Wednesday, 7 May 2025
TheStatesTimes

‘ปชป.’ จี้สภาฯ ตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาทุเรียนไทยทั้งระบบ ออกกฎหมายควบคุมคุณภาพให้มีมาตรฐานและยั่งยืน

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 66 ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และคณะ ร่วมกันแถลงข่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในญัตติเรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาการส่งเสริม พัฒนา แก้ไขปัญหาทุเรียนอย่างยั่งยืนทั้งระบบ และยกร่างกฎหมายว่าด้วยทุเรียน โดยมี สส.จากทุกพรรคการเมืองร่วมลงนามเสนอญัตติดังกล่าว จำนวน 20 คน

ด้วยปัจจุบันประเทศไทยส่งออกทุเรียนนำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งในปี 2565 มูลค่าส่งออกจำนวน 125,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 เท่า เมื่อเทียบกับระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา จัดเป็นพืชผลการเกษตรที่ส่งออกทำรายได้เข้าประเทศเป็นอันดับสาม รองจากยางพารา และมันสำปะหลัง ทำให้เกษตรกรทั้งภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคอื่น ๆ รวม 43 จังหวัด ขยายพื้นที่ปลูกทุเรียนอย่างรวดเร็ว 

ในปี 2566 มีพื้นที่ปลูกทุเรียนกว่า 1,340,000 ไร่ มีทั้งที่ปลูกโดยเกษตรกรรายย่อย และที่ปลูกโดยนักลงทุนเป็นเกษตรอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ การขยายพื้นที่ปลูกทุเรียน ทำให้ต้องใช้ที่ดิน แหล่งน้ำ พลังงานจากน้ำมันและไฟฟ้าเพื่อการเกษตร แรงงานภาคเกษตร การขนส่งผลผลิตทุเรียน อุตสาหกรรมแปรรูปทุเรียน ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช รวมทั้งปัจจัยการผลิตอื่น ๆ ในปริมาณที่สูงขึ้น 

หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบครบวงจร ถ้าผลผลิตทุเรียนล้นตลาด และคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ราคาอาจจะตกต่ำ หากใช้สารเคมีไม่ถูกต้อง อาจจะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ปัจจุบันภาครัฐมีข้อจำกัดในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมคุณภาพทุเรียน จึงใช้การขอความร่วมมือ การออกระเบียบหรือคำสั่งในระดับจังหวัด โดยอิงมาตรฐานทางวิชาการ ยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับทุเรียนระดับ พ.ร.บ. มาบังคับใช้โดยเฉพาะ ต้องอาศัยกฎหมายทั่วไป เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 271 และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมาตรา 47 ทำให้มีข้อจำกัดในการลงโทษผู้นำทุเรียนด้อยคุณภาพออกสู่ตลาด หากมีกฎหมายเกี่ยวกับทุเรียนเป็นการเฉพาะ จะทำให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐสามารถบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมคุณภาพทุเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และภาครัฐไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับทุเรียนโดยเฉพาะมาบังคับใช้เพื่อการส่งเสริม การพัฒนา การแก้ปัญหาทุเรียนอย่างยั่งยืน ทั้งระบบ ครบวงจรเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 

เนื่องจากเป็นอาชีพที่ทำรายได้ให้ประเทศเป็นอันดับต้น ๆ และประเทศไทยมีจุดแข็งหลายอย่าง เหนือประเทศคู่แข่ง แต่ปัจจุบันจึงยังไม่มีกองทุนทุเรียนไทยที่สามารถหักเงินจากการส่งออกทุเรียนเข้ากองทุน เหมือนยางพาราที่มีกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียน มีเงินทุนมาศึกษาวิจัย พัฒนา เกี่ยวกับทุเรียนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 นี้ จะให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน ให้มีความมั่นคงต่อไป 

เกาะศึกชิงดำ!! รถไฟฟ้าอีวีโปรเจกต์ X จากซัพพลายเออร์ไอโฟน 'ไทย' ลุ้น!! ชน 'อินเดีย' เบียดขึ้นแท่นปั้น EV 3 ที่นั่งป้อน 3 ประเทศ

(30 ต.ค. 66) เพจ 'BTimes' เผยว่า ฟ็อกซ์คอนน์จ่อผลิตรถอีวีขนาดเล็กส่งขายอินเดีย ญี่ปุ่น ไทย ปีละ 100,000 คัน ลุ้นตั้งโรงงานผลิตในไทย

เอ็มไอเอช คอนซอร์เตียม (MIH Consortium) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟ็อกซ์คอนน์ ซัพพลายเออร์รายยักษ์ใหญ่ผลิตไอโฟนจากไต้หวัน เปิดเผยว่า เตรียมผลิตและขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีขนาดเล็กใน 3 ประเทศของเอเชีย ได้แก่ อินเดีย, ญี่ปุ่น และไทย ด้วยเป้าหมายการขายปีละ 100,000 คันในตลาดทั้ง 3 ประเทศดังกล่าว

นายแจ็ค เฉิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ เอ็มไอเอช คอนซอร์เตียม กล่าวว่ารถอีวีขนาดเล็กอยู่ในโครงการชื่อว่า 'โปรเจกต์เอ็กซ์' โดยเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 3 ที่นั่ง แบตเตอรี่ไฟฟ้าสามารถเปลี่ยนสลับได้ ที่สำคัญ มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 2 ถึงระดับ 4 ซึ่งขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้งานของผู้ขับรถ สำหรับที่นั่งในรถอีวีขนาดเล็กรุ่นนี้ สามารถปรับเปลี่ยนได้เป็นทั้ง 2 ที่นั่ง และ 3 ที่นั่ง 

เฉิง กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาสรุปที่ตั้งฐานการผลิตรถอีวีขนาดเล็ก ซึ่งมีเพียง 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย เนื่องจากฟ็อกซ์คอนน์มีโรงงานอยู่แล้ว หรืออินเดีย เนื่องจากเอ็มไอเอช คอนซอร์เตียม มีหุ้นส่วนธุรกิจอยู่ในประเทศแล้ว 

ตั้งเป้าหมายผลิตปีละ 100,000 คัน เพื่อจำหน่ายในประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น และไทย โดยจะเริ่มเข้าสู่ตลาดใน 3 ประเทศนี้ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป แบ่งเป็น 50% หรือ 50,000 คัน ขายในอินเดีย ในไทยขาย 20-30% หรือ 20,000-30,000 คัน และในญี่ปุ่นอยู่ที่ 20% หรือราว 20,000 คัน 

เอ็มไอเอช คอนซอร์เตียม จะให้ใบอนุญาตเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของรถอีวีขนาด 3 ที่นั่งนี้กับบริษัทเอ็ม โมบิลิตี้ ซึ่งเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพในเครือกลุ่มบริษัทมหินทราในอินเดีย ดังนั้น บริษัทเอ็ม โมบิลิตี้ จะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายรถอีวีขนาดเล็กในทั้ง 3 ประเทศด้วย 

ทั้งนี้ ราคาของรถอีวีโปรเจกต์เอ็กซ์ ซึ่งมี 3 ที่นั่งนี้ ยังไม่ได้กำหนดชัดเจนออกมา แต่เป็นไปได้ที่จะมีราคาถึงคันละ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 740,000 บาท 

จีนเผยยอดใช้ 'เหรินหมินปี้' ข้ามพรมแดน 9 เดือนแรกปี 66 โต 24% เป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ชี้!! ทิศทางข้างหน้ายังสดใส

(30 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ธนาคารประชาชนจีนหรือธนาคารกลางของจีน รายงานว่าการชำระเงินและการรับเงินข้ามพรมแดนด้วยสกุลเงินเหรินหมินปี้ (RMB) หรือสกุลเงินหยวนของจีน ช่วงเดือนมกราคม-กันยายน รวมอยู่ที่ 38.9 ล้านล้านหยวน (ราว 194.5 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เมื่อเทียบปีต่อปี

รายงานระบุว่าการค้าสินค้าข้ามพรมแดนที่ชำระเงินด้วยสกุลเงินเหรินหมินปี้ครองสัดส่วนร้อยละ 24.4 ของการค้าสินค้าข้ามพรมแดนที่ชำระเงินด้วยสกุลเงินภายในประเทศและสกุลเงินต่างชาติ ซึ่งเพิ่มขึ้น 7 จุด เมื่อเทียบปีต่อปี และเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

สกุลเงินเหรินหมินปี้ยังคงทำหน้าที่เป็นสกุลเงินเพื่อการเงินได้ดีขึ้น ขณะที่มีการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับแนวปฏิบัติต่าง ๆ เช่น การให้กู้ยืมในต่างประเทศโดยธนาคารภายในประเทศ และการออกพันธบัตรภายในประเทศโดยสถาบันในต่างประเทศ ส่วนการลงทุนด้วยสกุลเงินเหรินหมินปี้และสภาพแวดล้อมทางการเงินยังคงดีขึ้นต่อเนื่อง

การซื้อขาย ณ ตลาดสกุลเงินเหรินหมินปี้นอกชายฝั่งมีความคึกคักเพิ่มขึ้น โดยยอดคงเหลือของเงินฝากสกุลเงินเหรินหมินปี้ ณ ตลาดนอกชายฝั่งกลุ่มหลักอยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านหยวน (ราว 7.5 ล้านล้านบาท) เมื่อนับถึงสิ้นปี 2022 ซึ่งกลับสู่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์

ธนาคารฯ จะทำงานเกื้อหนุนการค้าและการลงทุน ปรับปรุงระบบและโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการลงทุนข้ามพรมแดนด้วยสกุลเงินเหรินหมินปี้ การเงินและการชำระเงินเพื่อธุรกรรม และสนับสนุนการพัฒนาอันดีของตลาดสกุลเงินเหรินหมินปี้นอกชายฝั่ง

‘สาวเกาหลี’ เช็กอิน!! สังคมไร้เงินสดไทย ลองกินเที่ยว กทม.แบบไม่ขอพกเงินสด อึ้ง!! ‘ระบบสแกนจ่าย’ กระจายทั่ว สะดวกจนไม่ต้องแลกเงินใช้สักบาทเดียว

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 66 ช่องยูทูบ ‘TopMent Thailand’ ได้ออกมาเล่าเรื่องราวของยูทูบเบอร์สาวชาวเกาหลีใต้ ที่ได้มาเที่ยวเมืองไทย และรู้สึกประทับใจกับวิธีการชำระเงินของเมืองไทยเป็นอย่างมาก โดยได้ระบุว่า…

2-3 ปีมานี้การใช้จ่ายเงินด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code) กำลังเป็นที่นิยมมากในประเทศไทย โดยทางรัฐบาลมีความพยายามที่จะทำให้สังคมไทยกลายเป็น ‘สังคมไร้เงินสด’ ... และไม่น่าเชื่อเลยว่า การสแกนคิวอาร์โค้ด ที่คนไทยจำนวนมากเริ่มใช้กันจนชินแล้วนั้น จะกลายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์สำหรับชาวต่างชาติ จนถึงขนาดที่มีสาวชาวเกาหลีใต้รายหนึ่งตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า จะขอลองเที่ยวกรุงเทพฯ โดยไม่ใช้เงินสด และจะสแกนแต่คิวอาร์โค้ดเท่านั้น

‘TopMent Thailand’ ได้เล่าถึงคลิปวิดีโอต้นเรื่อง ซึ่งเป็นคลิปของ ‘คุณแองเจลิน่า ลี’ จากช่องยูทูบ @AngelinaleeTravel ที่ถูกเผยแพร่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา และจนถึงตอนนี้ก็ผู้คนจากทั่วโลกเข้ามารับชมคลิปวิดีโอของเธอไปมากกว่า 184,000 วิว

แองเจลิน่า ลี ได้เริ่มต้นคลิปของเธอในระหว่างที่เดินออกมาจากเครื่องบิน พร้อมกับบอกว่า...

"ตอนนี้มาถึงกรุงเทพฯ ผ่านไปเพียงแค่ 3 ปี กรุงเทพฯ เปลี่ยนไปเร็วมาก" จากนั้นสิ่งแรกที่เธอต้องทำก็คือไปรับ 'ซิมการ์ด' ก่อน ซึ่งเธอยังบอกอีกด้วยว่า "ทุกวันนี้สะดวกมากเพราะสามารถดำเนินการซื้อล่วงหน้าได้ผ่านช่องทางออนไลน์"

หลังที่เธอได้รับซิมการ์ดแล้ว เธอก็เดินผ่านมาทางเคาน์เตอร์แลกเงิน ซึ่งที่จริงแล้ว เธอสามารถทำการแลกเงินที่นี่ได้เลย แต่สำหรับทริปนี้ เธอจะไม่ทำเช่นนั้น เพราะเธอนั้นได้วางแผนมาล่วงหน้าแล้ว ว่าทริปเที่ยวกรุงเทพฯ ในครั้งนี้เธอจะไม่ใช้เงินสดเลยตลอดทั้งทริป

โดย แองเจลิน่า เผยว่า เธอได้ยินชื่อเสียงของระบบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดที่กรุงเทพฯ ว่ามีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีแต่คนบอกว่าคุณสามารถชำระเงินได้โดยใช้ระบบคิวอาร์โค้ด แม้แต่ในร้านค้าที่เล็กมากๆ ก็ยังรับชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเลย ดังนั้น เธอจึงอยากลองใช้ชีวิตการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดดูบ้าง

หลังจากนั้น เธอก็ได้เดินทางไปที่พัก แล้วหาหลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย ก็ออกไปหาอะไรกิน โดยเธอบอกว่าร้านที่เธอจะไปเป็นร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในหมู่คนเกาหลี และอยู่ห่างจากโรงแรมที่เธอพักเพียงแค่ประมาณ 2 นาทีเท่านั้น

โดยในระหว่างทาง ขณะที่เธอกำลังเดินอยู่นั้น เธอก็ได้ชมเมืองไทยด้วยว่า "ข้อดีของเมืองไทยก็คือ คุณสามารถเดินออกมาหาของกินข้างนอกได้อย่างปลอดภัย แม้จะเป็นเวลากลางคืนแล้วก็ตาม"

แองเจลิน่าเดินมาถึงร้านดังกล่าว ชื่อ ‘ร้านโจ๊กโภชนา’ โดยเธอได้สั่งอาหารไปทั้งหมด 3 อย่าง ทั้งหมด ราคา 310 บาท ซึ่งเธอบอกว่า ร้านนี้ไม่รับบัตรเครดิต แต่สามารถจ่ายเงินด้วยคิวอาร์โค้ดได้ เธอจึงขอลองสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่ายเงินทันที ... เธอบอกว่าระบบสแกนคิวอาร์โค้ดนี้ใช้งานง่ายมากๆ เพียงแค่สแกน กดใส่ตัวเลข และกดตกลง จากนั้นก็นำหลักฐานการโอนไปโชว์ให้คนขายดูเพื่อเป็นการยืนยัน เพียงเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้น เธอได้ไปเดินเล่นเพื่อเที่ยวถ่ายรูปที่ถนนข้าวสารต่อ และที่น่าทึ่งก็คือ บรรดาร้านขายของริมถนนที่เธอเห็น ก็ยังรับชำระเงินด้วยระบบคิวอาร์โค้ด ทำเอาเธออดสงสัยไม่ได้ว่า การชำระเงินด้วยระบบคิวอาร์โค้ดนั้น ได้รับความนิยมในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญเธอยังรู้มาว่า การใช้จ่ายแบบนี้ ร้านค้าประเภทนี้ไม่ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมให้กับธนาคารอีกด้วย รับเงินแบบเต็มๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกว้าวมากๆ

หลังจากได้ทดลองใช้คิวอาร์โค้ดในการจ่ายเงินในหลายๆ ร้าน แองเจลิน่า ก็รู้สึกทึ่งกับนวัตกรรมการชำระเงินของประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเธอบอกว่า...

"ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่สังคมไร้เงินสดจริงๆ การที่ไม่ต้องพกเงินสดแบบนี้ มันทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นอย่างมาก และยังช่วยยกระดับการท่องเที่ยวอีกด้วย เพราะเมื่อ 3 ปีก่อนที่มา ไทยยังไม่มีอะไรแบบนี้ และมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ด้วย เนื่องจากระบบการชำระเงินที่แสนสะดวกสบายนี้ ทำให้เราเพลิดเพลินและสนุกสนานไปกับการเดินทางได้ โดยไม่ต้องกังวลกับการหาสถานที่แลกเงินเลย"

ทั้งนี้ หลังจากที่คลิปของคุณแองเจลิน่าได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้คนเข้ามารับชม พร้อมแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก อาทิ...

- มันช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินไปได้เยอะเลยนะ และมันก็ปลอดภัยกว่า อีกทั้งยังง่ายกับร้านค้าในการชำระเงินด้วย ตัวลูกค้าเองนั้นก็สะดวกสบาย เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด แถมยังป้องกันการเลี่ยงภาษีได้อีกด้วย ฉันหวังว่า สักวันหนึ่ง ประเทศของฉันจะทำแบบนี้บ้าง
- ฉันดีใจที่คุณชื่นชอบที่พักนั้น รวมถึงสระว่ายน้ำก็มีเอกลักษณ์และดูสวยงามมาก
- ดูเหมือนว่าที่นั่นจะสะดวกมากๆ เพราะสามารถใช้จ่ายเงินได้ โดยไม่ต้องใช้เงินสด
- การชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือแบบนั้นดูสะดวกสบายมาก และมันก็ดูน่าทึ่งมากๆ ที่ประเทศไทยสามารถสร้างสังคมไร้เงินสดด้วยระบบคิวอาร์โค้ดได้แบบนั้น
- กรุงเทพฯ และโลกของพวกเรากำลังเปลี่ยนไป พวกเราจะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสดกันอีกต่อไปแล้ว

***นอกจากนี้ ยังได้มีคนไทยเข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วยว่า...

- ในประเทศไทย คุณสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดจ่ายเงินได้ตามปกติเกือบทุกที่ แม้แต่ร้านค้าริมทาง ตลาดสด อาหารริมทางของชาวบ้านตามชนบท ตามจังหวัดก็ใช้ได้ทั้งหมด แต่ต้องเป็นเงินบาท โดยปัจจุบันคนต่างจังหวัด หรือคนชนบทก็รับการชำระเงินด้วยระบบคิวอาร์โค้ด คุณแทบไม่จำเป็นต้องพกเงินสดอีกต่อไปในประเทศไทย เพราะแม้แต่คนแก่ หรือผู้เฒ่าในชนบทก็ยังสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อใช้จ่ายได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบายมาก
- คุณสามารถชำระเงินด้วยรหัสคิวอาร์โค้ดได้เกือบทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย แม้แต่ร้านอาหารข้างทาง ก็ยังมีรหัสคิวอาร์โค้ดให้คุณได้ใช้ชำระเงิน
- ใน เซเว่น อีเลฟเว่น ที่ประเทศไทย จะแตกต่างไปหน่อย เพราะเขามีระบบกระเป๋าเงินเป็นของตัวเอง คุณจึงไม่สามารถชำระเงินผ่านรหัสคิวอาร์โค้ดในเซเว่น อีเลฟเว่นได้ ต้องใช้บัตรเครดิตหรือเงินสดแทน
- มันช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินไปได้เยอะเลยนะ และมันก็ปลอดภัยกว่า อีกทั้งยังง่ายกับร้านค้าในการชำระเงินด้วย ตัวลูกค้าเองนั้นก็สะดวกสบาย เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด แถมยังป้องกันการเลี่ยงภาษีได้อีกด้วย ฉันหวังว่า สักวันหนึ่ง ประเทศของฉันจะทำแบบนี้บ้าง
- ชาวต่างชาติที่ได้มาเที่ยวที่เมืองไทย จะไม่รู้สึกผิดหวังกับเมืองไทยของเราอย่างแน่นอน คุณจะได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ ที่จะทำให้คุณประหลาดใจ ทั้งผู้คน ภาษาพูด ภาษากาย อาหาร และวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาค ... ตัวตนของเราชาวไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ และนั่นก็ทำให้คุณหลงรักเมืองไทย จนต้องกลับมาเที่ยวที่เมืองไทยอีกแน่นอนมัน เพราะเอกลักษณ์นั้น คือ มิตรภาพ และรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ที่เราทุกคนมี และมอบให้เพื่อต้อนรับแขกเสมอ

*** หลังจากนั้น ก็มีผู้ชมต่างชาติเข้ามาชื่นชมถึงความน่ารักของเมืองไทย กรุงเทพฯ รวมถึงคนไทย และอยากจะมาเที่ยวไทยในเร็ววัน ผ่านการรีวิวของ แองเจลิน่า และข้อคิดเห็นจากคนไทยผ่านในคลิปนี้อีกด้วย ว่า...

- ฉันสนุกไปกับวิดีโอของคุณมาก และฉันก็รู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่ได้มาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งดูเหมือนว่าที่นั่นจะมีเวทมนตร์สักอย่างที่ดึงดูดใจผู้คนได้มากมายขนาดนี้ และฉันก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ตกหลุมรักเมืองไทย ราวกับโดนเวทมนตร์สะกดเอาไว้ ทำให้ฉันได้อาศัยอยู่ที่นั่นนานถึง 15 ปี และทุกวันนี้ ฉันก็ยังคงเดินทางกลับไปท่องเที่ยวที่เมืองไทย เพื่อให้รู้สึกว่าได้เหมือนอยู่บ้านของตัวเอง ฉันเคยไปเที่ยวมาแล้วทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เมืองไทยเป็นสถานที่โปรดของฉัน
- ไปเที่ยวที่เมืองไทยนั้นคุ้มค่ามาก และปลอดภัยมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้น ฉันจึงรู้สึกปลอดภัยมาก ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนในเมืองไทยก็ตาม
- ฉันชอบกรุงเทพฯ ครั้งต่อไป ฉันต้องลองไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ บ้างแล้ว
- คนไทยน่ารักมาก!!
- กรุงเทพฯ เป็นที่เที่ยวที่ฉันชอบมาก ซึ่งฉันได้จองทริปไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ เอาไว้แล้วในเดือนมีนาคมปี 67 ดีใจมากที่เรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่และบรรยากาศของที่นั่นจากคลิปของคุณ แถมยังได้รู้วิธีการใช้เงินที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนอีกด้วย

‘นักวิชาการ’ ชี้!! ลดแจกเงินดิจิทัล ศก.ปีหน้าหด แต่ ‘ยั่งยืน-คลังไม่เสี่ยง’ แนะ!! ปรับเกณฑ์คัดกรอง ใช้ ‘ทรัพย์สิน-ภาระหนี้’ พิจารณาร่วมด้วย

เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 66 นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การปรับลดขนาดและวงเงินดิจิทัลวอลเล็ตลงมาช่วยลดความเสี่ยงทางการคลังในอนาคตลงมาได้ แม้จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีหน้าลดลงบ้าง แต่จะให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากกว่าในระยะปานกลาง หากมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยประมาณ 15 ล้านคน จะใช้เงินงบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท และอาจไม่จำเป็นต้องกู้เงินเลย และผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการแจกเงินแบบถ้วนหน้า 56 ล้านคน หรือตัดคนที่มีเงินเดือนเกินกว่า 25,000 บาท และ/หรือมีบัญชีเงินฝากเกิน 1 แสนบาทออก เหลือผู้มีสิทธิประมาณ 43 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.3 แสนล้านบาท หรือตัดผู้มีเงินเดือนเกินกว่า 50,000 บาท และ/หรือมีบัญชีเงินฝากกว่า 5 แสนบาท เหลือผู้มีสิทธิ 49 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.9 แสนล้านบาท

การแจกเฉพาะกลุ่มเน้นไปที่คนยากจนหรือชนชั้นกลางรายได้ต่ำมีแนวโน้มใช้จ่ายมากและเร็ว มักซื้อสินค้าจำเป็นภายในประเทศ มีความจำเป็นและมีปัญหาสภาพคล่อง จะทำให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการแจกเงินเพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้ต้นทุนงบประมาณโครงการแจกเงินลดลง นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตต้องดูทั้งมิติทางด้านมหภาคและจุลภาค ต้องมีมาตรการอื่น ๆ ด้านจุลภาคเสริมให้เงินแจกที่ประชาชนได้รับกลายเป็นการลงทุนขนาดเล็กในระดับชุมชนมากกว่าแปลงเป็นการบริโภคเพียงอย่างเดียว

หากไม่แจกเงินถ้วนหน้า รัฐบาลควรปรับเกณฑ์คัดกรองคนมีรายได้สูงนอกเหนือจากเกณฑ์เงินฝากและเงินเดือน รัฐบาลควรนำสินทรัพย์อื่น ๆ และภาระหนี้สินมาร่วมพิจารณา เช่น การถือครองที่ดิน การถือครองอสังหาริมทรัพย์ เงินลงทุนในตลาดการเงิน การถือครองพันธบัตรและหุ้น ภาระหนี้สิน เป็นต้น มาเป็นเกณฑ์ในการคัดกรอง การตัดคนที่เงินเดือนเกินกว่า 25,000 บาทออกแต่ยังใช้งบประมาณมากกว่า 4.3 แสนล้านบาท เนื่องจากคนจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอยู่ประมาณ 4 ล้านกว่าคนจากกำลังแรงงานทั้งหมดเกือบ 40 ล้านคนนั้น การที่คนเสียภาษี 4 ล้านคนนี้แบกรับภาระมาตรการแจกเงิน เกิดประเด็นทางนโยบายสาธารณะว่า เราควรพัฒนาระบบภาษีให้เป็นธรรม และขยายฐานภาษีให้กว้างขวางขึ้นและ เร่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยด่วน

ปัญหาของการไม่แจกถ้วนหน้า คือ ต้นทุนการบริหารการแจกเงินสูงขึ้นและอาจยุ่งยากในการคัดกรองหากข้อมูลไม่ครบถ้วน ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระหรือไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลการเสียภาษีเงินได้จำนวนหนึ่งอาจมีเงินเดือนมากกว่า 25,000 บาทก็ได้ แต่อาจไม่ได้ถูกคัดออก หรือบางคนอาจมีเงินเดือนสูงกว่า 25,000 บาทแต่มีภาระหนี้สินมาก อาจถูกคัดออกทั้งที่ควรได้รับเงินแจก หรือบางคนมีเงินเดือนต่ำกว่า 25,000 บาท เงินฝากต่ำกว่า 1 แสนบาท แต่มีทรัพย์สินอย่างอื่นจำนวนมาก อาจไม่มีความจำเป็นต้องได้รับเงินแจก ฐานคนเสียภาษีต่ำทำให้การใช้เงินงบประมาณยังสูงอยู่มาก คัดคนมีรายได้สูงออกมากเท่าไหร่ ตัวทวีคูณทางการคลังเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เพราะผู้มีรายได้น้อยมากเท่าไหร่ จะมีความโน้มเอียงในการบริโภคสูงขึ้นเท่านั้น หรือ MPC (Marginal Propensity to Consume) สูง การแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีประสิทธิภาพประสิทธิผลสูงกว่า ใช้งบประมาณน้อยลง ก่อหนี้ก่อภาระผูกพันในอนาคตน้อยลง ความเสี่ยงฐานะการคลังลดลงมาก

ขณะที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลบวกจากการขยายตัวอย่างมากของการส่งออกอาหารและสินค้าเกษตร ภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยวของไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง การขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเดือนกันยายน มูลค่าการส่งออกแตะเกือบ 9 แสนล้านบาท มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.1% บวกต่อเนื่องสองเดือนติดต่อกัน เฉพาะสินค้าเกษตรขยายตัวเพิ่ม 12% เป็นบวก 2 เดือนติดต่อกัน และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่ม 5.4% เป็นบวกครั้งแรกในรอบ 6 เดือน โดยสินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้งเพิ่ม 166.2% ข้าวเพิ่ม 51.4% ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพิ่ม 3.7% น้ำตาลทรายเพิ่ม 16.3% ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์เพิ่ม 12.8% สิ่งปรุงรสอาหารเพิ่ม 27.1% ผักกระป๋องและผักแปรรูปเพิ่ม 17.3% นมและผลิตภัณฑ์นมเพิ่ม 3.1% ผักสด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้งเพิ่ม 7.9% ไข่ไก่สดเพิ่ม 52.7% ทำให้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวต่อเนื่องแม้อาจชะลอตัวลงบ้างจากผลกระทบสงครามในตะวันออกกลาง

ผลกระทบต่อการแตกตัวของโลกาภิวัตน์ การแยกขั้วของภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจของโลก (Geo-Economic Fragmentation: GEF) ต่อเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนของไทยจะเพิ่มขึ้นหากสงครามในฉนวนกาซาลุกลามสู่สงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางและมีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อกัน รัฐบาลควรรักษาพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) เอาไว้ หากเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะได้มีงบประมาณเพียงพอแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอนาคตหากมีความจำเป็น ถ้าแจกเงินอย่างถ้วนหน้าจะส่งผลให้พื้นที่ทางการคลังจะลดลง ช่วงต้นปี GEF เพิ่มอย่างแน่นอนหากสงครามอิสราเอลขยายวงสู่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การเตรียมพื้นที่ทางการคลังไว้กระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังและช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เตรียมการล่วงหน้าไว้ก่อน

ช่วงที่เหลือของปีนี้ ตลาดการเงินโลกจะมีความผันผวนมาก อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาอาจปรับขึ้นได้อีก แม้ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.นี้จะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต้นเดือนพฤศจิกายน ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนธันวาคมน่าจะมีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ คาดผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสหรัฐยังอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อไป โดยมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 10 ปีอาจแตะระดับ 6% ได้ ปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมายังตลาดพันธบัตร และเทขายการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรงต่อเนื่อง นอกจากนี้ผลกระทบสงครามขยายวง ทำให้ราคาทองและน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไป

หน้าที่ของอัตราดอกเบี้ยในระบบเศรษฐกิจ คือ การทำให้ปริมาณเงินและอุปสงค์ของเงินมีความสมดุล เป็นหลักประกันว่า เงินออมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะถูกเคลื่อนย้ายไปสู่การลงทุนหรือการบริโภคเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือหนึ่งของนโยบายการเงินของทางการ รวมทั้งเป็นกลไกในการจัดสรรทรัพยากรและสินเชื่อไปยังโครงการลงทุนที่คาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนสูงสุด เส้น Yield Curve สามารถเป็นตัวสะท้อนข้อมูลตลาดและภาวะเศรษฐกิจ บอกถึงกิจกรรมเศรษฐกิจในอนาคตและการคาดการณ์หรือคาดคะเนของตลาด (Market Expectation) ถ้าเส้น Yield Curve ทอดขึ้น ผู้คนในตลาดและระบบเศรษฐกิจจะคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นในอนาคต อัตราดอกเบี้ยจะผันแปรไปตามวัฏจักรธุรกิจ (Business Cycle) หรือภาวะเศรษฐกิจ ทุกคนจะคาดการณ์ว่า ระบบเศรษฐกิจกำลังจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ Yield Curve ที่ทอดลงจะสะท้อนจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง ลักษณะและความชันของ Yield Curve มีความสำคัญและมีผลต่อสถาบันการเงินและตัวกลางทางการเงิน เช่น ธนาคาร และ บริษัทเงินทุน กู้เงินจากตลาดการเงินระยะสั้นแล้วปล่อยกู้ ในโครงการระยะยาว ยิ่ง Yield Curve ทอดขึ้นและมีความชันมากเท่าไหร่ สถาบันการเงินย่อมได้รับผลตอบแทนมากเท่านั้น

เนื่องจากส่วนต่าง (Spread) ระหว่างอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและระยะยาวจะมีมากขึ้น กำไรของสถาบันการเงินและตัวกลางทางการเงินย่อมเพิ่มขึ้น ขณะนี้เส้นผลตอบแทนจะมีลักษณะทอดขึ้นจากซ้ายไปขวาอาจจะเรียกว่า เป็น Ascending Yield Curve ก็ได้ ในกรณีนี้จะมีการคาดคะเนว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในอนาคตจะสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนระยะยาว คือ ค่าเฉลี่ยของอัตราปัจจุบันกับอัตราดอกเบี้ยในอนาคตนั้นอยู่เหนืออัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน แสดงว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น กองทุนขนาดใหญ่และเฮดจ์ฟันด์ยังคงเคลื่อนย้ายเงินทุนจากตลาดหุ้นมายังตลาดพันธบัตรต่อไป จนกว่าราคาหุ้นจะปรับฐานลงมาสู่ระดับที่ทำให้การลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีความน่าสนใจหรือบริษัทต่างๆสามารถจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นได้ หรือ มี Market P/E Ratio ลดลงมากพอ อัตราผลตอบแทนเมื่อปรับความเสี่ยงแล้วของตลาดหุ้นสามารถแข่งขันกับอัตราผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอยู่

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า เงินก็เหมือนกับสินค้าทั่วไปที่ระดับราคาของมัน หรืออัตราดอกเบี้ยถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน หน่วยการผลิตจะผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบระหว่างอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังว่าจะได้รับเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหน่วย (Marginal Efficiency of Investment-MEI) กับ อัตราดอกเบี้ยในตลาด เมื่อ MEI ยังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด หน่วยการผลิตจะยังขยายการลงทุนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง MEI เท่ากับ อัตราดอกเบี้ย ในภาวะที่ระบบเศรษฐกิจไทยมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ อัตราเงินเฟ้อค่อนข้างต่ำ รัฐบาลก่อหนี้เพิ่ม สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงมาก ทางการไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกแม้นในหนึ่งหรือสองไตรมาสข้างหน้า อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานปรับสูงขึ้น ในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม อัตราดอกเบี้ยจึงทำหน้าที่เป็นกลไกจัดสรรทรัพยากรของสังคมและระบบเศรษฐกิจตามการขึ้นลงของราคาของเงิน หรืออัตราดอกเบี้ย ที่ระดับอัตราดอกเบี้ย ณ ระดับใดระดับหนึ่งในระบบการเงิน

หน่วยเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพในการลงทุนจะสามารถประมูลเงินทุนไปดำเนินในกระบวนการผลิต (คือสามารถรับภาระของดอกเบี้ย) ส่วนหน่วยเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพต่ำย่อมไม่สามารถได้เงินทุนไปขยายการผลิต หน่วยธุรกิจที่สามารถมีกำไรได้และมีประสิทธิภาพสูง ไม่ได้หมายความว่า การผลิตจะมีคุณค่าต่อสังคมเสมอไป เช่น โรงงานผลิตสุรา โรงงานผลิตยาสูบ สถานอาบอบนวด เป็นต้น กำไรมากแต่มีผลกระทบทางสังคม หรือการผลิตบางอย่าง กำไรต่ำหรือบางครั้งก็มีประสิทธิภาพต่ำแต่เป็นกิจการที่มีความสำคัญต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจ เช่น สถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้า บ้านพักคนชรา หรือ การทำนาหรือเกษตรกรรม เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่สามารถอาศัยกลไกอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวในการจัดสรรทรัพยากรของสังคม จำเป็นต้องมีกลไกหรือเครื่องมืออื่นๆรวมทั้งการแทรกแซงโดยรัฐด้วย โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเหล่านี้มักอาศัยธนาคารเฉพาะกิจของรัฐในการเข้ามาดูแลในการจัดสรรทรัพยากรของระบบเศรษฐกิจรวมทั้งการช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมและธุรกิจขนาดเล็กด้วย

หากรัฐบาลตัดสินใจแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตอย่างถ้วนหน้า รัฐบาลต้องกู้เงินจำนวนมากจากตลาดการเงินภายใน อาจจะเกิด Crowding out Effect ดันอัตราดอกเบี้ยในตลาดให้สูงขึ้นและไปเบียดบังการลงทุนภาคเอกชน การลงทุนโดยรวมอาจไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย ผลสุทธิของการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายแจกเงินจะเบาบางลงจากการลดลงจากต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น การลงทุนลดลงของภาคเอกชน ส่งผลต่อการสะสมทุนลดลง (Less Capital Accumulation) นำมาสู่การเติบโตที่ลดลงในระยะยาว แม้ในระยะสั้น มาตรการแจกเงินจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคก็ตาม

เฮ!! ‘แจ็ค แฟนฉัน’ งัดแหวนขอ ‘ใบหม่อน’ แต่งงานแล้ว ท่ามกลางเพื่อนนักแสดงร่วมเป็นสักขีพยานรักในครั้งนี้

(30 ต.ค. 66) เพิ่งจะออกมาเปิดตัวว่ากำลังคบหาดูใจกันเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา สำหรับนักแสดงหนุ่มอารมณ์ดี ‘แจ็ค เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์’ หรือ ‘แจ็ค แฟนฉัน’ กับแฟนสาวสุดสวย ‘ใบหม่อน กิตติยา จิตรภักดี’ จนมีภาพหวาน ๆ ออกมาเสิร์ฟให้แสดงถึงความคลั่งรักอยู่เสมอ

ล่าสุด ‘แจ็ค แฟนฉัน’ ก็ได้จัดเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่ ขณะกำลังไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น โดยการคุกเข่าเซอร์ไพรส์ขอใบหม่อนแต่งงานท่ามกลางเพื่อน ๆ ที่ร่วมเป็นสักขีพยานรักในวันคล้ายวันเกิดของแฟนสาว

ซึ่ง ‘แจ็ค แฟนฉัน’ ได้เผยรูปภาพสวมแหวนตีตราจอง พร้อมแคปชันไว้ว่า "ใบหม่อน วันเกิดหนูวันนี้ พี่ขอจองหนูนะครับ #ขอให้น่ารักแบบนี้ตลอดไป #อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ นะครับ 29/10/66 ขอบคุณนิกกี้เพื่อนรัก ขอบคุณพี่เบียร์ใบหยก ขอบคุณพี่ยศ ขอบคุณพี่จตุรงค์ ขอบคุณพี่โน๊ตจูเนียร์ ขอบคุณพี่โย ขอบคุณพี่เฟย ขอบคุณพี่เป้ ขอบคุณแม่กุ้ง ขอบคุณโอมและผจก.โอม และทีมงานทุกคน

จริง ๆ มาถ่ายหนัง 20 วันที่ญี่ปุ่น โคตรเหนื่อยเลยแต่วันนี้หายเหนื่อย #รอดูแมนยูต่อครับ 5555555555"

จากนั้น ‘ใบหม่อน’ ก็ได้เผยความในใจไว้ว่า "I said, Yaaaassss! 29/10/2023 วันเกิดปีนี้มีความสุขมาก ขอบพระคุณทุก ๆ คน ที่ร่วมsurpriseครั้งนี้ ทุกคนน่ารักมาก ๆ ค่ะ ขอบคุณพี่แจ็คคนดีของหนู ตั้งแต่เจอพี่ หนูมีความสุขทุกวัน รักนะคะ"

‘นายกฯ เศรษฐา’ ขอบคุณนิด้าโพล เผย ปชช. พอใจผลงาน ชี้!! เหมือนได้พลังใจทำงาน-สร้างผลสำเร็จให้พี่น้องคนไทย

(30 ต.ค. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รับทราบผลนิด้าโพล ‘สนใจเรื่องนายกฯ เศรษฐา เยือนต่างประเทศหรือไม่’ โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนที่พอใจการทำงาน เป็นเสมือนกำลังใจในการทำงาน พร้อมพิสูจน์ผลงานกับคนที่ยังไม่พอใจ

โดยต่อคำถามเรื่อง ‘ความพอใจ’ ในบทบาทและผลงานของนายกรัฐมนตรี มีผู้พอใจมากร้อยละ 18.40 ค่อนข้างพอใจร้อยละ 36.87 และเรื่อง ‘ความพอใจ’ ต่อบทบาทของนายกฯ เกี่ยวกับการเดินทางเยือนต่างประเทศ มีผู้พอใจมากร้อยละ 23.40 ค่อนข้างพอใจร้อยละ 46.31

นายชัย กล่าวว่า ความพึงพอใจของประชาชนนี้เป็นพลัง เป็นกำลังใจให้นายกรัฐมนตรีพร้อมตั้งใจทำงานต่อไปเพื่อให้ผลของการทำงานที่ผ่านมาออกดอกออกผล เห็นเป็นความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีเป้าหมายในการทำงานเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ลดหนี้ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจภาพรวมให้ประเทศไทยเติบโตพัฒนาเท่าทันโดดเด่นในภูมิภาค ซึ่งรัฐบาลพร้อมทำงานเพื่อพิสูจน์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน

“นายกรัฐมนตรีตั้งใจทำงานตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเพื่อเศรษฐกิจภาพรวม และชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน แก้ไขปัญหา พัฒนาเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พัฒนาอย่างเท่าทันกระแสโลก 

ทั้งนี้ ในการเดินทางของนายกรัฐมนตรีทุกครั้ง ตั้งใจให้ได้ผลสำเร็จมากกว่าการผูกสัมพันธ์ทวิภาคี และพหุภาคี ต้องการให้เกิดมิติความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ในด้านที่เป็นประโยชน์ อุตสาหกรรมอนาคต อุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ เพื่อพัฒนาประเทศและคนไทย” นายชัย กล่าว

'ดร.เจษฎา' ช็อตฟีล บั้งไฟพญานาคปีนี้ จากหลักร้อยเหลือหลักสิบ พร้อมแนะ!! เลิกมั่วทฤษฎีแก๊สพุ่งจากน้ำ แค่กระสุนส่องวิถีจากฝั่งลาว

(30 ต.ค. 66) จากกรณีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่ริมแม่น้ำโขง จ.หนองคาย ที่เกิดขึ้นในวันออกพรรษา โดยในปีนี้บั้งไฟลูกแรกเกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.00 น. จำนวน 29 ลูก ที่บ้านต้อน อ.รัตนวาปี หลังจากนั้นก็มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกระจายในหลายจุดอาทิ บ้านตาลชุม , บ้านเปงจานเหนือ อ.รัตนวาปี, ที่วัดไทย อ.โพนพิสัย

โดยเบื้องต้นนับตั้งแต่มีบั้งไฟพญานาคลูกแรกเกิดขึ้นจนถึงเวลาประมาณ 20.00 น. มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นแล้วนับได้ 61 ลูก และคาดว่าจะมีบั้งไฟพญานาคให้เห็นไปจนถึงเวลาประมาณ 22.00 น.

ซึ่งต่อมา รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ แชร์ภาพข่าวบั้งไฟพญานาค โดยระบุว่า "เทศกาลยิงกระสุนส่องวิถีชัดๆ ทฤษฎีเรื่องแก๊สพุ่งจากน้ำมันมั่วครับ ไม่ได้เกิดขึ้นแบบนั้นได้ สื่อก็เลิกพูดตามๆ กันดีกว่าครับ ยอมรับมาเถอะว่ามันแค่กระสุนส่องวิถี ยิงขึ้นจากฝั่งลาวชัดๆ"

อ.เจษฎา ยังทิ้งท้ายด้วยว่า "ปีนี้ ยิงกันน้อยลงเยอะครับ จากหลักร้อยเหลือแค่หลักสิบนัดเอง สงสัยเศรษฐกิจไม่ดี" 

มอง 'เกาหลี' อีกด้าน ผ่านมุมแอร์โฮสเตสสายการบินเกาหลี สะท้อนความเป็นจริงของคนชาตินี้ ที่คนไทยต้องเผื่อใจไว้

เมื่อไม่นานมานี้ จากช่องยูทูบ ‘Crew Wings พี่มีนาสอนแอร์’ กับอีพีล่าสุด ‘ชีวิตแอร์โฮสเตสสายเกาหลี จริงหรือไม่? คนเกาหลีไม่คุยกับคนไทย อยู่ยากแต่อยู่ได้’ ได้เชิญ ‘คุณนุ้ก’ อดีตแอร์โฮสเตสมากประสบการณ์ถึง 3 สายการบินด้วยกัน ทั้งไทยและต่างประเทศ อย่าง Nok Air, Thai AirAsia และ Korean Air มาพูดคุยถึงเรื่องราวและการใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลีแบบเจาะลึก โดยช่วงหนึ่งของรายการนั้น ‘คุณนุ้ก’ ได้แชร์ประสบการณ์หลังตนได้เป็นลูกเรือสายการบิน Korean Air และได้รับการปฏิบัติที่ไม่ค่อยดีนักจากเพื่อนร่วมงาน โดยระบุว่า…

"เป็นเหตุการณ์ที่เราทำงานหนักมาก…อย่างบนเครื่องก็จะได้ยินเสียงเด็กจูเนียร์กำลังนินทาในระยะใกล้ ๆ กัน ซึ่งหน้าที่ที่ได้ทำนั้นจะเกี่ยวกับการเช็กอาหารทั้งหมดบนเครื่องบิน คอยเสิร์ฟและดูแลผู้โดยสาร แต่มันก็จะมีงานเล็ก ๆ อย่างเช่น เอาผ้าขนหนูใส่ตะกร้า ซึ่งงานนี้จริง ๆ เป็นงานที่ใครทำก็ได้ จูเนียร์ทำก็ได้ หรือใครที่ว่างก็สามารถมาทำงานนี้ได้ แต่สุดท้ายแล้วงานนี้ก็ตกมาเป็นความรับผิดชอบของคนที่เป็นครัวก็คือเราอยู่ดี"

แต่ที่ทำให้คุณนุ้กไม่ประทับใจอย่างมาก คือ เด็ก 2 คนนี้ที่อายุเด็กกว่าและรุ่นก็เด็กกว่า เขาก็มีการพูดคุยกันเอง 2 คนว่า “เธอไปดูซิว่าลูกเรือต่างชาติเขารุ่นอะไร ทำไมงานนี้เขาไม่ยอมทำ ไปดูซิเขารุ่นอะไร และทำงานมากี่ปีแล้ว” ซึ่งพูดในระยะที่ใกล้กัน เราก็เลยหันกลับไปตอบเป็นภาษาเกาหลีว่า "รุ่น 14 ทำไมเหรอ มีอะไรหรือเปล่า"

"สถานการณนี้มันเหมือนกับเวลาเรานินทาคนต่างชาติเป็นภาษาไทย และเขาตอบมาเป็นภาษาไทยที่ชัดมากประมาณนั้น ซึ่งสีหน้าของคนเกาหลีตอนนั้นคือหน้าซีดไปเลย เพราะเราฟังออก และเราก็เจอเหตุการณ์แบบนี้ที่รู้สึกว่ามันก็หลายครั้ง"

คุณนุ้ก มองว่า "หลายครั้งที่งานก็หนักแล้วยังโดนแบบนี้อีก แต่พอเจอบ่อย ๆ ก็เริ่มรู้แล้วว่าสถานการณ์ประมาณนี้คือ เขากำลังนินทาเราอยู่ ซึ่งตอนแรกบางทีก็อยากรู้ว่าพูดอะไรกัน แต่พอหลัง ๆ คือเดินหนี เพราะเริ่มรู้สึกไม่อยากฟัง เพราะฟังแล้วมันแปลออก มันก็เป็นความที่รู้สึกที่รู้สึกว่ามันโดดเดี่ยวเกินไปเปล่า … เข้าใจว่ามาทำงาน แต่อันนี้มันดูถูกกันเกินไปในบางครั้ง โดยเฉพาะการพูดการจาของเขา"

เมื่อพิธีกรถามว่าบนไฟลท์ไม่มีคนไทยคนอื่นเลยเหรอ? คุณนุ้ก ได้ตอบว่า “มีคนเดียว เพราะถ้าไปต่างประเทศแบบยุโรปหรืออเมริกา เราจะมีลูกเรือไทยคนเดียว แต่ถ้าเกิดเป็นไฟลท์ที่เป็น 'เกาหลี-ไทย' หรือ 'ไทย-เกาหลี' อาจจะมีลูกเรือไทย 2 คน ซึ่งแบบนี้ก็มีเพื่อนคนไทย แต่คนไทยห้ามคุยกันนะ สมมติถ้าเขาได้ยินเสียงเราพูดภาษาไทย ก็จะโดนบอกให้แยก ๆ รำคาญ ภาษาอังกฤษก็คุยไม่ได้ ห้ามคุยเลย เพราะไม่ชอบได้ยินเสียงภาษาอื่น ถ้าเขาเห็นเราอยู่ใกล้กันก็จะถูกจับแยกเหมือนกัน”

คุณนุ้ก กล่าวอีกว่า "จริง ๆ การเที่ยวหรืออยู่คนเดียวมันไม่หนักเท่ากับการที่ต้องรู้สึกว่าเพื่อนร่วมงานไม่เข้าข้างเรา ... โดยเฉพาะเมื่อเรามาทำงานเป็นลูกเรือ และยิ่งเราเป็นชาติอื่นที่ไม่ใช่ชาติเขาด้วยนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรามักจะถูกตัดสินว่าน่าจะเป็นเราที่ทำผิดเสมอ สมมติเราบอกว่าเกิดเคสน้ำเปล่าที่ผู้โดยสารทำหก และผู้โดยสารโอเคมากไม่ว่าอะไรเลย แต่ทางเพื่อนร่วมงานเหล่านี้ก็จะย้ำกับเราเสมอว่า 'แน่ใจเหรอว่าไม่มีอะไร แน่ใจใช่ไหมว่าผู้โดยสารทำไม่ใช่เราทำ' หรืออะไรก็ตามในเครื่องเสียหรือถูกผู้โดยสารคอมเพลนเขาก็จะตีความไปก่อนว่าเป็นลูกเรือต่างชาติที่เป็นคนทำ"

ทุกที่มีดีมีร้าย โดยเฉพาะตัวเฉพาะตัวบุคคลปะปนกันไป ยังไงก็ไม่ขอเหมารวมละกัน...   

ศาลสมุทรปราการ สั่งจำคุก 6 ปี 'มณีขวัญ' แชร์โพสต์หมิ่นใส่ร้ายเบื้องสูงลงกลุ่มรอยัลลิสต์ฯ

(30 ต.ค. 66) ทวิตเตอร์ TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า 09.30 น. ศาล จ.สมุทรปราการ พิพากษาว่า #มณีขวัญ แชร์โพสต์วิจารณ์ ร.10 จาก KonthaiUK จำนวน 2 โพสต์ลงกลุ่มรอยัลลิสต์มาเก็ตเพลสนั้น ผิด ม.112 - พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ม.14 (3) ให้จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 6 ปี แต่ให้ลดกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 ปี 12 เดือน เพราะรับสารภาพ แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 3 ปี กับให้ไปรายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน นาน 2 ปี และทำกิจกรรมบริการสังคม 48 เดือน

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2565 พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการมีความเห็นสั่งฟ้องคดีของมณีขวัญ และคดีของ ‘ภราดร’ (นามสมมติ) ในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ​​จากกรณีแชร์โพสต์จากเพจเฟชบุ๊ก ‘KonthaiUK’ และ เพจเฟชบุ๊ก ‘พระเจ้า’ ลงในกลุ่ม ‘รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส’

‘มณีขวัญ’ (สงวนนามสกุล) วัย 26 ปี ประกอบธุรกิจส่วนตัว ถูกอัยการจังหวัดสมุทรปราการสั่งฟ้องจากการแชร์ข้อความจากเฟซบุ๊ก 2 ข้อความ โดยตัวผู้แชร์โพสต์ไม่ได้มีการแสดงความคิดเห็นใด ประกอบด้วย

1. เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2563 แชร์ภาพและข้อความที่เพจ ‘KonthaiUK’ โพสต์เอาไว้เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2563 ใจความว่า “วอชิงตันโพสต์สื่อแนวหน้าของโลก กับบทความระลึกทําไมเราถึงเสื่อมศรัทธากับระบอบนี้ (อ่านดูคร่าว ๆ 9 ข้อ จุก ๆ) พร้อมภาพการมอบถุงพระราชทานที่เบื้องหลังมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 มีข้อความแทรกบนภาพว่า “บทความจาก วอชิงตันโพสต์ Why This are losing faith in the monarchy? ทําไมคนไทย หมดศรัทธาในสถาบันกษัตริย์”

2. เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2563 ได้แชร์ภาพและข้อความที่เพจ ‘KonthaiUK’ โพสต์เอาไว้เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2563 ลงใน กลุ่มเฟซบุ๊กชื่อ ‘รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส’ มีใจความว่า “ชัด ๆ ไปเลย ไม่ต้องถามหากูเกิ้ลแมพอะไรแล้ว เครื่องบินในสวนหน้าวังของกษัตริย์ผู้รักการบินฟรีบนภาษีประชาชน มันเอาไปตั้งทั้งลําเลย ยังไม่เอาเครื่องยนต์ออกด้วยเอาไปตกแต่งสวน บ้าแค่ไหนอ่ะ บ้านก็ไม่ได้อยู่ อยู่ เยอรมัน เชื่อแล้วว่าจิตจริง ทําไรทําสุด” ประกอบภาพเครื่องบินของสายการบินไทย

วันเดียวกัน อัยการจังหวัดสมุทรปราการยังได้สั่งฟ้อง ‘ภราดร’ (นามสมมติ) พนักงานโรงงานวัย 30 ปี ในจังหวัดสมุทรปราการ จากการแชร์ข้อความจากเพจ ‘พระเจ้า’ ลงในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส จำนวน 1 ข้อความ

ข้อความดังกล่าวมีเนื้อหาว่า “ร่วมถวายฎีกาขอบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนคนไทยขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในฐานะผู้ที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในผืนแผ่นดินสยาม โปรดกรุณาบริจาคพระราชทรัพย์ 20% ของทั้งหมดที่อยู่ในความครอบครองของพระองค์ หรือประมาณ 200,000 ล้านบาท รวมถึงขอให้พิจารณาตัดลดงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ประจําปี 2563 จากเดิมที่ได้รับ 29,728 ล้านบาทต่อปี ให้เหลือแต่เพียงเท่าที่จําเป็น เพื่อนําทรัพย์สินที่เป็นของราษฎรแต่เดิมนี้กลับคืนมาทะนุบํารุงช่วยเหลือราษฎร และประเทศชาติในวิกฤตโควิดต่อไป เพจพระเจ้า #ถวายฎีกา #พระบรมโพธิสมภาร”

อัยการระบุว่าจำเลยได้พิมพ์ข้อความเหนือโพสต์ที่แชร์ว่า ‘เสมอเสี่ยไม่ให้’ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อความในเชิงขอพนันต่อรอง

อัยการได้บรรยายฟ้องของทั้ง 2 คดีว่า ข้อความที่จำเลยโพสต์เป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 มิได้เป็นไปตามที่จําเลยใส่ความแต่อย่างใด โดยข้อความซึ่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์เท็จดังกล่าว บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงและเข้าไปเปิดเว็บไซต์ดังกล่าว สามารถอ่านข้อความอันเป็นเท็จที่จําเลยพิมพ์และแชร์ข้อความนั้นได้

อัยการอ้างว่าข้อความและภาพถ่ายที่จําเลยพิมพ์และแชร์ดังกล่าวเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ใส่ร้าย ใส่ความ ดูหมิ่น และหมิ่นประมาทเบื้องสูง หมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ ทําให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ทั้งนี้จําเลยมีเจตนาที่จะให้ผู้อื่นหรือประชาชน ที่ได้อ่านข้อความดังกล่าวแล้ว มีความรู้สึกดูถูก ดูหมิ่น เกลียดชัง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย รัชกาลที่ 10

เบื้องต้นหลังฟังคำสั่งฟ้อง มณีขวัญและภราดรได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยศาลจังหวัดสมุทรปราการอนุญาตให้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์คนละ 150,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ ก่อนนัดพร้อมทั้ง 2 คดีอีกครั้งวันที่ 29 ส.ค. 2565 เวลา 9.00 น.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top