนได้เวลาของสยามที่ค่อนข้างแน่นอนตามที่พระองค์ได้ทรงอธิบายเอาไว้ใน “พระกระแสรับสั่งรัชกาลที่ ๔ เรื่องสุริยุปราคา เมื่อปีมะโรง พศ. ๒๔๑๑ ต้นฉบับของขุนวรจักรธรานุภาพ และตำราวัดพระอาทิตย์ของพระจอมเกล้า” ว่า 

"ลองติชูต" (Longitude) ๑๐๐ องศา ๓๐ ลิปดา ตะวันออก ห่างจาก "กรีนุวิศมินไตม์" (Greenich Mean Time ) อยู่ ๖ ชั่วโมง ๔๒ นาที 

แต่จริง ๆ แล้วนักวิชาการหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ นั้นพระองค์ไม่ได้วัดองศามาที่กรุงเทพ ฯ แต่เทียบวัดไปที่บริเวณจังหวัดเพชรบุรี (เขาวัง - พระนครคีรี) ไม่ใช่ที่กรุงเทพฯ เพราะการเทียบวัดครั้งนั้นเป็นไปเพื่อพยากรณ์การเกิดสุริยุปราคาเป็นหลัก ซึ่งตรงนี้ยังเป็นข้อถกเถียงที่อาจจะยังสรุปไม่เรียบร้อยนัก แต่อย่างไรก็ดี ณ เวลานั้น พระองค์ทรงให้กำเนิดเวลามาตรฐานประเทศไทย ก่อนนานาอารยประเทศ ๑๖ ปี 

จากการกำหนดเวลาดังกล่าวจึงเป็นเหตุสำคัญที่พระองค์ทรงมีรับสั่งให้สร้างหอนาฬิกาขึ้น ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “พระที่นั่งภูวดลทัศไนย” ขึ้นทางด้านเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม (เดิม) ตรงพุทธนิเวศน์ ในเขตพระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งองค์นี้เป็นตึกสูง ๕ ชั้น ชั้นบนสุดติดตั้งนาฬิกาขนาดใหญ่ทั้ง ๔ ด้าน มีพระราชประสงค์ให้ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวง เพื่อทำหน้าที่บอกและรักษาเวลามาตรฐาน นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงกำหนดให้เส้นแวง ๑๐๐ องศา ๒๙ ลิปดา ๕๐ พิลิปดาตะวันออก เป็นเส้นแวงหลักผ่านพระที่นั่งภูวดลทัศไนย 

ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้มีเจ้าหน้าที่รักษาเวลามาตรฐาน ประจำหอนาฬิกาหลวง ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งงานทางวิทยาศาสตร์ไทยชุดแรกอันได้แก่ เจ้าหน้าที่เทียบเวลากลางวันจากดวงอาทิตย์ คือ ‘พันทิวาทิตย์’ และเจ้าหน้าที่เทียบเวลากลางคืนจากดวงจันทร์ คือ ‘พันพินิตจันทรา’ คอยสังเกตและบันทึกการเคลื่อนที่ผ่านของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่เส้นเมอริเดียนของ“พระที่นั่งภูวดลทัศไนย” สำหรับพระที่นั่งภูวดลทัศไนยนั้นต่อมาถูกรื้อลงในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อสร้างทิมดาบใหม่

นอกจากนี้รัชกาลที่ ๔ พระองค์ยังได้ทรงสังเกตดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ามานานหลายปี ทรงพบว่า การขึ้น-ตก และแนวการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ในเดือนต่าง ๆ นั้น แตกต่างกัน ทำให้ที่หอนาฬิกาหลวงจึงมีการคำนวณทางดาราศาสตร์เป็นรายวันทุกๆ วัน เพื่อตั้งปรับเวลาที่หอนาฬิกาหลวงตามที่ได้คำนวณไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เป็น เวลามาตรฐานกรุงเทพปานกลาง หรือที่เรียกว่า “บางกอกมีนไทม์” (Bangkok mean time) นั่นเอง

นอกจาก “พระที่นั่งภูวดลทัศไนย” รัชกาลที่ ๔ ยังโปรดเกล้าฯ ให้ “พระบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม” ทรงออกแบบสร้างหอนาฬิกาตรงมุขเด็จของพระที่นั่งจักรีอีกแห่งหนึ่ง แต่มิได้ระบุชื่อและปีที่สร้าง แต่เชื่อว่าพระองค์มีพระราชประสงค์จะให้ชาวเรือขึ้นล่องแม่น้ำเจ้าพระยามองเห็น และเทียบเวลาเดินเรือได้สะดวก ซึ่งพระองค์มีพระราชดำริเกี่ยวกับการสถาปนาระบบเวลามาตรฐาน ไว้ในบันทึกการประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ไว้ว่า

"...จะเป็นเหตุให้เขาหัวเราะเยาะเย้ยได้ว่าเมืองเรา ใช้เครื่องมือนับทุ่มโมง เวลาหยาบคายนักไม่สมควรเลย เพราะเหตุฉะนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพินิจพิจารณาตรวจตราคำนวณความดำเนินพระอาทิตย์ ให้ฤดูทั้งปวงสอบกับนาฬิกา ที่ดีมาหลายปีทรงทราบถ้วนถี่ทุกประการ แจ้งในพระราชหฤทัยแล้ว..."

ภายหลังใน พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้มีการประชุมสภาสากลอุทกนิยม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อแบ่งภาคเวลา โดยกำหนดให้ตำบลกรีนิช เป็นจุดแรกของการกำเนิดเวลา ประเทศไทยจึงได้มีการกำหนดเวลามาตรฐานใหม่ จากเส้นแวงที่ ๑๐๐ ตะวันออก ซึ่งพาดผ่านพระบรมมหาราชวัง มาเป็นเส้นแวงที่ ๑๐๕ องศาตะวันออก จังหวัดอุบลราชธานี โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ใช้อัตราเวลาทั่วราชอาณาจักรไทย เป็น ๗ ชั่วโมงก่อนเวลาที่กรีนิชตั้งแต่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ นับตั้งแต่นั้น

“บางกอกมีนไทม์” (Bangkok mean time) เวลามาตรฐานของกรุงเทพฯ ที่เทียบจากมาตรฐานเวลาสากลของโลกที่ตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษ โดยวัดมุมในแผนที่ออกมาจากเมืองกรีนิชถึงกรุงเทพฯ ได้ที่ประมาณ ๑๐๐ องศา ๓๐ ลิปดา

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงคำนวณไว้ตั้งแต่ในปลายรัชสมัยของพระองค์คือ พ.ศ. ๒๔๑๑ ความแม่นยำของการคำนวณนี้ รวมไปถึงการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์นั้น ล้วนตรงตามเวลาที่พระองค์ท่านคำนวณไว้ทุกประการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านโดยแท้ 

หากวันนี้ท่านอยากจะเห็นหน้าตาของหอนาฬิกาที่ใกล้เคียงกับสมัยที่แรกสร้างนั้นท่านสามารถไปชมได้ที่ “หอนาฬิกาหลวงจำลอง” แถวถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง ตรงข้ามกับวัดโพธิ์ ซึ่งตัวนาฬิกาเดิมที่รื้อถอนลงในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงกลาโหม ส่วนหอนาฬิกาหลวงจำลองนั้นสร้างขึ้นในวาระสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี โดยยังคงรูปแบบเดิมไว้ แต่ย้ายตำแหน่งมาตั้งเคียงอยู่กับหอกลองที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดออกแบบโดย ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา สถาปนิกระดับตำนาน ผู้เป็นโหลนของ “กรมขุนราชสีหวิกรม” ผู้สร้างหอนาฬิกาหลังเดิมในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั่นเอง


เรื่อง: สถาพร บุญนาจเสวี Content Manager