Tuesday, 20 May 2025
TheStatesTimes

‘นายกฯ’ ไม่เห็นด้วยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 2-16 บาท ลั่น!! ซื้อไข่ลูกนึงยังไม่ได้ เล็งคุยทบทวนใหม่

(9 ธ.ค.66) ที่ศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี คณะกรรมการไตรภาคี มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 2-16 บาท ว่า ค่าแรงขั้นต่ำของเราไม่ได้ขึ้นมานานมาก ขึ้นมาน้อยมาก ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน โดยรัฐบาลพยายามทำหลายวิธี ที่จะให้ ลดค่าใช้จ่าย ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร และอีกหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือบรรเทา ความทุกข์ของประชาชน รวมไปถึงการแก้ไขหนี้นอกระบบ และหนี้ในระบบ รัฐบาลพยายามทำอยู่ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่เรื่องของการเพิ่มรายได้ก็สำคัญ โดยประชาชนหลายสิบล้านคน ต้องพึ่งค่าแรงขั้นต่ำจำนวนมาก บางจังหวัดขึ้นแค่ 7-12 บาทเท่านั้นซึ่งน้อยเกินไป ทั้งที่รัฐบาลพยายามที่จะยกระดับ ให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมไฮเทค ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น

ตนเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะดึงบริษัทใหญ่มาลงทุนในไทย ไปเปิดตลาดค้าขายใหม่ในต่างประเทศ ที่ไทยยังไม่มีสนธิสัญญาทางการค้า สิ่งเหล่านี้รัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แต่ผู้ประกอบการหรือนายจ้าง ต้องขอวิงวอนและขออ้อนวอน ว่าพี่น้องแรงงาน คือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น อีกทางหนึ่งรัฐบาลพยายามทำทุกทาง แต่การขึ้นรายได้ ผู้ประกอบการต้องพยายามทำ ไม่ใช่มากดค่าจ้าง แล้วนายจ้างไม่ได้พัฒนา กิจการของตัวเองเลย ผู้ประกอบการต้องพัฒนาตัวเอง เพราะปัจจุบันนายจ้างก็ได้ประโยชน์ จากการลดค่าไฟ ค่าน้ำมันและอีกหลายอย่าง ตามมาตรการของรัฐบาล วันนี้เราจะยอม ให้แรงงานประชาชนคนไทย ต่ำติดดินแบบนี้หรือ ประเทศที่ใกล้เคียงกับไทยเช่นสิงคโปร์หรือเกาหลี สิงคโปร์ค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน 1,000 บาท เราจะยอมให้พี่น้องประชาชนของเราเป็นพลเมืองชั้น 2 ชั้น 3 ของโลกหรือในเมื่อค่าแรงขั้นต่ำติดดินขนาดนี้ เมื่อรัฐบาลพยายามยกระดับภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการ ก็ควรที่จะทำไปพร้อมๆกัน ถ้าทำเพียงฝ่าย เดียวเป็นไปไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเรื่องค่าแรงจะมีโอกาสทบทวนใหม่หรือไม่นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขอทบทวนใหม่ เดี๋ยวจะต้องไปพิจารณาดูถึงแนวทางความเหมาะสมเพราะเพิ่งทราบข่าวเรื่องนี้ แต่คงไม่ใช่การสั่งการ แต่เป็นการพูดคุยร่วมกัน เราต้องพูดถึงองค์รวมของเศรษฐกิจ และการทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่ขึ้นค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการหรือนายจ้างอย่างเดียว แต่ยังมีการเพิ่มรายได้เปิดตลาดที่มากขึ้น ที่ผ่านมาผู้ประกอบการหรือนายจ้างก็ได้ประโยชน์ไปแล้ว ถึงเวลาต้องคืนให้กับคนที่เป็นกำลังสำคัญ ในภาคผลิตด้วยหรือเปล่า พอพ้นจากวันหยุดก็จะมีการเรียกคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าเรื่องนี้ทุกคนมีความกังวลหมด ขอให้คิดถึงใจเขาใจเรา

เมื่อถามย้ำว่าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้รับการปรับขึ้น มานานแต่ขณะนี้ปรับเพียงแค่ 2 บาทจะมีการพิจารณาใหม่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้คุยกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้พูดคุยกันเรื่องนิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาท่องเที่ยว การเปิดด่านสะเดา มีการลงทุนสร้างสะพานไปยังมาเลเซีย สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงขึ้นแค่ 2-3 บาท ยอมรับว่าตนไม่สบายใจ ถึงอยากใช้เวทีนี้สื่อสาร ไปถึง และขอความเป็นธรรมให้กับพี่น้องแรงงาน ไม่อย่างนั้นจะติดกับรายได้ต่ำ ต้องคุยทั้งกับไตรภาคี และในครม.เพราะเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรับขึ้นค่าแรงที่เป็นธรรมควรจะอยู่ที่ตัวเลขเท่าไหร่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขึ้นไปสูงกว่านี้ โดยจะต้องฟังเหตุผล ของเขาเหมือนกัน อย่างที่บอก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้น 2-3 บาท ซื้อไข่ลูกหนึ่งยังไม่ได้ เมื่อถามย้ำว่าผู้ประกอบการจะอ้างเรื่อง ผลประกอบการไม่ดีเพราะสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา นายกกล่าวว่า รัฐบาลก็พยายามช่วยอยู่ โดยเฉพาะการลดค่าไฟที่ภาคอุตสาหกรรม ได้ประโยชน์ จากที่ 4.50 บาทต่อหน่วย ลดมาเหลือ 3.99 ดังนั้นขอให้คืนกับประชาชนบ้าง ขอย้ำว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักอยู่แล้ว 

เมื่อถามว่าหากมีการปรับเพิ่มขึ้นจำนวนมากอาจจะมีปัญหาเรื่องของการย้ายฐานผลิตออกจากประเทศไทย นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่มีหรอกครับอันนี้เป็นวาทกรรม ไม่มีใครย้ายเพราะค่าแรงขึ้น จาก 300 เป็น 400 บาทไม่มีหรอก รัฐบาลยังมี มาตรการส่งเสริมด้านภาษี มีระบบสาธารณสุขที่ดี สถานศึกษาก็ดี โครงสร้างพื้นฐานและสนามบินก็ดี ท่าเรือน้ำลึกก็มี ที่ตนเดินทางไปต่างประเทศก็ได้เซ็น MOU กับหลายบริษัทใหญ่ๆ ทั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ถ้าผู้ประกอบการไม่ช่วยกันก็ไปลำบาก

เมื่อถามว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้ได้ถึง 400 บาทตามนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องดูตามความเหมาะสม ในจังหวัดใหญ่อาจจะได้ถึง 400 แต่จังหวัดเล็กอาจจะไม่ถึง ต้องดูความเหมาะสม ขอย้ำว่าสิ่งต่างๆ ที่รัฐบาลพยายามทำเพื่อให้ นายจ้างสามารถส่งสินค้าออกไปได้และยังอำนวยความสะดวก เพื่อลดค่าใช้จ่าย ให้ผู้ประกอบการ

เมื่อถามว่านายกจะสื่อสารไปยังผู้ใช้แรงงานอย่างไรเพื่อไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว นายเศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย ขอให้ผู้ใช้แรงงาน ดูการกระทำ ว่าตนมีความจริงใจขนาดไหนอย่างไร เราให้ความสำคัญสูงสุด การที่ตนไปพูดที่หอการค้าไทย ขอให้ฟังดูว่าเขาดีใจหรือไม่ที่รัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับสภาอุตสาหกรรม รัฐบาลพยายามสร้างความมั่นใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน และเข้ามาอยู่ในประเทศไทยง่ายและปลอดภัยขึ้น ทั้งหมดเพื่อสร้างความมั่นใจ

"วันนี้ผมไม่ได้มาหาเสียง เพราะการหาเสียงจบไปแล้วแต่เราพูดถึงความเป็นจริงว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการดูแลควบคู่กันไปด้วย ขออ้อนวอนไปถึงนายจ้างให้ความเป็นธรรมกับผู้ใช้แรงงานด้วย"

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการนำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม. จะพิจารณาอย่างไร นายกกล่าวว่า ต้องดูว่ามีความจำเป็นว่าจะเสนอเข้ามาหรือไม่ ถ้าเสนอเข้ามา ตนไม่ยินยอมไม่เห็นด้วย แน่นอน ตนเชื่อว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำเราดูที่ความเหมาะสม เราเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ หลายประเทศ ค่าแรงขั้นต่ำเขามากกว่านี้ วันนี้เราชนะสิงคโปร์ในแง่ดึงดูดนักลงทุน บริษัทใหญ่เข้ามาสร้าง Data Center เป็น เป็นนิมิตใหม่อันดีว่าประเทศเรามีศักยภาพสูง แต่ทำไมจึงไปกดผู้ใช้แรงงานที่จะมาช่วยพัฒนาประเทศ

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรี รู้สึกเหมือนมีความฉุนเฉียวที่พูดถึงเรื่องนี้ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับฉุน เพราะการที่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องดูแลประชาชน 60 ล้านคน ไม่ใช่ดูแลแค่มาเอาคะแนนเสียง กับผู้ใช้แรงงานอย่างเดียว แต่นายจ้างและผู้ประกอบการ ก็ไปรับฟังความเห็นตลอด และพร้อมจะช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว

‘แอน จักรพงษ์’ ประกาศฟ้องกลับผู้แอบอ้าง ‘การเป็นเจ้าของโครงการเหรียญจักรวาล’

(9 ธ.ค.66) แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ และผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป หรือ JKN โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประกาศฟ้องกลับผู้แอบอ้าง ‘การเป็นเจ้าของโครงการเหรียญจักรวาล’ ด้วยมูลค่า 1.5 พันล้านบาท โดยระบุว่า…

“It’s time to clean up!! คนดีคนชั่วในสังคมมันเยอะนัก…กว่าประชาชนจะตระหนักว่าใครเป็นใคร ใครคือตัวปัญหา…ตัวเราต้องใช้ความอดทนทั้งพลังและปัญญา...ใช้เวลาใช้ความจริงสู้กับมนุษย์จอมปลอม!!

เจเคเอ็นประกาศฟ้องกลับผู้แอบอ้าง ‘การเป็นเจ้าของโครงการเหรียญจักรวาล’ ถ้าใช้หลักการเปรียบเปรย…ดิฉันไม่เคยเห็นโจรที่ไหนมาปล้นเจ้าของบ้าน พอปล้นไม่สำเร็จก็มาฟ้องเจ้าของบ้านกลับ?! แต่ลืมนึกไปว่าเจ้าของบ้านคนนี้ คือผู้หญิงข้ามเพศที่สู้ฟัดกัดไม่ปล่อยและไม่ยอมใคร…ถ้าคุณมาเอาเปรียบดิฉันและสมาชิกทุกคนที่อยู่ในอาณาจักรของเจเคเอ็นค่ะ ***Thx to Thai Sashes News ***”

‘เศรษฐา’ บุกกาญจนบุรี ยกคณะฟังเสียงประชาชน ท่ามกลางชาวบ้านชูป้ายต้อนรับ - หนุนเงินดิจิทัล

(9 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดกาญจนบุรี โดยจุดแรกที่ศูนย์ประสานงานอำเภอท่ามะกา ต.ตะคร้ำเอน อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี เพื่อพบปะประชาชนชาวกาญจนบุรี โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม ในฐานะอดีตนายก อบจ.กาญจนบุรี เจ้าของพื้นที่เก่า และสส.กาญจนบุรี ให้การต้อนรับ ได้แก่ นายอัครนันท์​ กัณณ์กิตตินันท์ สส.เขต 1 พรรคเพื่อไทย​ นายชูศักดิ์​ แม้นทิม สส.เขต 2 พรรคเพื่อไทย นายยศวัฒน์​ มาไพศาลสิน​ สส.เขต 3 พรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์​ สส.เขต 4 พรรคเพื่อไทย​ และ นายพนม​ โพธิ์แก้ว​ สส.​เขต 5 พรรคเพื่อไทย

รวมถึงประชาชนที่มาต้อนรับพร้อมถือป้ายขอสนับสนุนเงินดิจิทัล ข้อความ ยินดีต้อนรับท่านนายกฯ ชาวกาญจน์รักนายกฯ นิด, เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รออยู่นะคะท่าน ขณะที่บางส่วนเขียนข้อความที่เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยเคยประกาศไว้กับประชาชน 8 เรื่อง โดยทันทีที่นายกฯ มาถึงได้เดินทักทายประชาชนที่มาให้กำลังใจและมอบดอกกุหลาบให้

จากนั้นนายกฯ กล่าวกับประชาชน ว่า ยินดีมากที่ได้กลับมา จ.กาญจนบุรี อีกครั้ง หลังจากการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ที่จะครบในวันมะรืนนี้ที่รัฐบาลเข้ามาบริหาร พบว่าบ้านเมืองเรามีปัญหาเยอะ แต่เรามีรัฐมนตรีและทีมงานที่พร้อมจะรับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่เสียงสะท้อน เสียงเรียกร้อง เสียงวิงวอนตอนที่มาเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนที่มาที่นี่เสียงก็เป็นเหมือนกันหมดคือเรื่องของปากท้อง เรื่องปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติด พื้นที่ทำกิน ราคาเกษตร การค้าขายระหว่างพรมแดนทั้งหลาย รัฐบาลนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจ

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องของหนี้สิน เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ตนและ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศเป็นวาระแห่งชาติหนี้นอกระบบต้องหมดไป จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ มีการเซ็ตเป้าหมายที่ชัดเจนระหว่างนายอำเภอกับผู้กำกับทุกจังหวัด เมื่อมีเสียงเรียกร้องหรือมีปัญหากับการถูกเรียกทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นแก๊งมอเตอร์ไซค์ หมวกกันน็อก ออนไลน์ หรือการข่มขู่เจ้าหน้าที่ เราทุกคนพร้อมที่จะให้บริการกับพี่น้องประชาชน ฉะนั้นอย่ากลัว ให้เดินออกมาพูดคุยกัน รัฐบาลให้ความเป็นธรรมและคุ้มครองเจ้าหนี้และลูกหนี้ที่ทุกอย่างจะต้องถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย บ้านเมืองมีขื่อมีแป เราไม่ยอมรับการรีดไถที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม เรื่องนี้รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่องปัญหายาเสพติด เรามาพูดกันที่นี่ไปแล้วเมื่อตอนเลือกตั้งว่าเป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมไทยมานานมาก เรื่องของวงจรการค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะจากชายแดน เราได้มีการบริหารจัดการโดยแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงเข้ามาจัดการประสานงานกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ และพื้นที่ ซึ่งเราให้ความสำคัญสูงสุด เรื่องยาบ้าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เรื่องการ ทำลายสมัยก่อนใช้เวลานาน แต่คราวนี้เร่งรัดวงจรในการทำลาย จับได้พิสูจน์ทราบทำลายทันทีเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของสังคม

นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องการค้าการลงทุนยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องเป็นที่ประจักษ์ดีรัฐบาลนี้ทำงานอย่างเข้มแข็ง มีการเดินทางไปต่างประเทศ ไปเปิดการค้าระหว่างประเทศ ดึงนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเข้มแข็งขึ้น และเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม

“มีเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจคือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เชื่อว่าพี่น้องหลายคนเป็นห่วงอยู่ตรงนี้ โดยความเห็นส่วนตัวและถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำจะต้องถูกยกระดับขึ้นมา เรายอมรับไม่ได้ที่มีการประกาศกันเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม เดี๋ยวคงจะต้องมีการพูดคุยกันในเวทีที่เหมาะสม โดยใช้เหตุผลคุยกันตรงนี้ เป็นเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้และต้องแก้ไขกันต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่หลังจากการเลือกตั้งยังไม่มีรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมาเยี่ยมเยียนที่จังหวัดกาญจนบุรีเลย จึงถือเป็นมิติใหม่หลังจากได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องให้เข้ามาบริหาร และเดินทางมารับฟังพูดคุยปัญหาที่พี่น้องทุกคนมีอยู่วันนี้พร้อมมีรัฐมนตรีมาหลายคน ฝากการสื่อสารเข้ามาด้วยว่าอยากให้เราทำอะไรบ้าง ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลนี้พร้อมและทำงานอย่างเต็มที่

พีระพันธ์ุ ชี้!! 3 ข้อ ที่สามารถหนุนลดค่าไฟได้

(9 ธ.ค.66) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party’ ได้โพสต์ข้อความของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงค่าไฟฟ้าที่ลดได้จะเกิดจาก 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่…

1.) การขยายหนี้ กฟผ. ออกไปอีก 1 งวด 2.) การปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ และ 3.) การกำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติของ ปตท.

‘THAI FIGHT’ บุกจีน ลุยส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทย เตรียมเปิดยิมสอนทักษะ 10,000 แห่ง ภายในเวลา 5 ปี

(9 ธ.ค.66) นายนพพร วาทิน ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยไฟท์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ THAI FIGHT บริษัทจัดการแข่งขันมวยไทยอาชีพระดับโลก กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ (เอ็มโอยู) กับ บริษัท ยูไนเต็ด แวนเซน สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด โดยนายวิลเลียม หวู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นผู้ลงนาม มีนางจิราพร สุดานิช กงสุลใหญ่ไทย ณ นครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว THAI FIGHT และ United Vansen จะร่วมกันส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทยเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ การจัดการแข่งขันมวยไทยระดับโลกในประเทศจีน ดำเนินการเปิดยิมมวยไทยทั่วประเทศจีนเพื่อฝึกอบรมตลอดจนปลูกฝังและคัดเลือกนักมวยไทยมืออาชีพที่เป็นชาวจีน รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่สนใจออกกำลังกายด้วยวิชามวยไทยเพื่อสุขภาพที่ดีและรวมถึงเป็นศิลปะการป้องกันตัวด้วย ตั้งเป้าจะเปิดยิมมวยไทย 10,000 ยิม ภายในเวลา 5 ปี

นายนพพร กล่าวว่า บริษัท ยูไนเต็ด แวนเซน สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด บริหารจัดการกีฬาชั้นนำอันดับต้นๆ ของจีน มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงปักกิ่ง ความร่วมมือครั้งนี้ได้รับการประสานงานจากนายเชาว์ชัย เจียมวิจิตร และนายฉัตรชัย เล่งอี้ ประธานและรองประธานคณะอนุกรรมการหอการค้าแห่งประเทศไทยด้านค้าชายแดนด้านจีนตอนใต้ ซึ่งตรงกับนโยบายหลักของบริษัทฯ คือความเป็น ‘THAI SPIRIT’ ที่บ่งบอกความเป็นไทยและคนไทยเท่านั้นที่จะทำได้ดีที่สุด

นายวิลเลี่ยม กล่าวว่า ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวโครงการแลกเปลี่ยนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจีน-ไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาในเชิงลึกของทั้ง 2 ประเทศไม่ว่าจะเป็นในด้านวัฒนธรรม กีฬา การท่องเที่ยว และด้านอื่นๆ หลังจากพิธีลงนามทั้งสองฝ่ายยังได้หารือและวางแผนในเชิงลึกเกี่ยวกับความร่วมมือในด้านการจัดการแข่งขัน พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกีฬา และกีฬาเพื่อสุขภาพอย่างละเอียด รวมถึงมีแผนจะผลักดันด้านลิขสิทธิ์กีฬา สื่อบันเทิงกีฬา รวมถึงอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์กีฬาต่างๆ ที่มีคุณภาพของประเทศไทย รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลังด้วย

‘จีน’ ประกาศลดค่า ‘วีซ่า’ 25% ให้หลายชาติ รวม ‘ไทย’ ด้วย เริ่ม 11 ธ.ค.66-31 ธ.ค.67 หวังกระตุ้นนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ

เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.66) กระทรวงต่างประเทศจีนและสถานทูตจีนในหลายประเทศรายงานว่า จีนจะลดค่าการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (วีซ่า) ลง 25% ให้แก่นักเดินทางจากไทย ญี่ปุ่น เม็กซิโก เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. 2566 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567 ปัจจุบันนโยบายนี้ครอบคลุมผู้เดินทางหลายร้อยล้านคนจากกว่า 10 ประเทศ

สำหรับมาตรการใหม่นี้เป็นมาตรการล่าสุดของจีนที่ต้องการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจชาวต่างชาติเดินทางเข้าจีน ในช่วงที่เศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

เมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา จีนได้ประกาศนโยบายยกเว้นวีซ่าให้ผู้ถือหนังสือเดินทางฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และมาเลเซีย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2566 ถึงวันที่ 30 พ.ย. 2567 โดยสามารถพำนักอยู่ในจีนได้สูงสุด 15 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับทำธุรกิจ ท่องเที่ยว เยี่ยมครอบครัว และแวะเปลี่ยนเที่ยวบิน

‘อาร์ต พศุตม์’ ดีใจ!! มีเงินเก็บ 10 ล้านบาทตามเป้า หลังผันตัวเป็นพ่อค้าหมูกรอบ บวกกับรับงานในวงการ

(9 ธ.ค.66) ต้องยอมรับเลยว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดงหนุ่มที่ขยันทำมาหากินสุดๆ สำหรับ ‘อาร์ต พศุตม์’ ถ้าใครที่เป็นแฟนคลับก็จะเห็นว่าไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตนั้น ไม่ธรรมดานอกเหนือจากงานในวงการแล้วก็ยังเป็นพ่อค้าขายหมูกรอบอีกด้วยแถมในตอนนี้ก็ยังมีลูกค้าอุดหนุนมากมาย

ล่าสุด อาร์ต พศุตม์ ได้มีโอกาสออกมาเปิดใจ บอกว่า ตั้งใจจะเก็บเงินก่อนถึงสิ้นปี 10 ล้านบาท แต่ตอนนี้ก็สามารถทำได้แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้มาจากการขายหมูกรอบเพียงอย่างเดียว เพราะยังรวมมาจากงานในวงการ งานอีเวนต์และงานโฆษณาต่างๆ อีกด้วย

และนอกจากนี้ยังบอกอีกว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ง่ายเพราะอยู่ในวงการ สะสมชื่อเสียงมา 17 ปีแล้ว ซึ่งตอนนี้หนี้สินก็เหลืออยู่ประมาณ 1 ล้านบาท แต่ก็อยากให้เป็นอยู่แบบนี้ เพราะถือว่าเป็นแรงผลักดันในการทำงานนั่นเอง

'สพฐ.' เดินหน้านโยบาย 'ลดการบ้าน เพิ่มการเรียนรู้' ย้ำครูช่วยลดปริมาณ หวังให้เด็กๆ ได้เรียนอย่างมีความสุข

(9 ธ.ค.66) ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.2566 ได้ลงนามประกาศ ‘แนวทางการมอบหมายการบ้าน’ ตามนโยบาย ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา และ ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ) โดยเป็นการประกาศหลักการและแนวปฏิบัติในการมอบหมายการบ้าน ‘ลดการบ้าน เพิ่มการเรียนรู้’ ที่มุ่งหวังให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข ให้การบ้านเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนรู้และเป็นเครื่องมือประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน

หลักการ ‘ลดการบ้าน เพิ่มการเรียนรู้’ มุ่งเน้นให้ครูลดปริมาณการบ้านที่ต้องทำนอกเวลาในชั้นเรียนให้เน้นการมอบหมายการบ้านเฉพาะรายวิชาที่จำเป็นทักษะสำคัญ เช่น การอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น ให้มีการบูรณาการการบ้าน ซึ่งการบ้านชิ้นงานเดียวอาจตอบโจทย์การเรียนรู้ข้ามรายวิชา และส่งเสริมให้นักเรียนได้มีเวลาศึกษาค้นคว้าตามความสนใจของตนเองมากขึ้น

“การประกาศแนวทางการมอบหมายการบ้าน ‘ลดการบ้าน เพิ่มการเรียนรู้’ ของ สพฐ. เพื่อให้คุณครู รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองได้เข้าใจร่วมกันว่า หัวใจของการให้การบ้าน คือ การให้เด็กๆ ได้ทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ ให้ได้ฝึกฝนทำซ้ำจนเกิดทักษะ ซึ่งเด็กแต่ละคนต้องการเวลาเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่เรียนไม่เท่ากัน หรือสำหรับเด็กโต การบ้านที่ให้ได้ค้นคว้าอย่างอิสระ จะยิ่งส่งเสริมการเรียนรู้ ช่วยบ่มเพาะความรับผิดชอบในตนเอง จึงขอเน้นย้ำกับคุณครูว่า การให้โจทย์ที่ไม่ยากไม่ง่าย ไม่ใช้เวลามากเกินไป แล้วมีการตรวจการบ้าน อธิบาย ให้ feedback จุดที่ควรพัฒนาอย่างตรงประเด็น จึงจะเป็นการพัฒนานักเรียนอย่างแท้จริง ซึ่งความสุขที่เกิดจากการลดปริมาณแต่เพิ่มคุณภาพของการบ้าน เช่น ทำการบ้านหนึ่งชิ้นงานส่งคุณครูเพื่อวัดผลการเรียนรู้ได้หลายวิชา จะสร้างความสุขให้ทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง รวมถึงคุณครูเองด้วย ซึ่งเชื่อได้ว่าจะทำให้เด็กไทย ‘เรียนดี มีความสุข’ ตามเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยมให้กำลังใจตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัย พร้อมเยี่ยมชมและร่วมกิจกรรมร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ในงานกาชาดประจำปี 2566 

พล.ต.ต.หญิง สมพร พูลเกษม ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า วานนี้ (9 ธ.ค.66) เวลา 18.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยคุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้เดินทางไปยังงานกาชาดประจำปี 2566 ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลความเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่พี่น้องประชาชนที่มาร่วมงานกาชาด โดยได้ร่วมประชุมรับฟังการปฏิบัติหน้าที่ ณ กองอำนวยการร่วมงานกาชาด ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้เยี่ยมชมร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บริเวณโซน 5 ซึ่งมีกองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นเจ้าภาพ โดยได้ชมนิทรรศการเกี่ยวกับวิวัฒนาการตำรวจไทย “ย้อนรอย 100 ปีกิจการตํารวจไทย” , ร่วมถ่ายภาพกับภาพเหมือนของตำรวจโบราณ , ความรู้เกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ “ตํารวจไซเบอร์ผู้พิทักษ์ภัยออนไลน์ 24 ชั่วโมง” และยังได้ร่วมสนุกกับกิจกรรม “สนุกกับเกม” ได้แก่ เกมปาโป่ง และเกมตักไข่นำโชค นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ร่วมร้องเพลงบนเวที สร้างความสุขให้กับผู้เข้าร่วมสนุกที่ร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกด้วย 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังได้เยี่ยมชมร้านของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ซึ่งบูทติดกับร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมคณะแม่บ้านตำรวจ ร่วมให้การต้อนรับ โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ชมและอุดหนุนสินค้าของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ซึ่งคัดสรรสินค้าคุณภาพงานฝีมือจากหน่วยงานและครอบครัวข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ และร่วมกิจกรรม “พฤกษากาชาด”อีกด้วย

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนตลอดงาน ตั้งแต่วันที่ 8 - 18 ธันวาคมนี้ รวมทั้งจัดกำลังตำรวจจราจรจากสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี คอยดูแลอำนวยความสะดวกทั้งกับผู้มาร่วมงาน และผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วไป เพื่อไม่ให้การจราจรติดขัด ในทุกวันของการจัดงาน ในส่วนของร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมกิจกรรม และร่วมสนุกกันได้ทุกวัน เพราะได้เตรียมพร้อมทั้งความรู้ ความสนุก และของรางวัลจำนวนมาก สำหรับผู้มาเยี่ยมชม 

นอกจากนี้ ผู้บังคับการกองสารนิเทศ กล่าวว่า งานกาชาดประจำปี 2566 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 - 18 ธันวาคม 2566 ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร และทางระบบ Online ภายใต้แนวคิด “งานวันกาชาด 100 ปี รื่นรมย์สุขฤดี ณ ที่แห่งการให้” โดยเชิญชวนผู้เข้าร่วมงานย้อนวันวานด้วยการ “นุ่งโจงห่มไทยเที่ยวงานวันกาชาด” โดยในปีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมออกร้านบริเวณ โซน 5 ซึ่งการจัดงาน 2 วันที่ผ่านมา พบว่ามีพี่น้องประชาชนให้ความสนใจร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ในร้านของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจจำนวนมาก โดยทั้งสองร้านมีกิจกรรมและของรางวัลมากมายเพื่อให้ผู้เข้าชมได้ร่วมสนุก รวมทั้งในแต่ละวันจะมีศิลปินดาราจำนวนมากมาร่วมกิจกรรมในทุกวันอีกด้วย

‘ท่านอ้น’ นำคณะเยี่ยมชมสวนนงนุชเป็นการส่วนตัวเกือบทั้งวัน เข้าชม ‘พิพิธภัณฑ์รถ-หัวโขน-ปลูกต้นสาละอินเดีย’

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 66 ท่านอ้น วัชเรศร วิวัชรวงศ์ กลับมาประเทศไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 แล้ว และยังคนเดินสายปฎิบัติภารกิจส่วนตัว โดยวันนี้ใช้เวลาเกือบทั้งวัน นำพาคณะเดินชมสวนนงนุช มีคุณโต้ง กัมพล ตันสัจจา เจ้าของสวนนงนุชพาชม ตั้งแต่การแสดงโชว์​ในโรงละคร การแสดงช้าง จากนั้น ขึ้นรถรางชมรอบส่วนนงนุช ซึ่งมีเนื้อที่มากกว่า 1,700 ไร่ ทั้งพืชพันธุ์ต่างๆ รวมถึงรูปปั้นไดโนเสาร์และรูปปั้นสัตว์ต่างๆ ที่ทางสวนจัดแสดง

ท่านอ้น ให้ความสนใจกับพิพิธภัณฑ์รถ พิพิธภัณฑ์หัวโขน การปักสดึงไทยหุ่นกระบอก และพิพิธภัณฑ์พระเป็นพิเศษ เพราะมองแล้วเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้

นอกจากนี้ ท่านอ้น ได้นั่งรถขึ้นไปบนเขาบันไดกฤษ เพื่อปลูกต้นสาละอินเดีย โดยพื้นที่เขาแห่งนี้ เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และรักษาพันธุ์ไม้ของสวนนงนุช อย่างไรก็ตาม ระหว่างเดินชมสวนนงนุช มีประชาชนจำนวนมากมาขอถ่ายรูปกับท่านอ้น และบอกว่าโชคดีมากที่ได้เจอท่านอ้นวันนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top