Tuesday, 20 May 2025
TheStatesTimes

13 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงรับ ‘คุณทองแดง’ เป็นสุนัขทรงเลี้ยง

วันนี้ เมื่อ 25 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงรับ ‘คุณทองแดง’ เป็นสุนัขทรงเลี้ยง

คุณทองแดง เป็นลูกของ ‘แดง’ สุนัขจรจัดบริเวณซอยศูนย์แพทย์พัฒนา ถนนพระราม 9 เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงนำมาเลี้ยงหลังจากเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดศูนย์การแพทย์พระราม 9 และนายแพทย์คนหนึ่งนำคุณทองแดงมาทูลเกล้าฯ ถวายให้ทอดพระเนตร คุณทองแดงเกิดหลังลูก ๆ ของคุณมะลิไม่กี่วัน และทรงยกให้คุณมะลิเลี้ยงดู ทองแดง มีพี่น้องรวม 7 ตัว ซึ่งชาวบ้านตั้งชื่อให้ว่าทองแดง เพศเมีย, คาลัว เพศเมีย, หนุน เพศเมีย, ทองเหลือง เพศผู้ ได้ไปอยู่บ้านของข้าราชบริพารคนหนึ่ง, ละมุน เพศเมีย, โกโร เพศเมีย, โกโส เพศเมีย

คุณทองแดงมีลักษณะพิเศษต่างจากลูกสุนัขตัวอื่น คือ มีสายสร้อยรอบคอครึ่งเส้น มีถุงเท้าขาวทั้ง 4 ขา มีหางม้วนขดเป็นวง ปลายหางดอกสีขาว และมีจมูกแด่น ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายตัวเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ขณะมีอายุได้ 5 สัปดาห์ ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงค้นในหนังสือว่า ‘คุณทองแดง’ มีลักษณะคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์บาเซนจิ ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์โบราณ มีถิ่นกำเนิดทางแอฟริกาใต้ นิยมใช้งานในการล่าสัตว์ แต่ ‘คุณทองแดง’ มีขนาดตัวใหญ่กว่าสุนัขพันธุ์บาเซนจิทั่วไป พระองค์จึงทรงเรียกคุณทองแดงว่าเป็นสุนัขพันธุ์ไทยซูเปอร์บาเซนจิ ก่อนหน้านี้ทรงเรียกว่า เป็นสุนัขพันธุ์เทศ (ย่อมาจาก เทศบาล)

คุณทองแดงเป็นสุนัขทรงเลี้ยงตัวโปรดและปรากฏตัวตามสื่ออยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง 'ทองแดง’ หรือ ส.ค.ส. พระราชทาน โดยพระองค์ทรงฉายพระบรมรูปร่วมกับสุนัขทรงเลี้ยงต่าง ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2549-2559 รวมไปถึงระหว่างที่พระองค์ประทับรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลศิริราช ก็มีคุณทองแดงเฝ้าติดตามพระวรกายไม่ห่าง จนเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 หลังอายุได้ 17 ปี คุณทองแดงก็สิ้นลมหายใจด้วยโรคชรา ณ วังไกลกังวล

จับสาวจีนไลฟ์สดดิสเครดิตไทย อ้างไม่มีเจตนาร้าย แถมพบผิด พ.ร.ก.ต่างด้าว แอบขายออนไลน์ด้วย

จากกรณีประเด็นดรามา หญิงชาวจีนแต่งกายวาบหวิวเดินในซอยนานา และพูดให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย ผ่านสื่อสังคมออนไลน์นั้น...

(8 ธ.ค.66) เจ้าหน้าที่ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เข้าตรวจสอบบุคคลดังกล่าวที่ปรากฏในคลิป คือ น.ส.หวาง จือ ยู สัญชาติจีน เข้าประเทศไทยด้วยวีซ่าประเภท Thai Privilege Card โดยเจ้าตัวยอมรับว่า เป็นคนทำคลิปจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย โดยเพียงแต่ต้องการประชาสัมพันธ์ให้คนต่างชาติรู้ว่าสถานที่ไหนผู้หญิงไปคนเดียวควรจะระวังตัว 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพฤติกรรมของ น.ส.หวาง พบว่า มีการไลฟ์สดขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งเข้าข่ายการทำงานของคนต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ พนักงานสอบสวน บก.สส.สตม. จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ น.ส.หวาง ทราบว่าเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

‘หมออ๋อง’ ถูก ‘อดีต สส.อนาคตใหม่’ ฟ้องฐานหมิ่นประมาท ยัน!! ไม่หนีหมายเรียกแน่นอน พร้อมเข้าสู่กระบวนการสอบสวน

(8 ธ.ค. 66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก พรรคเป็นธรรม และรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทวีตข้อความผ่าน X ต่อกระแสข่าวที่ถูกตำรวจพิษณุโลกสั่งฟ้องในคดีหมิ่นประมาท นายเกษมสันต์ มีทิพย์ สมาชิกพรรคภูมิใจไทย ว่า…

“จากที่สอบถามกรณีข่าวผมหนีหมายเรียกและจะถูกหมายจับคดีหมิ่นประมาท ผมยืนยันว่ายังไม่ได้รับหมายใดๆ มีเพียงการไปรับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น และยินดีเข้ากระบวนการสอบสวนทุกอย่าง” พร้อมระบุอีกว่า “ผู้ร้องคือ อดีต สส.อนาคตใหม่ ที่ไปอยู่กับพรรคภูมิใจในปัจจุบัน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวเป็นกระแสเกิดขึ้นหลังจากที่เพจ ‘วันนี้พรรคก้าวไกลโกหกอะไร’ โพสต์ข้อความว่า…

“ตำรวจเตรียมออกหมายจับ หมออ๋อง หลังวันที่ 11 ธ.ค. หากไม่ไปรายงานตัว เหตุเบี้ยวนัดคดีหมิ่นประมาทหลายรอบ”

พร้อมระบุรายละเอียดในช่องแสดงความเห็นโดยเป็นภาพโพสต์ของนายเกษมสันต์ ที่ระบุว่า ได้ยื่นหนังสือถึง ‘ผบ.ตร.’ ถึงการดำเนินการตามที่ได้แจ้งความดำเนินคดีไว้ เพราะผู้ต้องหาไม่ยอมมาพบพนักงานสอบสวนแม้มีหมายเรียกออกไปแล้วถึง 2 ครั้ง

ผู้ต้องหามีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาประวิงเวลา เพื่อที่จะใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองอีกครั้งในวันเปิดประชุมสภาที่จะถึงนี้ ตำรวจมีระยะเวลาในการดำเนินการในครั้งนี้เหลือเวลาอีก 3 วันคือวันที่ 7, 8 และ 11 ก่อนที่ผู้ต้องหาจะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองอีกครั้งในวันที่ 12 ธ.ค.

“ผมรอมาแล้ว 100 กว่าวัน ซึ่งผู้ต้องหาได้ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองไปแล้ว 90 วัน จากสมัยเปิดประชุมสภาครั้งที่ผ่านมา รวมกับระยะเวลาที่สามารถดำเนินการได้ 40 วันในช่วงปิดประชุมสภา” นายเกษมสันต์ ระบุ

นอกจากนั้น เพจดังกล่าวยังระบุโพสต์ที่ว่า “สั่งฟ้องแล้ว” พร้อมภาพเป็นหนังสือแจ้งความคืบหน้าการสอบสวนคดีอาญา ลงชื่อ พ.ต.ท.ธนาพล เมฆบุตร สารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก แจ้งต่อนายเกษมสันต์ ระบุความคืบหน้าของพนักงานสอบสวน ระบุว่า การสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง และจะส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการต่อไป ลงวันที่ 16 พ.ย.

ซึ่งกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากนายเกษมสันต์ แจ้งความเอาผิดนายปดิพัทธ์ ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณาด้วยเอกภาพ ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ หรือที่ทำให้ความปรากฏด้วยวิธีการใดๆ

‘เศรษฐา’ ชี้!! เดินสายทั่วโลก ช่วยดึงดูดนักลงทุนชั้นนำ ยกเคส Google ร่วมไทย นำเทคโนโลยีใหม่เอื้อ ‘ชีวิต-งาน’

‘เศรษฐา’ โชว์วิสัยทัศน์ พร้อมขอบคุณ Google ร่วมมือรัฐบาลไทย นำเทคโนโลยี มาใช้ทำงานในชีวิต เชื่อ AI-Cloud ตอบโจทย์พันธกิจ พัฒนาธุรกิจไทย ลั่น!! วันนี้สวมหมวกรัฐบาล ทำงานเชิงรุก หวังคนไทยกินดีอยู่ดี ย้ำ!! ไม่ทิ้งคนไหนไว้ข้างหลัง

(8 ธ.ค.66)  ที่ห้องแมคโนเลียบอลรูม โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน ‘Google Digital Samart Thailand’ ว่า ขอขอบคุณผู้บริหาร Google และหลายภาคส่วนที่สำคัญ ทั้งภาคธุรกิจประชาชนคนไทยและอีกหลายท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่าง Google และรัฐบาลไทยในวันนี้การนำเทคโนโลยี Google มาใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวันการพัฒนาขีดความสามารถและการใช้งานจำนวนมากในภาคประชาชนและธุรกิจล้วนเป็นจุดเริ่มต้นสารตั้งต้นของงานในวันนี้

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้มาพูดในงาน Google ประเทศไทย ครั้งแรกจำได้ดีตอนอยู่ภาคเอกชนเดือนมิถุนายนปีที่แล้วประสบการณ์ของตนและ Google ทำให้ทราบว่านอกจากเป็นผู้นำทางด้านดิจิทัลแล้ว ยังใส่ใจในความแตกต่างความหลากหลายของผู้คนในสังคมหน่วยงานในภาครัฐและภาคธุรกิจขนาดใหญ่ขนาดกลางและขนาดเล็ก วันนี้ตนได้เห็นภาพชัดเจนของโครงการและการลงทุนต่างๆ ของ Google โดยเฉพาะด้าน AI และ Cloud นั้นจะตอบโจทย์พันธกิจ ของ Google ช่วยประเทศไทยและพัฒนาคนไทยและธุรกิจไทยอย่างแน่นอน 

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้สวมหมวกใหม่ในฐานะรัฐบาลเราให้ความสำคัญในการทำงานเชิงรุกที่สร้างความอยู่ดีกินดีให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งที่ผ่านมาก็พยายามดำเนินนโยบายหลังเร่งด่วนมาโดยตลอด ขณะเดียวกันขอย้ำเสมอว่าประเทศไทยอยู่ท่ามกลางความท้าทายของสภาพเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และตนได้ออกไปเชิญนักธุรกิจทั่วโลกในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เป็นที่ประจักษ์ดีว่าเพื่อประกาศให้โลกรู้ประเทศไทยเปิดแล้วสำหรับการทำธุรกิจ และเราจะทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นจุดมุ่งหมายของการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำอีกด้วย ยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลนำ AI และ Cloud เข้ามาพัฒนาการให้บริการพี่น้องประชาชน นำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูงด้วยกลยุทธ์การดำเนินการที่กล่าวไปแล้วเราได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในหลายมิติ

“การไปประชุมที่นิวยอร์กเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้พบปะกับ ประธานบริหารการลงทุนและประธานบริหารการเงิน ของ Google ซึ่งหารือถึงการทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยโดยรวม นับจากนั้นเป็นต้นมา คณะทำงานของทั้งสองฝ่าย ต้องขอขอบคุณทาง Google ประเทศไทยและทีมงานของตนที่ได้ทำงานกันอย่างหนักเชิงรุกร่วมกันอย่างเข้มแข็ง จนบรรลุถึง MOU ความร่วมมืออย่างเป็นทางการ ระหว่างไทยและ Google ที่การประชุมเอเปคกลางเดือนที่ผ่านมาความร่วมมือทั้งสองฝ่ายประกาศร่วมกัน 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ การต่อยอดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น การลงทุนขยาย Data Center ในประเทศไทยการส่งเสริมการใช้ Cloud และ AI อย่างมีความรับผิดชอบและปลอดภัยเพื่อยกระดับการให้บริการของภาครัฐการวางหลักการเกี่ยวกับนโยบายการใช้งานระบบ Cloud เป็นหลัก หรือที่เรียกว่า Cloud first Policies และการทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงทักษะด้านดิจิทัลได้อย่างมากขึ้น” นายกฯกล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้ประกาศนโยบายการใช้ระบบ Cloud เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างแข็งแรงในยุคเศรษฐกิจ AI รัฐบาลได้จัดทำนโยบายและแผนเพื่อเป็นกรอบการขยายงานใช้งาน Cloud และเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีทั้งภาครัฐและเอกชนโดยเน้นการใช้งาน Public Ground ที่มีมาตรฐานในการดูแลข้อมูลของภาครัฐ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะเป็นผู้เรื่องขับเคลื่อนนโยบาย เน้นบูรณาการด้านเทคโนโลยี Cloud กับการดำเนินงานของภาครัฐ ซึ่งทำให้เกิดผลได้เชิงปฏิบัติโดยเร็ว โดยอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้นอกจากจะเร่งให้เกิดการยกระดับการให้บริการในภาครัฐแล้ว ยังยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนของระบบ บริษัทชั้นนำของทั่วโลก เรื่องที่ 2 เรากำลังวางแนวทางจัดแผน ในหน่วยงานรัฐและที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้มีมาตรฐานลดความซ้ำซ้อนเพิ่มการป้องกันการคุกคามภัยทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาทางคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งชาติ ได้มีการคิกออฟการทำงานไปแล้ว ต้นปีหน้าเราจะเห็นแผนการทำงานที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเรื่องที่ 3 อัปสกิล-รีสกิล ตนยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นความร่วมมือกับ Google และกระทรวงและหน่วยงานราชการ ซึ่งจะพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร และหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดทำให้การบริการพี่น้องประชาชนได้ดียิ่งขึ้น เริ่มโครงการนำร่องใช้ในงานของภาครัฐ ความร่วมมือดังกล่าว

“ต้องขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ ในการส่งเสริมผลักดันความร่วมมือกับ Google และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นของโลกทั้งในเรื่อง AI Cloud และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์การดำเนินการเชิงรุกของรัฐบาลยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ และดีใจที่วันนี้เรามีการร่วมมือกับทาง Google จะทำงานกันต่อไป โดยไม่ทิ้งคนไทยคนไหนไว้ข้างหลัง” นายกฯกล่าว

ด้านนาย Karan Bajwa Vice President Asia Pacific Google Cloud กล่าวว่า จากผลการวิจัยพบว่าหากภาคส่วนและองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยนำนวัตกรรม AI มาใช้งานจะสามารถปลดล็อกผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 2.6 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573 อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมยังขาดความสามารถในการปรับขนาดและความยืดหยุ่น เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ความสามารถของเทคโนโลยี Cloud AI ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานระดับองค์กร โดยเฉพาะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม

ดังนั้น เราจึงได้ร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการร่างนโยบาย Go Cloud First เพื่อสร้างแนวทางที่ชัดเจนขึ้นสำหรับองค์กรต่างๆ ในการเข้าถึงความสามารถเหล่านี้อย่างรวดเร็ว ภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงคมนาคม และสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ เราจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปในการเตรียมความพร้อมให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการแก่ประชาชนในการสร้างและปรับใช้โซลูชั่น Generative AI โดยใช้ความสามารถของ Cloud AI ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการความร่วมมือ โดยมีเป้าหมายทำให้องค์กรต่างๆ ได้รับประโยชน์ที่มีอยู่ Generative AI เพื่อช่วยพลิกโฉมเศรษฐกิจประเทศไทย และสร้างประโยชน์ในวงกว้างต่อคนไทยทุกคนได้อย่างรวดเร็ว

‘คุณพ่อ’ ซึ้งใจ!! ‘คุณลุงแท็กซี่’ นำเงินค่าเทอมลูก 6 หมื่น ส่งคืนถึงมือ ด้านลุงคุณ เผย “เงินที่ไม่ใช่ของเรา มันก็เหมือนเศษกระดาษธรรมดา”

(8 ธ.ค. 66) ที่สถานีวิทยุ สวพ.FM91 กองตำรวจสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายสกล ถาวรกาญจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายสื่อสารองค์กร สถานีวิทยุ สวพ.FM91 พร้อมด้วยน.ส.จิตต์ผ่องใส ศรีวังพล ผอ.ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและจิตอาสาสัมพันธ์ สวพ.FM91 ร่วมเป็นสักขีพยาน ส่งมอบเงินสด กว่า 6 หมื่นบาท ส่งคืนเจ้าของ

โดย นายทองจันทร์ บุตรสัย โชเฟอร์แท็กซี่ สีชมพู ทส-6565 กทม. เดินทางเข้ามาเเจ้งว่า พบถุงผ้ามีหูรูดลายทาง สีน้ำตาล-ครีม ภายในมีเงินเหรียญ 12 บาท แบงก์ยี่สิบ 12 ใบ 240บาท แบงก์พัน 62 ใบ 62,000 บาท จำไม่ได้ว่าเป็นของผู้โดยสารคนไหน เพราะรับ 3 คนสุดท้ายเมื่อคืนวันที่ 7 ธ.ค.2566

คนเเรกจากดอนเมืองไปสุขุมวิท 23 คนที่2 จากสุขุมวิท 23 ไปตลาดบางใหญ่ และคนที่ 3 จากหมอชิต ไปเซนทรัลพระราม2 เเล้วกลับเข้าบ้าน ประมาณ 2-3 ทุ่ม

พอช่วง 7 โมงเช้า ทำความสะอาดรถ จึงพบกระเป๋าดังกล่าว ซึ่งตกใจมาก ไม่เคยเห็นเงินเยอะขนาดนี้ ตอนเช้ามาทำความสะอาดรถ สงสัยกระเป๋าอะไร จึงหยิบมาดู ตกใจรีบติดต่อสวพ.91 คิดว่า ไม่คิดจะเก็บไว้เอง เจ้าของเงินคงเดือดร้อน เพราะเงินเยอะขนาดนี้ ปกติเค้าคงไม่พกเงินสด คงต้องนำเงินไปทำอะไรสักอย่าง ก็เลยไม่คิดว่าจะเก็บไว้เป็นของเรา เราหาได้ 100 บาท 50 บาท ก็ดีใจเเล้ว เเต่พอเห็นเงินไม่ใช่ของเราก็เหมือนเศษกระดาษธรรมดา”

ด้านนายธนวัช ฉวีกัลยากุล เจ้าของเงิน ประสานมาที่ สวพ.91 ว่า ไปขอตรวจสอบกล้องวงจรปิด ที่คอนโด หลังจากนั่งแท็กซี่ สีชมพู ไม่ทราบทะเบียน จากดอนเมือง ไปลงซอยสุขุมวิท 31 เมื่อประมาณ 19.35 น. เนื่องจากช่วงที่ลงลืมถุงผ้าลายทาง สีขาวน้ำตาล ภายในมีเงินสดประมาณ 60,000 บาท ซึ่งจะเอามาเป็นค่าเทอมลูก พอรู้ว่าลืมจึงไปเช็กที่คอนโดได้ทะเบียนรถแท็กซี่มา

จึงโทรไปที่กรมการขนส่งทางบกขนส่ง บอกว่าเป็นรถของสหกรณ์สหมิตรแท็กซี่ จึงโทรไปที่สหกรณ์ ได้เบอร์เจ้าของรถจึงโทรฯหาเจ้าของรถ เจ้าของรถบอกว่าขายให้คุณทองจันทร์แล้ว จึงโทรฯหาคุณทองจันทร์ ทราบว่าเอามาฝากไว้ที่ สวพ.91 แล้ว จึงรีบประสานมารับเงินคืน ดีใจมากและขอบคุณแท็กซี่ เก็บได้แล้วประสานส่งคืน เป็นคนดีมาก

‘ไทย’ เล็ง ดัน ‘ประเพณีสงกรานต์’ สู่งานเทศกาลระดับโลก หลัง ‘ยูเนสโก’ ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

(8 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, กรุงเทพฯ รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ไทยจัดงานเฉลิมฉลองในกรุงเทพฯ เนื่องในโอกาสที่วันสงกรานต์ หรือเทศกาลวันขึ้นปีใหม่แบบดั้งเดิมของไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ขององค์การยูเนสโก (UNESCO) โดยไทยพร้อมส่งเสริมเทศกาลนี้ให้กลายเป็นงานระดับโลก เพื่อดึงดูดผู้มาเยือนและกระตุ้นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย กล่าวในงานเฉลิมฉลองว่าการขึ้นทะเบียน เมื่อวันพุธที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นของขวัญล้ำค่าที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจและเกียรติยศ รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์และส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ พร้อมเปิดโอกาสเท่าเทียม ให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพได้ร่วมเฉลิมฉลองทั่วประเทศ

แถลงการณ์จากรัฐบาลระบุว่า ไทยกำลังวางแผนจัดงานขนาดใหญ่หลายรายการสำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ประจำปีซึ่งตรงกับเดือนเมษายน ภายใต้ความพยายามส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ด้านวัฒนธรรม โดยนอกเหนือจากกิจกรรมสาดน้ำแบบดั้งเดิมแล้ว เทศกาลนี้ยังจะประกอบด้วยสิ่งดึงดูดมากมาย อาทิ เทศกาลต่างๆ ดนตรี อาหาร ศิลปะ และงานด้านวัฒนธรรม

อนึ่ง เทศกาลสงกรานต์ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ลำดับที่สี่ของไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนบนบัญชีของยูเนสโก ตามหลังละครโขน การนวดแผนไทย และรำโนรา

‘มาดามเดียร์’ ย้ำ 3 จุดยืน ‘ประเทศไทย-ประชาธิปไตย-ปชช.’ ก่อนประชุมเลือก ‘หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์’ ในวันนี้

(9 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. ในฐานะผู้สมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ภาพพรรคประชาธิปัตย์พร้อมข้อความบนภาพ ‘Better Democrat For Better Democracy’ และเขียนข้อความประกอบภาพว่า

“ประเทศไทย - ประชาธิปไตย - ประชาชน สร้างประชาธิปัตย์เป็นพรรคของทุกคน เพื่อร่วมสร้างประชาธิปไตยที่ดีกว่า”

ก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ในเวลา 09.30 น.

‘เด็กหมาป่า’ เด็กกำพร้าเยอรมันที่ถูกลืม ผลพวงของสงครามโลกครั้งที่ 2 กับชะตากรรมอันโหดร้ายจากความหิว ความหนาว และการสูญเสียตัวตน

‘เด็กหมาป่า’ (Wolf children) เด็กกำพร้าเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

‘เด็กหมาป่า’ ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเด็กที่เคยอาศัยอยู่กับฝูงหมาป่าตามที่ปรากฏเป็นข่าวอย่างในอินเดีย แต่เป็นเรื่องราวของเด็กกำพร้าเร่ร่อนชาวเยอรมันและชาวเยอรมันเชื้อสายลิทัวเนีย ซึ่งมีอยู่ใน ‘ปรัสเซียตะวันออก’ (‘ปรัสเซีย’ คือชื่อเดิมของ ‘เยอรมนี’ ซึ่งในอดีตมีพื้นที่กว้างขวางกว่าในปัจจุบัน) เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เด็กหมาป่าส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังจากการอพยพของพลเมืองปรัสเซียตะวันออก เพื่อหลบหนีการบุกของ ‘กองทัพแดง’ (สหภาพโซเวียต) เมื่อต้นปี 1945 โดยหลายคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย จึงต้องไปอาศัยอยู่ในป่าของปรัสเซียตะวันออกหรือถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวชาวลิทัวเนีย

การรุกปรัสเซียตะวันออกของกองทัพแดงในช่วงปลายปี 1944 ถึงต้นปี 1945 ทำให้ประชาชนชาวเยอรมันทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กหลายล้านคนต้องอพยพหลบหนี แต่เมื่อผู้ใหญ่จำนวนมากเสียชีวิตหรือบาดเจ็บระหว่างการโจมตีด้วยระเบิด หรือความหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาวที่รุนแรงโดยไม่มีอาหารและที่พักพิง เด็กกำพร้าหลายพันคนจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และต้องหลบหนีเข้าไปในป่าโดยรอบ ถูกบังคับให้ดูแลตัวเองและต้องเผชิญกับการตอบโต้ที่รุนแรง หากถูกทหารโซเวียตจับได้ โดยเด็กโตมักพยายามรวบรวมพี่น้องไว้ด้วยกัน และเอาชีวิตรอดด้วยการค้นหาอาหารและที่พักพิง กลายเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งของพวกเขา

เด็กหมาป่าจำนวนมากเดินทางไปหาอาหารในป่าของลิทัวเนียที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งต่อมาเด็กส่วนหนึ่งได้รับการรับเลี้ยงโดยเกษตรกรชาวลิทัวเนียในชนบท และเรียกพวกเด็กหมาป่าเหล่านี้ว่า ‘Vokietukai’ (เยอรมันตัวน้อย) และมักจะแบ่งปันอาหารและที่พักให้พวกเด็กหมาป่า

เด็กหมาป่าเหล่านี้ส่วนใหญ่เดินทางไปกลับมาหลายครั้ง เพื่อหาอาหารให้แม่หรือพี่น้องที่ป่วย โดยเดินทางไปตามรางรถไฟ บางครั้งก็นั่งบนรถหรือระหว่างตู้รถไฟ และกระโดดลงก่อนถึงสถานีที่ควบคุมโดยโซเวียต หลังทศวรรษ 1990 เด็ก ๆ ถูกเรียกว่าเป็น ‘เด็กหมาป่า’ เพราะพวกเขาใช้ชีวิตเหมือนหมาป่าที่เดินเตร่อยู่ในป่า

เกษตรกรชาวลิทัวเนียที่ขายผลิตภัณฑ์ของตนในเมืองเล็ก ๆ ของปรัสเซียตะวันออกในปี 1946 ได้พากันมองหาเด็กหมาป่าเพื่อให้มาช่วยพวกเขาในการทำงานประจำวัน และด้วยเหตุนี้ เด็กหมาป่าจำนวนมากจึงหลั่งไหลไปยังภูมิภาคบอลติกตะวันออกเป็นประจำ เพื่อรับอาหารแลกกับแรงงานหรือข้าวของต่าง ๆ ที่พวกเขาสามารถหามาได้ เกษตรกรชาวลิทัวเนียรับเลี้ยงเด็กที่อายุน้อยบางส่วน และเด็กหลายคนก็อยู่ในฟาร์มที่ลิทัวเนียเป็นการถาวร ตามการประมาณการคร่าว ๆ มีเด็กเยอรมันราว 45,000 คนอาศัยอยู่ในลิทัวเนียในปี 1948 แต่ไม่ปรากฏสถิติที่แน่นอน

ชาวลิทัวเนียที่ช่วยเหลือเด็ก ๆ ชาวเยอรมันต้องพยายามซ่อนเด็ก ๆ จากทางการโซเวียต เพราะการรับเลี้ยงเด็กเยอรมันนั้นเสี่ยงต่อการถูกลงโทษอย่างรุนแรง หากถูกตรวจพบ โดยพวกเขาได้ทำการเปลี่ยนชื่อของเด็กชาวเยอรมันจำนวนมาก และหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1990 พวกเขาจึงสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ เด็กหมาป่ามากมายได้รับชื่อและนามสกุลใหม่และกลายเป็นชาวลิทัวเนียโดยไม่มีทางเลือก เนื่องจากถูกห้ามไม่ให้เลือกเป็นเยอรมัน ไม่มีรายงานเหตุการณ์ของเด็กหมาป่าในสื่อเลย และเหตุการณ์เหล่านี้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเมื่อปี 1990 หลังจากการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก

คำแถลงอย่างเป็นทางการของรัฐบาลโซเวียตและโปแลนด์ในขณะนั้นคือ “ไม่มีชาวเยอรมันในพื้นที่เหล่านี้ และนี่เป็นตำแหน่งอย่างเป็นทางการของพวกเขาตั้งแต่ต้นตาม ‘ข้อตกลงพ็อทซ์ดัม’ (Potsdam Declaration) ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488”

ต่อมา ‘Ruth Kibelka’ เด็กหมาป่าคนหนึ่งได้ทำการค้นคว้าและตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับ ‘Wolfkinder’ ซึ่งมีบันทึกทางประวัติศาสตร์บางส่วนที่เด็กหมาป่าหลายคนจากปรัสเซียตะวันออกได้มอบให้ โดยบรรยายว่า ครอบครัวของพวกเขาถูกกดดันโดยกองกำลังโซเวียตที่กำลังรุกคืบในขณะที่พวกเขาพยายามหลบหนี พวกเขาถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิดในปรัสเซียตะวันออก และพบว่าบ้านของพวกเขาถูกทำลายจนเสียหายหมด บางคนถูกไล่ออกจากบ้าน และบางคนก็เสียชีวิตจากความอดอยาก เจ็บป่วย และเป็นไข้ไทฟอยด์ เด็กกำพร้าต้องหาทางเอาชีวิตรอดจนกลายเป็นเด็กหมาป่า

เด็กหมาป่าหลายร้อยคนถูกค้นพบในลิทัวเนียหลังจากที่แยกตัวออกจากรัสเซีย ปัจจุบันมีเด็กหมาป่าเกือบ 100 คนที่ยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา เหล่าเด็กหมาป่าได้ต่อสู้เพื่อสัญชาติเยอรมันของพวกเขา โดยพวกเขามีสมาคมของตัวเอง แต่สำนักงานบริหารกลางภายในกระทรวงมหาดไทยของเยอรมนี ยึดถือแนวคิดที่ว่า “บุคคลที่ออกจากดินแดน ‘Königsberg’ (ปรัสเซียตะวันออกเดิม ปัจจุบันคือ ‘Kaliningrád’ ของรัสเซีย) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ได้สละสัญชาติเยอรมันของตนแล้ว”

นับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต บรรดาเด็กหมาป่าได้เดินทางไปค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขา เพื่อกลับคืนมาเป็นชาวเยอรมันอีกครั้ง สภากาชาดเยอรมันช่วยค้นหาและระบุสมาชิกในครอบครัวของเด็กหมาป่าที่ขาดการติดต่อระหว่างกัน นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ชะตากรรมของผู้สูญหายอีกประมาณ 200,000 คนได้รับการชี้แจงแล้ว แต่ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวเยอรมันที่ถูกจับเข้าคุกและเสียชีวิตยังคงไม่ได้รับการเปิดเผย ปัจจุบันรัฐบาลเยอรมันได้ให้ความสนใจและให้ความสนับสนุนในการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของเด็กหมาป่ามากขึ้น เพื่อให้คนเหล่านี้ได้รับสัญชาติเยอรมันกลับคืน

เด็กกำพร้าชาวญี่ปุ่นที่ถูกทิ้งไว้ในจีน : หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เด็กกำพร้าชาวญี่ปุ่นในประเทศจีนส่วนใหญ่ถูกครอบครัวชาวญี่ปุ่นทิ้งไว้ หลังจากการส่งชาวญี่ปุ่นออกจากหูหลู่เต่า ตามตัวเลขของรัฐบาลจีนเด็กชาวญี่ปุ่นประมาณ 4,000 คนถูกทิ้งไว้ข้างหลังในจีน หลังสงคราม เด็กชาวญี่ปุ่น 90% ในมองโกเลียในและจีนตะวันออกเฉียงเหนือ (แมนจูกัวในขณะนั้น) ถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวชาวจีนในชนบท

ในปี 1980 เด็กกำพร้าเริ่มเดินทางกลับไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพวกเขา แต่กลับต้องเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติ เนื่องจากพวกเขาขาดทักษะภาษาญี่ปุ่น และประสบปัญหาในการหางานที่มั่นคงทำ

ณ เดือนสิงหาคม 2004 มีเด็กกำพร้าญี่ปุ่นที่เติบโตในจีนจำนวน 2,476 คน ได้ตั้งถิ่นฐานในญี่ปุ่น ตามตัวเลขของกระทรวงแรงงานของญี่ปุ่น พวกเขาได้รับเงินรายเดือนจำนวน 20,000-30,000 เยนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ในปี 2003 มีเด็กกำพร้า 612 คนยื่นฟ้องรัฐบาลญี่ปุ่น โดยอ้างว่ารัฐบาลญี่ปุ่นต้องรับผิดชอบต่อการที่พวกเขาถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โจทก์แต่ละคนขอเงินจำนวน 33 ล้านเยน

นอกจากเด็กกำพร้าแล้ว ยังมีผู้หญิงชาวญี่ปุ่นส่วนหนึ่งก็ถูกทิ้งไว้ในจีนอีกด้วย ผู้หญิงญี่ปุ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ต่อมาได้แต่งงานกับชายชาวจีน และกลายเป็นที่รู้จักในนาม ‘ภรรยาที่ตกค้างในสงคราม’ เนื่องจากพวกเขามีลูกกับผู้ชายชาวจีน ผู้หญิงเหล่านี้จึงไม่ได้รับอนุญาตให้พาครอบครัวชาวจีนของพวกเธอ กลับมาอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นเหมือนผู้ชายญี่ปุ่นที่สามารถพาภรรยาต่างชาติกลับญี่ปุ่นพร้อมกับพวกเขาได้ ทำให้ส่วนใหญ่ยังคงต้องตกค้างอยู่ในจีน เนื่องจากญี่ปุ่นมีกฎหมายที่อนุญาตให้เฉพาะเด็กที่มีพ่อเป็นชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่จะสามารถขอสมัครเพื่อเป็นพลเมืองของญี่ปุ่นได้

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

'วลาดิมีร์ ปูติน' ขอครองอำนาจต่ออีก 6 ปี ประกาศลงชิง ปธน.รัสเซีย สมัย 5 ในปีหน้า

เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.66) สำนักข่าวทาสส์ของทางการรัสเซียรายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียในปีหน้า ซึ่งหากประสบชัยชนะจะทำให้เขาดำรงตำแหน่งผู้นำรัสเซียสมัยที่ 5 เป็นเวลาอีก 6 ปี

ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียจะมีขึ้นเป็นเวลา 3 วันระหว่างวันที่ 15-17 มี.ค.2567

ผลการสำรวจของ Levada Center พบว่า ปธน.ปูตินได้รับคะแนนความพึงพอใจจากชาวรัสเซียสูงถึง 85% ในเดือน พ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.2560

นอกจากนี้ ผลการสำรวจของ Public Opinion Foundation (FOM) พบว่า ชาวรัสเซียที่มีสิทธิเลือกตั้งราว 70% ต้องการให้ปธน.ปูตินลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียในครั้งนี้

‘ธนกร’ ยัน!! รทสช.พร้อมลุยงานสภาเต็มที่ เหตุมีกฎหมายสำคัญรอพิจารณาอยู่เพียบ

(9 ธ.ค.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า สส.ของพรรคพร้อมทำงานเป็นตัวแทนประชาชนในสภาทันทีที่เปิดสมัยประชุม เนื่องจากมีกฎหมายสำคัญรอเข้าพิจารณาเป็นจำนวนมาก อาทิ ร่างพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง, ร่างพ.ร.บ.ประมง, ร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด, ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. … ที่ว่าด้วยสิทธิสมรสเท่าเทียม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวข้องโดยตรงกับพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ในช่วงปิดสมัยประชุม คณะกรรมาธิการก็ได้เร่งประชุมขับเคลื่อนงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถบรรจุร่างกฎหมายต่างๆ เข้าพิจารณาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดการบังคับใช้มีผลต่อประชาชนทุกกลุ่มทันที 

เมื่อถามว่ามีความกังวลหรือไม่ที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ส่งเข้าพิจารณาในสภาล่าช้า นายธนกร กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.งบฯ ปี 67 เป็นกฎหมายที่สำคัญมาก มีผลโดยตรงต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หากเกิดความล่าช้าอาจส่งผลกระทบต่อโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนได้ จึงขอฝากไปยังรัฐบาล ให้เร่งมือส่งร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าว เข้าพิจารณาตามขั้นตอนของสภาโดยเร็ว 

”ทราบว่าขณะนี้ทางกระทรวงการคลังได้ส่งร่างดังกล่าวให้ทางสำนักงบประมาณแล้ว คาดว่าจะสามารถส่งเข้าสภาได้ต้นเดือนมกราคมปีหน้าได้ หากพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ได้รวดเร็วก็จะส่งผลดีต่อการบริหารทุกกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ที่จะขับเคลื่อนงานพัฒนาประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้ทันที” นายธนกร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top