Wednesday, 7 May 2025
TheStatesTimes

‘มานพ อัศวเทพ’ นักแสดงรุ่นเก๋า เสียชีวิตลงแล้ว ในวัย 86 ปี

(28 ต.ค.66) เพจ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ได้โพสต์ข้อความ “ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ด้วยการจากไปของ ‘อามานพ อัศวเทพ’ รายละเอียดผมจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะครับ”

ล่าสุดเพจ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ได้โพสต์ข้อความระบุอีกว่า "แจ้งข่าว​ อามานพ อัศวเทพ วันนี้ เวลา 16:00 น. รดน้ำศพ ที่วัดเจ้าอาม บางขุนนนท์ ตลิ่งชัน ขอเชิญเพื่อนพ้องคนในวงการบันเทิง รดน้ำ ที่วัดโดยพร้อมเพียงกันครับ"

สำหรับ ‘มานพ อัศวเทพ’ มีชื่อจริงคือ วิริยะ จุลมกร ชื่อเล่น ยะ เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2480 (บางแหล่งระบุ พ.ศ. 2477) จบการศึกษาจากโรงเรียนจ่าทหารเรือที่สัตหีบ รับราชการเป็นทหารเรืออยู่ที่กองบัญชาการทหารสูงสุดและเป็นพลขับประจำตัวของจอมพลถนอม กิตติขจร โดยได้รับตำแหน่งยศพันจ่าเอก

ก่อนเข้าสู่วงการโดยบังเอิญในปี พ.ศ. 2505 ด้วยการพบกับ สนาน คราประยูร เจ้าของนครพิงค์ภาพยนตร์ ที่ร้านตัดผม โดยใช้ชื่อในวงการบันเทิงว่า นาวิน เทพโยธี ก่อนที่จะมีผลงานทางจอเงินครั้งแรกในปี พ.ศ. 2506 เรื่อง นางสมิงพราย ประกบกับ มิตร ชัยบัญชา และ ตรึงใจ วลัยลักษณ์ ต่อมาจึงได้รับบทเป็นพระเอกเต็มตัวเรื่องแรกในปี พ.ศ. 2507 คือ พิชิตทรชน คู่กับ อมรา อัศวนนท์ ต่อด้วย เพชรน้ำผึ้ง (2508), สุดแผ่นดิน (2510), หลั่งเลือดแดนสิงห์ (2512) ประกบกับ สมบัติ เมทะนี และ เพชรา เชาวราษฎร์ ขณะนั้นรับงานแสดงได้ไม่เต็มที่เพราะยังรับราชการเป็นทหารเรือไปด้วย 

จนกระทั่งหม่อมปริม ยุคล ณ อยุธยา (บุนนาค) ซึ่งเป็นหม่อมของ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ได้ติดต่อให้เป็นพระเอกภาพยนตร์ของของอัศวินภาพยนตร์เรื่อง ละครเร่ คู่กับ สุทิศา พัฒนุช ร่วมด้วยดาราใหม่ในสมัยนั้น คือ สายัณห์ จันทรวิบูลย์, จารุวรรณ ปัญโญภาส และ กนกวรรณ ด่านอุดม ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลชมเชยกำกับศิลป์ จากงานมหกรรมภาพยนตร์เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 15 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ในปีเดียวกัน จากนั้นเขาได้เปลี่ยนชื่อในวงการเป็น มานพ อัศวเทพ จนถึงปัจจุบัน 

ต่อมาจึงมีผลงานตามมาอย่างต่อเนื่องทั้ง พระรอง และตัวร้าย จนได้รับรางวัลตุ๊กตาทองนักแสดงประกอบชายจากเรื่อง เงาราหู ที่กำกับโดย เปี๊ยก โปสเตอร์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 

ชีวิตส่วนตัว สมรสกับสุนันท์ จุลมกร (กุ้ง) มีบุตรและบุตรีทั้งหมด 3 คน ปัจจุบันเป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อ ปูทอง 

‘กรมประมง’ เล็งลดการปล่อยคาร์บอนฯ ในฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล หารือ 3 องค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อม หวังเปิดทางกุ้งไทยสู่ตลาดสหรัฐฯ-ยุโรป

เมื่อวานนี้ (27 ต.ค. 66) นายถาวร ทันใจ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า เพื่อการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) กรมประมงได้มีการหารือ กับ Dr. Aaron Mcnevin Global Network Lead จากองค์กร World Wildlife Fund (WWF), ดร.ระวี วิริยธรรม ตัวแทนจาก Seafood Task Force (STF), ผู้แทนจาก Gordon and Betty Moore Foundation และนางพิชญา ชัยนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง

ทั้งนี้ องค์กร World Wildlife Fund (WWF) เป็นองค์กรที่ทำงานด้านการอนุรักษ์ด้านทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรน้ำจืด และทรัพยากรทางทะเล เพื่อมุ่งมั่นที่จะปกป้องดูแลรักษาธรรมชาติและทรัพยากรสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการทำงานเพื่อหาทางออกในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม และองค์กร Seafood Task Force (STF) เป็นความร่วมมือกันของบริษัทอาหารทะเลระดับโลกภาครัฐ รวมถึงภาคประชาสังคม ที่ร่วมสนับสนุนการทำประมงโดยใช้เครื่องมือประมงที่ถูกกฎหมาย เพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศจากการจับสัตว์น้ำ และป้องกันทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน ไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing: IUU Fishing) 

ส่วนองค์กร Gordon and Betty Moore Foundation เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีเป้าหมายสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ในการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้ร่วมหารือการใช้นวัตกรรมต่าง ๆ ในระบบการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การสร้างระบบนิเวศที่หมุนเวียนกลับคืนมา ซึ่งกรมประมงมีระบบตรวจสอบย้อนกลับที่น่าเชื่อถือ และครบวงจรตั้งแต่วัตถุดิบ การผลิต การแปรรูป จนถึงมือผู้บริโภค สามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของสัตว์น้ำได้ 

ซึ่งทั้ง 3 องค์กรยินดีให้การสนับสนุนกรมประมงเพื่อร่วมกันลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม (Carbon Credit) ในระบบการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล โดย Gordon and Betty Moore Foundation ยินดีจะช่วยประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมการตลาดสำหรับการผลิตสินค้าที่สามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม (Carbon Credit) และสร้างการรับรู้ จูงใจให้ผู้ซื้อ นำไปสู่การตัดสินใจนำเข้าสินค้ากุ้งของไทยทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือประเทศอื่น ๆ จึงส่งผลให้สินค้าประเภทนี้มีราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าทั่วไป จึงเป็นโอกาสดี และทางเลือกของเกษตรกรที่สนใจ

นอกจากนี้ยังได้มีการหารือวิธีการเลี้ยงสัตว์น้ำที่ช่วยลดปริมาณคาร์บอน เช่น การใช้หอยสองฝาและสาหร่ายช่วยลดปริมาณคาร์บอนในระบบการเลี้ยงซึ่งจะนำไปสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตในอนาคตซึ่งในการหารือในครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งของไทย

'เศรษฐา' เท้าลอย!! 'อุ๊งอิ๊ง' สุกงอม ต่อคิวสอยนายกฯ ขุนพลชกเปิดหน้า!! ในจังหวะ 'พท.-ก้าวไกล' มิตรสะบั้น



และแล้วสภาผู้แทนราษฎร ก็ปิดสมัยประชุมสามัญครั้งที่ 1 ปี 2566 ลงอย่างเป็นทางการวันที่ 31 ต.ค. แต่การประชุมสั่งลานัดสุดท้ายจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา...

ต้องบันทึกไว้สักนิดว่า...นัดสั่งลาที่ว่าพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างเพื่อไทย ได้สำแดงความเก๋าความเขี้ยวทางการเมืองอยู่พอประมาณ...

เรื่องแรก บริหารจัดการเวลาให้ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ไปตอบกระทู้ถามสดด้วยวาจาเป็นผลสำเร็จ ทั้งนี้ด้วยความร่วมไม้ร่วมมือจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างรวมไทยสร้างชาติ และพรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ เป็นอย่างดียิ่ง...

รวมไทยสร้างชาติ ส่ง อัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ มาถามชง...ขณะที่ประชาธิปัตย์ 'เดอะแทน' ชัยชนะ เดชเดโช ที่กำลังคั่วรัฐมนตรีสมัยแรกมาเอง แกล้งแซวนายกฯ ว่า ระวังจะเป็นเบาหวาน เพราะคำถามของ สส.อัครเดช...

แต่ไฮไลต์สำคัญ มันอยู่ตรงที่ว่า ผู้ที่ตั้งกระทู้ถามสดอีกคน คือ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชัยธวัช ตุลาธน ไม่ได้ถามนายกฯ ด้วย เพราะรัฐบาลบอกว่านายกฯ มาไม่ทัน ส่งนายทวี สอดคล้อง มาตอบแทน แต่ 'ชัยธวัช' ไม่ยอมถามด้วย...สุดท้ายก็กินแห้ว เลยต้องโพสต์ออกมาดังๆ ว่า สิ่งที่ตัวเองจะถามนั้นมันคือสิ่งที่ "ประยุทธ์คิด เศรษฐาทำ ไอ้โม่งสั่ง..." ทำเอาโซเชียลร้อนฉ่า...อดิศร เพียงเกษ ประธานวิปเพื่อไทยต้องออกมาโพสต์โต้ทำนองว่า ... (กู) ไม่กลัว (มึง) ... ประมาณนั้น

อีกเรื่องหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยดันจนผ่านฯ ทั้งๆ ที่พรรคก้าวไกลไม่ค่อยเต็มใจนัก เพราะสภาฯ ชุดที่แล้วได้ศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ญัตติด่วนตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบริการบันเทิงแบบครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) เพื่อแก้ปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมายฯ...ที่ประชุมลงมติผ่าน ตั้ง 60 กมธ.วิสามัญ เรียบร้อยโรงเรียนเพื่อไทย...

ดูเหมือนว่าสัมพันธภาพระหว่างพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกล เริ่มแยกห่างออกไปเรื่อยๆ...สมัยประชุมหน้าตั้งแต่กลาง เดือน ธ.ค. เป็นต้นไป รับประกันซ่อมฟรีว่าต้องปะฉะดะกันมันหยด...และก็เป็นจังหวะที่พอเหมาะพอดีที่พรรคเพื่อไทยได้คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่

แม้หัวหน้าพรรคคนใหม่ แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายห้างไม่ได้อยู่ในสภาฯ ด้วย แต่กรรมการบริหารพรรคส่วนใหญ่ก็นั่งอยู่ในสภา คงจะต้องโชว์ฟอร์มโชว์หน้าโชว์ตา ออกมาประกาศตัวตนความเป็นคนการเมืองรุ่นใหม่...ไม่ใช่ปล่อยให้ สส.เด็กพรรคก้าวไกลโหวกเหวกโวยวายยึดสภาอยู่พรรคเดียวอย่างที่ผ่านมา...

สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคคนใหม่, ดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรค, จิราพร สินธุไพร รองหัวหน้าพรรค, ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รองเลขาธิการพรรค และ ฯลฯ...ถึงเวลาต้องจูงมือดาวรุ่งดวงใหม่ออกมาพูดจาแสดงกึ๋นแสดงตัวตนให้ประชาชนชื่นชมกันได้แล้ว...

ส่วน 'อุ๊งอิ๊ง' ก็ต้องบำเพ็ญเพียรโชว์กึ๋นและวุฒิภาวะ โดยเฉพาะฝีมือให้เห็นกันจะ-จะ โดยเฉพาะงานช้างงานใหญ่ที่รัฐบาลมอบหมายให้คือ...ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ...

สองตำแหน่งนี้ถ้าไปได้ถูกทาง เห็นแววสำเร็จ ปีหน้าปรับ ครม.ก็เข้าไปเป็นรัฐมนตรี...เพื่อลุ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจาก เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ สูงยาวถุงเท้าแดงแต่ขาลอย...'อุ๊งอิ๊ง' สุกงอมวันไหนก็วันนั้น...คุณพ่อแม้วซึ่งถึงวันนั้นก็คงออกมาจ้ออยู่นอกคุกแล้วก็คงส่งลูกสาวถึงฝั่งฝัน...นายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ภายในสภาฯ ชุดนี้

แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่เหตุปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย...โดยเฉพาะผลงานและของพรรคเพื่อไทย ถ้าทำเพียงเพื่อให้ทักษิณพ้นโทษ ลูกสาวนายห้างได้เป็นนายกฯ 'วิน' อยู่สองคน...เห็นท่าจะลำบากครับ!!

‘จีน’ เดินหน้าขุด ‘หลุมยักษ์’ ลึกกว่า 10,000 เมตร ในซินเจียง หลังตั้งเป้ามุ่งสำรวจ ‘ใต้โลก’ ล่าสุดขุดได้ถึง 8,000 เมตรแล้ว

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า วันพฤหัสบดี (26 ต.ค.) บ่อน้ำมันทาริม สังกัดบริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน (CNPC) ผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ที่สุดของจีน เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดในการขุดเจาะหลุมลึกสำหรับการสำรวจทางวิทยาศาสตร์แห่งแรกของจีน ที่จะมีความลึกกว่า 10,000 เมตร บริเวณแอ่งทาริม เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

หวังชุนเซิง ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่มีส่วนร่วมในการสำรวจ ระบุว่า ปัจจุบันงานขุดเจาะได้ขุดลึกลงไปถึงระดับ 8,000 เมตรแล้ว โดยอยู่ที่ความลึก 8,056 เมตร ซึ่งหลังจากผ่านระดับ 8,000 เมตรไปแล้ว เครื่องจักรจะต้องเผชิญสารพัดความท้าทาย อาทิ อุณหภูมิที่มากกว่า 155 องศาเซลเซียส และความดันที่มากกว่าความดันบรรยากาศ 1,100 เท่า

อนึ่ง หลุมเจาะนี้มีความลึกออกแบบ 11,100 เมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลของทากลิมากัน ทะเลทรายขนาดใหญ่ที่สุดของจีน

รายงานระบุว่า ชุดอุปกรณ์ อาทิ หัวเจาะและท่อเจาะ ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่า 2,000 ตัน จะทำการเจาะลึกลงไปในพื้นโลกจนทะลุผ่านชั้นหินภาคพื้นทวีปมากกว่า 10 ชั้น อาทิ ชั้นหินครีเทเชียส ในระหว่างกระบวนการขุดเจาะ

ทั้งนี้ แอ่งทาริมจัดเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ยากที่สุดสำหรับการสำรวจเนื่องจากสภาพแวดล้อมพื้นดินอันทุรกันดารและสภาพแวดล้อมใต้ดินที่ซับซ้อน

อุตสาหกรรมการบิน ‘อิหร่าน’ ก้าวหน้า แม้ถูกคว่ำบาตร สามารถซ่อมบำรุงเครื่องบินได้เอง โดยผู้เชี่ยวชาญในประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้อำนวยการองค์การการบินพลเรือนแห่งอิหร่าน เปิดเผยว่า แม้จะมีการคว่ำบาตร แต่อุตสาหกรรมการบินของประเทศก็มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากและการซ่อมบำรุงเครื่องบินที่มีอยู่ก็สามารถดำเนินการต่อไปได้โดยผู้เชี่ยวชาญในประเทศ ปัจจุบันไม่มีการส่งเครื่องบินของอิหร่านไปซ่อมในต่างประเทศ การดำเนินการที่เรียกว่า กระบวนการซ่อมแซมชิ้นส่วนของเครื่องบินที่ต้องซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ เพื่อฟื้นฟูสภาพสำหรับการบินในช่วงสองปีที่ผ่านมา 

เครื่องยนต์เครื่องบิน 31 เครื่องได้รับการซ่อมแซมโดยบริษัทดาเนชบุนยอน โดยวิศวกรอากาศยานผู้เชี่ยวชาญชาวอิหร่าน จนเครื่องบินแบบ ATR จำนวน 3 ลำ และเครื่องบิน A 319 จำนวน 1 ลำ สามารถกลับคืนสู่วงจรการบินปฏิบัติงานได้แล้ว

Mohammad Mohammadi Bakhsh ผู้อำนวยการองค์การการบินพลเรือนแห่งอิหร่าน

โดยเฉลี่ยแล้วการซ่อมเครื่องยนต์เครื่องบินในอิหร่านจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน ในขณะที่การส่งเครื่องยนต์ไปซ่อมในต่างประเทศจะใช้เวลามากกว่าสองเดือน ตามที่ผู้อำนวยการองค์การการบินพลเรือนแห่งอิหร่านระบุว่า 

ในช่วง 20 เดือนที่ผ่าน มีการนำเข้าเครื่องบิน 60 ลำ เข้ามาในประเทศ จนถึงขณะนี้มีการใช้งานไปแล้ว 30 ลำ เน้นว่า ไม่ว่าจะมีการคว่ำบาตรอย่างไรก็ตาม เราต้องพอเพียงและสร้างศักยภาพความสามารถให้กับตนเอง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้กับอุตสาหกรรมการบินของอิหร่าน วันนี้เรายืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง และสำหรับประเทศที่เป็นมิตรบางประเทศที่เราได้ซ่อมเครื่องบินของพวกเขาในประเทศของเราเองหรือแม้แต่เป็นประเทศที่ใหญ่ๆก็ตาม จึงทำให้เรามีความหวัง ผู้อำนวยการองค์การการบินพลเรือนแห่งอิหร่านยังชี้ให้เห็นว่า ก่อนหน้านี้เราประสบปัญหาร้ายแรงในด้านน้ำมันหล่อลื่นหรือน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องบิน บริษัทที่มีชื่อเสียงของโลกไม่ยอมขายน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องบินให้กับอิหร่าน แต่ด้วยความร่วมมือของบริษัทดาเนชบุนยอน ในช่วงเวลาอันสั้นเราไม่เพียงแต่เป็นผู้จัดหาสำหรับความต้องการของเราเพียงเท่านั้น แต่เรากลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องบินอีกด้วย

ไทยสมายล์ กรุ๊ป ร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมบลูเทคซิตี้และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน ผุดไอเดีย “สถานีตรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อมมีชีวิต” แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสังคม Low Carbon

วันนี้ (28 ต.ค2566) ที่ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลนนิคมอุสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ นำคณะผู้บริหาเจ้าหน้าทีพนักงานไทยสมายล์ กรุ๊ปและบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกิจกรรมโครงการ ปลูกต้นไม้ป่าชายเลน

จากการต่อยอด ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลนเมื่อปี 2565 สู่การเป็นสถานีตรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อมมีชีวิต ในปี 2566 เป็นตัวชี้วัดที่ชาวบ้านสามารถพิสูจน์ด้วยตาเปล่าและจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม สุขภาพและการศึกษานวัตกรรมเทคโนโลยี 

กลิ่นไอความเจริญ เกิดขึ้นแล้ว ณ ฉะเชิงเทรา ในพื้นที่ตะวันออก EEC เมื่อกลุ่มไทยสมายล์ กรุ๊ป ผู้นำรถขนส่งสาธารณะ Low Carbon ร่วมกับ บลูเทคซิตี้ ฉะเชิงเทรา และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)ผู้นำนวัตกรรมพลังงานบริสุทธิ์ ได้นำพนักงานร่วมกับชาวบ้านบางปะกงกว่า 100 ชีวิต สานพลังบริสุทธิ์ช่วยกันปลูกป่าชายเลน เช่น ต้นถั่วขาวทะเล ต้นฝาดดอกขาว-แดง รวมจำนวน 1,000 ต้น เทียบเท่าการกักเก็บคาร์บอนได้ 100 ตัน ใน 10 ปี และใช้เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยเยาว์ สร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่โลก

รวมทั้ง การผุดไอเดียพัฒนา“สถานีตรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อมมีชีวิต” โดยมีแนวคิดจัดทำโครงการบ้านปลาธนาคารปู ที่เบื้องต้น ได้ทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ฉะเชิงเทราศึกษาวิจัยเพาะพันธุ์ลูกปูทะเล ที่มีเป้าหมายจะปล่อยลูกปูคืนสู่ธรรมชาติปีละ 1,000,000 ตัว โดยวางแผนปรับปัจจัยแวดล้อมให้ลูกปูสามารถเติบโตเต็มวัย จนประชาชนสามารถจับขายได้ ซึ่งมีราคาโดยเฉลี่ยตัวละ 100 บาท คิดเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น ได้ไม่น้อยกว่าปีละ 100 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดการประเมิน สถานีตรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อมมีชีวิตได้อย่างดี ที่มีทั้งดินดี น้ำดี มีคุณภาพชีวิตดี มีงาน มีอาชีพ มีรายได้ ส่งผลให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างมีความสุขได้อย่างยั่งยืน

จับตา 'ตัวเต็ง' ศึกชิงตัวแทนเกษตรภาคใต้ เปิดตัวเต็งจ่อเข้าวิน 4 คน นั่งบอร์ดกองทุนฟื้นฟูฯ

เหลือเวลาอีกเพียงสิบกว่าวันก็จะถึงวันที่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร จะต้องออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งตัวแทนเกษตรในกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อเข้าไปทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร และการพัฒนา-ฟื้นฟูอาชีพ จะได้นำเงินรายได้มาชดใช้หนี้สิน

เกษตรกรสมาชิกที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวนประมาณ 5.2 ล้านคน (ตัวเลขกลมๆ) ในโอกาสนี้จึงอยากขอเชิญชวนให้เกษตรกรสมาชิกทุกท่านออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรในวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2566 นี้ เพื่อจะได้มีผู้แทนของเกษตรกรทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้พี่น้องเกษตรกร ร่วมเสนอความคิดเห็น นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาของเกษตรกรทั้งด้านหนี้สิน การพัฒนาและฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรให้ตรงกับความต้องการของเกษตรกร รวมถึงมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรในด้านต่างๆ ด้วย

ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีเกษตรกรสมัครเป็นตัวแทนเกษตรทั้งหมด 127 คน จากทุกภาค และต้องคัดเหลือแค่ 20 คน เข้าไปเป็นตัวแทนในบอร์ดกองทุนฟื้นฟู โดยภาคเหนือมีผู้สมัคร 28 คน ต้องคัดให้เหลือ 5 คน ภาคกลางมีผู้สมัคร 19 คน คัดให้เหลือ 4 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้สมัคร 57 คน คัดให้เหลือ 7 คน ภาคใต้มีผู้สมัคร 23 คน คัดให้เหลือแค่ 4 คน และในจำนวนตัวแทนเกษตรกร 20 คน จะคัดส่วนหนึ่งไปเป็นบอร์ดบริหาร

กล่าวสำหรับภาคใต้ มีผู้สมัคร 23 คน มีทั้งคนเก่า และคนใหม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง และคัดให้เหลือแค่ 4 คน กล่าวโดยรวมผู้สมัครที่เป็นตัวแทนเกษตรกรคนเก่า ยังมีโอกาสมากกว่าคนอื่น เพราะมีชื่อเป็นที่ปรากฏ มีผลงานมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ซึ่งภาคใต้มีตัวแทนเกษตรกรคนเก่าลงสมัครมากถึง 8 คน คะแนนก็จะกระจุกตัวอยู่ใน 8 คนนี้เป็นหลัก

จากการติดตามกระแสการเลือกตั้ง เกษตรกรสมาชิกส่วนใหญ่เกิน 70% ยังไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งตัวแทนเกษตรในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ และจะไปลงคะแนนที่ไหน อาจจะกล่าวได้ว่าสำนักงานกองทุน กฟก.ยังด้อยเรื่องการประชาสัมพันธ์ เชิญชวนเกษตรกรสมาชิกออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือแม้แต่สำนักงานกองทุนในแต่ละจังหวัด ก็ยังขาดการประชาสัมพันธ์ ทำไมเหมือนการเลือกตั้ง สส. มีทั้งรถแห่ มีแจกใบปลิว มีการส่งหนังสือถึงผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน หรือแม้กระทั่งการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อกระแสหลัก วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ถ้าเป็นสื่อโซเชียลก็จะเป็นเว็บไซต์ เว็บเพจ ทวิตเตอร์ ยูทูบ เป็นต้น

ในภาคใต้ ผู้ที่มีโอกาสได้รับเลือก มีอยู่ 6-7 คน และทั้งหมดเป็นคนเก่า อย่างใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถือว่า 'รุสดี บินหะยีสะมาแอ' น่าจะเป็นตัวเต็ง เป็นอดีต สว.และตัวแทนเกษตรกรมาแล้ว 2 สมัย จึงต้องหยุดตามกฎหมายกำหนด และส่งสมบูรณ์ จิตรเพ็ญ ลงสมัครแทน และได้รับการเลือกตั้งด้วย ภายใต้การขับเคลื่อนของรุสดี แต่คราวนี้การเจรจาไม่ลงตัว สองคนจึงลงแข่งกันเอง แต่รุสดียังมีความเหนือกว่า ทั้งในแง่ของผลงาน และชื่อเสียง ประสบการณ์

พจมาน สุขอำไพจิตร ผู้สมัครจากชุมพร เป็นตัวแทนกรรมกรในสมัยที่ผ่านมา และเป็นผู้หญิงคนเดียว จึงยังน่าจะได้รับคะแนนสงสาร เห็นใจอยู่ไม่น้อย การจัดการคะแนนก็เป็นระบบ เพียงแต่มีข้อด้อยตรงที่ผลงานไม่เด่นชัดนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกษตรกรสมาชิกอ้างได้ว่า "เราให้โอกาสคุณแล้ว" อาจจะถึงเวลาเปลี่ยนก็เป็นได้

ละม้าย เสนขวัญแก้ว ผู้สมัครจากนครศรีธรรมราช เคยเป็นตัวแทนสมัยที่ผ่านมา แต่ถูก คสช.ใช้ ม.44 ปลด และแต่งตั้งคนใหม่มาแทน แต่ละม้ายเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่ลงสมัคร เข้าใจปัญหา และวิธีการในการแก้ไขปัญหาดีคนหนึ่ง ชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เคยเป็น สจ.หัวไทรหลายสมัย เคยเป็นประธานสภาฯ อบจ.นครศรีธรรมราช และเคยเป็นรองนายกฯอบจ.นครศรีธรรมราช และอีกหลายๆ ตำแหน่งที่สะท้อนประสบการณ์

สุภาพ คชบูด อดีตตัวแทนเกษตร มาลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัย ผลงานเป็นที่ปรากฏไม่น้อย เครือข่ายมีมาก การจัดการเป็นระบบ แต่ต้องเร่งมือในการแก้ข่าว กับการถูกโจมตี ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คู่ต่อสู้ต้องชกแชมป์ ไม่แตกต่างจาก 'ดรณ์ พุมมาลี' ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนเกษตรกรในสมัยที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นคนหนุ่มที่ขยับลงพื้นที่ช่วยเหลือเกษตรกรที่ร้องขอให้ช่วยเหลือ เขาเดินทางไปพบเกษตรกรไม่น้อย เดินทางอยู่ในพัทลุง, ตรัง, สงขลา, นครศรีธรรมราช ก็น่าจะได้รับแรงใจจากเกษตรกรสมาชิกไม่น้อย แต่ต้องก้าวให้ผ่านการถูกโจมตีให้ได้ เอาผลงานมาแจกแจงให้ชัดในช่วงโค้งสุดท้ายนี้

วีระพงศ์ สกล อดีตตัวแทนเกษตรกรเช่นกัน คราวที่แล้วต้องพัก เพราะเป็นมาแล้วสองสมัย เปิดทางให้ละม้าย เสนขวัญแก้ว มาลงแทน ในแวดวงเกษตร วีระพงศ์เป็นที่รู้จักกัน มีเครือข่ายเชื่อมโยง และเคยมีผลงานในการจัดการหนี้ให้เกษตรกรหลายราย วงเงินนับ 100 ล้าน แต่วีระพงศ์ กับละม้าย กลับต้องมาลงแข่งกันเอง และแบ่งคะแนนกันของคนนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซนลุ่มน้ำปากพนัง แต่ถ้าเปรียบเทียบกัน ละม้ายน่าจะมีระบบคิดที่เหนือกว่า ถ้าสองคนนี้ได้คุยกัน และลงสมัครเพียงคนเดียว จะได้คะแนนจากคนลุ่มน้ำไม่น้อย และน่าจะได้รับเลือกเป็นแน่แท้ แต่เมื่อมาแข่งมาแย่งคะแนนกันเอง ก็ต้องไปวัดดวงกันจากคะแนนโซนอื่นๆ

ที่กล่าวมาทั้งหมดเพียงอยากกระตุ้นเตือนให้เกษตรกรสมาชิก กฟก.ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ ส่วนผู้สมัครคนอื่นที่ไม่ได้กล่าวถึง บอกตามตรงว่า "ไม่มีข้อมูลมากพอ"

ใครจะได้รับเลือกตั้งก็ตามขอให้มีความสุขกับการช่วยเหลือเกษตรกร แก้ปัญหาหนี้ และฟื้นฟูอาชีพให้เกษตรกรในช่วงที่รับหน้าที่อยู่ และมุ่งมั่น ตั้งใจ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้พ้นจากบ่วงที่ผูกรัดมัดคอมายาวนาน

‘เบนซ์ เรซซิ่ง’ เปิดใจ 4 ปีในเรือนจำกับสิ่งที่ 'สังคม-คนทั่วไป' ยังไม่รู้ ยัน!! ไม่เคยรู้จัก 'ไซซะนะ' และถูกจับเพราะเอี่ยว 'เส้นทางการเงิน'

เมื่อวานนี้ (27 ต.ค.66) จากช่องยูทูบ Nickynachat ซึ่งเป็นช่องของ ‘นิกกี้ ณฉัตร จันทพันธ์’ ล่าสุดได้เชิญ ‘เบนซ์ เรซซิ่ง’ มาเปิดใจและเล่าถึงชีวิต ‘4 ปีในเรือนจำกับเรื่องที่ไม่กล้าพูดที่ไหนมาก่อน’ โดยช่วงหนึ่งของรายการ ‘เบนซ์ เรซซิ่ง’ ได้ระบุว่า..

ผมรู้จัก ‘ไซซะนะ’ เจ้าพ่อยาเสพติดชาวลาวจากข่าว…ซึ่งผมก็นั่งดูข่าว ก็คิดว่าใครคือ ไซซะนะ แต่คนก็ดันคิดไปแล้วว่าเบนซ์กับไซซะนะเป็นเครือข่ายเดียวกัน เวลาไปไหนมาไหน เจอใครก็แล้วแต่ หรือเวลาขับรถเข้าด่านตรวจ ก็จะเกิดเหตุการณ์ที่ อ๋อ…นี่ไง เบนซ์ ไซซะนะ 

หากถามว่าเจ็บไหม? คือ มันเหนื่อยที่จะอธิบายแล้ว และการที่มาพูดวันนี้ คนอาจจะคิดว่ามาแก้ตัวหรือเปล่า? คือมันพูดไปแล้วก็ไม่ได้อะไร และจริงๆ อยากจะบอกว่า สิ่งที่สื่อเขานําเสนอไปมันไม่ใช่ความจริงเลย

โดยสื่อได้เสนอออกไปประมาณว่า ไซซานะเชื่อมโยงรถหรูลัมโบร์กีนี และฟอกเงินอะไรแบบนี้…แต่ในเอกสารคดีของผม 4-5 พันแผ่น ที่มีการอ่านครบทุกแผ่น ปรากฏว่าเอกสารทั้งหมดนี้ไม่มีรายชื่อ ‘ไซซะนะ แก้วพิมพา’ เลย ซึ่งอันนี้เราไม่ได้โทษสื่อนะ ว่าเขามาออกข่าวแกล้งเราหรือเปล่า อาจจะเป็นการที่เขาได้ข้อมูลมาแบบนั้น 

เพราะเรื่องส่วนตัวที่มีความเชื่อมโยงกับผม คือ ‘นายบอย นาคคำ’ ซึ่งเป็นเครือข่ายของไซซะนะ โดยได้มีการเอาลัมโบร์กีนีมาฝากไว้กับบอย เผื่อเวลาเขามาเที่ยวเมืองไทยก็เอาไปรับเขา แต่ในความเป็นจริงคือผมก็ขายรถคันเก่ามา แล้วก็ไปดาวน์ แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับไซซะนะที่เอารถมาฝาก

ส่วนคดีที่โดนจับ จริงๆ นั้น แม้ต้นเรื่องที่ทุกคนเขาฟังจะเรื่องยาเสพติด เช่น มันต้องเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีการซื้อขายยาเป็นเครือข่ายข้ามชาติอะไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเลยถ้าจะให้มาสรุป มันเป็นแค่ ‘เส้นทางการเงิน’ 

ต้องบอกว่าตั้งแต่เริ่มต้นคดีนี้ ผมไม่เคยถูกจับ และถูกจับคืออะไร…ออกข่าวแล้วตำรวจมารอรวบใส่กุญแจมือ ซึ่งผมไม่เคยถูกจับแบบนี้ ตํารวจไปที่บ้านจริง แต่ไปเพื่อตรวจค้นหาพยานหลักฐาน และผมก็ติดต่อไปว่าเดี๋ยวจะเข้าไปให้การ จากนั้นเราก็เข้าไปให้ข้อมูลกับเขา แล้วเขาก็ปล่อยให้เรากลับบ้าน ซึ่งเราก็ให้ความร่วมมืออย่างดีมาตลอด 

แต่จุดที่มันเชื่อมต่อกันจริงๆ มันเป็นแค่เรื่องเส้นทางการเงินจากคนที่มาซื้อขายรถกับเรา แล้วเขาไปโดนจับเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้นเลยกลายเป็นว่าเงินที่โอนมาเป็นเงินค่ายาเสพติด

ซึ่งผมถามหน่อยว่า เวลามีลูกค้าที่แต่งตัวเต็ม ทรงใส่ทอง ซึ่งดูก็รู้ว่าทรงเอแน่ และอยากจะได้รถสักคันหนึ่ง แล้วผมจะถามว่า เอ่อ…คุณพี่ครับ คุณพี่ทํางานอะไร? ถ้าเกิดว่าทํายาเสพติดผิดกฎหมาย ผมไม่ขายให้นะ ... เรากล้าถามเขาไหม? แล้วเขาจะมาบอกเราไหม? ดังนั้น แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไง…

เมื่อถามว่าได้ชี้แจงแบบนี้ไหม? ผมชี้แจงตั้งแต่ยังไม่ได้ถูกจับอะไรเลย เอกสารผมมีทุกอย่าง ความรู้สึกตอนนั้นมันงงไปหมดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น? เพราะไม่เคยมีคดีความอะไรสักอย่าง ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนทางกฎหมายเลยว่าเราจะต้องสู้คดี และอัยการคืออะไร ซึ่งเคยได้ยินแต่ก็ไม่เคยรู้จักเลยว่าเขาทําหน้าที่อะไร ส่วนในคดีของผม เขาแจ้งเป็น 2 ฐานความผิด คือเรียกว่า 1 คดี แต่ทําผิด 2 มูลฐาน

...ซึ่งในข่าวตอนนี้ อาจจะพูดไปทํานองว่า ‘สมคบยาเสพติด’ หากถามว่าคืออะไร…ถ้าตามมาตรากฎหมาย คือ สมคบกันกระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ก็คือว่าแบ่งหน้าที่กัน เช่น นิกกี้ไปเปิดบ้านเก็บงานนะ เดี๋ยวผมให้ลูกน้องไปรับงานจากข้างบน แล้วเดี๋ยวน้องคนนี้เปิดบัญชีรอรับ ซึ่งนี่คือ การสมคบกัน โดยไม่จําเป็นต้องรู้จักกัน และกฎหมายตัวนี้มันทํามาเพื่อครอบคลุม

เมื่อก่อนจะไม่มีกฎหมายตัวนี้ การที่จะไปจับนายทุนยาเสพติด มันจับเขาไม่ได้ เพราะมันไม่มียา เพราะว่าพอมาจับปุ๊บ แล้วเขาบอกไม่มียา จะมาจับผมเรื่องอะไรอีก 

แถมยังมีศัพท์ ‘นักบิน’ ที่ฟังดูเหมือนเป็นอาชีพที่ดีนะ แต่นักบินในที่นี้จะเรียกคนที่ ‘ลำเลียงยาเสพติด’ เขาจะว่าเรียกนักบินกัน สมมติไปรับงานจากภาคเหนือ ในขั้นตอนในการลําเลียงก็จะแบ่งเป็นพาหนะสัก 3 คัน ไว้ทําอะไรบ้างรู้ไหม … คันแรกดูต้นทาง ก็ขับเซอร์เวย์ไปเลย วิ่งทิ้งระยะไปเลย กี่กิโลๆ ว่ามีด่านหรือไม่มีด่าน แล้วทุกคนจะเสียบหูฟังพร้อมสแตนด์บาย…

ก็เรียกว่าเป็นอีกความในใจของ เบนซ์ เรซซิ่ง ที่วันนี้ได้ออกมาเผยแบบหมดเปลือก ซึ่งคนดูคนฟังก็คงต้องลองใช้วิจารณญาณในการพิจารณาตัดสินกันตามความเหมาะสม

‘จนท.’ เปิดผลชันสูตรศพ ‘ดอมหมูป่า’ หลังเสียชีวิตที่อังกฤษ ชี้ เป็นการฆ่าตัวตาย ส่วนมูลเหตุที่ทำเช่นนี้ยังไม่มีข้อสรุป

(28 ต.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศ BBC เผยผลการไต่สวนกรณีเสียชีวิตของ ‘น้องดอม’ กัปตันทีมฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี่ เจ้าหน้าที่บันทึกข้อสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย

จากกรณี ดวงเพชร พรหมเทพ หรือ น้องดอม กัปตันทีมฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี่ วัย 17 ปี เสียชีวิตปริศนาที่เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ล่าสุด วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2566 สำนักข่าวต่างประเทศ BBC รายงานผลการไต่สวนคดี การเสียชีวิตของน้องดอมโดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสได้บันทึกข้อสรุปว่าเสียชีวิตเพราะการฆ่าตัวตาย

อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครทราบสาเหตุว่าทำไมเขาจึงกระทำการเช่นนั้น แต่การสอบสวนของตำรวจไม่พบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ 3 หรือสถานการณ์ที่น่าสงสัย

ก่อนหน้านี้ น้องดอมมีชื่อเสียงในฐานะกัปตันทีมฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี่ และเพื่อนร่วมทีมติดอยู่ในถ้ำหลวง และเหตุการณ์นี้ถูกนำเสนอไปทั่วโลก

หลังจากนั้นน้องดอมได้รับทุนฝึกฟุตบอลที่ Brooke House College Football Academy เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ จนกระทั่งวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 น้องดอมถูกพบหมดสติที่วิทยาลัยบรู๊คเฮาส์ มาร์เก็ตฮาร์โรห์ เมืองเลสเตอร์เชียร์ จากนั้นอีก 2 วันต่อมา เขาเสียชีวิตที่โรงพยาบาล Kettering General

30 ตุลาคม พ.ศ. 2370 วันสถาปนา ‘คุณหญิงโม’ ขึ้นเป็น ‘ท้าวสุรนารี’ ตำนานหญิงกล้าศูนย์รวมจิตใจของชาวโคราช

วันนี้ เมื่อ 196 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนา ‘คุณหญิงโม’ ขึ้นเป็น ‘ท้าวสุรนารี’ พร้อมกับพระราชทานเครื่องยศ จากวีรกรรมอันกล้าหาญที่ต่อสู้กับทหารเจ้าอนุวงศ์ จากลาว จนแตกพ่าย

ท้าวสุรนารี มีนามเดิมว่า ‘โม’ (แปลว่า ใหญ่มาก) หรือ ท้าวมะโหโรง เป็นชาวเมืองนครราชสีมาโดยกำเนิด เกิดเมื่อปีระกา พ.ศ. 2314 มีนิวาสถานอยู่ ณ บ้านตรงกันข้ามกับวัดพระนารายณ์มหาราช (วัดกลางนคร) ทางทิศใต้ของเมืองนครราชสีมา เป็นธิดาของนายกิ่มและนางบุญมา 

เมื่อปี พ.ศ. 2339 โม เมื่ออายุได้ 25 ปี ได้แต่งงานกับนายทองคำขาว พนักงานกรมการเมืองนครราชสีมา ต่อมานายทองคำขาว ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น ‘พระภักดีสุริยเดช’ ตำแหน่งรองปลัดเมืองนครราชสีมา นางโม จึงได้เป็น คุณนายโม และต่อมา ‘พระภักดีสุริยเดช’ ได้เลื่อนเป็น ‘พระยาสุริยเดช’ ตำแหน่งปลัดเมืองนครราชสีมา คุณนายโมจึงได้เป็น คุณหญิงโม ชาวเมืองนครราชสีมาเรียกท่านทั้งสองเป็นสามัญว่า ‘คุณหญิงโม’ และ ‘พระยาปลัดทองคำ’

ในปี พ.ศ. 2369 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ (วีระกษัตริย์ของชาวลาว) บุตรเจ้าศิริบุญสาร ผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต ล้านช้างและเวียงจันทน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองประเทศราชของกรุงสยาม ต้องการเป็นเอกราชจากสยาม จึงประพฤติเป็นกบฏยกทัพหมายจะเข้าตีกรุงเทพมหานคร นำชาวลาวที่มาอยู่ในแผ่นดินสยามกลับมาตุภูมิ เจ้าอนุวงศ์ใช้อุบายลวงเจ้าเมืองตามรายทาง โดยปลอมท้องตราพระราชสีห์ว่า สยามขอให้เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาช่วยรบกับอังกฤษ (ขณะนั้นมีข่าวลือหนาหูว่า สยามจะมีศึกกับอังกฤษ) ซึ่งยกทัพเรือจะมาตีกรุงเทพ ๆ จึงไม่มีผู้ใดขัดขวาง

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาถึงเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านสยามและ มีความอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่เจ้าพระยามหานครราชสีมา ไม่อยู่ และพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาไปราชการเมืองขุขันธ์ กองทัพเจ้าอนุวงศ์มาถึง จึงเข้ายึดเมือง ยึดทรัพย์สินและให้เพี้ยรามพิชัย หรือพระยารามพิชัย กวาดต้อนชาวเมืองไปเป็นเชลยศึก เดินทางกลับไปเวียงจันทน์

ส่วนทัพเจ้าอนุวงศ์เดินทัพต่อไปยังสระบุรีเพื่อเข้ากรุงเทพฯ ในบรรดาเชลยศึกที่ถูกกวาดต้อนกลับเวียงจันทน์ มีคุณหญิงโมรวมอยู่ด้วย คุณหญิงโม เป็นหญิงที่ฉลาดหลักแหลมและออกอุบายให้ทหารเวียงจันทน์ ตายใจ โดยให้หญิงที่ถูกต้อนเป็นเชลย หน่วงเหนี่ยวทหารให้เดินทัพช้าลง และวางแผนให้พวกผู้หญิง หลอกขอมีด จอบ เสียม มาใช้ซ่อมเกวียนและทำอาหาร แท้จริงแล้วกลับนำมีด จอบ เสียมนั้นมาลอบตัดไม้เป็นอาวุธแอบซ่อนไว้

ระหว่างพักที่ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงพิมาย ซึ่งห่างจากตัวเมืองนครราชสีมา ประมาณ 40 กิโลเมตร ในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2369 สบโอกาสเหมาะ พวกผู้หญิง ช่วยกัน หลอกล่อ มอมเหล้าทหารจนเมามายไร้สติไปทั้งกองทัพ แล้วช่วยกันทั้งหญิงและชายแย่งอาวุธฆ่าฟัน จนทหารล้มตายเป็นจำนวนมาก กองทัพแตกพ่ายไป เมื่อได้รับชัยชนะแล้ว จึงตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ ชาวเมืองที่หนีรู้ข่าวการชนะศึก จึงพากันกลับมาสมทบ และพระยาปลัดก็ยกทัพตามมาช่วยทันเวลา ส่วนเจ้าอนุวงศ์รู้ข่าวว่ากรุงเทพฯ ยกทัพขึ้นมาช่วย จึงเลิกทัพกลับไปเวียงจันทน์

การศึกที่ทุ่งสัมฤทธิ์นี้ มีสตรีผู้กล้าหาญได้พลีชีพจุดไฟทำลายเกวียน ที่บรรทุกดินระเบิดจนตัวตาย คือ นางสาวบุญเหลือ ชาวบ้านทุ่งสัมฤทธิ์และชาวโคราชได้ให้ความเคารพนับถือ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าย่าโมและเรียกนางบุญเหลือว่า ย่าเหลือ และกำหนดให้วันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันสดุดี วีรกรรมของนางสาวบุญเหลือ และทางจังหวัดนครราชสีมา กำหนดให้วันที่ 23 มีนาคม เป็นวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี

เมื่อความทราบไปถึง ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา ‘คุณหญิงโม’ ขึ้นเป็น ‘ท้าวสุรนารี’ พร้อมกับพระราชทานเครื่องยศเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2370 ซึ่งในตอนนั้นคุณหญิงโมมีอายุ 57 ปี
เครื่องยศทองคำประดับเกียรติ ดังนี้

-ถาดทองคำใส่เชี่ยนหมาก 1 ใบ
-จอกหมากทองคำ 1 คู่
-ตลับทองคำ 3 เถา
-เต้าปูนทองคำ 1 อัน
-คณโฑทองคำ 1 ใบ
-ขันน้ำทองคำ 1 ใบ

ท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. 2395 รวมสิริอายุ 81 ปี อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ประดิษฐานอยู่ที่หน้าประตูชุมพล ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2477 และได้บูรณะใหม่ให้งามสง่ายิ่งขึ้นเมื่อ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 
 
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2524 เวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ท่ามกลางพสกนิกร ที่เข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีอย่างเนืองแน่น ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานบรมราโชวาท มีความตอนหนึ่งว่า

“ท้าวสุรนารีเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อให้ประเทศชาติได้อยู่รอดปลอดภัย ควรที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน การหวงแหน คือ ต้องสามัคคี รู้จักหน้าที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ชาวนครราชสีมา ได้แสดงพลังต้องการ ความเรียบร้อยความสงบเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชาติกลับปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์รอบตัวเราและรอบโลก จะผันผวนและ ล่อแหลมมาก แต่ถ้าทุกคนเข้มแข็ง สามัคคี กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อต่อกันชาติก็จะมั่นคง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top