Wednesday, 7 May 2025
TheStatesTimes

‘มท.1’ เตรียมชง ครม. เปิดผับถึงตี 4 ภายใน 15 ธ.ค.นี้ นำร่อง จว.ท่องเที่ยว หวัง!! กระตุ้น ศก. ช่วงเทศกาลปีใหม่

(30 ต.ค. 66) ที่กรมการปกครอง (ปค.) วังไชยา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย (มท.1) กล่าวถึงแนวทางการขยายเวลาการเปิดสถานบริการในพื้นที่ท่องเที่ยวในบางพื้นที่ เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในช่วงฤดูการท่องเที่ยว​ ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 ต.ค.​ 66 ว่า​ ต้องไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ที่กำหนด โดยได้กำหนดวันดีเดย์ ที่จะรับฟังความคิดเห็นให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 ธ.ค. 66​ และเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณา​ประกาศกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์​เกี่ยวพื้นที่ท่องเที่ยวให้เปิดสถานบริการถึง​ 04.00 น.​ ให้ประกาศใช้ทันในช่วงเทศกาลปีใหม่​ ซึ่งถือเป็นข้อสั่งการของนายเศรษฐา​ ทวีสิน​ นายกฯ และรมว.คลัง ที่จะห่วงใยและกระตุ้นเศรษฐกิจ

“เราทำเพื่อผู้ที่จะไม่กระทำผิดกฎหมาย ฉะนั้นผู้ที่จะไปใช้ในบริการ จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เช่น​ เมาไม่ขับ ไม่พกพาอาวุธ​ ไม่มีการขายยาเสพติด ไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าใช้บริการ และไม่ทะเลาะวิวาท​​ หากทุกคนให้ความร่วมมือ และเข้าไปหาความบันเทิง จะเปิดถึงกี่โมงเราก็ไม่มีปัญหา” นายอนุทิน​ กล่าว

เมื่อถามถึงพื้นที่นำร่องเปิดขยายเวลาให้บริการมีพื้นที่ใดบ้าง​ นายอนุทิน​ กล่าวว่า เน้นในจังหวัดท่องเที่ยว และเน้นในจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ​ เชียงใหม่​ ภูเก็ต​ และกรุงเทพฯ​ เป็นการทำนำร่องไปก่อน​ โดยจะต้องทำงานควบคู่บูรณาการ​กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อที่จะรักษากฎหมายให้ได้มากที่สุด​ หากทุกคนให้ความร่วมมือ จะสามารถแปลงปัญหาเป็นโอกาสเพื่อสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น​ จ้างงานเพิ่มขึ้น​ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ในการยังชีพเลี้ยงชีพมากขึ้น

เห็นพ้อง!! ‘กาตาร์’ รับบท ‘คนกลาง’ ยุติขัดแย้ง ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ เหตุมีสัมพันธ์ที่ดีกับหลายขั้วอำนาจ-ช่วยหยุดรอยร้าวมาแล้วหลายครั้ง

สงครามระหว่าง ‘อิสราเอล’ และ ‘กลุ่มติดอาวุธฮามาส’ ในปาเลสไตน์ยังคงเดือดต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะลดราวาศอกลง โดยเฉพาะฝ่ายอิสราเอลที่ยังประกาศเดินหน้าแผนการโจมตีภาคพื้นดิน โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากมติขององค์การสหประชาชาติที่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดยิง 

ท่ามกลางวิกฤติที่ดูไร้หนทางออก ในขณะเดียวกันนี้ หลายฝ่ายเริ่มฝากความหวังไว้กับประเทศกาตาร์ ในบทบาทการเป็น ‘คนกลาง’ ในการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงครามในปาเลสไตน์ ก่อนสูญเสียชีวิตพลเมืองมากกว่านี้

เหตุใด ‘กาตาร์’ จึงกลายเป็นประเทศที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นคนกลางในสถานการณ์ตอนนี้? 

ในขณะที่ ‘หลายชาติในโลกตะวันตก’ และ ‘โลกมุสลิม’ มีการแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ในกรณีความขัดแย้งในปาเลสไตน์ กาตาร์กลับเป็นประเทศหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลากหลายขั้วอำนาจ อาทิ ฝ่ายชาติตะวันตกและสหรัฐอเมริกา, กลุ่มติดอาวุธฮามาส รวมถึงคู่ขัดแย้งในโลกอื่น ๆ อย่างอิหร่าน และ รัสเซีย อีกด้วย 

ซึ่งการวางตัวเป็นมิตรกับกลุ่มต่าง ๆ และ พยายามรักษาสมดุลด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทำให้กาตาร์ได้รับบทบาทในการเป็นคนกลางในการเปิดโต๊ะเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้งต่างขั้วหลายครั้ง

อาทิ การเป็นเจ้าภาพงานประชุมทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกากับอัฟกานิสถาน ภายใต้การนำของรัฐบาลตอลีบานเป็นครั้งแรกตั้งแต่กองกำลังตอลีบานบุกยึดกรุงคาบูล ในปี 2021 และยังเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน ในการแลกเปลี่ยนนักโทษการเมืองได้สำเร็จเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะผิดสัญญาเรื่องการส่งมอบเงินสำรองต่างประเทศจำนวน 6 พันล้านเหรียญคืนให้อิหร่าน แต่ก็ได้โอนเงินจำนวนนั้นให้แก่รัฐบาลกาตาร์เพื่อเก็บรักษาไว้จนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง 

อีกทั้ง กาตาร์ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอิทธิพลในย่านตะวันออกกลาง เช่นเดียวกับ ซาอุดีอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้งในด้านความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เป็นผู้ผลิตน้ำมันชั้นนำประเทศหนึ่งของโลก และยังเป็นเจ้าของสื่อยักษ์ใหญ่ Al Jazeera สื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในย่านตะวันออกกลาง 

จึงทำให้กาตาร์มีศักยภาพเพียงพอที่จะได้รับความไว้วางใจจากหลายฝ่าย แม้แต่ เอมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศสยังให้เครดิตกาตาร์ ที่ทำให้การเจรจาปล่อยตัวประกันชาวอเมริกัน 2 คนแรก ที่ถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไว้ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ 

แต่ทั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มในย่านตะวันออกกลาง ทั้ง ฮามาส, ตอลิบาน หรือ อิหร่าน ก็ทำให้กาตาร์ถูกมองว่าเป็นชาติที่สนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย  

มิหนำซ้ำ กับอิสราเอล ที่ประกาศไม่ยอมเจรจากับกลุ่มฮามาสที่ถูกรัฐบาลอิสราเอลขึ้นทะเบียนเป็น ‘กลุ่มก่อการร้าย’ ทุกกรณี ก็ไม่ไว้วางใจกาตาร์ และยังมองว่า กาตาร์ใช้สื่อ Al Jazeera ของตนเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มฮามาส และชาวมุสลิมโจมตีอิสราเอล และได้มีคำสั่งให้ปิดสำนักงานข่าว Al Jazeera ในอิสราเอลด้วย 

แต่สำหรับสหรัฐอเมริกา มองว่าในนาทีนี้ คงไม่มีชาติใดเหมาะสมในการเป็นคนกลางได้ดีเท่ากาตาร์อีกแล้ว และที่ผ่านมารัฐบาลกาตาร์ก็แสดงความสามารถในการเจรจาได้อย่างลุล่วงมาหลายครั้ง ซึ่งล่าสุด แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้เดินทางเยือนกาตาร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับภารกิจทางการทูตในการแก้ไขวิกฤติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้

และเมื่อได้แรงหนุนจากสหรัฐอเมริกา ยิ่งทำให้สถานะ และ บทบาทของกาตาร์ ในตะวันออกกลางมีความโดดเด่นมากขึ้น และถูกคาดหวังว่าจะสามารถไกล่เกลี่ยให้วิกฤติในปาเลสไตน์สามารถสงบลงได้ แม้เพียงแค่ชั่วคราวก็ยังดี 

'อิสระ ฮาตะ' ฟาด!! ผลโหวตไม่เห็นด้วย 'ยุบ กอรมน.' เยอะไป เชื่อ!! Meta ปิดกั้น และผลโหวตไม่โปร่งใส เต็มไปด้วย ‘ไอโอ’

เมื่อวานนี้ (29 ต.ค. 66) นาย อิสระ ฮาตะ พิธีกรและยูทูปเบอร์ชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับผลการโหวตการรับฟังความคิดเห็นว่า ควรยุบ 'กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย' (กอ.รมน.) ซึ่งถูกตั้งขึ้นตามร่าง พรบ.เสนอยุบหน่วยงาน โดย พรรคก้าวไกล ซึ่งนายอิสระได้แสดงความไม่พอใจต่อผลที่มีผู้โหวต 'ไม่เห็นด้วย' ถึงกว่า 70% โดยมีข้อความระบุว่า...

ไม่อยากยกเลิก กอ.รมน กันจริงๆ เหรอ อยากให้มี IO กันต่อไปแบบนี้จริง ๆ สินะ 

>> เห็นด้วยกับการยกเลิก 27.53% 
>> ไม่เห็นด้วย อยากให้มีต่อไป 71.84%

นอกจากนี้นายอิสระยังได้แสดงความคิดเห็นในคอมเมนต์เชิงตัดพ้อกับที่ผลโหวตเห็นด้วยมีจำนวนลดลงกว่าเมื่อวาน และไม่พอใจที่บริษัท Meta ดันทำให้โพสต์ดังกล่าวมีคนเห็นน้อย

"เห็นด้วยนี่ ลดลงจากเมื่อวานอีก จาก 30 กว่า% เฮ้อ…ส่วนโพสต์ อี Meta ก็ดันให้เห็นน้อยอีก"

ขณะที่ผู้เข้ามาคอมเมนต์รายหนึ่งให้ความเห็นว่า "รึ 70% นี่ ก็ IO นั่นแหละ ที่โดนเกณฑ์มาโหวต" ซึ่งนายอิสระก็ได้เข้าไปตอบว่า "ชัวร์ๆ ครับ เท่าที่ไปอ่านเมนต์ดูจากเพจที่เอามาแชร์ นี่เข้ามาด่ากันเพียบ IO ล้วนๆ"

เผยธาตุแท้!! 'หัวขบวนส้ม' แค่แซะ 'นักโทษเทวดา' ยังไม่กล้า สะท้อน!! 'ธร-บุตร-ช่อ-โรจน์-ไอซ์-โรม-ทิม' เป็นได้แค่นักล่าเรตติง

ในที่สุดสังคมไทยก็ได้เห็นธาตุแท้ของ 'พรรคล้มสถาบัน' อย่างชัดเจนแล้วว่า แนวคิดที่บอกจะ 'สู้เพื่อความเหลื่อมล้ำ' เป็นเพียงลมปากเหม็น ๆ ของกลุ่มคนที่ไม่เคยเฉียดใกล้คำว่า 'อุดมการณ์' เลยแม้แต่น้อย 

ที่ผ่านมาก็แค่หลอกเด็กที่คิดไม่เป็น หรือคนที่ต้องการที่ยืนเท่ ๆ ทางสังคมให้ออกมาสู้รบแทน เพื่อหวังผลในทางการเมือง คอยปลุกปั่น หลอกต้มชีวิตคนด้วยวาทกรรมที่ว่า "เมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วเราทุกคนควรมีปากมีเสียงโดยเท่าเทียม ไม่ใช่มีเฉพาะแค่คนเบื้องสูง หรือผู้มีอำนาจ" จนทำให้เด็กและผู้ใหญ่ที่ขาดความเฉลียว โดนคดี '112' มากจนนับไม่ไหวเป็นประวัติการณ์

เรียกว่าเป็น 'ขบวนการ' หลอกเด็ก ต้มผู้ใหญ่ที่ไร้ความลุ่มลึก หรือมีปมในชีวิต ให้หลงเชื่อได้ไม่น้อย จนคนเหล่านี้พากันเดิน 'ชูสามนิ้วโง่ ๆ' ไปติดกับดัก ยอมศิโรราบเป็น 'ทาสส้ม' คอยส่งเสียงเชียร์ สนับสนุน เห็นดีงามกับทุกเรื่องอย่างคนเสียสติ เพียงแค่ 'หัวส้ม' กระดิกตีนชี้ 

นโยบายหลังบ้านที่แอบหลอกใช้ 'มวลชนผู้โง่เขลา' ให้ออกมามาโดนคดีแทน เพื่อจะใช้ภาพการถูกจับดำเนินคดี 112 ของแต่ละคน กระพือให้สังคมเห็นภาพ 'ความเหลื่อมล้ำ' อย่างต่อเนื่อง ข้างนอกก็หลอกใช้เด็ก ๆ ตายแทน ข้างในสภาก็ใช้สนับสนุน สส. ที่ไร้มารยาท และน่ากังขาในเรื่องจริยธรรมบางคน ผสมโรงร่วมมือผลักดันให้ไปใน 'ทิศทางบาป' เดียวกัน 

แต่นับตั้งแต่ 'นักโทษเทวดา' กลับไทยมานอนนอกคุก ก็ไม่เคยมีเสียงทักท้วง ประท้วง หรือคำพูดที่ถามหา 'ความเท่าเทียม' จากคนใน 'พรรคล้มสถาบัน' เลยสักคนเดียว ต่างพากัน 'เงียบปากสนิท'

แม้แต่ 'ทาสส้ม' ที่คิดว่าอาจจะยอมกลับเนื้อกลับตัวเมื่อเห็นกรณีผิดปกตินี้ ก็น้อยถึงน้อยมากที่จะมีโผล่มาให้เห็นว่ามี 'สติปัญญา' และมี 'ดวงตาเห็นธรรม' สักคน ราวกับถูกสะกดด้วย 'น้ำมันพรายส้ม' จนจิตวิญญาณของความเป็นคนหล่นหายไปในนรกจนหมดสิ้น 

นี่น่ะหรือพรรคที่ว่ามาจาก 'คนรุ่นใหม่' นี่น่ะหรือที่บอกว่าจะมาเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดี ให้กลายกลับเป็นสิ่งที่ดี เช่นสิ่งใดที่เหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมในสังคมไทย พรรคส้มจะทำให้หายเกลี้ยง แต่แค่ 'อดีตนายกฯ หนีคดี' ที่กลับมาเป็น 'นักโทษเทวดา' เห็นอยู่ทนโท่ทุกวัน ยังไม่กล้าปริปาก...ทักท้วง

ก็จึงเป็นได้แค่พรรคกลิ้งกลอก กระจอก กิ๊กก๊อก สู้เพื่อ 'ความเหลื่อมล้ำจอมปลอม' หากินกับการหลอกต้มคนโง่ไปวัน ๆ เท่านั้นเอง

ศาลฯ พิพากษา ‘เบนจา อะปัญ’ ผิด ‘ม.112 - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน’ ร่วมปราศรัย 10 ส.ค.64 สั่งจำคุก 2 ปี 8 เดือน ปรับ 8 พันบาท

(30 ต.ค. 66) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดี น.ส.เบนจา อะปัญ นักกิจกรรมทางการเมือง ถูกฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กรณีที่ น.ส.เบนจาปราศรัยและอ่านแถลงการณ์ประกาศแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฉบับที่ 2 หน้าบริษัทซิโน-ไทย ระหว่างกิจกรรม ‘คาร์ม็อบใหญ่ไล่ทรราช’ เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2564

ล่าสุด ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า เวลา 10.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก ข้อหา ม.112 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กับ น.ส.เบนจา กรณีปราศรัยและอ่านแถลงการณ์ที่หน้าบริษัทซิโน-ไทย ระหว่างกิจกรรม ‘คาร์ม็อบใหญ่ไล่ทรราช’ เมื่อวันที่ 10 ส.ค.64

ศาลชี้จำเลยปราศรัยกล่าวถึงสถาบันโดยตรง ชัดว่าเป็นการหมิ่นประมาทล่วงเกิน การเบิกความของจำเลยไม่ได้ทำให้เห็นว่ามีเจตนากล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงรัฐบาลอย่างไร

พิพากษาผิด ม.112 จำคุก 3 ปี ส่วนข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จำคุก 1 ปี และปรับ 12,000 บาท แต่ให้ลดโทษหนึ่งในสาม เพราะจำเลยให้การเป็นประโยชน์ เหลือจำคุกรวมทั้งสิ้น 2 ปี 8 เดือน ปรับ 8,000 บาท

ศาลเห็นว่าจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และยังอยู่ระหว่างเรียนปริญญาตรี ขณะกระทำผิดมีอายุเพียง 21 ปีเศษ ถือเป็นการกระทำผิดโดยขาดวุฒิภาวะ อยู่ในวิสัยที่จะกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี

‘ญาติตัวประกัน’ จี้ ‘อิสราเอล’ หยุดถล่มฉนวนกาซา แล้วหันมาช่วยเหลือตัวประกันให้ปลอดภัยเสียก่อน

(30 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บรรดาครอบครัวของชาวอิสราเอลที่ถูกกลุ่มติดอาวุธฮามาสจับไปเป็นตัวประกันไว้ในฉนวนกาซา ในเหตุปฏิบัติการจู่โจมอย่างสายฟ้าแลบของกลุ่มติดอาวุธฮามาส เมื่อวันที่ 7 ต.ค.เป็นต้นมา ได้พากันรวมตัวที่กรุงเทลอาวีฟ เมืองหลวงของอิสราเอล เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอิสราเอลระงับปฏิบัติการโจมตีภาคพื้นดินในฉนวนกาซา แล้วหันมาช่วยเหลือตัวประกันที่ถูกจับตัวไปนั้นให้เป็นอิสระอย่างปลอดภัยก่อน

โดยนายโนอัม อาลอน แฟนหนุ่มของนางอินบาร์ ไฮมาน ซึ่งถูกกลุ่มติดอาวุธฮามาสจับตัวไประหว่างเที่ยวงานเทศกาลดนตรีนั้น ได้แสดงทรรศนะว่า ควรช่วยเหลือตัวประกันทุกคนให้ได้รับความปลอดภัยก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธฮามาสให้สิ้นซากถือเป็นเป้าหมายที่ 2 ซึ่งการทำให้สำเร็จ 2 เป้าหมายในเวลาเดียวกันไม่สามารถทำได้

นอกจากนี้ ครอบครัวชาวอิสราเอลผู้ถูกจับไปประกันอีกรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ญาติของพวกเขาที่ถูกจับตัวไปนั้น มีอายุมากแล้ว ดังนั้น จึงเหลือเวลาอีกไม่มาก จึงอยากให้รัฐบาลอิสราเอลรีบช่วยเหลือออกมาอย่างปลอดภัยให้เร็วที่สุด

‘นายกฯ’ ห่วง ‘คนไทย’ ช่วง ‘เทศกาลฮาโลวีน’ ที่ถนนข้าวสาร วอนปชช. ‘มีสติ-ระวังตัว-เลี่ยงที่แออัด’ ป้องกันซ้ำรอยอิแทวอน

(30 ต.ค. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นห่วงคนไทยในทุกพื้นที่ ในช่วงการเฉลิมฉลองเทศกาล Halloween พร้อมเตือนคนไทยหลีกเลี่ยงการเฉลิมฉลองในสถานที่แออัด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ด้วยคืนพรุ่งนี้ (31 ต.ค.) เป็นวัน Halloween สถานบันเทิงจะจัดงานเฉลิมฉลอง หน่วยงานต่างๆ จึงมีมาตรการคำแนะนำป้องกัน ดูแลความปลอดภัยคนไทย ยกตัวอย่าง เช่น ตำรวจท่องเที่ยว ได้ออกคำแนะนำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้กับนักท่องเที่ยว ดังนี้ 1.วางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อให้รู้ว่าจะเดินทางไปอยู่ตรงไหน จะได้รู้จักเส้นทางก่อน และควรดูพยากรณ์อากาศด้วย 2.หากเป็นสถานที่ปิด ควรดูทางออกฉุกเฉิน และควรมีเพื่อนไปด้วยอย่างน้อย 1 คน

3.หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อป้องกันเรื่องการถูกล้วงกระเป๋าจากมิจฉาชีพ และการเบียดเสียดกับคนอื่น 4.ดื่มอย่างมีสติ อย่าทิ้งตัว และดื่มไม่ขับ 5.อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ หรือมาตรการรักษาความปลอดภัยของสถานที่นั้น ๆ หากมีเหตุฉุกเฉิน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน หมายเลข 1155 ตำรวจท่องเที่ยว โดยสถานที่หลัก ๆ ที่มีคนเป็นห่วงมากก็คือ ถนนข้าวสาร เพราะมีลักษณะของพื้นที่คล้ายกับอิแทวอน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อปีที่แล้ว

นายชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้ออกประกาศ เรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับคนไทยในสาธารณรัฐเกาหลี โดยขอให้คนไทยในสาธารณรัฐเกาหลีระมัดระวังการเข้าไปในสถานที่ที่คนพลุกพล่าน พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาล Halloween ที่อาจจัดขึ้นในสถานที่ต่าง ๆ ของสาธารณรัฐเกาหลีในปีนี้ หรือหากจะเข้าร่วมงาน ก็ขอให้ระมัดระวังในการไปรวมตัวยังสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือมีฝูงชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ เช่น การล้มทับกันของฝูงชนที่เบียดเสียดกัน

ทั้งนี้ หากรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ก็ขอให้รีบหาทางหลบออกมาจากสถานที่ดังกล่าวโดยเร็ว หากคนไทยต้องการความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายกงสุลของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล โทรศัพท์ +82 10-6747-0095 หรือ +82 10-3099-2955

“นายกรัฐมนตรี ห่วงใยคนไทยที่ต้องการเข้าร่วมช่วงการเฉลิมฉลอง ขอให้เที่ยวอย่างมีสติ เตรียมการเดินทาง เข้าร่วมกิจกรรมอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงบริเวณแออัด พื้นที่คนพลุกพล่าน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุไม่คาดฝัน” นายชัย กล่าว

31 ตุลาคม พ.ศ. 2543 ห้างไทยไดมารู เลิกกิจการห้างแห่งแรก่ในไทยาร ปิดตำนานที่มีบันไดเลื่อน

วันนี้ เมื่อ 23 ปีก่อน ‘ไทยไดมารู’ ห้างสรรพสินค้าจากญี่ปุ่น ประกาศปิดกิจการ หลังเปิดให้บริการในไทยมายาวนานถึง 36 ปี ปิดตำนาน ห้างแห่งแรกในไทยที่มีบันไดเลื่อน

ไทยไดมารู เป็นห้างสรรพสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าราชประสงค์ หรือ เซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน ต่อมา ห้างก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ราชดำริอาเขต ที่ตั้งปัจจุบันคือบริเวณบิ๊กซี ราชดำริ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2507 ถือเป็นห้างสรรพสินค้าที่ประสบความสำเร็จแห่งหนึ่งในสมัยนั้น มีแนวความคิดแบบห้างสรรพสินค้าจากญี่ปุ่นที่เปิดขึ้นเพื่อรองรับชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ในบริเวณราชดำริที่มีสำนักงานบริษัทข้ามชาติญี่ปุ่นจำนวนมาก 

ทั้งนี้ ไทยไดมารู ยังเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีบันไดเลื่อนแห่งแรกของไทย รวมถึงเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของไทยด้วยที่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศอีกด้วย จากนั้น ไทยไดมารู ยังได้เปิดสาขา 2 ย่านพระโขนง เมื่อปี พ.ศ. 2524

ในแง่ของประวัติศาสตร์ ห้างไทยไดมารู เคยเป็นจุดที่นิสิตนักศึกษา ใช้เป็นจุดรณรงค์ต่อต้านสินค้าจากต่างประเทศในช่วงปี พ.ศ. 2516 ก่อนที่จะขยายตัวเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย จนเกิดความรุนแรงในวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม

ในปี พ.ศ. 2537 เมื่อไทยไดมารู ที่อยู่บริเวณศูนย์การค้าราชดำริ อาเขต หมดสัญญาลงได้ย้ายมาอยู่ที่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ถนนศรีนครินทร์ ปัจจุบันคือ พาราไดซ์ พาร์ค ดำเนินการในนาม บริษัท ไทยดีเอ็มอาร์ รีเทล จำกัด มีบริษัทไดมารู ไอเอ็นซี จากญี่ปุ่น เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ย่านนี้มีคู่แข่งจำนวนมาก โดยเฉพาะซีคอนสแควร์และเซ็นทรัลพลาซา บางนา ห้างไทยไดมารูที่เสรีเซ็นเตอร์ จึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

หลังจากที่ประเทศไทยประสบกับปัญหาเศรษฐกิจ จากการลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อปี พ.ศ. 2540 ในปี พ.ศ. 2541 ไดมารู ไอเอ็นซี (The Daimaru, Inc.) จากญี่ปุ่นตัดสินใจขายหุ้นบริษัทไทยดีเอ็มอาร์ รีเทล ให้กับผู้ลงทุนชาวไทย คือ กลุ่มพรีเมียร์ ในเครือโอสถานุเคราะห์ แต่ให้สิทธิ์ชุดผู้บริหารให้ใช้ชื่อ ไดมารู ได้ แต่หลังจากนั้น 2 ปี การดำเนินการยังไม่ดี กลุ่มพรีเมียร์จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญาอีกต่อไป เพื่อเปิดห้างสรรพสินค้าใหม่ ในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2543 ปิดตำนานห้างแห่งแรกที่มีบันไดเลื่อนและเครื่องปรับอากาศ ดังนั้น ในปัจจุบัน จึงไม่มีชื่อ ไทยไดมารู อยู่ในประเทศไทย

ศาลปกครองสูงสุด กลับคำสั่ง ศาลปกครองชั้นต้น ให้รับฟ้องคดีควบรวม TRUE-DTAC ชี้!! เข้าข่ายผูกขาด

ศาลปกครองสูงสุด กลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น ให้รับคำฟ้องมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ขอถอนมติ กสทช. เรื่องการควบรวม TRUE-DTAC ชี้ การควบรวมส่งผลกระทบวงกว้าง - เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ ขณะที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีลักษณะกึ่งผูกขาดโดยธรรมชาติ

(30 ต.ค. 66) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำฟ้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ในคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงาน กสทช. กรณีขอให้เพิกถอนมติ กสทช.ในการประชุมนัดพิเศษครั้งที่ 5/2565 วันที่ 20 ต.ค. 65 ที่รับทราบเรื่องการควบรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นจำกัด(มหาชน)และบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) รวมทั้งประกาศ และนิติกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. 65

ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองตามสิทธิ์อันพึงมีพึงได้ของผู้บริโภคและยังเป็นผู้ใช้บริการสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จึงได้รับผลกระทบจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จึงถือเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจเดือดร้อนเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องมาจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง การจะแก้ไข บรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับนั้นต้องมีคำบังคับของศาลปกครองตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (1) พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 โดยสั่งให้เพิกถอนมติของ กสทช.ดังกล่าว มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงเป็นผู้มีสิทธิ์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองตามมาตรา 49 วรรค 1 แห่งกฎหมายเดียวกัน

ส่วนระยะเวลาการฟ้องคดี แม้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคนำคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 66 จะเป็นการยื่นฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา 49 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 ที่ศาลปกครองไม่อาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาพิพากษาได้ แต่ บริการโทรคมนาคมเป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณคลื่นความถี่ที่มีจำนวนจำกัด อีกทั้งการลงทุนในการประกอบกิจการต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ตลาดหรืออุตสาหกรรมโทรคมนาคมจึงมีผู้ประกอบการจำนวนน้อยรายจึงทำให้มีลักษณะเป็นการกึ่งผูกขาดโดยธรรมชาติ การที่ผู้ประกอบการในกิจการโทรคมนาคมจะควบรวมธุรกิจกันหรือไม่ จึงกระทบต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม มีผลทำให้ผู้ใช้บริการได้รับผลกระทบในวงกว้างจึงถือได้ว่าการฟ้องคดีนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์อันเกิดแก่การจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง กรณีจึงเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมตามมาตรา 3 แห่งกฎหมายเดียวกัน 

ศาลปกครองจึงมีอำนาจรับคำฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาได้ตามมาตรา 42 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาพิพากษาตามรูปคดีต่อไป

‘แบมแบม’ ลั่น!! ภูมิใจที่ได้เกิดเป็น ‘คนไทย’ แม้ใครจะดูถูกยังไง ก็ไม่แคร์ เพราะประเทศเรามีดี

(30 ต.ค. 66) จากเฟซบุ๊ก ‘Jo Montanee’ โดยคุณโจ มณฑานี ตันติสุข นักเขียนและวิทยากรการเงิน ได้โพสต์คลิปช่วงหนึ่งในคอนเสิร์ต 2023-2024 BamBam THE 1ST WORLD TOUR [AREA 52] in BANGKOK ของไอดอลหนุ่มชื่อดังอย่าง ‘แบมแบม’ ที่ได้เปิดใจว่าตนนั้นรักชาติ และภูมิใจแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นคนไทย โดยระบุว่า ‘ประเทศไทยเป็นบ้านเกิดผมครับ…ไม่มีสักวันที่ผมไม่รู้สึกภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย และถึงแม้เวลาไปต่างประเทศอาจจะมีการดูถูกกันบ้าง แต่ผมก็ไม่สนใจ เพราะประเทศไทยเรามีของดี และเป็นประเทศที่สวยงาม ที่เต็มไปด้วยความสุข และรอยยิ้ม เพราะฉะนั้นผมว่าโอเคนะครับ…’

ซึ่ง ‘คุณโจ’ ได้เขียนแคปชัน โดยระบุว่า “ดูแล้วน้ำตาซึม ตื้นตัน และภาคภูมิใจแทนคุณพ่อคุณแม่ที่สอน ‘แบมแบม’ มาดีเหลือเกินลูกน้องใช้โอกาสวันคอนเสิร์ต Solo ของตัวเองประกาศกลางเวทีอย่างสุดสตรองว่ารักและภาคภูมิในชาติ เชิดชูว่าชาติไทยเรามีดี ใครจะดูถูกอย่างไร น้องไม่แคร์

นี่คือคนรุ่นใหม่ที่สมกับเป็น #พลังแผ่นดิน จริง ๆ ให้คนรุ่นเก่าอย่างเราฝากฝังประเทศชาติไว้ได้แบบนอนตายตาหลับเลยค่ะ ภูมิใจแทนครอบครัวน้อง #แบมแบม ภูมิใจแทน #อากาเซ่ ที่เลือกรักคนถูกจริง ๆ

ไม่ว่าอาชีพการงานของน้องจะเติบโตไปมากแค่ไหน ป้าโจขออวยพรให้แบมแบม รักษาคุณงามความดีนี้ไว้นะลูก

และป้าขอให้หนูมีแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป สุขภาพแข็งแรงยืนยาว ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ มีแต่คนรักใคร่ทั้งโลก ได้พบเจอผู้คนที่ดี คอยโอบอุ้มช่วยเหลือตลอดอายุขัย และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองแผ่นดินไทย ปกปักรักษาหนูให้รอดพ้นคนพาลและภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด

UPDATE จากการอ่านคอมเมนต์นะคะ

หลายคนชมเชยว่าน้องน่ารักมาก พี่โจขอเพิ่มค่ะว่า น้องแบมแบมไม่ใช่แค่น่ารัก แต่น้องกล้าหาญด้วยค่ะ #ความกล้าหาญคือคุณสมบัติของยอดคน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top