Thursday, 8 May 2025
TheStatesTimes

'แบงก์ชาติฯ' ออกเกณฑ์เข้ม!! ห้ามแอปฯ ธนาคารล่ม หากล่ม!! ต้องไม่เกิน 8 ชม.ต่อปี ปรับสูงสุดครั้งละ 5 แสน

(31 ต.ค.66) นายภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภายในเดือนพ.ย.นี้ ธปท.จะมีการออกแก้ไขประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์การกำกับดูแลความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยได้ระบุถึงบทลงโทษหากระบบขัดข้องนานเกินที่กำหนด ซึ่งได้กำหนดว่าระบบโมบายแบงก์กิ้งของธนาคารจะขัดข้อง หรือล่มได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมงภายใน 1 ปี คือการล่มต้องหยุดชะงัก

“ถ้าหากล่มนานเกิน 8 ชั่วโมงต่อปี จะมีบทลงโทษตามระดับความรุนแรงเริ่มจากตักเตือน สั่งให้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข จนโทษสูงสุดคือโทษปรับสูงสุด 500,000 บาทต่อครั้ง และหากไม่ดำเนินการแก้ไขจะปรับเพิ่ม 5,000 บาทต่อวัน”

นายภิญโญ กล่าวต่อว่า สถิติระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของธนาคารพาณิชย์ขัดข้อง เมื่อตรวจดูจากข้อมูลพบว่าธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งมีอัตราการขัดข้อง หรือระบบโมบายแบงก์ล่มลดน้อยลงเป็นจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าการปรับปรุงประกาศการกำกับความเสี่ยงด้านไอทีนั้น จะช่วยให้ธนาคารเร่งพัฒนาระบบและการขัดข้องของโมบายแบงก์กิ้งลดน้อยลงกว่าเดิม

นายภิญโญ กล่าวอีกว่า สำหรับสถิติเทคโนโลยีสารสนเทศของธนาคารพาณิชย์ขัดข้อง ข้อมูลไตรมาส 3/2566 ที่เพิ่งออกมาล่าสุด หากดูโมบายแบงก์กิ้งขัดข้องรวมกันมี 4 ครั้ง ระยะเวลารวม 4 ชั่วโมง น้อยกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไตรมาสก่อนหน้าที่มีการขัดข้องของโมบายแบงก์กิ้ง 6 ครั้ง รวมกันนานถึง 11 ชั่วโมง โดยไตรมาส 3 มีธนาคารโมบายแบงก์กิ้งขัดข้อง ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ 2 ครั้งนาน 1 ชั่วโมง ธนาคารทหารไทยธนชาต 1 ครั้ง นาน 1 ชั่วโมง และธนาคารกรุงเทพ 1 ครั้งนานน้อยกว่า 1 ชั่วโมง

นายภิญโญ กล่าวต่อว่า เมื่อเทียบไตรมาส 2 ก่อนหน้านั้น มีระบบโมบายแบงก์กิ้งธนาคารพาณิชย์ขัดข้อง รวมกัน 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ขัดข้อง 2 ครั้ง แต่ล่มนานถึง 5 ชั่วโมง, ธนาคารกรุงไทย 1 ครั้ง นาน 1 ชั่วโมง, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 1 ครั้ง ล่มนาน 2 ชั่วโมง, ธนาคารกสิกรไทย 1 ครั้ง ล่มนาน 2 ชั่วโมง และธนาคารทหารไทยธนชาต ล่ม 1 ครั้ง นานน้อยกว่า 1 ชั่วโมง

ส่วนระบบธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ในไตรมาส 3 ปี 66 มีเพียงสาขาของธนาคารเกียรตินาคินภัทรเท่านั้นที่ขัดข้อง 1 ครั้งนาน 2 ชั่วโมง นอกเหนือจากนั้นทั้งอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งและตู้เอทีเอ็มไม่มีการขัดข้องเลยแม้แต่ครั้งเดียว

CEO ไทย สมายล์ กรุ๊ป เดินหน้าเพิ่มฟีดรถ EV สีส้มราคาประหยัด ทั้งความถี่และจำนวนยกระดับการให้บริการต่อเนื่อง เตรียมใช้เทคโนโลยี Fleet Management แก้ปัญหาจอดรับผู้โดยสาร

นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ กรุ๊ป เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินงานของไทยสมายล์บัสตลอด 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2566 ระบุว่า การพัฒนาธุรกิจในเครือไทยสมายล์กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของเส้นทางให้บริการที่ปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 123 เส้นทาง ประกอบกับการเพิ่มจำนวนรถเข้าให้บริการพี่น้องประชาชน จาก 800 คัน ในช่วงต้นปี 2565 จนปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2,200 คันแล้ว ส่งผลให้ยอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดิมเฉลี่ยมากกว่า 300,000 คน/วัน สอดคล้องกับจำนวนรถและรอบที่ให้บริการมากขึ้น ทำให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่พี่น้องประชาชนหันมาใช้บริการรถสาธารณะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้นขณะเดียวกันทางบริษัท ได้เพิ่มความถี่ เพิ่มจำนวนรถ เพิ่มจำนวนรอบ ไปจนถึงการขยายเวลาการวิ่งให้บริการเป็น 24 ชั่วโมง ใน 4 เส้นทาง

ส่วนแผนระยะยาว ทางไทยสมายล์บัส มีแผนขยายการให้บริการในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการวิ่งรถในเส้นทางใบอนุญาตปัจจุบัน และการขยายให้บริการรูปแบบ Feeder เชื่อมต่อการขนส่ง ทั้งรถ-เรือ-ราง ทั้งยังเพิ่มการให้บริการกลุ่มลูกค้าองค์กรต่าง ๆ ซึ่งในปีหน้าเชื่อว่าจะมีรถเข้ามาให้บริการเพิ่มเป็น 3,100 คันตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ คาดการณ์ว่าจะมียอดผู้โดยสารใช้งานเฉลี่ยมากกว่า 500,000 คน/วัน

อย่างไรก็ตาม ซีอีโอ ไทย สมายล์ กรุ๊ป ยอมรับว่า ตนรับทราบถึงความเห็นของผู้ใช้บริการ ที่อาจยังพบกับความไม่สะดวกในบางส่วน ทางบริษัทรับฟังและได้ทำการแก้ไขต่อเนื่อง เช่น รถเมล์ไฟฟ้าของ TSB ไม่จอดรับผู้โดยสาร วิ่งเลนขวา ทางบริษัทได้ลงทุนสร้างศูนย์ฝึกอบรมครบวงจร ที่จะปั้นพนักงานขับรถ “กัปตันเมล์” รุ่นใหม่เข้ามาให้บริการด้วยมาตรฐานที่ยกระดับขึ้น ทั้งยังปรับสิทธิประโยชน์รายได้ของพนักงานให้สอดคล้องกับพฤติกรรม นอกจากนี้บริษัทได้เริ่มทดลองใช้ระบบ Fleet management ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กำกับการเดินรถ สามารถตรวจการเข้าป้าย ความเร็ว ปริมาณผู้โดยสารบนรถ ไปจนถึงการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ขับขี่-พนักงานผู้ให้บริการ จึงขอให้มั่นใจว่า การบริการของ TSB จะปรับปรุงแก้ไข พัฒนาบริการให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ

โดยในวันเดียวกันนี้ ยังได้มีการเปิดตัว รถเมล์ไฟฟ้าราคาประหยัด หรือ “รถ EV สีส้ม” ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของภาครัฐ ที่มีกำหนดนโยบายว่าเอกชนผู้ได้รับใบอนุญาต ต้องดำเนินการจัดหาให้มีรถร้อน ออกให้บริการประชาชนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งทางบริษัทได้จัดหามาทั้งสิ้นจำนวน 60 คัน เพื่อนำไปเสริมการเข้าถึงบริการขนส่งมวลชนให้ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น ในเฟสแรกจะให้บริการใน 10 เส้นทาง จากนั้นจะศึกษาผลตอบรับเพื่อนำไปพัฒนาการให้บริการต่อไปในอนาคต ด้วยอัตราค่าโดยสาร 10 บาท ตลอดสาย ตามข้อกำหนดใบอนุญาตของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถชำระค่าโดยสารได้ทั้งรูปแบบ HOP Card ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ เดลิ แมกซ์ แฟร์ เดินทางไม่จำกัดในราคาเพียง 40 บาทตลอดสาย ไปจนถึงการชำระด้วยรูปแบบเงินสด

ด้านการพัฒนาของ ไทย สมายล์ โบ้ท ได้มีการเสริมฟีดเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า รูปแบบใหม่ ขนาด 19 เมตร เป็นเรือ Catamaran พลังงานสะอาด 100% ซึ่งมีความแตกต่างในทางกายภาพจากเรือรูปแบบเดิมของบริษัท ด้วยขนาดที่กระทัดรัดคล่องตัวมากขึ้น เหมาะที่จะเดินเรือในเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาได้ในทุกสภาพอากาศแม้ช่วงน้ำขึ้น ปัจจุบันได้รับเพิ่มมาแล้วจำนวน 9 ลำ ส่งผลให้บริษัทมีฟลีทเรือให้บริการทั้งสิ้น 35 ลำ ซึ่งจะเข้าไปบริการในเส้นทาง Urban และ City Line ก่อนในช่วงแรก แล้วจึงขยายไปเส้นทาง Metro Line ตามความต้องการของผู้โดยสารในแต่ละเส้นทาง สร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้เดินทาง โดยเฉพาะช่วงชั่วโมงเร่งด่วน คาดว่าจะสามารถเพิ่มความถี่ให้บริการได้ ทุก 7-10 นาที พร้อมทั้งยังสามารถให้บริการกับลูกค้าองค์กร เช่น การเช่าเหมาลำ การวิ่งตามฟีดเส้นทาง หรือเรือนำเที่ยว ได้อีกด้วย

‘เคทีซี’ ร่วมฉลองเปิดตัวปั๊มน้ำมัน ‘ไซโนเปค ซัสโก้’ สัญชาติจีน ประเดิมรัชดาฯ สาขาแรก พร้อมจัดโปรโมชันแก่ผู้ถือบัตรเครดิต

(31 ต.ค.66) เคทีซีร่วมฉลองการเปิดตัวสถานีบริการน้ำมันแบรนด์ใหม่ ไซโนเปค ซัสโก้ (SINOPEC SUSCO) แห่งแรกของประเทศไทย โดย ‘ไซโนเปค ซัสโก้’ เป็นบริษัทพลังงานชั้นนำยักษ์ใหญ่จากจีน ที่มีเครือข่ายสถานีให้บริการน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลก พร้อมจัดโปรโมชัน เมื่อเติมน้ำมันและชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี ที่สถานีบริการน้ำมันไซโนเปค ซัสโก้ (สาขารัชดาภิเษก ขาเข้า) ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566

นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดีกับ มร.หลี่ เว่ย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโนเปค ซัสโก้ จำกัด พร้อมกล่าวว่า “ที่ผ่านมาเราได้สนับสนุนกิจกรรมทางการตลาดกับซัสโก้ด้วยดีมาตลอด และวันนี้นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทางซัสโก้ได้ขยายความร่วมมือในการลงทุนกับทางไซโนเปค ซึ่งจะทำให้คนไทยมีทางเลือกในการใช้น้ำมันที่มีคุณภาพจากไซโนเปค ซัสโก้ และเพื่อร่วมฉลองการเปิดตัวสถานีบริการน้ำมัน ไซโนเปค ซัสโก้ สาขาแรกของประเทศไทยที่ถนนรัชดาภิเษก ทางเคทีซีจึงมอบสิทธิพิเศษให้แก่สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่เติมน้ำมัน และชำระยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป จะได้รับน้ำดื่มขนาด 1.5 ลิตร เพิ่มอีก 1 ขวด จากที่ทางสถานีบริการน้ำมันฯ ได้จัดโปรโมชันเติมน้ำมันครบทุก 900 บาท รับน้ำดื่ม 1 ขวด โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี จะได้รับรวมทั้งสิ้นเป็น 2 ขวด หรือหากใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี ยูเนี่ยนเพย์ ยอดตั้งแต่ 900 บาทขึ้นไป รับ e-Coupon เครดิตเงินคืนสูงสุด 40 บาท โดยไม่ต้องทำการลงทะเบียนใดๆ ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 - 31 ธันวาคม 2566”

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงก์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ

1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446 รัชกาลที่ 5 ครองราชย์ครบ 35 ปี จัดฉลองใหญ่พร้อมเปิดถนนราชดำเนินนอก

วันนี้ เมื่อ 120 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดถนนราชดำเนินนอก สะพานมัฆวานรังสรรค์ และถนนเบญจมาศ เนื่องในอภิลักขิตสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 50 พรรษา และฉลองครองราชย์ครบ 35 ปี

ก่อนหน้านี้ ใน พ.ศ. 2444 พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนราชดำเนินกลาง ตั้งแต่สะพานเสี้ยว ตรงไปข้างคลองบางลำพูต่อกับถนนราชดำเนินนอก จึงโปรดเกล้าฯ ให้เรียกถนนราชดำเนินช่วงแรกว่าถนนราชดำเนินนอก ต่อมามีการก่อสร้างถนนราชดำเนินมาในจดถนนหน้าพระลาน โดยสร้างขยายแนวถนนจักรวรรดิวังหน้าเดิม เริ่มจากมุมถนนหน้าพระลานและถนนสนามไชย มาบรรจบกับย่านริมสนามหลวงด้านตะวันออก ไปบรรจบถนนราชดำเนินกลางที่สะพานผ่านพิภพลีลา แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2446

ถนนราชดำเนินเป็นถนนที่สวยงามและเป็นศรีสง่าของบ้านเมือง ตั้งแต่แรกสร้างมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นถนนสายประวัติศาสตร์

‘เอ็กโก กรุ๊ป’ ปักมาตรการ 3 ระยะ บรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศ ตั้งเป้า ‘บรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์’ ในปี 2050

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป โดย นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมแบ่งปันประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจบูรณาการเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติในการดำเนินงาน และเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนตามมาตรฐานในรายงานประจำปี One Report ของบริษัทจดทะเบียน ชูเป้าหมาย SDG13 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการบริหารจัดการพลังงาน (Climate Action) เป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ ในงานสัมมนาเปิดตัว ‘คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียน และมาตรฐานผลกระทบ SDG’ หัวข้อ ‘การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืน (SDGs) ใน 56-1 One Report’ ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ โดยภายในงานได้รับเกียรติจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า เอ็กโก กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงานอย่างยั่งยืนมากว่า 31 ปี ภายใต้การกำกับกิจการที่ดี โปร่งใส และตรวจสอบได้ และได้บูรณาการเรื่องความยั่งยืน (ESG) ให้อยู่ในทุกกระบวนการการทำงาน 

โดยช่วงแรก เอ็กโก กรุ๊ป ได้จัดทำรายงาน CSR Report ซึ่งเป็นการเปิดเผยข้อมูลด้านการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนและสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการจัดทำรายงานทั้งแบบแสดงข้อมูลประจำปี (56-1) และรายงานประจำปี (56-2) ตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. 

ต่อมาจึงเริ่มพัฒนาการรายงานเป็น Sustainability Report หรือรายงานความยั่งยืนฉบับแรก โดยแยกเล่ม คู่กับรายงานประจำปี ในปี 2561 จากนั้นได้เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนในรูปแบบ One Report ภาคสมัครใจในปี 2563 หรือล่วงหน้า 1 ปี ก่อนข้อกำหนดของ ก.ล.ต. จะมีผลบังคับใช้ โดยเนื้อหาใน One Report ครอบคลุมถึงการสนับสนุนและการบูรณาการเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ข้อ ขององค์การสหประชาชาติ เป็นกรอบในการดำเนินงาน ตลอดจนอ้างอิงหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. รวมทั้งมาตรฐานและข้อกำหนดของการเขียนรายงานที่ถูกต้อง ได้แก่ GRI Standards และ Integrated Reporting โดยข้อมูลที่เปิดเผยใน One Report ได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองข้อมูลจากหน่วยงานภายนอก เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีความเชื่อมั่นในความถูกต้องของข้อมูล

จากเป้าหมาย SDGs ทั้งหมด 17 ข้อ เอ็กโก กรุ๊ป ได้กำหนด 5 เป้าหมายหลักซึ่งสอดคล้องกับบริบทโดยตรงและกิจกรรมหลักของบริษัท ได้แก่ SDG3 การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี SDG7 การมีพลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ SDG8 การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ SDG9 อุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน และ SDG13 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการบริหารจัดการพลังงาน (Climate Action) ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญและแก้ไขอย่างเร่งด่วน 

โดย เอ็กโก กรุ๊ป ได้กำหนดเป้าหมายการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำเพื่อร่วมบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศ ภายใต้แนวคิด ‘Cleaner, Smarter, and Stronger to Drive Sustainable Growth’ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่

-เป้าหมายระยะสั้นในปี 2573 (2030) ลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emissions Intensity) ลง 10% และเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% 
-เป้าหมายระยะกลางในปี 2583 (2040) บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)
-เป้าหมายระยะยาวในปี 2593 (2050) บรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

“การติดตาม ประเมินผล และเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ใน One Report ของเอ็กโก กรุ๊ป สะท้อนถึง การดำเนินธุรกิจบนแนวทางความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน รวมถึงมีส่วนช่วยประเมินผลการดำเนินงานภายในองค์กรเองและสามารถนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตอบแบบประเมินด้านความยั่งยืน เช่น ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices - DJSI) ซึ่งบริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก 3 ปีต่อเนื่อง 

สำหรับ ‘คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียนและมาตรฐานผลกระทบ SDG’ จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ ภาคธุรกิจขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมาย SDGs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการวัดและจัดการผลกระทบ ที่สำคัญของธุรกิจที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และบูรณาการเป้าหมาย SDGs ไว้ในกระบวนการตัดสินใจ การรายงาน และการบริหารจัดการภายในทุกระดับ เพื่อบรรเทาผลกระทบเชิงลบและขยายผลกระทบ เชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด โดยยังสามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและการเงินของบริษัทไปพร้อมกัน” นายเทพรัตน์ กล่าวสรุป

'ทีมงานวันนอร์' แจ้งข่าวดี ผลเจรจา 'ฮามาส' จบแล้ว  พร้อมปล่อยตัวประกันไทย 19 คน ยัน!! ทุกคนปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (31 ต.ค. 66) เว็บไซต์สำนักข่าวไทย เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ นายซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี ผู้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์แห่งประเทศไทย ถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยในฉนวนกาซา ว่า คณะเจรจาที่ถูกแต่งตั้งโดยประธานรัฐสภาไทย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งประกอบด้วย นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ นายเลอพงษ์ ซาร์ยีด ผู้ประสานงานฝ่ายต่างประเทศและนายสัยยิดมุมิน ศักดิ์กิตติชา ได้เข้าเจรจากับฮามาสในการช่วยเหลือตัวประกัน ว่าได้มีการเจรจา 2-3 รอบแล้ว ขณะนี้ถือว่าการเจรจาเสร็จสิ้นสมบูรณ์

“โดยล่าสุดคณะเจรจาได้รับเกียรติจากอยาตุลลอฮ์ อัคตารี ที่ปรึกษาประธานาธิบดีอิหร่าน เป็นเจ้าภาพในการเจรจาระหว่างตัวแทนไทยกับฮามาส โดยใช้ห้องทำงานของที่ปรึกษาฯ ซึ่งอยู่ในบริเวณทำเนียบในการพูดคุยเจรจา โดยมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมประชุม ซึ่งการเจรจาไม่มีปัญหาอะไร ทางฮามาสตกลงและพร้อมที่จะปล่อยตัวประกันคนไทย แต่ติดอยู่ที่เงื่อนไขของเวลาและความปลอดภัย เนื่องจากตัวประกันทั้งหมดถูกควบคุมตัวอยู่ที่ฉนวนกาซา การเดินทางเข้า-ออกยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากอิสราเอลโจมตีพื้นที่เส้นทางเข้าออกทั้งหมด ซึ่งหากเดินทางออกมาตอนนี้เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงต้องรอจนกว่าอิสราเอลจะหยุดโจมตี หรือยอมรับการหยุดยิง"นายซัยยิดสุไลมาน กล่าว

สำหรับยอดตัวประกันที่ทางฮามาสแจ้งมามีทั้งหมด 19 คน แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศแจ้งเพิ่มมาอีก 3 คน ซึ่ง 3 คนนี้ยังไม่ได้รับการรับรอง แต่ตนก็ได้ส่งชื่อเพิ่มไปแล้ว จึงยังไม่ได้รับรองมาว่ามี 22 คน แต่ขณะนี้ทั้ง 19 คน ทุกคนปลอดภัย และสุขภาพดีทุกอย่าง และหลังจากนี้คณะเจรจาจะได้รายงานทั้งหมดให้ประธานรัฐสภา และต้องคุยกับทางรัฐบาล เพราะขั้นตอนหลังจากนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลในการดำเนินการเจรจาเรื่องการขนย้ายนำเครื่องบินเข้าไป และประสานขออนุญาตบิน ซึ่งเป็นเรื่องระดับรัฐบาลแล้ว ส่วนการเจรจาถือว่าจบ

นายซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี กล่าวว่า ขณะนี้ฉนวนกาชาดถูกปิดล้อมทั้งทางบกทางทะเล มีช่องทางเดียวที่เข้า-ออก ได้ คือช่องทางราฟาห์ ซึ่งอยู่ใกล้กับอียิปต์ ดังนั้นการจะเปิดหรือปิดขึ้นอยู่กับทางการอียิปต์ ซึ่งจะเปิดช่วยเหลือเมื่อมีความจำเป็นด้านสาธารณภัย ทางรัฐบาลอียิปต์ก็จะเปิดให้ แต่ยังไม่เปิดให้เคลื่อนย้ายบุคคล จึงเชื่อว่าถ้าช่องทางจากกาซาไปชายแดนราฟาห์ปลอดภัย คงเป็นเรื่องที่ไทยจะต้องไปร้องขอจากทางรัฐบาลอียิปต์โดยตรง ทั้งนี้ตนพูดไว้ล่วงหน้า เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะมีการปล่อยตัวประกันแบบไหน แต่เห็นว่าตรงนี้เป็นเส้นทางเดียวที่จะปล่อยออกมาได้ เพราะตรงอื่นไม่มีทางออก นอกจากจะส่งมอบตัวประกันให้อิสราเอลแล้วทางอิสราเอลส่งมอบให้กับไทย ซึ่งเชื่อว่าเงื่อนไขหลังนี้น่าจะเป็นไปได้ยาก

'รอมฎอน' ตามขยี้ กอ.รมน. เปิดงบประมาณ 15 ปี มีเงินติดปีกแสนล้าน  เสี้ยม!! 12 สส.ภาคใต้ อย่าเงียบ!! จี้ 'เศรษฐา' ควรให้สภาถกเถียง

(1 พ.ย. 66) นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า กอ.รมน.ที่ฟื้นชีพขึ้นมาหลังกฎหมายความมั่นคง 2551 ใช้งบประมาณไปแล้วเท่าไหร่? ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณของสำนักงบประมาณในแต่ละปีเผยให้เห็นตามนี้ รวม ๆ แล้ว ตลอด 15 ปี ของ กอ.รมน.เวอร์ชั่นติดปีกนี้มีงบในกระเป๋าสูงถึง 1.3 แสนล้าน (หรือเอาละเอียดกว่านั้นคือ 130,023 ล้านบาท) อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกกระเป๋าหนึ่งของกองทัพก็ว่าได้

กอ.รมน.ปรากฏเป็นหน่วยงานภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีในปีงบประมาณ 2552 เป็นปีแรก เทียบเท่าหน่วยงานระดับกรม หลังจากที่ก่อนหน้านั้นมีสถานะเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งฝ่ายบริหาร ซึ่งมีสถานะที่ง่อนแง่นพอสมควรหลังจากภัยคุกคามคอมมิวนิสต์เริ่มจางหายไป ประกอบกับภัยคุกคามการแบ่งแยกดินแดน ถูกประเมินก่อนหน้านั้นว่าลดความสำคัญลงไป

บังเอิญว่าบริบทของโลกในตอนนั้นเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยก่อการร้าย จากสถานการณ์ต่อเนื่องจากเหตุเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และสงครามต่อต้านการก่อการร้ายตั้งแต่ปี 2544 และการปะทุขึ้นของไฟใต้ที่โดดเด่นขึ้นมาในปี 2547 หน่วยงานที่คร่ำครึเป็นมรดกตกค้างจากสงครามเย็นหน่วยนี้จึงเหมือนปลาได้น้ำ เมื่อเห็นเค้าลางภัยคุกคามใหม่

หลังการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ในปี 2549 เหตุผลในการฟื้นคืนหน่วยงานนี้ก็ดูจะมีน้ำหนักในแวดวงผู้ก่อการรัฐประหาร หลังจากนั้น ดูจากยอดขึ้นลงของงบประมาณก็จะสัมพันธ์กับอำนาจของกองทัพในการเมืองไทยอย่างเห็นได้ชัดครับ

รายละเอียดเนื้อในของงบประมาณเหล่านี้ก็น่าสนใจ อาจทำให้เราเห็นงานความมั่นคง ที่ควรต้องได้รับการตรวจสอบอย่างกระจ่างมากขึ้นครับ #ยุบกอ.รมน.

‘FBI’ เตือน 'สหรัฐฯ' เสี่ยงขั้นสูงถูกโจมตี  ผลพวงจากสงคราม 'อิสราเอล-ฮามาส'

(1 พ.ย.66) สงครามอิสราเอล-ฮามาส ทำให้ความเสี่ยงเกิดเหตุโจมตีต่างๆ นานาในสหรัฐฯ พุ่งสูง ท่ามกลางความกังวลเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกับชุมชนชาวยิวและชาวมุสลิม จากคำเตือนของคริสโตเฟอร์ เรย์ อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ)

"เราประเมินว่าการกระทำต่างๆ ของฮามาสและพันธมิตรของพวกเขา จะถูกใช้เป็นแรงบันดาลใจ ในแบบที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อนนับตั้งแต่พวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) เริ่มดำเนินการในสิ่งที่เรียกว่าสถาปนาการปกครองแบบกอหลิบเมื่อปลายปีก่อน" เรย์บอกกับคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของวุฒิสภา

"มันเป็นเวลาที่ต้องกังวล เราอยู่ในช่วงเวลาที่อันตราย" เขากล่าว "มันไม่ใช่เวลาแห่งความตื่นตระหนก แต่มันเป็นเวลาแห่งการระแวดระวัง"

ผู้อำนวยการเอฟบีไอรายนี้ ระบุว่า พวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย "ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่พวกนักรบฮามาสหรือองค์กรก่อการร้ายต่างชาติอื่นๆ อาจใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งในปัจจุบัน ดำเนินการโจมตีที่นี่ ในแผ่นดินของเรา"

"ความกังวลปัจจุบันทันด่วนที่สุดของเราคือพวกหัวรุนแรง บุคคลหรือกลุ่มต่างๆ อาจได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ต่างๆ ในตะวันออกกลาง และทำการโจมตีเล่นงานชาวอเมริกาที่ออกไปใช้ชีวิตประจำวัน" เขากล่าว "ในนั้นไม่ใช่แค่พวกหัวรุนแรงท้องถิ่นที่ได้แรงบันดาลใจจากองค์กรก่อการร้ายต่างชาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพวกหัวรุนแรงภายในประเทศ ที่เล็งเป้าเล่นงานประชาคมชาวยิวและชาวมุสลิมด้วย"

เรย์ ได้อ้างถึงเหตุจับกุมชายคนหนึ่งในฮิวสตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่ชายคนนี้ได้ทำการศึกษาวิธีการผลิตระเบิดเป็นอย่างดี และได้โพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการ ‘สังหารยิง’ รวมถึงเหตุเด็กชายชาวมุสลิมวัย 6 ขวบในอิลลินอยส์ ถูกฆ่าโดยเจ้าของห้องเช่า และเวลานี้กำลังถูกสอบสวนโทษฐานก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง

"สงครามที่กำลังเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง เพิ่มความเสี่ยงเหตุโจมตีเล่นงานพลเมืองอเมริกาในสหรัฐฯ สู่อีกระดับ" เรย์กล่าว

อัลกออิดะห์, รัฐอิสลาม (ไอเอส) และฮิซบอลเลาะห์ ต่างเรียกร้องให้สมุนโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เรย์ บอกว่า เอฟบีไอ ยังไม่ได้พบภัยคุกคามอย่างปัจจุบันทันด่วนที่น่าเชื่อถือ จากองค์กรก่อการร้ายต่างชาติใดๆ

แต่กระนั้นภัยคุกคามที่มีต่อประชาคมชาวยิวในสหรัฐฯ "อยู่ในจุดที่ไม่ไกลจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์" ผู้อำนวยการเอฟบีไอระบุ "ความจริง คือ ประชาคมชาวยิวเป็นเป้าหมายโดยเฉพาะของเกือบทุกๆ องค์กรก่อการร้ายในทุกมิติ" เรย์กล่าว พร้อมบอกว่าชาวยิวมีสัดส่วนคิดเป็นแค่ 2.4% ของประชากรสหรัฐฯ แต่ในบรรดาอาชญากรรมจากความเกลียดชังทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความศรัทธาในศาสนาเลย มีถึง 60% เลยทีเดียวที่เกี่ยวข้องกับชาวยิว

ผบ.ตร.ลงพท.จังหวัดชายแดนใต้ติดตามคลี่คลายคดีสำคัญ ให้น้อมนำยุทธศาสตร์ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มีส่วนร่วมกับชุมชน เป็นมาตรการเชิงรุกป้องกันเหตุยุติความรุนแรง กำชับดูแลความเป็นอยู่ ผู้ปฏิบัติทุกมิติ พร้อมลงเยี่ยมจุดตรวจมั่นคง สร้างขวัญกำลังใจตำรวจชายแดนใต้

วานนี้ (31 ต.ค. 66) เวลา 16.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เป็นประธานในการประชุมติดตามความคืบหน้าคดีสำคัญในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม รรท.รอง ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. โดยมี พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รรท.ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.นิตินัย หลังยาหน่าย รอง ผบช.9 , พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รอง ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.อาชน จันทร์ศิริ รรท.รอง ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.สันทัศน์ เชื้อพุฒตาลรรท.ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ,พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล รรท.ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ,พล.ต.ต.เชาวลิต เลี้ยงสุพงศ์ รรท.ผบก.ภ.จว.สงขลา , หัวหน้าสถานีตำรวจในพื่ยทีา จว.ปัตตานี 16 สถานี และ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 3 ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี

การลงพื้นที่ครั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ ได้ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีสำคัญที่เกิดขึ้น และให้แนวทางในการสืบสวนสอบสวนคดีต่างๆ สำหรับในส่วนของการดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่นั้น ได้มอบแนวทางให้กับสถานีตำรวจในพื้นที่ น้อมนำยุทธศาสตร์ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาเป็นหลักปฏิบัติในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อยุติเหตุและความรุนแรงด้วยมาตรการเชิงรุก ให้ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นและผู้นำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา พร้อมทั้งกำชับหัวหน้าสถานี ให้ความสำคัญกับผู้ใต้บังคับบัญชา ดูแลความเป็นอยู่ และขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่

ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้ฝากความห่วงใยไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกท่าน พร้อมจะเป็นกำลังใจ สนับสนุนการปฏิบัติ ดูแลขวัญกำลังใจทุกมิติ ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักยุทธวิธี ให้ผู้บังคับบัญชาลงลึกดูรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ปฏิบัติตามนโยบายของ ตร.และรัฐบาล   

ต่อมา เวลา 20.40 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รรท.ผบช.ภ.9/ผบ.ศปก.ตร.สน. ตรวจเยี่ยมจุดตรวจท่าสาป และมอบนโยบาย พร้อมมอบสิ่งของตรวจเยี่ยมเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจประจำจุดตรวจ ณ จุดตรวจท่าสาป อ.เมืองยะลา จว.ยะลา สร้างขวัญกำลังใจให้ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน ที่ ผบ.ตร.ให้ความสำคัญ ลงพื้นที่เยี่ยมจุดตรวจความมั่นคงจังหวัดชายแดนใต้ด้วยตนเอง 

‘อ.เจษฎา’ ท้าพิสูจน์ ‘บั้งไฟพญานาค’ แต่ไม่ต้องวางเดิมพันเงินล้าน พร้อมแนะวิธีล่าความจริงด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ลั่น!! โทรมานัดได้เลย

(1 พ.ย. 66) รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Jessada Denduangboripant’ ถึงข้อถกเถียงเรื่อง ‘บั้งไฟพญานาค’ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือ ฝีมือมนุษย์ ดังนี้…

“ผมชอบไอเดียวิธีการพิสูจน์ ‘บั้งไฟพญานาค’ ของเค้านะ แต่ไม่ต้องวางเดิมพันเงินรางวัลอะไรกันหรอกครับ (ผมข้าราชการขั้นผู้น้อย ไม่มีเงินไปวางกับท่านคหบดี บุญมา เค้าด้วย)

แค่ปีหน้า ท้องถิ่นมาช่วยกันจัดพิสูจน์เป็นเรื่องเป็นราว เชิญกองทัพสื่อทุกช่อง และผู้สนใจ ไปตั้งกล้องถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ กันเยอะๆ ดีกว่า

ผมว่า ถ้าไปบึงกาฬอาจจะไม่ค่อยเห็น ก็เลือกเอาที่จุดไหนที่ลูกไฟขึ้นเยอะๆ ให้ชัวร์ๆ ว่าไปแล้วน่าจะได้เจอ (เช่น ที่ลานพญานาค รัตนวาปี)  แบ่งครึ่งหนึ่งถ่ายฝั่งไทย อีกครึ่งข้ามไปถ่ายฝั่งลาว เอาโดรนบินตรงกลางขึ้นฟ้าไปด้วย เริ่มจัดซักปี 2 ปี ก็น่าจะได้ข้อมูล ‘ทางวิทยาศาสตร์’ ให้ไปศึกษาต่อกันได้อีกเยอะครับ

ป.ล. ปีหน้า โทรมานัด ที่ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้นะครับ

(รายงานข่าว) โต้เดือด! บึงกาฬ แถลงยัน บั้งไฟพญานาคขึ้น ท้าเดิมพัน ‘อ.เจษฎา’ 1 ล้าน มาพิสูจน์ด้วยกัน

นายบุญมา พันดวง คหบดีในบึงกาฬ กล่าวว่า ขอท้า ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศไทยมาพิสูจน์ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ กรณีเกิดบั้งไฟพญานาคในวันออกพรรษา ที่ท่านบอกว่าเป็นการยิงกระสุนส่องสว่างจากอาวุธปืนเอสเคจากฝั่งลาวขึ้นฟ้า ทำให้คนไทยเชื่อว่าเป็น “บั้งไฟพญานาค” ตามความเชื่อของคนไทยและลาวริมฝั่งโขง ซึ่งเคยยืนยันเรื่องนี้มามากกว่า 10-15 ปีแล้ว ปัจจุบัน ดร.เจษฎา ก็ยังยืนยันคำเดิม

บุญมา กล่าวต่อว่า ดร.เจษฎา ไม่ต้องไปจับคนลาวที่ยิงปืนมาพิสูจน์ให้คนไทยดูก็ได้หรอก แต่ให้มานั่งดูที่ริมฝั่งโขงในเขต อ.ปากคาด ด้วยกัน โดยเชิญสื่อมวลชนส่วนกลางมาบันทึกภาพเป็นสักขีพยานด้วย เก็บภาพทุกมุม ทั้งยิงกล้องมาทางฝั่งลาวด้วย ขอร้องประชาชนหรือนักท่องเที่ยวห้ามส่งเสียงช่วงพิสูจน์ด้วยกันทั้งฝั่งและลาว จะได้รู้ดำรู้แดงให้มันจบๆ ในยุคเรา

“ขอเดิมพัน 1 ล้านบาท ถ้าเป็นไปตามที่ ดร.เจษฎา วิเคราะห์หรือพิสูจน์มา แต่ถ้าเป็นไปตามความเชื่อของคนหนองคายและบึงกาฬ ดร.เจษฎา ต้องยอมจ่าย 1 ล้านบาท และยินดีจะออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางพร้อมอาหารที่พักให้ด้วย ถ้าตกลงตามคำท้า ขอโทรมาที่เบอร์ 09-8096-7105” นายบุญมา กล่าว ....”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top