Thursday, 8 May 2025
TheStatesTimes

เก็บตกวันฮาโลวีนในสวนสัตว์เชียงใหม่

วันฮาโลวีนในปีนี้ สวนสัตว์เชียงใหม่ นำเหล่าบรรดาผีๆ ออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมแจกขนมหวานและของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวที่มาร่วมกิจกรรมของสวนสัตว์เชียงใหม่ ณ ซุ้มกิจกรรม “Halloween @Chiang Mai Zoo” พร้อมเช็คอินที่สวนสัตว์เชียงใหม่

วันที่ 31 ตุลาคม 2566 นายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ นำทีมเหล่าบรรดาผีๆ ออกมาต้อนรับ และสร้างสีสันในวันฮาโลวีน เดินทักทาย แจกขนมหวาน พร้อมมอบของรางวัลพิเศษให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการที่สวนสัตว์เชียงใหม่ พร้อมเช็คอินที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ในวันนี้เจ้าหน้าที่จำหน่ายบัตร และเจ้าหน้าที่ตรวจเช็คบัตร แต่งกายด้วยผี ออกมาให้บริการนักท่องเที่ยว มีการตกแต่งซุ้มบรรยากาศของเทศกาลฮาโลวีน ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปอีกด้วย ส่วนบริเวณส่วนจัดแสดงเสือดำ-ดาว ได้มีการจัดส่งเสริมพฤติกรรมสัตว์ ด้วยการแกะสลักรูปฟักทอง และใส่เนื้อภายในฟักทอง วางให้เสือดำ-ดาว เดินออกมากินเนื้อที่อยู่ข้างในฟักทอง และนำผัก ผลไม้ มาประดับตกแต่งเป็นตัวอักษร คำว่า “Halloween” อย่างสวยงามภายในส่วนจัดแสดงเสือ ทั้งนี้เพื่อให้เสือได้ออกกำลังกายและแสดงถึงพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติในการกินอาหารของสัตว์ และทำให้เสือมีสุขภาพที่แข็งแรงด้วย

รัฐบาลเร่งจัดสรรที่ดินทำกินแก่ ปชช. 50 ล้านไร่ ชงใช้ ‘โฉนดดิจิทัล’ แทนโฉนดที่ดินแบบกระดาษ

(1 พ.ย. 66) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ 3/2566 ว่า คณะกรรมการโดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศ เพื่อให้นโยบายในการดำเนินงานโดยยึดหลักว่า ‘ประชาชนต้องมีที่ดินและที่ทำกิน อย่างพอเพียง’ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจัดสรรที่ดินทำกิน 50 ล้านไร่ ตามคำแถลงของนายกรัฐมนตรีที่ได้กล่าวต่อรัฐสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งจะครอบคลุมทั้งพื้นที่ในเขต ส.ป.ก. และพื้นที่ป่าไม้ ที่เป็นภารกิจที่ต้องบูรณาการหลายกระทรวง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น โดยให้ศึกษาผลกระทบให้รอบด้าน ตลอดจนแนวทางในการแก้ไขข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นข้อจำกัดอยู่ เพื่อให้สามารถจัดสรรที่ดินทำกินให้กับพี่น้องประชาชนได้ตามที่ให้คำมั่นสัญญาไว้

“การเร่งรัดให้ประชาชนมีสิทธิ์มีที่ดินทำกิน มิใช่เพียงการให้อาชีพ ให้โอกาสในการสร้างรายได้ สร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับพี่น้องประชาชนเท่านั้น แต่รัฐบาลยังมุ่งหวังให้สามารถใช้เอกสารสิทธิ์หรือหนังสืออนุญาตที่รัฐออกให้เหล่านี้ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการเข้าถึงแหล่งทุนให้ได้จริง เพื่อต่อยอดเป็นทุนในการประกอบอาชีพได้ด้วย” นายชนินทร์กล่าว

นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังมีข้อสั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ ศึกษาแนวทางในการทำ ‘โฉนดดิจิทัล’ เชื่อมต่อกับระบบแผนที่ One-Map เพื่อให้ใช้ฐานข้อมูลที่ดินออนไลน์กลาง แทนการแนบแผนที่แนบท้ายในรูปแบบกระดาษของหน่วยงานต่าง ๆ โดยประสานการใช้ประโยชน์จากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมธีออส 2 (THEOS-2) ที่จะทำให้การทำงานของภาครัฐมีความแม่นยำ รวดเร็ว ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และภาคประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกมากขึ้น ตามหลักคิดของนโยบายรัฐบาลดิจิทัล

‘ผู้ค้ำประกันรถยนต์’ ต้องรู้!! กรณี ‘ผู้เช่าซื้อ’ ไม่ส่งค่างวด หากถูกฟ้อง ต้อง ‘ตั้งสติ-ไปศาลตามนัด’ รักษาสิทธิตนเอง

การเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ และเกื้อกูลกัน เป็นจุดเด่นที่ดีอย่างหนึ่งของสังคมไทย และคนไทยมักจะถูกสอนให้รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องต่าง ๆ โดยบางครั้งก็ไม่ได้คิดให้รอบคอบว่า ตนเองจะได้รับผลร้ายจากความมีน้ำใจนั้น

การขอให้ช่วย ‘ค้ำประกันหนี้’ ให้ เป็นสถานการณ์ซึ่งหลายท่านเคยประสบมากับตนเอง หลีกเลี่ยงได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วแต่ทักษะการเอาตัวรอดของแต่ละบุคคล

กรณีที่จะหยิบยกมาบอกเล่าในบทความนี้ คือ ‘ผู้ค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อรถยนต์’ ซึ่งมักพบว่าตนเองถูกทวงหนี้จากไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงินที่ให้เช่าซื้อรถยนต์ ทั้งทางโทรศัพท์ หรือถูกทวงถามเป็นหนังสือไปถึงที่พักอาศัย ทำให้เกิดความเดือดร้อน อับอาย ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง

เมื่อผู้เช่าซื้อรถยนต์ ผิดนัดไม่จ่ายค่างวด เจ้าหนี้จะเริ่มทวงถามไปที่ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน ซึ่งในความเป็นจริง ส่วนใหญ่แล้วผู้เช่าซื้อมักจะหลบหน้า ปิดโทรศัพท์หนีหาย ปล่อยให้ผู้ค้ำประกันรับเคราะห์ตามลำพัง

ต่อมาหากถูกฟ้องเป็นคดี ให้ผู้ค้ำประกัน ‘ตั้งสติ’ ให้ดี และอ่านคำฟ้องให้ละเอียด

ให้ดูว่าถูกฟ้องที่ศาลไหน ต้องไปขึ้นศาลวัน เวลาใด ลายเซ็นในสัญญาค้ำประกันใช่ของเราหรือไม่ 

ทำสัญญากันตั้งแต่ปี พ.ศ.ไหน นับถึงวันฟ้องเกินอายุความ 10 ปี หรือไม่

เนื้อหาคำฟ้องดังกล่าว เป็นการฟ้องเรียกรถคืน หรือการฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์กรณีเจ้าหนี้ได้รถคืนไปแล้ว แต่เป็นการนำรถไปประมูลขายแล้วได้รับความเสียหาย หรือที่เรียกว่า ‘ขายขาดทุน’

มีการทวงถามมายังผู้ค้ำประกันเมื่อใด ภายในกำหนด 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ลูกหนี้เบี้ยวค่างวดหรือไม่ ซึ่งถ้าเจ้าหนี้ทวงถามเกินกำหนดเวลาดังกล่าว ผู้ค้ำจะหลุดพ้นไม่ต้องรับผิดค่าดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน และค่าขาดประโยชน์ 

แต่ถ้าท่านอ่านฟ้องแล้วไม่เข้าใจ อาจจะไปขอคำปรึกษาจากผู้รู้หรือทนายความ

สิ่งสำคัญคือ เมื่อพบว่าตนเอง ถูกฟ้องเป็นคดี อย่าเพิกเฉย ควรไปศาลตามวันนัดเพื่อรักษาสิทธิของตนเอง

ในกระบวนการพิจารณาคดีของศาล มีขั้นตอนการไกล่เกลี่ย ให้ความเป็นธรรม แก่ลูกหนี้ ทุกขั้นตอน 

ขอเพียงท่านแสดงตัว และไปศาลตามกำหนดนัด เพื่อปกป้องและรักษาสิทธิของตนเอง

อย่าหนี้ อย่าเงียบเด็ดขาด!!

‘เสถียร’ เตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ ‘เบียร์’ หัวหอก ‘คาราบาว-ตะวันแดง’ จ่อวางตลาด 9 พ.ย.นี้ หวังเพิ่มทางเลือกให้นักดื่มคอทองแดงในไทย

(1 พ.ย. 66) ภาพรวมตลาดเบียร์ในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 2.7 แสนล้านบาท โดย 3 ขั้วใหญ่ ที่ทำตลาด ประกอบด้วย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ของ ‘ตระกูลภิรมย์ภักดี’ มีสินค้าหลากแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ เช่น เบียร์สิงห์ ลีโอ ฯลฯ  และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ของราชันย์น้ำเมา ‘เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี’ มีแบรนด์ช้าง อาชา ฯลฯ เสิร์ฟคนไทย และ กลุ่มธุรกิจทีเอที บิ๊กแบรนด์ระดับโลกจากเนเธอร์แลนด์ที่มี ไฮเนเก้น ครองความเป็นหนึ่งในเซ็กเมนต์พรีเมียม

ผู้ท้าชิงใหม่ลงสนาม ซึ่งแม่ทัพคนสำคัญ อย่าง ‘เสถียร เสถียรธรรมะ’ ได้ประกาศจะต่อยอดความสำเร็จในการทำตลาดน้ำเมาสีอำพันผ่านโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงมากว่า 20 ปี และสร้างประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

>> ‘คาราบาว’ และ ‘ตะวันแดง’ 2 แบรนด์เบียร์ใหม่

เสถียร ประกาศทุ่มงบลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเบียร์ที่มีกำลังการผลิตประมาณ 400 ล้านลิตรต่อปี แต่ใช้กำลังผลิตเบื้องต้นยังไม่เต็มที่เพื่อตอบสนองผู้บริโภค พร้อมกันนี้ กลุ่มคาราบาว โดยบริษัท โรงเบียร์ตะวันแดง 1999 จำกัด จะเปิดตัวเบียร์ 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ‘คาราบาว’ และ ‘ตะวันแดง’ อย่างเป็นทางการวันที่ 9 พ.ย.นี้ 

เบียร์น้องใหม่ยังจัดเต็มติดอาวุธการตลาดด้วย Sport Marketing กับแคมเปญใหญ่หวังดึงดูดชาวไทยไปสัมผัสประสบการณ์ฟุตบอลระดับโลก คาราบาว คัพ นัดชิง ที่กลุ่มคาราบาว เพิ่งทุ่มเงิน 18 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 800 ล้านบาท ต่อสัญญาเป็นผู้สนับสนุน คาราบาว คัพ (Carabao Cup) การแข่งขันฟุตบอลในอังกฤษ ไปอีก 3 ปี คือ ฤดูกาลแข่งขัน 2024/2025, 2025/2026 และ 2026/2027

เสถียร เคยกล่าวว่า ในการทำตลาดเบียร์ครั้งนี้ภายใต้แบรนด์คาราบาวและตะวันแดง ต้องการเป็นขั้วที่ 3 ของค่ายเบียร์ยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย บริษัทจึงทุ่มสุดตัวทั้งเม็ดเงินก้อนโต และการร่วมมือกับสถาบัน VLB BERLIN ผู้เชี่ยวชาญการวิจัยและพัฒนาเบียร์ยาวนานถึง 140 ปี มาช่วยดูแลและพัฒนาคุณภาพสินค้า

สำหรับผลิตภัณฑ์เบียร์ 2 แบรนด์ ที่ออกมาทำตลาดมีทั้งสิ้น 5 ชนิด ได้แก่ 1.เบียร์ลาร์เกอร์ 2.เบียร์ดำ หรือ Dunkel 3.เบียร์ไวเซ่น 4.เบียร์โรเซ่ และ 5.เบียร์ไอพีเอ (India Pale Ale:IPA) โดยสินค้ามีทั้งแบบขวดแก้วและกระป๋อง ดังนี้ แบบขวดแก้วขนาด 620 มิลลิลิตร (มล.) กระป๋อง 490 มล. และกระป๋อง 320 มล. และจุดเด่นของเบียร์น้องใหม่คือการยึดกฎการทำเบียร์เยอรมัน(German Purity Law) ที่มีวัตถุดิบแค่มอลต์ ฮอปส์ และยีสต์เท่านั้น เพื่อตอบสนองนักดื่ม

ทางด้าน ไทยเบฟเวอเรจ แม้ธุรกิจ ‘เบียร์’ ในไทยยังเป็นรอง ส่วนแบ่งตลาดไล่หลัง ‘บุญรอดบริวเวอรี่’ หรือค่ายสิงห์ แต่ไทยเบฟยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งในตลาดเบียร์ระดับภูมิภาคอาเซียนเพราะมีส่วนแบ่งทางการตลาด ‘แถวหน้า’ (รวมเบียร์ของไทยเบฟ และ SABECO เวียดนาม เบียร์ในประเทศเมียนมา)

ในงานแถลงแผนประจำปี 2566 ของไทยเบฟ แม่ทัพใหญ่อย่าง ‘ฐาปน สิริวัฒนภักดี’ ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า มีโอกาสได้เจอคุณอาเสถียร ยังเอ่ยถึงเลยว่าที่ท่านตัดสินใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจเบียร์ และกำลังออกสินค้าตัวใหม่ เป็นเรื่องที่ดี และเป็นการสร้างสรรค์ในเรื่องแข่งขันของตลาด ซึ่งผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์

“ตราบใดที่เป็น Healthy Competition มองว่าการแข่งขันเป็นเรื่องปกติ เราคงบอกไม่ได้ว่าเราเห็นการแข่งขันเป็นเรื่องที่ไม่ดี ขณะที่ในการทำธุรกิจเราต้องปรับตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะการเรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภค เพิ่มขีดความสามารถขององค์กร การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ ที่สุดแล้วต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ กติกาเดียวกัน ไม่งั้นลำบาก”

สำหรับการบุกตลาดเบียร์ของไทยเบฟ นอกจากในประเทศได้ออกสินค้าใหม่เซ็กเมนต์พรีเมียมอย่างช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์ บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทุ่มงบลงทุน 4,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเบียร์ในประเทศกัมพูชา ยังเดินหน้าขยายโรงงานผลิตเบียร์ในประเทศเมียนมา ผ่านเฟรเซอร์แอนด์นีฟ(เอฟแอนด์เอ็น) และซาเบโก้(SABECO) เดินหน้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นในกลุ่มโรงเบียร์ต่างๆ เพื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย

>> บิ๊กแบรนด์รุมรับน้องเบียร์

หลังจาก เสถียร เดินเกมรุกสร้างการรับรู้เบียร์น้องใหม่ ทำให้บิ๊กแบรนด์ต่างๆ มีการขยับตัวกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะผู้นำตลาดอย่าง ‘ลีโอ’ ของค่ายบุญรอดฯ ที่แม่ทัพใหญ่ ‘ภูริต ภิรมย์ภักดี’ ตลอดจนขุนพลการตลาดได้เผยการปรับโฉมแบรนด์ลีโอใหม่ให้เป็นเสือหนุ่มมากขึ้น และมีการสื่อสารการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ สื่อโฆษณานอกบ้านกันอย่างคึกคัก

ฟากกลุ่มธุรกิจทีเอพี นอกจากพยายามผลักดัน ไฮเนเก้น ซิลเวอร์ เจาะนักดื่มรุ่นใหม่แบรนด์ ‘เชียร์’ ขยับตัวออกสินค้ารสชาติใหม่ ดึงส้มยูซุแท้จากประเทศญี่ปุ่นมาสร้างสีสัน

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของแบรนด์ใหญ่นอกจากต้อนรับน้องใหม่ อีกด้านหนึ่งยังเป็นการปล่อยหมัดการตลาดเพื่อรองรับช่วงปลายปี ซึ่งถือเป็นไฮซีซันของตลาดเบียร์ด้วย

การแย่งชิงขุมทรัพย์เบียร์ ‘แสนล้านบาท’ หัวใจสำคัญคือช่องทางจำหน่ายสินค้าไม่ว่าจะเป็นผับ บาร์ ร้านอาหาร สถานบันเทิง โรงแรมฯ (On-Premise) ช่องทางร้านค้าทั่วไปเป็นอีกจิ๊กซอว์ทำเงิน ซึ่งต้องมีขุมพลังเอเย่นต์ หรือตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่คอยเป็นกองหนุน สำหรับบุญรอดฯ ครองบัลลังก์เบียร์ มีเอเย่นต์ในมือราว 300 ราย และเครือข่ายร้านค้าส่งอีกเฉียดหมื่น (ข้อมูลที่เปิดเผย ณ ปี 2560) ขณะที่ไทยเบฟเวอเรจ มีเอเย่นต์ไม่แพ้กันจำนวนหลายร้อยราย

ดังนั้น การทำตลาดของ ‘คาราบาว’ และ ‘ตะวันแดง’ จึงต้องหากองทัพในการส่งและกระจายสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ทุ่มเงินผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ (Traditional Media) เพื่อประกาศหาเอเย่นต์ทั่วประเทศมาร่วมเป็นพันธมิตร

สำหรับภาพรวมตลาดเบียร์ในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 2.7 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นเซ็กเมนต์อีโคโนมี (ตลาดล่าง) หรือ Mass สัดส่วน 75% หรือมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท สแตนดาร์ดสัดส่วน 20% และเซ็กเมนต์พรีเมียมประมาณ 5% ตลาดยังมีเบียร์เฉพาะกลุ่มหรือ Niche Market อย่างคราฟต์เบียร์ (เบียร์แบรนด์ไทยและนำเข้า) แทรกตัวอยู่ โดยมีสัดส่วน 0.5-1% หรือมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาทเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การชิงขุมทรัพย์น้ำเมาสีอำพันไม่ง่าย ‘คาราบาว’ และ ‘ตะวันแดง’ น้องใหม่เบียร์มาจากโรงงานที่กำลังการผลิตราว 400 ล้านลิตรต่อปี หากเทียบรุ่นใหญ่ในตลาด เช่น บุญรอดฯ โรงงานมีกำลังผลิตรวมระดับ 2,000 ล้านลิตร ทำรายได้ระดับ ‘แสนล้านบาท’ ไทยเบฟ เช่นกันที่กำลังการผลิตมหาศาล ทำเงินแสนล้านบาท

‘ธนกร’ ค้าน ‘ยุบ กอ.รมน.’ ชี้ ส่งผลต่อความมั่นคงประเทศ ถาม!! ที่เสนอยุบ เพราะต้องการกำจัดศัตรูคู่แค้นหรือไม่?

(1 พ.ย. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล เชิญชวนประชาชนแสดงความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. ยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 หรือร่างกฎหมาย ยุบ กอ.รมน. ว่า เรื่องนี้ตนขอคัดค้าน ไม่เห็นด้วย เนื่องจาก กอ.รมน. เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องรักษาความมั่นคงภายในประเทศ จากภัยคุกคามต่าง ๆ เช่น การก่อความไม่สงบ อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยพิบัติธรรมชาติ เป็นต้น หากยุบกอ.รมน. ไป อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ได้

นายธนกร กล่าวว่า การทำงานของ กอ.รมน.ที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2551 ได้บูรณาการการทำงาน ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งตอบสนองนโยบายรัฐบาล กระทรวงกลาโหม และแก้ปัญหาให้ประชาชนในสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ กอ.รมน. คือหน่วยงานประสานการทำงานในลักษณะองค์กรผสม 3 ฝ่าย คือ พลเรือน-ตำรวจ-ทหาร มี 6 ศูนย์ประสานการปฏิบัติ มีศูนย์ 1 รับผิดชอบด้านยาเสพติด, ศูนย์ 2 แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง, ศูนย์ 3 การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ, ศูนย์ 4 ด้านความมั่นคงพิเศษ อาทิ ชาวม้งลาว, การค้ามนุษย์, การฟอกเงิน, บุกรุกป่าไม้, ภัยพิบัติระดับชาติ ฯลฯ, ศูนย์ 5 ด้านความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ คือจังหวัดชายแดนภาคใต้ และศูนย์ 6 โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและการส่งเสริมสถาบัน

“หากยุบกอ.รมน. ไปอาจทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ทำงานแยกส่วนกัน ประสิทธิภาพการบูรณาการ การประสานงานด้านต่าง ๆ ลดลง ตนเห็นด้วยกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ที่ไม่มีแนวคิดจะยุบ กอ.รมน. แต่จะปรับแนวทางการทำงานให้มีประสิทธิภาพให้มีการทำงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อช่วยพี่น้องประชาชนได้มากขึ้น” นายธนกรกล่าว

เมื่อถามว่า การล่ารายชื่อของพรรคก้าวไกลจะมีผลต่อการยื่นร่างกฎหมายนี้ต่อสภาหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า การเสนอกฎหมายเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อยื่นวาระเข้าสภาแล้ว ก็ถือเป็นสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จะพิจารณาถึงประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน ตนเชื่อว่าทุกคนจะยึดหลักประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าส่วนตน มากกว่าพวกพ้อง หรือ พรรคใดพรรคหนึ่ง   

“ผู้ที่สนับสนุนให้ยุบ กอ.รมน. เขาอาจมองว่า กอ.รมน. มีอำนาจมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน และถูกมองว่าเป็นหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้น ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า การให้เหตุผลเหล่านี้ อาจมีเรื่องอื่นแฝงอยู่หรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาตัวผู้ที่เสนอร่างพ.ร.บ.ยุบ กอ.รมน.เอง รวมถึงพรรคดังกล่าวนั้น ถูก กอ.รมน. แจ้งความเอาผิดในคดีความมั่นคง มาวันนี้ จึงเสนอกฎหมายเพื่อให้ยุบหน่วยงานที่เป็นคู่กรณีของตนเองหรือไม่ จึงขอฝากประชาชนติดตามข่าวสารอย่างมีข้อมูลที่รอบด้าน เพื่อจะได้ทราบถึงที่มาที่ไปและเหตุผลของการขับเคลื่อนล่ารายชื่อในการยื่นกฎหมายดังกล่าวในครั้งนี้” นายธนกรกล่าว และว่า “การตัดสินใจว่าจะยุบ กอ.รมน. หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งควรพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และการทำงานเพื่อประชาชนเป็นสำคัญ”

‘ไอซ์-รักชนก’ โอนหุ้น 2 บริษัทฯ ขายของออนไลน์ ก่อนยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.

(1 พ.ย. 66) สำนักข่าวอิศรา รายงานข่าวสืบเนื่องจากกรณีที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส.วันที่ 4 ก.ค. 2566 สถานะ โสด มีทรัพย์สินรวม 5,840,477 บาท หนี้สิน 1,814,816 บาท

น.ส.รักชนะ ระบุ ประวัติการทำงานย้อนหลัง 5 ปีว่า เป็นกรรมการบริษัท 2 แห่ง

- ปี 2562-2566 เป็นกรรมการ บริษัท หาเงินไปดาวอังคาร จำกัด
- ปี 2563-2566 เป็นกรรมการ บริษัท เดินเล่นบนดาวอังคาร จำกัด
- ปี 2564-2566 ที่ปรึกษาประธาน กรรมาธิการ พัฒนาการเมือง การสื่อสาร และการมีส่วนร่วมของประชาชน

ขณะที่รายการทรัพย์สินของ น.ส.รักชนก มิได้ระบุถือครองหุ้น 2 บริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า น.ส.รักชนได้ลาออกจากกรรมการและโอนหุ้นทั้งสองบริษัท ในช่วงเดือน มิ.ย.2566 ก่อนยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. มีรายละเอียดดังนี้

1.) บริษัท หาเงินไปดาวอังคาร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 กันยายน 2562 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการซื้อขายสินค้าและขายส่งสินค้าผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่ตั้งเลขที่ 264/135 ซอยเทียนทะเล 19 ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร น.ส.รักชนก เป็นกรรมการจดทะเบียนก่อตั้ง และถือหุ้นใหญ่ 9,400 หุ้น ผู้ถือหุ้นรายอื่น 2 คน คนละ 500 หุ้น และ 100 หุ้น รวมผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 คน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

วันที่ 20 มิถุนายน 2566 น.ส.รักชนก ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ น.ส.รักชนก ออก นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เข้าเป็นกรรมการแทน (นายทะเบียนรับจดทะเบียนวันที่ 22 มิถุนายน 2566)

ข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น

วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 บริษัทฯ นำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ณ วันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 วันที่ 19 มิ.ย.2566 นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เป็นผู้ถือหุ้น จำนวน 9,400 หุ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นอีก 2 รายไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หุ้นที่นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ ถือครอง จำนวน 9,400 หุ้นรับโอนมาจาก น.ส.รักชนก ทั้งหมด (ดูเอกสาร)

2.) บริษัท เดินเล่นบนดาวอังคาร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 31 มกราคม 2563 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการขายสินค้าออนไลน์ ที่ตั้งเลขที่ 264/135 ซอยเทียนทะเล19 ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร (ที่ตั้งเลขที่เดียวกันกับบริษัทแรก) น.ส.รักชนกเป็นกรรมการผู้ริเริ่มก่อตั้งและถือหุ้นใหญ่ 94,000 หุ้น ผู้ถือหุ้นอื่นอีก 2 ราย คนละ 500 หุ้น และ 100 หุ้น รวมผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 คน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

วันที่ 20 มิถุนายน 2566 น.ส.รักชนก ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ น.ส.รักชนก ออก นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เข้าเป็นกรรมการแทน (นายทะเบียนรับจดทะเบียนวันที่ 22 มิถุนายน 2566)

ข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น 

วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 บริษัทฯ นำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ณ วันประชุม วิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 วันที่ 19 มิ.ย.2566 นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เป็นผู้ถือหุ้น จำนวน 9,400 หุ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นอีก 2 รายไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หุ้นที่นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ ถือครอง จำนวน 9,400 หุ้นรับโอนมาจาก น.ส.รักชนก ทั้งหมด (ดูเอกสาร)

ทั้งสองบริษัทยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ และนำส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น พร้อมกัน และผู้รับโอนหุ้นจาก น.ส.รักชนก รวม 2 บริษัท จำนวน 18,800 หุ้น มูลค่า 1,880,000 บาท เป็นคนดียวกัน (ดูตารางประกอบ)

จากข้อมูลเห็นได้ว่า การลาออกจากตำแหน่งกรรมการและเป็นผู้ถือหุ้นธุรกิจทั้งสองแห่งของ น.ส.รักชนก ให้ผู้ถือหุ้นรายใหม่ มีขึ้นก่อนยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส.วันที่ 4 ก.ค.2566 โดย สำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมืองรับวันที่ 10 ต.ค.2566 (ดูเอกสาร)

ไม่มีชื่อ สส.สาวถือหุ้นธุรกิจขายของออนไลน์อีกต่อไป

‘อธิบดีปค.’ สั่งบุกจับผับเถื่อนเชียงใหม่ แถมเสี่ยงไฟไหม้ หนำซ้ำ!! ปล่อยเด็กอายุต่ำกว่า 20 มั่วสุมดื่มสุรา 242 คน

สนธิกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองและฝ่ายปกครองเชียงใหม่ ‘ปฏิบัติการป่าช้าแตก’ Kick Off จัดระเบียบสังคม ต้อนรับ 1 พ.ย.66 ตามนโยบาย มท.1 สามารถบุกจับ ‘เลอ เนิร์ฟ ผับ’ ย่านช้างเผือก กลางเมืองเชียงใหม่ ทำเอาผู้ฝ่าฝืนกฎหมายต้องสยองคืนฮาโลวีน โดยลักลอบเปิดอย่างผิดกฎหมาย ใช้บ้านไม้ดัดแปลงทำผับเถื่อนไร้ใบอนุญาต เสี่ยงเกิดเหตุเพลิงไหม้ ไม่มีทางหนีไฟ หนำซ้ำ ‘เด็ก’ แออัดเพียบถึง 242 คน

(1 พ.ย. 66) โดย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) สั่งการชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง นำโดยนายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง พร้อมสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน กว่า 30 นาย บูรณาการร่วมกับนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่

นำโดย นายอรรถวุฒิ พึ่งเนียม ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ นายสิทธิศักดิ์ อภิกุลชัยสุทธิ์ นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ และนายดนัย สุขสกุล ป้องกันจังหวัดเชียงใหม่ นำกำลังเข้าจับกุมสถานบริการเถื่อน ‘เลอ เนิร์ฟ ผับ’ ย่านช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้กำชับให้ฝ่ายปกครองทั่วประเทศจัดตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษเพื่อกวดขันปราบปรามผู้มีอิทธิพล การจัดระเบียบสังคม ยาเสพติด การค้ามนุษย์ การพนัน และอาวุธปืน โดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้กรมการปกครองบูรณาการจัดตั้งชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครองร่วมกับทุกจังหวัดและเริ่ม Kick off ในวันที่ 1 พ.ย.66

“ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองได้สนธิกำลังกับชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่ วางแผนเข้าร่วมจับกุม ร้านเลอ เนิฟ หรือ NEUFXBAR ซึ่งมีการร้องเรียนจากประชาชนผู้อาศัยใกล้เคียงว่าเปิดให้บริการในลักษณะเป็นสถานบริการ มีอาหารเครื่องดื่มจำหน่าย ปล่อยปละละเลยให้มีเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการจำนวนมาก

ทั้งยังเปิดให้บริการจนถึงเวลา 02.00 น. ส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้านข้างเคียงจนนอนไม่หลับ ซึ่งเมื่อพนักงานฝ่ายปกครองเข้าสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีการกระทำผิดจริงตามข้อร้องเรียน

กระทั่งเวลา 00.30 น. ของวันที่ 1 พ.ย.66 ได้เปิดปฏิบัติการ ‘ป่าช้าแตก’ บุกจู่โจมสถานบันเทิงละเมิดกฎหมายทันที โดยเมื่อชุดจับกุมเข้าไปถึงภายในผับ พบเป็นห้องปิดทึบ เปิดเพลงเสียงดังสนั่น แสงไฟเลเซอร์วิบวับ มีนักเที่ยวจำนวนเกือบ 300 คน กำลังมั่วสุมดื่มกินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เต้นตามจังหวะเสียงดนตรีอย่างเมามัน นักเที่ยวกว่า 90% ของร้านเป็นเยาวชน

พนักงานฝ่ายปกครองจึงสั่งให้ปิดเพลงและเปิดไฟให้แสงสว่าง ทำให้ภายในผับเกิดความโกลาหล นักเที่ยวเด็กต่างตกใจและพยายามหลบหนีออกทางประตูหน้าร้านและหลังร้าน แต่ชุดจับกุมได้ปิดล้อมประตูไว้ทุกด้าน จึงทำให้นักเที่ยวไม่สามารถหนีออกไปได้ พนักงานฝ่ายปกครองได้ประกาศให้ทุกคนอยู่ในความสงบ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบนักเที่ยวส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา อายุระหว่าง 17 - 19 ปี ที่กำลังศึกษาสถาบันการศึกษาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พนักงานฝ่ายปกครองได้ประสานให้ทางสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ รับตัวเด็กไปคุ้มครองสวัสดิภาพ และจัดทำประวัติ พร้อมแจ้งให้ผู้ปกครองมารับตัวไป” นายอรรษิษฐ์ กล่าว

นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ดูแลร้าน 7 ฐานความผิด คือ…

1.ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต 
2.จำหน่ายสุราให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 
3.จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี 
4.จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด 
5.ยุยงส่งเสริมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร 
6.โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม 
7.ดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 ซึ่งเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองชุดจับกุมจะได้เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ออกคำสั่งปิดสถานที่ดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี และในส่วนของการดัดแปลงอาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น นั้น ทางจังหวัดเชียงใหม่จะได้ประสานกับเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อออกคำสั่งระงับการใช้อาคารดังกล่าวต่อไป

ด้าน นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง กล่าวว่า ผับแห่งนี้ นอกจากไม่มีใบอนุญาตตั้งสถานบริการแล้ว ยังพบว่ามีการดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยใช้บ้านไม้สองชั้นนำมาดัดแปลงเป็นสถานบริการ มีเพดานห้องที่ต่ำมาก ไม่มีทางหนีไฟ หากเกิดเพลิงไหม้ จะต้องเกิดเหตุที่น่าสลด ดังนั้น จึงต้องทำการจับกุมดำเนินคดีไม่ให้เป็นตัวอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

“ขอฝากเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานบันเทิง ควรประกอบธุรกิจด้วยความมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยปละละเลยให้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการ การปล่อยปละละเลยให้มีการใช้ยาเสพติดในสถานบริการ และการพกพาอาวุธเข้าไปในสถานบริการ

หากพบว่าร้านใดยังคงฝ่าฝืนจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีและเสนอสั่งปิด 5 ปี ทุกร้าน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย และสอดคล้องกับนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งท่านมีความห่วงใยความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน จึงกำชับให้ฝ่ายปกครองทั่วประเทศเข้มงวดกวดขันบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่ เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข โดยหากประชาชนมีเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในท้องที่ หรือร้องเรียนมายังศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด หรือสายด่วน 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายรณรงค์ กล่าวเพิ่มเติม

พิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 จัดกิจกรรม 'Open house' เปิดบ้านทหารใหม่

เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 66 ที่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อ.เมือง จ.พิษณุโลกพลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3 ตรวจเยี่ยม  การจัดกิจกรรมต้อนรับครอบครัวและญาติทหารใหม่  เพื่อเป็นการพบปะและพัฒนาความสัมพันธ์กับครอบครัวและญาติทหารใหม่ ซึ่งการเปิดบ้านครั้งนี้เป็นการเปิดบ้านของ หน่วยฝึกทหารใหม่ของ นขต.ทภ.3 ในพื้นที่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  

กองทัพภาคที่ 3 จัดกิจกรรมต้อนรับครอบครัวและญาติทหารใหม่” ผลัดที่ 2/2566 ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้ญาติและครอบครัวทหารใหม่ได้ร่วมสังเกตการณ์การส่งทหารเข้าหน่วย และได้เห็นกรรมวิธีการรับทหารใหม่ในทุกขั้นตอน อีกทั้งยังได้เปิดค่ายทหารและหน่วยฝึกทหารใหม่ ให้ครอบครัวและญาติได้เยี่ยมชม ตั้งแต่วันแรกที่ทหารมาถึงหน่วยฝึก เพื่อให้ครอบครัวและญาติทหารใหม่ได้สัมผัสถึงความเป็นอยู่ของบุตรหลาน ทำความรู้จักกับ ผู้บังคับหน่วยและบุคลากรทุกระดับชั้น พร้อมกับได้เห็นลักษณะที่พักอาศัย สถานที่ฝึก โรงประกอบเลี้ยง สถานที่ออกกำลังกาย สถานที่สันทนาการ ระบบการรักษาพยาบาล ได้รับทราบถึงกระบวนการฝึกทหาร การศึกษาต่อระหว่างประจำการ การฝึกอาชีพเสริม  ความก้าวหน้าในการบรรจุเข้ารับราชการ ทหาร รวมทั้งสิทธิและสวัสดิการของทหารกองประจำการอย่างครบถ้วน โดย กองทัพภาคที่ 3 ได้อำนวยความสะดวกให้กับญาติและครอบครัวทหารใหม่ที่มาร่วมกิจกรรม  มีสถานที่พักคอย อาหาร  เครื่องดื่ม บริการตรวจสุขภาพ และจัดยานพาหนะรับส่ง  

ส่วนที่ศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นจุดรับทหารใหม่ โดยมี พ.อ.กฤติ พันธะสา รองผู้บัญชาการณฑลทหารบกที่ 39 ได้เดินหน่วยรับทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยรับทหารใหม่ของกองทัพเรือ และกองทัพทหารอากาศ โดยมีพ่อแม่และญาติได้ร่วมมาส่งลูกหลานในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
        
ทั้งนี้การจัดกิจกรรมการต้อนรับครอบครัวและญาติทหารใหม่ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความพร้อมของหน่วยทหารในกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับทหารใหม่ ทั้งเรื่องมาตรฐานการฝึก ระบบการบังคับบัญชา การพัฒนาคุณภาพชีวิต มุ่งเสริมสร้างทหารกองประจำการให้สามารถดำรงเกียรติ มีทักษะด้านการทหาร มีจิตอาสา พร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจทั้งด้านความมั่นคง การพัฒนาประเทศ และช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเพื่อให้พ่อแม่พี่น้องได้มั่นใจว่า กองทัพบกจะดูแลบุตรของท่านให้ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด ดูแลด้วยใจ ห่วงใยดั่งคนในครอบครัว

กระบี่-เปิดปฏิบัติการ (Kick off) ปล่อยแถวระดมกวาดล้างสิ่งผิดกฎหมายตามนโยบายการจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล เน้นย้ำการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

นายสมชาย หาญภักดีปฎิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานปล่อยแถวระดมกวาดล้างสิ่งผิดกฎหมายตามนโยบายการจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อสนองนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการป้องกันและปราบปราม ผู้มีอิทธิพลในแต่ละพื้นที่ พร้อมทั้งออกตรวจจัดระเบียบสังคม เพื่อกวดขัน ตรวจตรา และให้คำแนะนำต่อสถานบริการสถานประกอบกิจการต่างๆ ได้ถือปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดในการเปิดให้บริการเน้นย้ำห้ามเด็กและเยาวชนเข้าใช้บริการ ในสถานบริการและห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กและเยาวชน รวมถึงการปิดให้บริการตามเวลาที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในพื้นที่ 

สำหรับจังหวัดกระบี่ได้เร่งจัดตั้งกลไกในการดำเนินการ การติดตามและรายงานผล เพื่อนำนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไปสู่ การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการบูรณาการหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ทุกภาคส่วน ร่วมกับชุดปฏิบัติการของฝ่ายปกครองที่จังหวัดและอำเภอจัดตั้ง ดำเนินการตั้งจุดตรวจจุดสกัดสิ่งผิดกฎหมาย ตรวจตรา หาข่าวที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้ามนุษย์ การครอบครองและพกพาอาวุธปืน การพนัน ผู้มีอิทธิพล ตลอดจนสถานบริการและสถานบันเทิง ที่กระทำผิดกฎหมาย และเน้นย้ำให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อผู้ที่ฝ่าฝืนในทันที

อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าว ขอให้แจ้งเบาะแสมายังศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ หรือโทรศัพท์สายด่วน 1195 พร้อมกับขอความร่วมมือจากประชาชนในทุกภาคส่วนของสังคม ได้ร่วมกันใช้มาตรการทางสังคม กดดันผู้กระทำผิดให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคู่ไปกับการใช้มาตรการทางกฎหมายจากเจ้าหน้าที่รัฐ ในการขยายผลปราบปรามจับกุมอย่างจริงจัง พร้อมทั้งร่วมกันให้ข้อมูลข่าวสาร หรือเบาะแสเพิ่มเติม เกี่ยวกับบุคคลที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ผ่านทาง ตู้ ปณ. 1111 รวมทั้ง ศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ตำรวจผ่าน หมายเลข 1599

‘อดีตบิ๊ก TSMC’ ชี้!! อุตสาหกรรมชิปจีน กำลังรุดหน้าแบบก้าวกระโดด แนะ ‘สหรัฐฯ’ รักษามาตรฐานตัวเองให้ดี อย่ามัวจ้องสกัดความก้าวหน้าของจีน

เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 66 ผู้เชี่ยวชาญเผย บริษัท เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง อินเทอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชัน (SMIC) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีน และ หัวเว่ย (Huawei) ยังคงรุดหน้าไปอย่างต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยีการผลิตชิปชั้นสูง แม้จะถูกสหรัฐฯ กีดกันทุกวิถีทาง และคาดว่าเครื่องจักรลิโธกราฟีของ ASML ที่ทาง SMIC มีใช้งานอยู่แล้วจะสามารถช่วยให้ผู้ผลิตจีนรายนี้พัฒนาชิประดับ 5 นาโนเมตรได้สำเร็จในที่สุด

‘เบิร์น เจ. ลิน’ (Burn J. Lin) วิศวกรไฟฟ้าซึ่งเป็นอดีตรองประธานบริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง (TSMC) ให้สัมภาษณ์กับสื่อบลูมเบิร์ก โดยระบุว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่สหรัฐฯ จะปิดกั้นอย่างสมบูรณ์แบบไม่ให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีชิปของตัวเอง”

แม้สหรัฐฯ จะทั้งคว่ำบาตรและควบคุมการส่งออกเพื่อสกัดการพัฒนาทางเทคโนโลยีของจีน แต่มันกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้ SMIC สำแดงความยืดหยุ่น (resilience) และความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้น (ingenuity) ด้วยการพัฒนาชิป 7 นาโนเมตรรุ่นที่ 2 ออกมา และยังมีกำลังผลิตมากพอที่จะทำให้หัวเว่ยนำไปใช้เป็นขุมพลังให้กับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ได้ถึง 70 ล้านเครื่อง

ว่ากันว่า SMIC ใช้เครื่องจักรลิโธกราฟีของ ASML รุ่น Twinscan NXT:2000i ซึ่งมีเทคโนโลยี deep ultraviolet (DUV) และสามารถยิงชิปขนาด 7 นาโนเมตร และ 5 นาโนเมตรได้ ซึ่งรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เพิ่งจะประกาศห้ามส่งออกเครื่องจักรดังกล่าวให้กับจีนเมื่อต้นปีนี้เอง

ทั้งนี้ ความละเอียดของเครื่อง Twinscan NXT:2000i นั้นอยู่ที่ระดับ ≤ 38nm ซึ่งดีพอที่จะใช้พิมพ์ลายบนแผ่นเวเฟอร์แบบ single-patterning สำหรับการผลิตชิป 7 นาโนเมตรในปริมาณมากๆ ได้ แต่หากจะก้าวไปถึงกระบวนการผลิตระดับ 5 นาโนเมตรนั้นจำเป็นต้องใช้ความละเอียดที่สูงขึ้น ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นผู้ผลิตชิปสามารถใช้กลวิธีที่เรียกว่า ‘การถ่ายแบบลายวงจรหลายครั้ง’ หรือ ‘multi-patterning’ เพื่อให้ได้ลวดลายจุลภาคระดับนาโนเมตรที่แม่นยำและละเอียดขึ้น แต่เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนทำให้ไม่เอื้อต่อการผลิตในปริมาณมากๆ

อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดด้านเครื่องไม้เครื่องมือที่มีอยู่ทำให้ SMIC ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้วิธี ‘multi-patterning’ เพื่อให้ได้ความละเอียดที่สูงขึ้น และก็ดูเหมือนว่ากำลังผลิตจะอยู่ในระดับสูงพอที่หัวเว่ยรับได้ด้วย ดังนั้น จึงเป็นคำถามที่น่าคิดว่า มาตรการกีดกันของสหรัฐฯ ต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีนนั้น ‘เวิร์ก’ จริงหรือไม่?

“สิ่งที่สหรัฐฯ ควรจะทำก็คือ พยายามรักษาความเป็นผู้นำในด้านการออกแบบชิป มากกว่าพยายามสกัดกั้นความก้าวหน้าของจีน ซึ่งไม่มีประโยชน์ เพราะจีนใช้ยุทธศาสตร์หลอมรวมทั้งประเทศเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมชิปของตัวเอง และ (สิ่งที่สหรัฐฯ ทำ) ยังส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกด้วย” ลิน ระบุ

มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ยังดูเหมือนจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับ SMIC โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากการที่วอชิงตันออกข้อจำกัดต่างๆ จนทำให้ TSMC ไม่สามารถทำธุรกรรมกับองค์กรจีนบางแห่ง ส่งผลให้คำสั่งซื้อจำนวนมากตกไปอยู่ในมือของ SMIC แทน และเอื้อให้บริษัทแห่งนี้สามารถพัฒนาเทคนิคการผลิตและศักยภาพทางเทคโนโลยีมากขึ้นตามไปด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top