Thursday, 8 May 2025
TheStatesTimes

‘ไทยสมายล์กรุ๊ป’ เปิดตัวรถเมล์ร้อนราคาประหยัด ‘EV สีส้ม’ ด้วยค่าบริการ 10 บาทตลอดสาย เริ่มวิ่ง 10 เส้นทาง 60 คัน

(1 พ.ย.66) นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ กรุ๊ป เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินงานของไทยสมายล์บัสตลอด 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2566 ระบุว่า การพัฒนาธุรกิจในเครือไทยสมายล์กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของเส้นทางให้บริการที่ปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 123 เส้นทาง ประกอบกับการเพิ่มจำนวนรถเข้าให้บริการพี่น้องประชาชน จาก 800 คัน ในช่วงต้นปี 2565 จนปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2,200 คันแล้ว

ส่งผลให้ยอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดิมเฉลี่ยมากกว่า 300,000 คน/วัน สอดคล้องกับจำนวนรถและรอบที่ให้บริการมากขึ้น ทำให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่พี่น้องประชาชนหันมาใช้บริการรถสาธารณะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันทางบริษัทได้เพิ่มความถี่ เพิ่มจำนวนรถ เพิ่มจำนวนรอบ ไปจนถึงการขยายเวลาการวิ่งให้บริการเป็น 24 ชั่วโมง ใน 4 เส้นทาง

ส่วนแผนระยะยาว ทางไทยสมายล์บัส มีแผนขยายการให้บริการในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการวิ่งรถในเส้นทางใบอนุญาตปัจจุบัน และการขยายให้บริการรูปแบบ Feeder เชื่อมต่อการขนส่ง ทั้งรถ-เรือ-ราง ทั้งยังเพิ่มการให้บริการกลุ่มลูกค้าองค์กรต่าง ๆ ซึ่งในปีหน้าเชื่อว่าจะมีรถเข้ามาให้บริการเพิ่มเป็น 3,100 คันตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ คาดการณ์ว่าจะมียอดผู้โดยสารใช้งานเฉลี่ยมากกว่า 500,000 คน/วัน

อย่างไรก็ตาม ซีอีโอ ไทย สมายล์ กรุ๊ป ยอมรับว่า ตนรับทราบถึงความเห็นของผู้ใช้บริการ ที่อาจยังพบกับความไม่สะดวกในบางส่วน ทางบริษัทรับฟังและได้ทำการแก้ไขต่อเนื่อง เช่น รถเมล์ไฟฟ้าของ TSB ไม่จอดรับผู้โดยสาร วิ่งเลนขวา ทางบริษัทได้ลงทุนสร้างศูนย์ฝึกอบรมครบวงจร ที่จะปั้นพนักงานขับรถ ‘กัปตันเมล์’ รุ่นใหม่เข้ามาให้บริการด้วยมาตรฐานที่ยกระดับขึ้น

ทั้งยังปรับสิทธิประโยชน์รายได้ของพนักงานให้สอดคล้องกับพฤติกรรม นอกจากนี้บริษัทได้เริ่มทดลองใช้ระบบ Fleet management ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กำกับการเดินรถ สามารถตรวจการเข้าป้าย ความเร็ว ปริมาณผู้โดยสารบนรถ ไปจนถึงการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ขับขี่-พนักงานผู้ให้บริการ จึงขอให้มั่นใจว่า การบริการของ TSB จะปรับปรุงแก้ไข พัฒนาบริการให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ

โดยในวันเดียวกันนี้ ยังได้มีการเปิดตัว รถเมล์ไฟฟ้าราคาประหยัด หรือ ‘รถ EV สีส้ม’ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของภาครัฐ ที่มีกำหนดนโยบายว่าเอกชนผู้ได้รับใบอนุญาต ต้องดำเนินการจัดหาให้มีรถร้อนออกให้บริการประชาชนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งทางบริษัทได้จัดหามาทั้งสิ้นจำนวน 60 คัน เพื่อนำไปเสริมการเข้าถึงบริการขนส่งมวลชนให้ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น

ในเฟสแรกจะให้บริการใน 10 เส้นทาง จากนั้นจะศึกษาผลตอบรับเพื่อนำไปพัฒนาการให้บริการต่อไปในอนาคต ด้วยอัตราค่าโดยสาร 10 บาทตลอดสาย ตามข้อกำหนดใบอนุญาตของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถชำระค่าโดยสารได้ทั้งรูปแบบ HOP Card ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ เดลิ แมกซ์ แฟร์ เดินทางไม่จำกัดในราคาเพียง 40 บาทตลอดสาย ไปจนถึงการชำระด้วยรูปแบบเงินสด

ด้านการพัฒนาของ ไทย สมายล์ โบ๊ต ได้มีการเสริมฟีดเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า รูปแบบใหม่ ขนาด 19 เมตร เป็นเรือ Catamaran พลังงานสะอาด 100% ซึ่งมีความแตกต่างในทางกายภาพจากเรือรูปแบบเดิมของบริษัท ด้วยขนาดที่กะทัดรัดคล่องตัวมากขึ้น เหมาะที่จะเดินเรือในเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาได้ในทุกสภาพอากาศแม้ช่วงน้ำขึ้น ปัจจุบันได้รับเพิ่มมาแล้วจำนวน 9 ลำ

ส่งผลให้บริษัทมีฟลีตเรือให้บริการทั้งสิ้น 35 ลำ ซึ่งจะเข้าไปบริการในเส้นทาง Urban และ City Line ก่อนในช่วงแรก แล้วจึงขยายไปเส้นทาง Metro Line ตามความต้องการของผู้โดยสารในแต่ละเส้นทาง สร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้เดินทาง โดยเฉพาะช่วงชั่วโมงเร่งด่วน คาดว่าจะสามารถเพิ่มความถี่ให้บริการได้ ทุก 7-10 นาที พร้อมทั้งยังสามารถให้บริการกับลูกค้าองค์กร เช่น การเช่าเหมาลำ การวิ่งตามฟีดเส้นทาง หรือเรือนำเที่ยวได้อีกด้วย

‘นักวิจัยไทย’ ค้นพบ ‘ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ’ ดวงใหม่รอบระบบดาวคู่ สะท้อน!! ศักยภาพ ‘นักดาราศาสตร์ไทย-กล้องโทรทรรศน์ NARIT’

เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า...

นักวิจัย NARIT ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะใหม่รอบระบบดาวคู่

ดร.ศุภชัย อาวิพันธุ์ นักวิจัย NARIT ร่วมทีมนักวิจัยไทย ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะใหม่ที่โคจรรอบระบบดาวคู่ RR Cae ถือเป็นดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงที่ 2 ที่ถูกค้นพบในระบบดังกล่าว และนับเป็นดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงแรกที่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยชาวไทยทั้งหมด

ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจำนวนมากกว่า 5,000 ดวง ส่วนใหญ่เป็นดาวเคราะห์นอกระบบที่โคจรรอบดาวฤกษ์เพียงดวงเดียว มีดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะเพียงประมาณ 20 ดวงเท่านั้นที่ถูกค้นพบว่าโคจรรอบระบบดาวคู่ โดยในการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่โคจรรอบระบบดาวคู่ส่วนใหญ่ จะถูกค้นพบด้วยเทคนิค การเปลี่ยนแปลงเวลาการบังกันของดาวคู่ (Eclipse timing variation) ซึ่งเป็นการสังเกตการณ์การบังกันของดาวคู่อุปราคา ถ้าในระบบดาวคู่ดังกล่าวมีดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์จะทำให้ตำแหน่งของดาวคู่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ช่วงเวลาที่เกิดการบังกันที่สังเกตการณ์ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปไม่สม่ำเสมอ

ระบบดาวคู่ RR Cae เป็นระบบดาวคู่ที่ประกอบด้วยดาวแคระขาว และดาวฤกษ์มวลน้อยสีแดง อยู่ห่างจากโลก 69 ปีแสง ก่อนหน้านี้ทีมนักดาราศาสตร์จีนค้นพบว่า ระบบดาวคู่ RR Cae มีการเปลี่ยนแปลงเวลาการบังกันของดาวคู่ ซึ่งเกิดจากผลของแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์มวลประมาณ 4.2 เท่าของมวลดาวพฤหัสบดี ที่โคจรรอบระบบดาวคู่ด้วยคาบ 11.9 ปี

ในงานวิจัยนี้ทีมนักวิจัยไทยได้มีการสังเกตการณ์ระบบดาวคู่ RR Cae ด้วยกล้องโทรทรรศน์อัตโนมัติของ NARIT ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6 เมตร PROMPT-8 ณ หอดูดาว Cerro Tololo Inter-American ประเทศชิลี และกล้องโทรทรรศน์อัตโนมัติขนาด 0.7 เมตร ณ หอดูดาว Spring brook ประเทศออสเตรเลีย ร่วมกับฐานข้อมูลของกล้องโทรทรรศน์ Very Large Telescope (VLT) และกล้องโทรทรรศน์อวกาศ TESS (Transiting Exoplanet Survey Satellite) ระหว่างปี พ.ศ.2561-2563 ได้กราฟแสงขณะเกิดการบังกันของระบบดาวคู่ RR Cae ทั้งหมด 430 ครั้ง

จากข้อมูลกราฟแสงการบังกันดังกล่าว ทีมวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างแบบจำลองทางกายภาพของระบบดาวคู่ RR Cae ด้วย ระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ‘ชาละวันคลัสเตอร์’ (Chalawan High Performance Computing Cluster) ของ NARIT พบว่าดาวฤกษ์มวลน้อยสีแดงในระบบดาวคู่ มีจุดมืดและจุดสว่างขนาดใหญ่ ซึ่งไม่เคยค้นพบในงานวิจัยมาก่อนหน้านี้ และเมื่อนำข้อมูลการบังกันมาวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงเวลาการบังกันของดาวคู่ RR Cae พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเวลาการบังกันที่เกิดจากผลของแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ 2 ดวง โดยดาวเคราะห์ดวงแรกมีมวล 3.0 เท่าของมวลดาวพฤหัสบดี โคจรรอบดาวคู่ด้วยคาบประมาณ 15 ปี และดาวเคราะห์ดวงที่สองซึ่งเป็นดาวเคราะห์ใหม่ที่พึ่งถูกค้นพบ มีมวลประมาณ 2.7 เท่าของมวลดาวพฤหัสบดี และมีคาบการโคจรประมาณ 39 ปี

ดาวเคราะห์นอกระบบใหม่ที่ถูกค้นพบในงานวิจัยนี้ นับเป็นดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกที่ถูกค้นพบโดยทีมนักวิจัยคนไทยทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักดาราศาสตร์ไทย และกล้องโทรทรรศน์ NARIT ในการค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะใหม่ ซึ่งจะช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกต่อไป

เรียบเรียง : ดร. ศุภชัย อาวิพันธุ์ - นักวิจัย กลุ่มวิจัยดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะและชีวดาราศาสตร์ สดร.

เผยสาเหตุ!! 'การเสนอปรับขึ้นราคาน้ำตาล' 4 บาท/กก.

การประกาศกำหนดราคาน้ำตาลภายในราชอาณาจักรเพื่อใช้ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ประจำปีการผลิตในแต่ละฤดูการผลิต ของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย จะเป็นการแจ้งให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายได้แก่ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล รับรู้รายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ 

ทั้งนี้ โรงงานน้ำตาลสามารถจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักร ณ หน้าโรงงานในราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาที่ประกาศได้ แต่โรงงานต้องนำส่งรายได้ตามราคาที่ประกาศ

การปรับเพิ่มราคาน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเพื่อใช้ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ฤดูการผลิตปี 2566/2567 จากเดิมราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวธรรมดากิโลกรัมละ 19 บาท ปรับเป็นกิโลกรัมละ 23 บาท น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์จากเดิมกิโลกรัมละ 20 เป็นกิโลกรัมละ 24 บาท โดยมีแนวทางการปรับเพิ่มรายได้และพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตแก่ระบบอุตสาหกรรม โดยมีแนวทางการปรับเพิ่มราคาจำแนกเป็น 2 ส่วน ดังนี้

1) การปรับเพิ่มราคา 2 บาท/กิโลกรัม ส่วนที่ 1 
เป็นการปรับเพิ่มราคาตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยใช้หลักการ Cost Plus ประกอบด้วยต้นทุนการผลิตอ้อย ต้นทุนการผลิตน้ำตาล ค่าใช้จ่ายในส่วนการจำหน่ายน้ำตาลในประเทศ และผลตอบแทนในอัตราที่เหมาะสม 

ในเบื้องต้นคาดการณ์ว่า หากมีการบริโภคน้ำตาลในประเทศที่ประมาณ 2.5 ล้านตัน (2,500 ล้านกิโลกรัม) จะทำให้มีรายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานที่ ร้อยละ 70 : 30 ส่วนของชาวไร่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 3,500 ล้านบาท 

และจากประมาณการผลผลิตอ้อยฤดูการผลิตปี 2566/2567 ที่ 82 ล้านตันอ้อย เป็นผลให้ราคาอ้อยมีราคาเพิ่มขึ้นอีกตันละ 42 บาท (3,500/82) ซึ่งจะทำให้ราคาอ้อยที่ชาวไร่อ้อยได้รับคุ้มต่อต้นทุนการผลิต โดยในเบื้องต้นจากการประชุมหารือร่วมกับผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีความเห็นสอดคล้องกัน

2) การปรับเพิ่มราคา 2 บาท/กิโลกรัม ส่วนที่ 2 
เป็นการปรับเพิ่มราคาเพื่อนำเงินส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายในจำนวนที่เท่ากับส่วนที่ 1 โดยรายได้ที่นำส่งกองทุน ฯ ในส่วนนี้มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว และจะเป็นการช่วยเหลือทั้งในรูปแบบการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเก็บเกี่ยวอ้อยในพื้นที่ (In Kind) การช่วยเหลือต้นทุนการเก็บเกี่ยวอ้อยสด (In Cash) 

ทั้งนี้เพื่อให้เป็นตามมติคณะรัฐมนตรีที่มีความเห็นต่อการขอรับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อลดต้นทุนการตัดอ้อยสดให้กับชาวไร่อ้อย ที่ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปศึกษาผลดีผลเสียและความคุ้มค่าของการดำเนินการ รวมทั้งแนวทางการลดต้นทุนการผลิตอื่น ๆ ที่มีความยั่งยืนและไม่เป็นภาระงบประมาณ

ทั้งนี้ ในการประชุมหารือร่วมกับผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความกังวลว่าการปรับเพิ่มราคาในส่วนนี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค

‘เทสล่า’ ชนะคดี หลังถูกฟ้องเรียกเงิน 400 ล้านดอลลาร์ ปม ‘ระบบขับขี่อัตโนมัติ’ ทำงานพลาดจนคนขับเสียชีวิต

(1 พ.ย.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เทสล่า (Tesla) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชนะคดีที่เหยื่อในอุบัติเหตุฟ้องร้องว่าระบบขับขี่อัตโนมัติ หรือ ออโต้ไพลอต (Autopilot) ในรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า ได้หักพวงมาลัยเองบนทางหลวง ที่ความเร็ว 105 กม./ซม. ทำให้รถพุ่งชนต้นไม้ข้างทางและเกิดเพลิงไหม้ ขณะที่คนขับยังอยู่ในรถและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนผู้โดยสาร 2 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส 

โดยอุบัติเหตุรถชนที่เชื่อว่าเกิดจากระบบขับขี่อัตโนมัติ (Autopilot) ส่งผลให้ ไมคาห์ ลี (คนขับ) เสียชีวิต ตามเอกสารของศาลระบุ การพิจารณาคดีเกี่ยวข้องกับคำให้การเกี่ยวกับการบาดเจ็บของผู้โดยสารและโจทก์ได้ขอให้คณะลูกขุนเรียกเงินจำนวน 400 ล้านดอลลาร์ บวกค่าเสียหายเชิงลงโทษ

เหตุการณ์นี้ทำให้เทสล่า ปฏิเสธความรับผิด โดยกล่าวว่า ผู้เสียชีวิตได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขึ้นรถ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ยังแย้งว่ายังไม่ชัดเจนว่าระบบ Autopilot ทำงานอยู่ในเวลาที่เกิดอุบัติเหตุหรือไม่ และคณะลูกขุนเองก็ตรวจสอบแล้วว่า รถคันดังกล่าวไม่ได้มีข้อผิดพลาดในการผลิต เรื่องนี้เกิดขึ้นท่ามกลางข้อสงสัยที่เกิดขึ้นกับระบบขับขี่อัตโนมัติ (Autopilot) การชนะคดีครั้งนี้ทำให้เทสล่าสามารถยืนกรานคำพูดของตัวเองได้ว่าระบบ ‘ไม่มีข้อบกพร่อง’

คณะลูกขุน กล่าวกับสำนักข่าวว่า หลังคำตัดสินว่าพวกเขาเชื่อว่าเทสล่าเตือนผู้ขับขี่เกี่ยวกับระบบของมันแล้ว และโทษว่าคนขับเสียสมาธิเอง อย่างไรก็ตาม เทสล่ากำลังเผชิญกับการสอบสวนทางกฎหมายโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ จากการอ้างว่ายานพาหนะของตนสามารถขับเองได้

นอกจากนี้ หน่วยงานความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐฯ ยังได้ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ หลังจากตรวจพบการชนมากกว่าสิบครั้ง แม้รถคันอื่นจะจอดอยู่เฉยๆ ก็ตาม 

‘ชวน หลีกภัย’ มอบภาพลายเส้นในหลวง ร.9 ให้ รพ.ศิริราช หารายได้เข้าศิริราชมูลนิธิ ใช้พัฒนาบุคลากร-บริการต่อไป

(1 พ.ย. 66) เพจพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความระบุว่า…นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะศิลปินแห่งชาติฐาปนันดรศิลปิน ร่วมชมผลงานจากศิลปินแห่งชาติ ศิลปินอิสระ ช่างภาพสื่อมวลชน ช่างภาพจิตอาสาและประชาชน ส่งผลงานมากกว่า 1,000 ผลงานมาจัดแสดงในงาน เพื่อหารายได้สมทบทุนศิริราชมูลนิธิ ปัจจุบันมียอดเงินจากผู้บริจาคกว่า 14.8 ล้านบาท โดยทางโรงพยาบาลศิริราช จะนำไปพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนชาวไทยต่อไป

โดยนายชวน กล่าวชื่นชม คุณสุจินตนา จรรยาทิพย์สกุล ประธานมูลนิธิ เก้า ยั่ง ยืน และอาจารย์ คณะผู้บริหารของโรงพยาบาลศิริราช ถือว่าเป็นโรงพยาบาลที่รับภาระมากที่สุดแห่งหนึ่ง งบประมาณแผ่นดินหรือรายได้จากคนไข้ไม่เพียงพอ ฉะนั้นการที่คุณสุจินตนา มาทำโครงการนี้ ถือว่าช่วยหารายได้ช่วยโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งถ้าทำได้อย่างนี้ต่อเนื่องก็จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนที่มาใช้บริการของโรงพยาบาล

“ต้องขอชื่นชมทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชน อาจารย์ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และบุคคลทั่วไป ที่ได้ร่วมมือกันทำโครงการหารายได้ให้กับโรงพยาบาลศิริราช ยอดรายได้ล่าสุด 14.8 ล้านบาท โดยเฉพาะภาพในหลวงที่ผมสเก็ต หรือบันทึกไว้เมื่อวันที่ 10/12/2540 เมื่อครั้งเป็นนายกฯ มีคนบริจาคมาภาพละ 50,000 บาท จำนวน 15 ท่าน ได้เงินประมาณ 800,000 กว่าบาท ก็มีความยินดีที่ได้มีโอกาสช่วยศิริราช ระลึกถึงพระคุณของโรงพยาบาลครั้งหนึ่ง แม่ถ้วน หลีกภัย เคยเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ได้อาศัยศิริราช เพื่อดูแลให้ท่านอายุยืนถึง 99 ปี” นายชวน กล่าว

โดย นายชวน มอบภาพลายเส้นในหลวงรัชกาลที่ 9 บันทึกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2540 จากพระองค์จริง เมื่อครั้งเสด็จในพระราชพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ให้กับโรงพยาบาลศิริราช มูลนิธิเก้ายั่งยืน เพื่อหารายได้สมทบทุนศิริราชมูลนิธิ ภาพนี้มีผู้ร่วมบริจาคแล้วจำนวน 15 ราย เป็นเงินจำนวน 850,000 บาท

'พิธา' จ้อ!! เวทีคาร์เนกี้ฯ ด้อยค่ารัฐบาลหลังเลือกตั้ง แค่มติคนชั้นบน 1% ซัด!! 10 ปีที่ผ่านมาเป็นทศวรรษที่สูญหายของประเทศไทย

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่กำลังอยู่ระหว่างการเยือนสหรัฐอเมริกา ได้เข้าร่วมรับเชิญให้เป็นผู้บรรยายสถานการณ์ประเทศไทย โดยองค์กรกองทุนคาร์เนกี้เพื่อสันติภาพโลก (Carnegie Endowment for International Peace) ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในหัวข้อ ‘What’s Next for Thailand’ (ก้าวต่อไปสำหรับประเทศไทย)

โดยนายพิธา ได้ตอบคำถามแรกเริ่มของพิธีกร ที่ขอให้พิธานิยามสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยหลังการเลือกตั้งว่าเป็นอย่างไร ซึ่งนายพิธาระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งคือการสร้างฉันทมติร่วมของคน 1% ด้านบนสุด ในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันยุติความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลือง-เสื้อแดงที่ดำเนินมาตลอด 17 ปี โดยแลกกับการผิดสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดการจัดแนวร่วมใหม่ระหว่างประชาชนที่อยู่ในส่วนล่างของทั้งสองข้าง จนกลายเป็นการแบ่งขั้วใหม่ในปัจจุบัน

นายพิธา ยังกล่าวต่อไปว่าผู้นำมีฐานของการใช้อำนาจได้สองอย่าง คืออำนาจ (authority) ความชอบธรรม (legitimacy) หรือมีทั้งสองอย่าง แน่นอนว่าผู้ที่ไม่ชนะการเลือกตั้งแต่ได้โอกาสในการปกครอง ก็คือผู้ที่มีอำนาจแต่ไม่มีความชอบธรรมจากประชาชน ผู้ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกแล้วว่าอยากให้มีการทำตามสัญญาในนโยบายใด การใช้งบประมาณแบบใด การจัดลำดับความสำคัญสิ่งที่จะทำก่อน-หลังอย่างไร ซึ่งในฐานะฝ่ายค้าน ตนจะพยายามทำงานอย่างสร้างสรรค์โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มอบทางเลือกให้กับประชาชน โดยไม่ใช่การจ้องจะล้มรัฐบาลทุกวัน เพราะตนสามารถรอได้

พิธีกรได้ถามต่อถึงกรณีการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่มีการหารือถึงประเด็นเศรษฐกิจเป็นหลัก ในยามที่โลกกำลังเผชิญความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ แล้วนายพิธามองกรณีดังกล่าวว่าเป็นโอกาสของประเทศไทยเช่นกันหรือไม่

นายพิธา ระบุว่า โดยพื้นฐานประเทศไทยเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในอาเซียนในด้านขนาดเศรษฐกิจ แต่เป็นประเทศที่เติบโตต่ำที่สุดเป็นอันดับสองเช่นกัน สิบปีที่ผ่านมาเป็นทศวรรษที่สูญหาย เศรษฐกิจที่ดีอาจดีสำหรับ 1% แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่เหลือ สำหรับวิกฤติเซมิคอนดักเตอร์ ตนเห็นว่ามาเลเซียมีโอกาสมากที่สุดในการได้ประโยชน์จากกรณีเซมิคอนดักเตอร์ ผู้ว่าการรัฐปีนังเคยให้ข้อมูลแก่ตนว่า 40% ของรายได้จากการลงทุนต่างชาติของมาเลเซีย มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมาเลเซียมีความได้เปรียบกว่าประเทศไทย ทั้งในด้านทรัพยากรมนุษย์ ทักษะ และภาษา ดังนั้น จึงเป็นการยากสำหรับประเทศไทยที่จะแข่งขัน แม้แต่ประเทศในอาเซียน ในการตักตวงประโยชน์จากวิกฤติห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ตนเสนอ คือ การหาสิ่งที่ ‘นิช’ กว่า สิ่งที่เป็นโอกาสให้กับประเทศไทยได้ก็คือซิลิคอนคาร์ไบด์ ที่เป็นอะไรที่เล็กเกินไปสำหรับสหรัฐอเมริกา อินเดีย หรือญี่ปุ่น แต่ใหญ่พอที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทอีวี โซลาร์เซลล์ ฯลฯ ได้ และนั่นคือสิ่งที่เราพอจะแข่งขันได้ เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมและงบประมาณที่ประเทศไทยมีอยู่ 

สำหรับตนแล้ว เป้าหมายที่สำคัญเฉพาะหน้าคือสันติภาพของเอเชีย คำถามก็คือประเทศไทยจะอยู่ที่ไหนในการเดินหน้าสู่เป้าหมายนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับมหาอำนาจแต่เพียงเรื่องพันธมิตรด้านความมั่นคง การค้า และการเป็นส่วนหนึ่งของโลกาภิวัตน์ จึงถึงเวลาที่จะจัดสรรสถานะของประเทศไทยใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีวาระมากมายทีประเทศไทยสามารถร่วมมือกับโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ต่อต้านคอร์รัปชัน การค้า สิทธิแรงงาน ฯลฯ และจะต้องมีการจัดสรรความสัมพันธ์ใหม่ให้ออกจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน

“สำหรับผมเมื่อประเทศไทยสามารถจัดการปัญหาภายในประเทศของเราได้แล้ว จะต้องทำงานกับอาเซียน โดยเริ่มที่ 5 ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนเป็นขั้นต่ำ เพื่อเป้าหมายในการนำพาอาเซียนสู่การเป็นอำนาจกลาง ที่จะสามารถนำพาประโยชน์ร่วมกันได้ ประเทศไทยเป็นประเทศขนาดเล็ก หากไม่ทำงานร่วมกับประเทศอาเซียน เราก็จะยังคงเป็นแค่ประเทศหนึ่งในอาเซียนต่อไป ประเทศไทยจึงมีบทบาทที่จะต้องทำ ในการจัดการปัญหาในประเทศไทย แล้วค่อยก้าวขึ้นมาสู่การเป็นอำนาจกลางร่วมกับอาเซียน ที่จะมีบทบาทในการจัดสมดุลใหม่ให้กับโลกไม่มากก็น้อย” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ยังกล่าวต่อไปว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่ดูห่างไกลในความรู้สึกของคนไทยจำนวนมาก ทั้งที่ในความเป็นจริง มันล้วนเกี่ยวข้องกับต้นทุนปุ๋ยที่สูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน แรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส วิกฤติในแดนเมียนมาและการโยกย้ายถิ่นฐานทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ถ้าประเทศไทยไม่มีส่วนร่วมในความสัมพันธ์ต่างประเทศเลย เราจะยังคงต้องจ่ายต้นทุนจากการไม่มีส่วนร่วมและไม่ได้รับประโยชน์อะไรต่อไป และเราทำเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ แต่ต้องทำด้วยกันในฐานะอาเซียน

ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องมีการทบทวน จัดสมดุลใหม่ จัดสรรความสัมพันธ์ใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การพึ่งพาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไปในช่วงรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารทำให้หลายประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งของประเทศไทยเริ่มเหินห่างไป แต่ตอนนี้เป็นยุคที่เราสามารถกลับเข้าสู่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใหม่ได้อีกครั้ง ด้วยความระมัดระวังและท่าทีที่มีสมดุล และขึ้นอยู่กับหลักการมากกว่าข้างฝ่าย

‘สหรัฐฯ’ ผุดแผนสร้างระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ พลังทำลายล้างสูงกว่าเดิม 24 เท่า!! เติมเต็มแสนยานุภาพให้กองทัพ เสริมแกร่งหลักประกันความสงบสุขของโลก

(1 พ.ย. 66) ‘กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา’ ชงแผนพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงที่สุดที่เคยมีมา รุนแรงกว่ารุ่นที่เคยใช้ถล่มญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 24 เท่า รอเพียงไฟเขียวจากสภาคองเกรซเท่านั้น ก็จะสามารถเดินหน้าโครงการได้ทันที

โดยระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ล่าสุดของสหรัฐฯ นี้ มีชื่อว่า ‘B61-13 Gravity Bomb’ ที่มีน้ำหนักมากถึง 360 กิโลตัน มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับ ‘Little Boy’ ระเบิดนิวเคลียร์ที่ทิ้งลงในเมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ที่มีน้ำหนัก 15 กิโลตัน หรือ ‘Fat Man’ ที่ทิ้งลงในเมืองนางาซากิหลังจากนั้นอีก 3 วัน ก็มีน้ำหนักเพียง 24 กิโลตัน แต่ถึงกระนั้น แรงของระเบิดนิวเคลียร์ทั้ง 2 ลูกในครั้งนั้นก็ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง และทำให้มีพลเมืองชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตมากกว่า 2 แสนคน

ส่วนงบประมาณในการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล โดยคาดว่าจะผลิตในปริมาณจำกัดไม่เกิน 50 ลูก และจะนำมาใช้แทนหัวรบนิวเคลียร์รุ่นเก่า ‘B61-7’ ที่ผลิตตั้งแต่ช่วงปี 1980 เพื่อให้โควตาคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ยังคงเท่าเดิม

การใช้งานระเบิด B61-13 Gravity Bomb ก็เป็นไปตามชื่อของมัน คือจะต้องบรรจุระเบิดในเครื่องบินขับไล่พาไปสู่เป้าหมาย และทิ้งลงกลางเป้าโดยใช้แรงโน้มถ่วงของโลก แทนการบรรจุลงในขีปนาวุธแล้วยิงออกสู่เป้าหมายในการโจมตี

‘จอห์น พลัมบ์’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมด้านนโยบายอวกาศ กล่าวในแถลงการณ์ว่า การพัฒนาศักยภาพด้านอาวุธของสหรัฐฯ ในวันนี้ เป็นไปตามสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไป จากภัยคุกคามจากศัตรูในรูปแบบใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

โดยสหรัฐอเมริกามีหน้าที่ในการประเมินศักยภาพของตนเองอย่างสม่ำเสมอ ในการยับยั้งภัยคุกคาม และตอบสนองต่อการโจมตีทางยุทธศาสตร์เมื่อจำเป็น เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรของเรา ซึ่งระเบิดรุ่นใหม่จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ฝ่ายทำเนียบขาว ในการโจมตีเป้าหมายทางทหารในพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นได้

แต่เมื่อมีผู้สนับสนุน ก็ย่อมมีผู้เห็นต่าง โดย ‘เมลิสซา พาร์ก’ ผู้อำนวยการบริหารของการรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านโครงการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ของเพนตากอน ว่าเป็น ‘การเพิ่มขีดความสามารถทางการทหารอย่างไร้ความรับผิดชอบ’ ที่จะนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่

ทางองค์กรจึงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการพัฒนา Gravity Bomb โดยทันที เพราะการใช้อาวุธนิวเคลียร์ เป็นการสังหารเป้าหมายโดยไม่เลือกหน้า ทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของพลเรือน ซึ่งเข้าข่ายอาชญากรรมทางสงคราม

แต่ข้อเรียกร้องนี้ คงไม่อาจหยุดยั้งโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่องของสหรัฐอเมริกาได้ เพราะล่าสุดทางรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งประกาศว่าจะเตรียมทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ฐานทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ใต้ดินในรัฐเนวาดา หลังจากเกิดเหตุสงครามระหว่างกลุ่มฮามาส และอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์ไม่นานนี้

เพราะในมุมมองของสหรัฐฯ การยกระดับแสนยานุภาพทางทหารของตน เป็นหนทางที่จะรักษาความสงบสุขของโลกได้นั่นเอง

‘นายกฯ’ โต้ปม ไม่ยุบ กอ.รมน. เอาใจกองทัพ ยัน!! เอาประโยชน์ ปชช. เป็นที่ตั้ง ไม่ได้เอาใจใคร

(1 พ.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รีโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ (X) ของ นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ที่ปรึกษาพิเศษเครือเนชั่น หลังได้แท็กถึง พร้อมระบุว่า ขอไม่เห็นด้วยกับ​ ที่ประกาศเอาใจทหาร​ ไม่มีแนวคิดยุบหน่วยงาน​ มิหนำซ้ำ ยังไปเพิ่มบทบาทที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานราชการอื่น ๆ 

โดย นายเศรษฐา ตอบกลับว่า “ไม่ได้เอาใจทหารครับ เอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ผมก็พูดไปแล้ว ว่าการทำงานของหน่วยงานนี้ จะต้องเน้นเรื่องการพัฒนา ไม่ใช่แค่ป้องกันอย่างเดียว ตามที่ได้เสนอข่าวไป”

จากนั้น นายเศรษฐา ยังได้รีทวีต ข้อเขียนของ นายสุทธิชัย หยุ่น ผู้ดำเนินการรายการข่าวอาวุโส ที่ระบุว่า “สงครามเย็นหมดยุค คอมมิวนิสต์กลายเป็นมิตรสนิทของรัฐบาล SEATO ถูกยุบ มะกันจูบปากเวียดนาม แต่นายกรัฐมนตรีเศรษฐาบอกต้องมี กอ.รมน. เอาไว้ ไม่สนใจฟังเหตุผลของคนที่เสนอ (แม้คนในพรรคเพื่อไทยเอง) ให้ยุบ, ปรับ, แก้ไขกลไกที่เกิดจากยุคทหารครองเมือง!”

โดย นายเศรษฐา ตอบ นายสุทธิชัย หยุ่น ว่า “ไม่เคยไม่รับฟัง ไม่เคยไม่สนใจ แต่เป็นการเห็นต่างแล้ว จะพยายามพัฒนาทุก ๆ องค์กรให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเน้นย้ำ ให้หน่วยงานนี้ เน้นไปเรื่องการพัฒนา และดูแลพี่น้องประชาชน ทุก ๆ องค์กรก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแต่การที่โลกเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้หมายความว่า ต้องยกเลิก องค์กรนั้นนั้น”

ผบช.สตม. รุดตรวจ ตม.สะเดา รับ นทท.มาเลเซีย ยกเลิกกรอกเอกสาร

วันนี้ (1 พ.ย. 66) เวลาประมาณ 07.00 น. พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 รรท.ผบช.สตม. ได้บินด่วน ลงตรวจ ด่าน ตม.สะเดา จว.สงขลา เพื่อตรวจความพร้อมในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะมาเลเซีย หลังรัฐบาลสั่งเลิกกรอกเอกสารเข้าประเทศ หรือ ตม.6 เพื่อลดขั้นตอน และส่งเสริมการเที่ยวไทย ฟื้นเศรษฐกิจใต้ ตามนโยบายรัฐบาล 

พล.ต.ท.อิทธิพลฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า นายกรัฐมนตรี และ ผบ.ตร. ให้ สตม. มีส่วนช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคใต้ ซึ่งพบว่า นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียที่เข้ามาเที่ยวในไทยมีจำนวนมากติด 3 อันดับแรกของประเทศ โดยเฉพาะช่วงปี 2566 ตั้งแต่ ม.ค.-ก.ย. มีปริมาณนักท่องเที่ยวเข้าไทยอันดับ 1 ถึง 1.5 ล้านคน และกว่า 90% เข้าทางด่านชายแดนทางบกไทย-มาเลเซีย โดยเฉพาะ ด่าน ตม.สะเดา จว.สงขลา 

ดังนั้น รัฐบาล จึงได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย ลง 31 ต.ค. 66 ยกเว้นการยื่นรายการตามแบบรายการของคนต่างด้าว ซึ่งเดินทางเข้ามาหรือออกไปนอกราชอาณาจักร หรือ ใบ ตม.6 ที่ ด่าน ตม.สะเดา จว.สงขลา ตั้งแต่วันนี้ (1 พ.ย. 66) - 30 เม.ย. 67

ตนในฐานะ รรท.ผบช.สตม. จึงบินด่วน ลงตรวจความพร้อมของ จนท.ด่าน ตม.สะเดา จว.สงขลา โดยได้เน้นย้ำการปฏิบัติในการให้ความสำคัญกับการตอบสนองนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของนายกรัฐมนตรี โดยยึดหลักการ สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ประทับใจ และให้บริหาร จัดการ กำลังเจ้าหน้าที่ ตม. ตามช่องตรวจ ให้เพียงพอต่อปริมาณจำนวนคนที่เดินทางเข้า-ออกประเทศ โดยในช่วงที่มีคนเดินทางจำนวนมาก ผู้บังคับบัญชาต้องลงมาควบคุม กำกับ ดูแล บริหารเหตุการณ์ อย่างใกล้ชิด และกำชับให้สำรวจวัสดุอุปกรณ์ ระบบเทคโนโลยี ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติ หากขัดข้อง ให้รีบรายงานผู้บังคับบัญชา เร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว พร้อมจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ แจ้งถึงสิทธิของคนต่างด้าวที่ได้รับการยกเว้นการยื่นรายการตามแบบ ตม.6 และให้มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ ให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้รับทราบในทุก ๆ ช่องทาง

นอกจากนั้น สตม. ได้มีหนังสือถึงสถานทูตมาเลเซีย แจ้งให้ทราบและช่วยประชาสัมพันธ์คนสัญชาติมาเลเซีย ทราบแล้วด้วยส่วนหนึ่ง

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top