Thursday, 8 May 2025
TheStatesTimes

'เนเน่-รทสช.' น้อมรับผิด!! พร้อมแจงเหตุไม่ลุกขึ้นป้อง 'ลุงตู่' หลังมี สส.ปากไม่ดี 'ขยี้-แซะ' แล้ว 'รองอ๋อง' ปล่อยไหล

(1 พ.ย. 66) นางรัดเกล้า สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวขอโทษ FC ลุงตู่ หลังปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูก สส.พรรคหนึ่งหยิบยกขึ้นมาขยี้กลางสภาและลามต่อไปให้โลกออนไลน์กระหน่ำซ้ำ ว่า...

ในฐานะรองโฆษกพรรคฯ เนเน่ #ขอโทษFC ทุกคนแทนพรรค ในการทำหน้าที่บกพร่องของพรรคค่ะ ในการประชุมทีมวันนี้ เนเน่แชร์ความรู้สึกของทุกคนที่เนเน่รวบรวมมาให้ทีมได้ฟัง 

ข้อมูลที่ได้รับมาจากพี่ ๆ สส. คือจังหวะที่เกิดเหตุขึ้นนั้น สส.รทสช. ไปประชุม กรรมาธิการทั้งหมด และประธานสภา ณ ขณะนั้นเป็นคนที่เคยอยู่ในพรรคเดียวกับผู้อภิปราย 

ด้วย 2 เหตุดังกล่าว จึงไม่มีการห้ามปรามใด ๆ เกิดขึ้นเลย รทสช. ไม่มีโอกาสประท้วง และประธานก็ไม่ทำหน้าที่ปราม

อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้างได้...เราจะเรียนรู้และพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้นค่ะ 

'เมสซี่' ยกย่อง 'โรนัลโด้' จากใจ ชี้!! เบื่อที่ถูกเปรียบเทียบให้เป็นอริกัน

‘ลิโอเนล เมสซี่’ กัปตันทีมอินเตอร์ ไมอามี่ มองว่าการแข่งขันระหว่างเขากับ ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ แนวรุกของอัล-นาสเซอร์ เป็นการต่อสู้ที่ดีมาก ๆ และไม่ควรนำมาเปรียบเทียบให้เป็นอริกัน หลังจากเพิ่งคว้าบัลลงดอร์สมัยที่ 8

เมสซี่ เอาชนะทั้ง เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ และ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ คว้ารางวัลลังลงดอร์ สมัยที่ 8 ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งนั่นทำให้เขาหนีห่างคู่ปรับอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่คว้ารางวัลนี้แล้ว 5 สมัย โดยห่างออกไปเป็น 3 ครั้ง หลังจากต่อสู้กันมานานหลายปี

กัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่า ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ ‘L'EQUIPE’ ในกรณีที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดยระบุว่า…

"ผมไม่ชอบการเปรียบเทียบเลย ก่อนที่ผมจะได้แชมป์ฟุตบอลโลก, ผมเคยถูกเปรียบเทียบกับตำนานอย่าง ดิเอโก้ (มาราโดน่า) ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรรมเลยสำหรับคนคนหนึ่งที่ต้องถูกเปรียบเทียบ"

"สำหรับผมกับ คริสติอาโน่ ก็ไม่ควรถูกเปรียบเทียบเช่นกัน มันเป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมจากมุมมองของกีฬา เราเบื่อที่ต้องมาเป็นคู่ปรับกัน เพราะเราทั้งคู่เป็นนักแข่งขันที่ยอดเยี่ยม"

"ทุกวันนี้เขายังต้องการจะชนะทุกสิ่งตลอดเวลา คุณไม่สามารถหาคนที่มีแพชชั่นสูงขนาดนี้ได้, แม้แต่ผมเองก็ไม่คิดว่าจะสู้เขาได้ในเรื่องนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่เอ็นจอยมาก ๆ สำหรับพวกเราทั้งคู่และสำหรับทุกคนที่รักฟุตบอล"

"ผมคิดว่าเราสมควรได้รับเครดิตมากมายจากการที่สามารถอยู่บนจุดสูงสุดมาเป็นเวลานาน เพราะอย่างที่พวกเขาพูดกัน มันง่ายที่จะก้าวไปถึงจุดนั้น แต่สิ่งที่ยากคือการรักษาความสม่ำเสมอให้ได้ต่างหาก และเราอยู่บนจุดสูงสุดเป็นเวลา 10-15 ปี"

"มันยากมาก ๆ ที่จะรักษาระดับนั้นไว้ได้ และมันน่าทึ่งมาก ๆ ผมคิดว่ามันยังคงเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับทุกคนที่ติดตามเรา"

สำหรับ เมสซี่ ทำลายสถิติชาติที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์มากที่สุดด้วยตัวคนเดียว อาร์เจนติน่า 8 สมัย (2009, 2010, 2011, 2012, 2015, 2019, 2021 และ 2023) ได้อย่างยิ่งใหญ่

เชียงใหม่-ทชม. Kick off เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ประเดิมเที่ยวบินแรก 'เชียงใหม่-โอซาก้า'

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ Kick off เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ประเดิมเที่ยวบินแรก 'เชียงใหม่-โอซาก้า' รองรับนักท่องเที่ยวตามนโยบาย Quick-Win กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล โดยการจัดเที่ยวบินหลังเที่ยงคืน จะคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนเป็นหลักสำคัญ        

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน Kick off ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) เปิดบริการ 24 ชั่วโมง ณ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ โดยมีนายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ ผู้บริหารระดับสูงของ ทอท. รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ผู้แทนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน 

ตลอดจนผู้ประกอบการธุรกิจการบินและการท่องเที่ยว รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง โดยเที่ยวบินแรกที่ทำการบินหลังเวลาเที่ยงคืน เพื่อเป็นการประกาศให้บริการ 24 ชั่วโมงของท่าอากาศยานเชียงใหม่ คือ สายการบินไทยเวียตเจ็ท เที่ยวบินที่ VZ 822 เส้นทาง เชียงใหม่-โอซาก้า กำหนดออกจากท่าอากาศยานเชียงใหม่ เวลา 00.30 น. ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 (คืนวันที่ 31 ตุลาคม 2566) เดินทางถึงท่าอากาศยานคันไซ (โอซาก้า) เวลา 07.50 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) 

โอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ คณะผู้บริหารของ ทอท.และผู้ร่วมกิจกรรม ได้ร่วมกันแจกของที่ระลึกให้แก่ผู้โดยสารที่เดินทางไปกับเที่ยวบินดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการแสดงฟ้อนรำประกอบดนตรีพื้นเมือง การประดับตกแต่งบรรยากาศความเป็นล้านนา ภายในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ และยังได้รับความอนุเคราะห์จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ประดับตกแต่งไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวและผู้โดยสารที่มาใช้บริการท่าอากาศยานเชียงใหม่ด้วย

‘ซาอุฯ’ เต็งหนึ่ง!! ขึ้นแท่นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 หลังคู่แข่งถอนเกลี้ยง รอคอนเฟิร์มผลอีกทีปลายปีหน้า

เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 66 ‘ซาอุดีอาระเบีย’ ได้รับการยืนยันอย่างไม่เป็นทางการ ได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 เรียบร้อย หลังบรรดาคู่เเข่งพาเหรดถอนตัวไปหมด

การเเข่งขันลูกหนังโลกในอีก 11 ปีข้างหน้าจะวนกลับมาเเข่งบนเเผ่นดินเอเชียอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ชาติเเดนน้ำมันเป็นตัวเต็งที่จะคว้าสิทธิ์อยู่เเล้ว เเต่ก็เเอบมีหลายชาติให้ความสนใจทั้ง อินโดนีเซีย รวมถึงไทยด้วย เเต่ทั้ง 2 ชาติก็เปลี่ยนใจหันไปหนุนซาอุฯ เเทน

ล่าสุดชาติที่ถูกมองว่ามีความพร้อมเเละน่าจะเป็นคู่เเข่งได้ดีที่สุดอย่าง ‘ออสเตรเลีย’ ก็ประกาศถอนตัวออกไปเช่นกัน ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงเเค่ซาอุดีอาระเบียชาติเดียว เท่ากับว่าพวกเขาจะรับสิทธิ์ไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตามขั้นตอนต่างๆ ยังไม่เสร็จสิ้น ซาอุดีอาระเบียจะต้องยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการเข้าไปให้ฟีฟ่าภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน นอกจากนั้น จะมีการตรวจสอบข้อบังคับของฟีฟ่าเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือความเท่าเทียมต่างๆ หลังจากปัญหาเรื่องนี้เกิดขึ้นในครั้งล่าสุดที่ประเทศกาตาร์มาเเล้ว

ซาอุดีอาระเบียมีเวลาจนถึงเดือนกรกฎาคม 2024 เพื่อยื่นข้อเสนอฉบับเต็มเเละยืนยันเรื่องสิทธิมนุษยชน หลังจากนั้นจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการภายในปลายปีหน้า

‘อยุธยา’ เปิดให้บริการชม 4 วัดยามค่ำคืน คนละ 950 บาท หลัง ‘พรหมลิขิต’ กระแสบูม หวังสร้างเม็ดเงินให้จังหวัดมากขึ้น

(1 พ.ย.66) นายมานัส ทรัพย์มีชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยประชาชาติธุรกิจว่า ภาพรวมของการท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตอนนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้นจำนวนมากช่วงวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ปกตินักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาจังหวัดพระนครศรีอยุธยามักเดินทางแบบไป-กลับ ไม่พักค้างคืน

แต่หลังจากมีกระแสของละครเรื่อง ‘พรหมลิขิต’ เริ่มออกอากาศไป และทางกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้อนุญาตเปิดบริการให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมวัดไชยวัฒนารามได้จนถึงเวลา 22.00 น. ในช่วงวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ จากการสอบถามผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร โดยเฉพาะโรงแรมมีอัตราการจองเข้าห้องพักประมาณ 80% สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันช่วงวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเฉลี่ย 20,000 คนต่อวัน ส่วนวันธรรมดา จันทร์-ศุกร์ มีนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 2,000 คนต่อวัน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังเป็นคนไทย ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น เกาหลี จีน และโซนยุโรป ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเฉลี่ย ประมาณ 1,000 ต่อหัวต่อคน คาดการณ์เงินสะพัด 200 ล้านบาทต่อเดือน

“สำหรับวัดไชยวัฒนาราม เป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยาตอนปลายและเป็นไฮไลต์ของละครดังกล่าว ปกติจะเปิดให้บริการ 08.00-18.00 น. ช่วงกลางคืนวัดค่อนข้างสวยงามเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวให้นอนพักค้างคืนได้ โดยจะเปิดแถลงข่าวโปรโมตอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 และสิ้นสุดโครงการวันที่ 31 ธันวาคม 2566 แต่ถ้ากระแสตอบรับดีอาจจะมีการขยายเวลาให้บริการ” นายมานัส กล่าว

ขณะเดียวกันทางสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา ได้มีการขออนุญาตเปิดให้บริการสถานที่ท่องเที่ยวตอนกลางคืนเพิ่มอีก 4 แห่ง ได้แก่ วัดพระราม วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดราชบูรณะ และวัดมหาธาตุ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป จนถึง 31 มีนาคม 2567

โดยใช้ชื่อกิจกรรมว่า ‘ไนต์แอดเดอะเทมเพิล’ จะเปิดให้บริการศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ กรุ๊ปละ 20 คน ค่าบริการประมาณ 950 บาทต่อคน ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง มีรถตุ๊กตุ๊กรับ-ส่ง ให้บริการ 4 รอบต่อวัน รอบแรกเวลา 18.30 น. รอบสองเวลา 19.00 น. รอบสามเวลา 19.30 น. รอบสี่เวลา 20.00 น. โดยแต่ละรอบต้องมีหัวหน้าไกด์ ผู้ช่วยไกด์ เจ้าหน้าที่กรมศิลป์เข้าไปดูแล

รวมถึงทำประกันชีวิตให้กับนักท่องเที่ยว โดยกิจกรรมดังกล่าวต้องทำในรูปแบบบริษัททัวร์ แม้ทางกรมศิลปากรได้มีการอนุญาตเปิดให้บริการ แต่จะต้องเข้าไปเป็นหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ เนื่องจากมีบางจุดที่ค่อนข้างมืด ส่งผลอันตรายต่อนักท่องเที่ยว

ทั้งนี้ จัดกิจกรรมนี้ขึ้นเพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวพักค้างแรมที่จังหวัดอยุธยาให้เพิ่มมากขึ้น จะทดลองให้บริการประมาณ 2 สัปดาห์ หากได้กระแสตอบรับที่ดีจะมีการโปรโมตประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ

ปัจจุบันจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีห้องพักเปิดให้บริการประมาณ 2,000 กว่าห้อง เปิดให้บริการ 100% และคาดว่าช่วงไฮซีซั่นเดือนธันวาคม 2566 อัตราการเข้าพักน่าจะ 90-100%

ด้าน นายณัฐปคัลภ์ อัครวิชญ์ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยกับประชาชาติธุรกิจว่า ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 800,000 คนต่อเดือน เฉลี่ยเป็นชาวไทย 700,000 คน และต่างชาติ 100,000 คน หากเทียบกับปี 2565 มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวของจังหวัดจะพยายามทำให้ได้ 80% ของตัวเลขปี 2562

ซึ่งเป็นปีที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาอยุธยามากที่สุด รวมเกือบ 40 ล้านคนต่อปี แต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาค่อนข้างอยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางไปเช้า-กลับเย็น และจากข้อมูลของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา หลังละครเรื่องพรหมลิขิตได้มีการออนแอร์ไป พบว่ามีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น จากเดิมช่วงวันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) มีนักท่องเที่ยวประมาณ 1,000 คนต่อวัน ตอนนี้เพิ่มขึ้น 2,000-3,000 คนต่อวัน

และมีแนวโน้มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะคนไทย และหลังจากกรมศิลปากรได้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าไปเยี่ยมชมวัดไชยวัฒนารามตอนกลางคืนได้ เฉลี่ยมีนักท่องเที่ยวประมาณ 1,000-2,000 คนต่อวัน ถือว่าได้การตอบรับที่ดี

นอกจากนี้ มีกิจกรรมล่องเรือรับประทานอาหารเย็น พยายามหากิจกรรมภาคท่องเที่ยวตอนกลางคืนให้นักท่องเที่ยวสนใจและเดินชม จึงได้มีการจัดทำกิจกรรม กับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ

‘ไนต์แอดเดอะเทมเพิล’ หรือ Night at the Temples 2023 ท่องเที่ยวโบราณสถานในยามค่ำคืน ก็หวังว่ากิจกรรมดังกล่าวจะกระตุ้นเศรษฐกิจ และสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวพักค้างคืน และสร้างรายได้ให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

‘คำสั่งฮันนิบาล’ ไพ่ลับของกองทัพอิสราเอล เส้นแบ่งระหว่าง ‘ความมั่นคง’ กับ ‘ศีลธรรม’

เมื่อพูดถึงยุทธศาสตร์ทางทหารและความมั่นคงของชาติ ‘คำสั่งฮันนิบาล’ ของอิสราเอลถือเป็นหนึ่งในปฏิบัติการที่มีการโต้เถียงและเป็นความลับมากที่สุด ซึ่งเต็มไปด้วยความลับและความคลุมเครือทางศีลธรรม 

‘คำสั่งของฮันนิบาล’ ถูกตั้งคำถามถึงเส้นแบ่งระหว่าง ‘ความมั่นคงของชาติ’ และ ‘ความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตมนุษย์’ ซึ่งมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทหารอิสราเอลและคนในสังคมทั่วไป เนื่องจากเป็นเรื่องที่ซับซ้อนของยุทธศาสตร์และจริยธรรมทางการทหาร

คำสั่งฮันนิบาล (ฮีบรู: נוהל שניבעל) (หรือ ‘ระเบียบปฏิบัติ’ หรือ ‘พิธีสาร’) เป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดข้อขัดแย้ง ซึ่งใช้โดยกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) เพื่อป้องกันการจับกุมทหารอิสราเอลโดยกองกำลังศัตรู 

ชื่อของคำสั่งนี้ไม่ใช่เพื่อการแสดงความเคารพต่อ ‘ฮันนิบาล’ นายพลชาวคาร์ธาจิเนียน (Carthaginian) ในตำนาน ซึ่งเป็นที่เลื่องลือในเรื่องความฉลาดและเก่งกล้าสามารถทางการทหาร แต่เป็นคำย่อในภาษาฮีบรู ย่อมาจาก 'Hurry, Neutralize, Abduction, Locale' ซึ่งเป็นลำดับคำที่สรุปความเร่งด่วนและความรุนแรงของสถานการณ์ ซึ่งไม่ใช่แค่กลยุทธ์ทางการทหารเท่านั้น แต่เป็นคำแถลง การประกาศว่า IDF จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องตนเอง 

IDF เริ่มใช้คำสั่งนี้เป็นครั้งแรกในปี 1986 หลังจากมีการลักพาตัวทหาร IDF ในเลบานอนหลายครั้ง และมีการแลกเปลี่ยนนักโทษในเวลาต่อมา ข้อความฉบับเต็มของคำสั่งนี้ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ และจนกระทั่งปี 2003 ได้มีการเซ็นเซอร์จากทหารอิสราเอล ห้ามไม่ให้มีการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสื่อ 

ทั้งนี้ คำสั่งฮันนิบาลมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง และครั้งหนึ่งมีการกำหนดไว้ว่า "การลักพาตัวต้องยุติทุกวิถีทาง แม้จะแลกด้วยการโจมตีและทำร้ายคนของเราเองก็ตาม" 

หลายฝ่ายเชื่อว่า คำสั่งฮันนิบาลมีอยู่ 2 แบบซึ่งแตกต่างกัน แบบแรกเป็นลายลักษณ์อักษรที่เป็นความลับสุดยอด สามารถเข้าถึงได้เฉพาะนายทหารระดับบนของ IDF เท่านั้น และอีกแบบหนึงคือ ‘กฎหมายปากเปล่า’ ใช้สำหรับผู้บังคับกองพลและนายทหารระดับต่ำกว่า 

ในแบบหลัง มักใช้การตีความ ‘โดยทั้งหมด’ ตามตัวอักษร เช่น ‘ทหาร IDF ตายดีกว่าถูกลักพาตัว’ แต่ในปี 2011 Benny Gantz เสนาธิการของ IDF ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ได้อนุญาตให้สังหารทหารของ IDF

>>กำเนิดของคำสั่งฮันนิบาล

คำสั่งฮันนิบาล (Hannibal Directive) ซึ่งเป็นคำที่สะท้อนถึงความเร่งด่วนและความรุนแรง มีต้นกำเนิดมาจากยุคแห่งความสับสนอลหม่านในทศวรรษ 1980 หากย้อนไปเมื่อปี 1948 ประเทศอิสราเอลถือกำเนิดขึ้น พร้อมกับก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างมากมายในภูมิภาคนี้ 

อิสราเอลพยายามคิดค้นยุทธศาสตร์ที่จะทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องปรามการลักพาตัวทหาร เพื่อยุติชะตากรรมที่อาจนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในทุก ๆ ด้าน ทำให้กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ที่รู้จักในด้านความกล้าหาญและความสามารถในการฟื้นตัวทางยุทธศาสตร์ ต้องกำหนดแนวทางปฏิบัติที่จะปฏิบัติภารกิจเพื่อปกป้องตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ ‘คำสั่งฮันนิบาล’ ซึ่งเป็นระเบียบการที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าคลุมแห่งความลับและความมุ่งมั่นสุดเคร่งครัด วัตถุประสงค์ของคำสั่งนี้ชัดเจน คือ ป้องกันการจับกุมทหารอิสราเอลโดยกองกำลังศัตรูไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แม้ว่าจะหมายถึงการทำให้ชีวิตของเชลยต้องตกอยู่ในอันตรายก็ตาม เชลยที่เป็นทหารอิสราเอลถือเป็นเดิมพันที่มีราคาสูงอย่างยิ่ง

ทาง IDF จะไม่เจรจา และจะไม่ยอมให้ทหารอิสราเอลที่เป็นเชลยถูกใช้เป็นหมากในการเจรจาต่อรอง คำสั่งดังกล่าวจึงถูกปกปิดไว้เป็นความลับ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในกองทัพเท่านั้นที่ทราบ เป็นไพ่ที่ IDF จับไว้ใกล้หน้าอก พร้อมที่จะจั่วเล่นในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

>>การประหารชีวิตและข้อโต้แย้ง

‘คำสั่งฮันนิบาล’ ไม่ใช่เป็นเพียงโครงสร้างในทางทฤษฎี แต่เป็นแง่มุมที่เกิดขึ้นจริงและถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งของยุทธศาสตร์ทางทหารของอิสราเอล ทั้งนี้มีผู้พบเห็นเหตุการณ์ที่เกิดจากคำสั่งฮันนิบาล และการประหารชีวิตหลายครั้ง 

กรณีที่น่าสังเกตและเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดเกิดขึ้นระหว่างการรุกรานฉนวนกาซาของอิสราเอลในปี 2014 ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ทำให้คำสั่งฮันนิบาลตกเป็นที่จับตามองไปทั่วโลก และต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด 

ในตอนนั้นหลายคนเชื่อว่าร้อยโท Hadar Goldin ถูกกลุ่มติดอาวุธฮามาสจับกุมไป และทางกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ก็ไม่ลังเลใจที่จะนำคำสั่งฮันนิบาลมาใช้งาน หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดการยิงอย่างหนักหน่วงเพื่อป้องกันการลักพาตัว พื้นที่ดังกล่าวถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศขนาดใหญ่ ถือเป็นการแสดงพลังทำลายล้างที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

แต่ผลพวงของปฏิบัติการครั้งนั้นถือเป็น ‘หายนะ’ พื้นที่แห่งนั้นมีแผลเป็นจากเศษซากของการโจมตี บริเวณใกล้เคียงทั้งหมดเหลือเพียงซากปรักหักพัง และพลเรือนชาวปาเลสไตน์จำนวนมากถูกทหารอิสราเอลสังหาร ชีวิตของพวกเขาต้องจบลงอย่างกะทันหันและน่าเศร้า 

เหตุการณ์ดังกล่าวทิ้งรอยเปื้อนอันดำมืดไว้ในบันทึกของ IDF และคำสั่งฮันนิบาลก็ถูกผลักไสให้กลายเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลายฝ่ายกลับมาตั้งคำถามถึง ‘จริยธรรมและศีลธรรม’ ของคำสั่งฮันนิบาลมากขึ้น

กระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อคำสั่งฮันนิบาลรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง โดยมีคำแย้งว่าคำสั่งฮันนิบาลเป็นนโยบายโหดร้ายที่อนุมัติการสังหารทหารอิสราเอลโดยพี่น้องทหารร่วมกองทัพกันเอง โดยให้เหตุผลต่อการกระทำว่าเพื่อป้องกันการถูกจับกุม มันเป็นระเบียบปฏิบัติที่ท้าทายความสนิทสนมกันและความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตมนุษย์ ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับค่านิยมที่ IDF อ้างว่าจะยึดถือ 

อย่างไรก็ตาม ผู้ออกคำสั่งดังกล่าวมีมุมมองที่แตกต่างออกไป พวกเขาปกป้องคำสั่งฮันนิบาลว่าเป็น ‘ความชั่วร้ายที่จำเป็น’ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่รุนแรงแต่จำเป็นในการยับยั้งกองกำลังศัตรูจากการลักพาตัวทหารของอิสราเอล

ในสายตาของพวกเขา คำสั่งดังกล่าวเป็นเครื่องป้องปราม ซึ่งเป็นอาวุธทางจิตวิทยาที่ส่งข้อความที่ชัดเจนไปยังศัตรูของอิสราเอลว่า การจับทหารอิสราเอลจะไม่ทำให้เกิดความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ใด ๆ แต่กลับจะเป็นการปล่อยพายุแห่งการแก้แค้นแทน 

การถกเถียงต่อเรื่องคำสั่งฮันนิบาลดำเนินไปอย่างดุเดือด โดยก้าวข้ามขอบเขตของยุทธศาสตร์ทางทหาร และเจาะลึกขอบเขตของจริยธรรมและศีลธรรม 

คำสั่งของฮันนิบาลได้จุดประเด็นขัดแย้งทางศีลธรรมที่ฝังลึก ซึ่งมาพร้อมกับการดำรงอยู่ของอิสราเอล ทำให้สังคมต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้ายของความขัดแย้งและราคาของการคุ้มครอง

>>ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทหารและสังคม

คำสั่งฮันนิบาล มีแนวทางการทำสงครามที่เคร่งครัดและไม่ยอมแพ้ เหมือนเงาที่ทอดยาวเหนือกองทัพและสังคมอิสราเอล กำหนดรูปแบบการรับรู้ ทัศนคติ และโครงสร้างหลักในการสร้างความสมดุลระหว่างความปลอดภัยและจริยธรรม 

ทหารที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อปกป้องชาติของตนด้วยความทุ่มเทอย่างแน่วแน่ พบว่าตัวเองต้องต่อสู้กับปัญหาทางศีลธรรมที่ซับซ้อน การรู้ว่าชีวิตของพวกเขาอาจจงใจทำให้สหายของพวกเขาตกอยู่ในอันตรายเพื่อขัดขวางการจับกุม ทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนแอและความขัดแย้งภายในอย่างลึกซึ้ง 

ความวุ่นวายภายในนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในกองทัพเท่านั้น มันแพร่กระจายไปทั่วจนถึงประชากรพลเรือน จุดประกายให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงและการค้นหาจิตวิญญาณเกี่ยวกับการแบ่งสาขาทางจริยธรรมของคำสั่งดังกล่าว

แรงวิจารณ์ในสังคมรุนแรงมากขึ้น พร้อม ๆ กันการต้องต่อสู้กับความเป็นจริงในเรื่องความมั่นคงของชาติ หรือศีลธรรม จริยธรรม คำสั่งฮันนิบาลในรูปแบบดั้งเดิมเผยให้เห็นทางเลือกอันโหดร้ายที่มาพร้อมกับหมอกแห่งสงคราม บีบบังคับให้ประเทศต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกที่โหดร้าย เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ

การตรวจสอบข้อเท็จจริงของสาธารณะและการถกเถียงภายในแวดวงทหารทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ IDF ดำเนินการประเมินคำสั่งใหม่อย่างครอบคลุม

ในปี 2016 การใคร่ครวญนี้สิ้นสุดลงด้วยการแก้ไขคำสั่งฮันนิบาลครั้งสำคัญ เพื่อให้มีจุดกึ่งกลางของความมั่นคงของชาติและความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตมนุษย์ IDF พยายามที่จะสร้างสมดุลที่มีมนุษยธรรมมากขึ้น ระเบียบการฉบับปรับปรุงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อทหารที่ถูกจับกุม 

ขณะเดียวกันก็รักษาท่าทางที่แข็งแกร่ง เมื่อเกิดการลักพาตัวทหาร การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและส่งผลต่อคำสอนในกองทัพอิสราเอล สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงค่านิยม และยอมรับถึงความจำเป็นในการทำสงครามที่มีจริยธรรมมากขึ้น 

ผลกระทบของคำสั่งฮันนิบาลและการแก้ไขในภายหลัง ตอกย้ำความซับซ้อนของความขัดแย้งสมัยใหม่ และการต่อสู้เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการด้านความมั่นคงกับความจำเป็นของมนุษยชาติ เป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้ในช่วงสงครามอันดุเดือด คุณค่าของชีวิตมนุษย์ก็ไม่ควรถูกบดบังด้วยหมอกแห่งสงคราม

Tzvi Feldman

“ไม่มีแม่คนไหนอยากให้ลูกชายของเธอถูกฆ่ามากกว่าถูกจับเป็นเชลย...เราเลือกที่จะรอจนกว่าเขาจะกลับมา แม้ว่ามันจะกินเวลาหลายปีก็ตาม” Pnina Feldman มารดาของ Tzvi Feldman หายตัวไปในเลบานอน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 1982 ยังไม่มีการค้นพบร่างของ Tzvi Feldman จนทุกวันนี้

Yossi Fink

“ฝันร้ายที่เราเผชิญมาตลอด 10 ปีนั้นไม่อาจอธิบายได้ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ยอมให้เพื่อนของทหารที่ถูกลักพาตัวพยายามช่วยชีวิตเขาแม้จะต้องแลกมาด้วยการฆ่าเขาก็ตาม ตราบใดที่ยังมีชีวิตก็ยังมีความหวัง ฉันยังมั่นใจด้วยว่าทหารจะปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งและจะไม่สังหารทหารอิสราเอล คำสั่งดังกล่าวส่งผลต่อขวัญกำลังใจของทหารอย่างไรบ้าง? ทหารที่ถูกจับเข้าคุกต้องรู้ว่าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเขาโดยไม่ฆ่าเขา” Mordechai Fink พ่อของ Yossi Fink ซึ่งถูกลักพาตัวในปี 1986 ทำให้เกิดการกำหนดคำสั่งฮันนิบาลขึ้นมา ร่างของ Yossi Fink ถูกนำกลับมาฝังในอิสราเอลเมื่อ 22 กรกฎาคม 1996 กินเวลา 10 ปีหลังจากการหายไป

‘มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก’ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระกุศลใน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี ณ วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี

(1 พ.ย. 66) ณ พระอุโบสถ วัดโพธิสมภรณ์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย นำโดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองประธานกรรมการที่ปรึกษาและประธานกรรมการบริหารมูลนิธิฯ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย ท่านผู้หญิง ดร.สุธาวัลย์ เสถียรไทย นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เข้าร่วมในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระกุศลใน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โดยมีคณะกรรมการมูลนิธิฯ เครือข่ายเตือนภัยพิบัติชุมชนเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) จังหวัดสกลนครและขอนแก่น เครือข่ายมูลนิธิฯ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร  เข้าร่วมในพิธี

ทั้งนี้ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ได้กำหนดจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน โดยในครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 13 ประจำเดือนตุลาคม โดยพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา ถวายผ้าไตรจีวร ตาลปัตรมูลนิธิฯ เครื่องจตุปัจจัยไทยธรรม และภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์วัดโพธิสมภรณ์ รวม 10 รูป พระสงฆ์ร่วมกันเจริญพระพุทธมนต์ขอให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการมูลนิธิฯ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ องค์นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพมูลนิธิฯ ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว

ตร.ไซเบอร์จับเครือข่ายหลอกทำงานเสริมออนไลน์ อ้างเหตุผลหลอกโอนเงินรัวๆ เหยื่อสูญหมดบัญชีกว่า 1.7 ล้าน

สืบเนื่องจาก เมื่อประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2565 ผู้เสียหายต้องการหาอาชีพเสริมทำ จึงค้นหาผ่าน Facebook พบโพสต์โฆษณารับคนหารายได้พิเศษ อ้างว่าชื่อบริษัท PRIMAL COMPANY LIMITED จนได้ติดต่อพูดคุยกันผ่านแพลตฟอร์ม Facebook Messenger โดยแอดมินได้แนะนำเกี่ยวกับการนำเงินมาลงทุน ซื้อสินค้า อ้างว่าเพื่อเป็นการช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าต่างๆ หากทำแล้วจะได้เงินทุนคืนพร้อมค่าคอมมิชชั่นตอบแทน 

ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงร่วมลงทุนผ่านเว็บไซต์ที่มิจฉาชีพสร้างขึ้น โดยมิจฉาชีพได้ส่งเลขบัญชีมาให้ ผู้เสียหายจึงโอนเงินไป ครั้งแรกจำนวน 10,000 บาท ครั้งที่ 2 จำนวน 19,927 บาท ต่อมาครั้งที่ 3 มิจฉาชีพอ้างว่ามีค่าส่วนต่างสินค้า จึงให้โอนเพิ่มอีก 1,586.60 บาท ต่อมาโอนครั้งที่ 4 จำนวน 61,141.80 บาท ครั้งที่ 5 จำนวน 153,960 บาท หลังจากโอนยอดครั้งที่ 5 มิจฉาชีพได้แจ้งผู้เสียหายว่า ต้องโอนเงินเพื่อปิดงาน มิเช่นนั้นไม่สามารถถอนเงินทั้งหมดได้ จึงโอนไปอีก 153,960 บาท เป็นครั้งที่ 6 

ต่อมา มิจฉาชีพแจ้งว่าต้องเสียค่าภาษีก่อนจึงจะถอนเงินได้ จึงโอนเงินให้ไปอีก 205,668 บาท จากนั้นมิจฉาชีพแจ้งว่าผู้เสียหายไม่ได้ลงบันทึกไว้ท้ายใบเสร็จว่าเป็นค่าชำระภาษี ต้องโอนเงินใหม่อีกครั้งในยอดเงินเท่าเดิม พร้อมให้ระบุท้ายใบเสร็จว่า “ชำระค่าภาษี” ผู้เสียหายจึงได้โอนเงินไปอีก 205,668 บาท หลังจากนั้นคนร้ายได้บอกกับผู้เสียหายว่าสามารถถอนเงินได้แล้ว จึงได้พยายามกดถอนเงินทั้งหมด แต่พบว่าไม่สามารถถอนได้ มิจฉาชีพอ้างว่าระบบล๊อค ต้องโอนเงินเพิ่มตามยอดที่ระบุเพื่อยืนยันตัวตนก่อน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเพิ่มอีก 666,000 บาท 

ไม่เพียงเท่านั้น มิจฉาชีพแจ้งอีกว่า ยอดลงทุนของผู้เสียหายต้องถึงขั้นต่ำที่กำหนดก่อน จึงจะสามารถถอนเงินทั้งหมดได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปอีก 235,706.40 บาท และหลอกให้โอนเงินเพิ่มอีกหลายครั้ง จนสุดท้าย มิจฉาชีพแจ้งว่าต้องชำระค่าภาษีอีกครั้ง และแจ้งให้โอนเงินเพิ่มอีกประมาณ 6 แสนบาท แต่ผู้เสียหายไม่เชื่อ และรู้ตัวว่าโดนหลอกแล้ว จึงได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ รวมความเสียหายทั้งสิ้น 1,713,617.80 บาท 

ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ บก.สอท.3 ดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี จนสามารถขอศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้หลายราย ซึ่ง กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ได้สืบทราบว่า น.ส.สริตา อายุ 30 ปี หนึ่งในผู้กระทำผิดซึ่งถูกออกหมายจับโดยศาลอาญา ทำงานอยู่ในตลาดวังสมบูรณ์ อ.วังสมบูรณ์ จว.สระแก้ว จึงทำการวางแผนเข้าจับกุมได้ในที่สุด พร้อมแจ้งข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” นำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.๓, พ.ต.อ.พงศ์นรินทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.๓, สั่งการให้
พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ,  พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, พร้อมชุดสืบสวนร่วมกันจับกุม

‘รมว.อุตสาหกรรม’ เตรียมหารือหน่วยงานเกี่ยวข้อง ดูแลราคาอ้อย ไม่ให้กระทบเกษตรกร

"การปรับขึ้นราคา…หากราคาน้ำตาลในประเทศมีราคาถูก อาจเกิดการลักลอบขายออกนอกประเทศ และเกิดการกักตุนเก็งกำไร ซึ่งทำให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบในที่สุด ขณะที่การปรับขึ้น จะทำให้เกษตรกรได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งที่ถูกกำหนดโดย พรบ.ด้วย ไม่ใช่เฉพาะโรงงาน และเงินบางส่วนจะไปที่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านมลภาวะทางอากาศ PM2.5 หาปริมาณฝุ่น PM2.5 เพิ่มขึ้น เพื่อลดผลกระทบกับอีกหลายระบบนิเวศ...

"รัฐบาลพร้อมดูแลเกษตรกร ภายหลังการเข้าควบคุมราคา โดยจะมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดภาระให้กับประชาชนผู้บริโภคและเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้ได้รับการเยียวยาอย่างเป็นธรรม" 

พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เผยว่ากระทรวงพาณิชย์มีมติไม่ให้ปรับขึ้นราคาน้ำตาล 4 บาท ต่อกิโลกรัม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะกลับไปหามาตรการที่จะมาช่วยเหลือกลุ่มชาวไร่อ้อย เพราะที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้น้ำตาลเป็นสินค้าควบคุม ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.)

'ผลสำรวจ' ชี้!! 'ต่างชาติ' พอใจสภาพแวดล้อมในจีน 'ภาษี-ตลาด-กฎหมายต่างๆ' เอื้ออำนวยต่อการลงทุน

(1 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลสำรวจจากสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของจีน (CCPIT) ประจำไตรมาส 3 (กรกฎาคม-กันยายน) ของปีนี้ พบบริษัทที่ได้รับทุนสนับสนุนจากต่างประเทศส่วนใหญ่ในจีนพึงพอใจกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยประโยชน์ของจีน

รายงานระบุว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอันเกี่ยวข้องกับการชำระภาษี การเข้าถึงตลาด และการระงับข้อพิพาทในจีน ได้รับเสียงชื่นชมเป็นวงกว้างจากกลุ่มบริษัทต่างชาติที่ดำเนินงานในจีน โดยเกือบร้อยละ 90 ของผู้ประกอบการต่างชาติกลุ่มสำรวจ 700 ราย พอใจกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในจีน

กลุ่มบริษัทต่างชาติมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจในจีน โดยผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าร้อยละ 80 คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนจะยังคงทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นในปี 2023 ด้านสภาฯ จะเดินหน้าเกื้อหนุนสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในจีนที่มุ่งเน้นตลาด อิงกฎหมาย และเป็นสากลมากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top