Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

ส่องแผนแม่บท พัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน EEC ถึงเวลาเปิดรับผู้ร่วมทุนรายย่อย 'นานาชาติ' ใต้สิทธิพิเศษแล้ว

(28 ต.ค.66) จากเพจเฟซบุ๊ก 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับแผนแม่บท พัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน EEC ที่พร้อมเปิดรับผู้ร่วมทุนรายย่อย นานาชาติ รวมถึงสิทธิพิเศษ EEC สู่ศูนย์เศรษฐกิจใหม่ของไทย ไว้ดังนี้...

วันนี้แวะไปชมเว็บไซต์ ของ UTA ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานสนามบินอู่ตะเภา Terminal 3 และพื้นที่เมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการหลักของการพัฒนา EEC 

>> ลิงก์เว็บไซต์โครงการ : https://www.uta.co.th

โดยในเว็บไซต์ได้มีการเปิดข้อมูล และแผนแม่บทการใช้พื้นที่ของสนามบินอู่ตะเภา ใน 3 ส่วนคือ…

- อาคาร Terminal 3 สนามบินอู่ตะเภา
- เมืองการบินภาคตะวันออก
- พื้นที่คลังสินค้านานาชาติ 

ซึ่งในเว็บไซต์ UTA มีการเปิดให้นักลงทุนรายย่อย เข้ามาร่วมทุนในการพัฒนาเมือง สาธารณูปโภค และการดึงดูดบริษัทมาให้บริการในพื้นที่เมืองการบิน

โดยมีสิทธิพิเศษในพื้นที่เมืองการบิน และ EEC ได้แก่...
- สถานบริการ และสถานบันเทิง 24 ชั่วโมง
- พื้นที่ปลอดภาษี (Free Trade Zone)
- พื้นที่ให้บริการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี
- การบริการพิธีการศุลกากร ด้วยระบบพิเศษ
- ขยายมูลค่าการซื้อสินค้า เข้า-ออก จากเขตระหว่างประเทศ
- ให้สิทธิพิเศษด้านการขอสิทธิ์การทำงาน (Work Permit)
- สิทธิพิเศษด้านภาษี ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล

ความคืบหน้าล่าสุด!!
- มีการส่งมอบพื้นที่เพื่อเริ่มก่อสร้าง (NTP) ไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2566!!
- เปิดให้บริการพื้นที่พาณิชยกรรม ในปลายปี 2569

ผมไม่ค่อยห่วงกับโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน เป็นโครงการที่มีขอบเขตชัดเจน และทหารเรือเป็นผู้ส่งออกให้

แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญและยังสรุปรายละเอียดไม่ลงตัว คือ โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งยังอยู่ระหว่างการปรับแก้ไขสัญญา 

หวังว่ารัฐบาลใหม่จะเร่งการเจรจาและจบได้ภายในปี 2566 เพื่อให้เดินหน้าได้ในปี 2567

'ชาวเน็ตไทย' ไม่ทน!! แห่ #แบนเที่ยวเกาหลี หลังไปเที่ยวแล้วถูก ตม.ส่งกลับ ขุดวีรกรรม 'เลือกปฏิบัติ-เหยียดคนไทย' หวังสะเทือนถึง รบ.โสมขาว

เมื่อวานนี้ (27 ต.ค.66) หลังจากมีกระแสเรื่องด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของประเทศเกาหลีใต้ ที่มักใช้ดุลยพินิจแปลก ๆ ในการพิจารณานักท่องเที่ยวไทย ให้ผ่านเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งเคสมหากาพย์ นักท่องเที่ยวหญิงออกมาเล่าประสบการณ์ติด ตม.เกาหลี ถูกส่งตัวกลับไทย เจอถามมา 4 ครั้ง ยังเที่ยวไม่พอใจอีกเหรอ

ล่าสุดชาวไทยไม่ขอทน ลุกฮือเต็มโซเชียลฯ เริ่มตระหนักได้ว่า ปัญหาการติด ตม.เกาหลี ของคนไทยควรถูกนำไปพิจารณาในระดับชาติเสียที

เนื่องจากทำให้นักท่องเที่ยวไทย รู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม และถูกเลือกปฏิบัติ แม้จะเป็นคนเอเชียด้วยกันเองก็ตาม ทำให้เกิดแฮชแท็กร้อน #แบนเที่ยวเกาหลี ขึ้นมาแซงเป็นอันดับ 1 ในทวิตเตอร์ทันที

โดยหลายคนเสนอแนวคิดว่า หากร่วมใจกันไม่เที่ยวประเทศดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ ก็อาจจะเป็นแรงกระเพื่อมที่ส่งไปถึงรัฐบาลเกาหลีใต้ไม่มากก็น้อย

ขณะที่ ชาวเน็ต ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกัน ในหัวข้อนี้กันเพียบ พร้อมจับพิรุธการทำงานของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง

โดยอธิบายว่า ประเทศเกาหลีนั้นขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรอย่างมาก จึงเลือกที่จะปิดหูปิดตารับผีน้อยเข้าไปทำงาน และแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแทน ด้วยการพิจารณาคัดคนเข้าประเทศแบบไร้มาตรฐาน

“ขอพูดเรื่องการแก้ปัญหาผีน้อยในเกาหลีหน่อยเถอะ คือ เกาหลีเนี่ยขาดแคลนแรงงานมากแต่เลือกแก้ไขที่ปลายเหตุ เลือกที่จะคัดคนหนีวีซ่าจากการท่องเที่ยว แต่ไม่คิดจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์รับแรงงานเข้าประเทศ ถ้าเทียบกับฝั่งไต้หวัน ญี่ปุ่น อิสราเอล ถือว่าเกาหลีจัดการระบบได้ห่วยแตกมาก”

“เกาหลีมันจงใจไม่เอาคนไทยจริงๆ ตาสว่างเถอะ อยากให้ไทยชนะด้านท่องเที่ยวมันตลอดไป เพราะมันมั่นเกิน โหมข่าวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวบ้านมันทุกวัน วันละหลายข่าว พยายามจะให้ท่องเที่ยวตัวเองติดท้อปโลกจะตาย ลงข่าวอวยทุกวี่วัน อยากได้ต่างชาติสุดๆ แต่เขาไม่เอาคนไทยค่า”

“นอกจากแบนเข้าเกาหลีแล้ว อยากให้รณรงค์หาผีน้อยเกาหลีในไทย ส่งผีน้อยกลับบ้านด้วยก็ดีนะ แบนร้านทำผม ร้านอาหารที่เกาหลีเข้ามาทำกิจการแบบผิดกม.อะ สักทีเถอะ (รวมถึงชาติอื่นๆด้วยนะ)”

“พูดได้เปล่านะ ยทบ.เกาหลีหลายช่องมาเที่ยวไทยลงคลิปฉ่ำ ไม่เซนเซอร์หน้าคนที่ถ่ายติดด้วย (ทั้งที่บ้านแกกฎเข้มมากไง) มีคนอวยน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ ไปเที่ยวตรงไหนก็เจอแต่คนไทยใจดี แต่ทำไมบ้านแกไม่ใจดีกับคนไทยที่ไปเที่ยวบ้างเลยอะ”

“คนที่ไม่ผ่าน ตม.เกาหลีควรคืนค่าจองโรงแรม ค่ามัดจำทุกอย่างในประเทศตัวเองคืน เพราะการพลาดทริปในครั้งนี้เกิดจากเจ้าหน้าที่ประเทศตัวเอง ควรแสดงความรับผิดชอบ!!”

“ล่าสุดเรา คือ หนึ่งในผู้ติด #ตมเกาหลี และโดนส่งตัวกลับ บอกเลยว่าสุขภาพจิตเสียแบบสุดๆ จนต้องปรึกษาหมอจิตเวช (ปกติเราเป็นซึมเศร้า อยู่ในช่วงที่ลดยา แทบจะไม่ต้องกินแล้ว) แต่ต้องกลับมากินยารักษาตัวเองใหม่ รีวิวติดตม.เกาหลี”

มทบ.25 จัดพิธีอำลาธงชัยเฉลิมพล และพิธีอำลาผู้บังคับบัญชาของทหารกองประจำการ รุ่นปี 2564 ผลัดที่ 2

เมื่อวานนี้ (27 ต.ค.66) เวลา 09.30 น.พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ประธานในพิธี พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา กำลังพล มณฑลทหารบกที่ 25 และ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 ร่วมพิธีอำลาธงชัยเฉลิมพล และพิธีอำลาผู้บังคับบัญชา ซึ่งกำลังพลที่ปลดจากกองประจำการ ประกอบด้วย กำลังพลในส่วนบังคับบัญชา ร้อยมณฑลทหารบกที่ 25 ร้อยสารวัตรทหาร มณฑลทหารบกที่ 25 หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 25 โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน และ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 รวมทั้งสิ้น 227นาย 

โดยในพิธี มีพระสงฆ์ปะพรมน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กำลังพล ผู้แทนทหารกองประจำการที่จะปลดจากกองประจำการกล่าวอำลาผู้บังคับบัญชา และพิธีสวนสนามอำลาธงชัยเฉลิมพล และผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นพิธีอันทรงเกียรติ ที่ทรงคุณค่าสร้างภาคภูมิใจแก่เหล่ากำลังพลน้องๆ ทหารที่จะปลดจากกองประจำการ ซึ่งทำให้ทหารกองประจำการทุกนายเกิดความภาคภูมิใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของประเทศที่ได้ปฏิบัติงานช่วยเหลือหน่วย และประเทศชาติ ในหลังจากนั้น พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อม คุณอุไรวรรณ เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 25 และคณะแม่บ้าน ได้เลี้ยงอาหารพิเศษให้กับทหารที่ปลดจากกองประจำการ ณ โรงเลี้ยง ร้อยมณฑลทหารบกที่ 25 สร้างความปลาบปลื้มใจให้กับน้องๆทหารที่จะปลดประจำการในครั้งนี้เป็นอย่างมาก 

'ธนกร' ชี้!! ไม่ถึง 2 เดือน 4 รมต.รทสช. 'ทำงานหนัก-ผลงานเพียบ' หลัง 'พักหนี้เกษตรกร-ลดค่าไฟ-น้ำมัน' ช่วยบรรเทาทุกข์คนไทยต่อเนื่อง

(28 ต.ค.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า กว่า 1 เดือนในการทำงานของรัฐบาล หลังได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 นั้น รัฐมนตรีทั้ง 4 ท่านของพรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดยนายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน ก็ได้เร่งเครื่องทุ่มเททำงานหนัก ผลักดันนโยบายต่าง ๆ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลได้หาเสียงไว้ออกมาเป็นรูปธรรมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ทันที ทั้งนโยบายการพักหนี้เกษตรกรเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินที่สะสมมาต่อเนื่องในช่วงโควิด รวมถึงการลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ทั้งดีเซลและเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 และเตรียมลดราคาน้ำมันชนิดอื่นเพิ่มเติมอีก และมีอีกหลายนโยบายที่จะออกมาต่อเนื่อง 

เมื่อถามว่า บางมาตรการที่ออกมา เป็นการช่วยแค่ในระยะสั้น 3 เดือน จะแก้ปัญหาทำให้ยั่งยืนได้อย่างไร โดยเฉพาะเรื่องราคาพลังงาน นายธนกร กล่าวว่า เรื่องราคาน้ำมันและพลังงานนั้นต้องมีทั้งระยะสั้นระยะกลางและระยะยาวซึ่งผลที่จะเกิดความยั่งยืนต้องแก้ในระยะยาวที่โครงสร้าง ซึ่งรองนายกฯ และรัฐมนตรีพลังงาน ได้ศึกษาและหาแนวทางแก้ไขอย่างต่อเนื่องให้ตรงจุด ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่มีองค์ประกอบหลายปัจจัย จึงต้องใช้เวลาในการแก้ รวมถึง อาจจะต้องออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เข้ามาบังคับใช้ด้วย  

“ถือเป็นการทำงานที่แข่งกับเวลา แข่งกับปัญหา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน รัฐบาลและรัฐมนตรี เพิ่งปฏิบัติหน้าที่หลังแถลงนโยบายต่อสภา ผ่านมาแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น แต่เห็นมาตรการและการทำงานอย่างเป็นรูปธรรมหลายอย่าง ส่วนในระยะยาวการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ต้องใช้เวลา ประกอบกับการแก้กฎหมายควบคู่ไปด้วย แต่ยืนยันว่า รัฐมนตรีของรวมไทยสร้างชาติ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ได้หาเสียงอะไรไว้ เราพร้อมเร่งเครื่องเต็มสูบทำงานหนักอย่างเต็มที่ เพื่อจะขับเคลื่อนมาตรการออกมาช่วยประชาชนให้เร็วที่สุด” นายธนกร กล่าว

เพจการเมืองรุมค้าน 'รอมฎอน ปันจอร์' สส.ก้าวไกล เสนอยุบ 'กอ.รมน.' อ้าง!! 'ทับซ้อน-เปลืองงบ' แต่ไม่สนเปิดช่องก่อความไม่สงบป่วนแรง

(28 ต.ค.66) จากกรณีที่นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 พ.ศ. .... เพื่อยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายใน เนื่องจากเห็นว่า กฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายใน ให้อำนาจข้าราชการทหารมีอำนาจมาก ในการดำเนินงานเรื่องความมั่นคงภายในประเทศผ่านกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่มีลักษณะความสลับซับซ้อนภายในองค์กร และยังเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ทับซ้อนกับหน่วยงานอื่น ทำให้สิ้นเปลืองกำลังคน งบประมาณ จึงไม่มีความเหมาะสมที่ให้มีหน่วยงานนี้ในบริบทสังคมปัจจุบันอีกต่อไป เห็นสมควรยุบ กอ.รมน.

ขณะนี้กฎหมายดังกล่าวอยู่ในระหว่างเปิดรับความคิดเห็น ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยมีประเด็นเพื่อรับฟังความคิดเห็น ได้แก่ 1. ท่านเห็นด้วยกับการยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) หรือไม่ อย่างไร 2. ท่านเห็นด้วยกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ข้าราชการพลเรือนที่ประจำกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พนักงานราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และอัตรากำลังของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรไปเป็นของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หรือไม่ อย่างไร 3. ปัจจุบันการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน พ.ศ. 2551 ท่านคิดว่ามีปัญหาหรือไม่อย่างไร และการเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เพื่อยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน พ.ศ. 2551 และยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้หรือไม่อย่างไร เป็นต้น

ล่าสุดได้มีแฮชแท็ก #saveกอรมน ปรากฏขึ้นบนโซเชียลฯ โดยมีโพสต์ของเพจที่ชื่อว่า ‘ทหารหลังกองพัน’

โพสต์ข้อความโดยติดแฮชแท็กนี้ ระบุว่า "ความมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญ ตามที่มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม กำลังมีความพยายามระดมพล ล้มหน่วยงานความมั่นคง (กอ.รมน.) ที่ปกป้องสามจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการระดม (บอท) โหวตสนับสนุน พรบ.ยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 หาก ยุบ กอ.รมน. และ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จะส่งผลร้ายแรงต่อประเทศไทย โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนใต้ เพราะ ฝ่ายผู้ก่อการร้ายจะสามารถใช้ความรุนแรงได้ ก่อนที่ระบบกฎหมายจะป้องกัน (เพราะ กอ.รมน. และพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักรให้อำนาจเจ้าหน้าที่ยับยั้งภัยไม่ให้เกิดขึ้นก่อนภัยจะเกิด ขอเชิญชวนทุกคนร่วมกันเข้าไปร่วมกด ‘โหวตคัดค้าน’ ครับ เพราะคนไทยต้องช่วยกัน ปกป้องประเทศไทยของเราจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีครับ”

ขณะที่เพจการเมืองหลายเพจต่างก็ออกมาติดแฮชแท็ก #saveกอรมน ตำหนิการเสนอกฎหมายของนายรอมฎอนและพรรคก้าวไกล เช่น เพจที่ชื่อว่า ‘กูรู้ทัน2’ ระบุว่า ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลจะยกเลิกมาตรา 112 และจะยกเลิกตรวจเลือกทหาร การยุบ กอ.รมน. เท่ากับทิ้งประชาชนเผชิญยถากรรมกับผู้ก่อความไม่สงบเอาเอง ทั้งพรรคมีทำประโยชน์อะไรให้ประเทศนี้กันมั่ง

เช่นเดียวกับเพจที่ชื่อว่า ‘ปราชญ์ สามสี’ ระบุว่า ฝ่ายก้าวไกลมีการระดมพลล้ม กอ.รมน. ที่ปกป้องสามจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการระดมสนับสนุน พ.ร.บ.ยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 หาก ยุบ กอ.รมน. และ พระราชบัญญัติดังกล่าว จะส่งผลร้ายแรงต่อประเทศไทย โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนใต้ เพราะฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบจะสามารถใช้ความรุนแรงได้ ก่อนที่ระบบกฎหมายจะป้องกัน อีกทั้งนายรอมฎอน เป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสวนาเปิดตัวนักศึกษาแบ่งแยกดินแดน เป็นผู้เสนอให้ออก พ.ร.บ.ยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 จึงขอเชิญคนไทยพุทธ ไทยมุสลิม ที่รักษาประเทศไทย ช่วยกันโหวดคัดค้าน คนไทยต้องช่วยกัน ปกป้องประเทศไทย

‘ภูมิธรรม’ ยัน!! ‘เศรษฐา’ ไร้นัย ส่งสัญญาณอยู่ไม่ครบ 4 ปี แค่ชื่นชม ‘อุ๊งอิ๊ง’ มีคุณสมบัติครบเหมาะเป็นนายกฯ สบาย

(28 ต.ค.66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ระบุภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้สบายๆ ว่า ไม่มีนัยอะไร แต่ถือเป็นความจริงที่มีความเหมาะสม และเมื่อขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว หัวหน้าพรรคทุกคนก็มีโอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยมองว่าความพร้อมของนางสาวแพทองธารมีครบถ้วน ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรีพูดเช่นนี้ ก็เป็นความจริงที่นางสาวแพทองธาร ก็มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และทุกคนก็รู้สึกเช่นนั้น 

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายเศรษฐา ระบุว่า น.ส.แพทองธาร สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้เป็นการส่งสัญญาณว่านายกฯ เศรษฐา จะอยู่ไม่ครบ 4 ปีหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า สามารถคิดได้หลายอย่าง อาจจะอยู่ครบ 4 ปี แล้วน.ส.แพทองธาร เป็นนายกฯ ต่อได้ ย้ำว่าน.ส.แพทองธาร มีความพร้อม เมื่อได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งในด้านคุณสมบัติ ประสบการณ์ทำงาน การหาเสียง ทุกอย่างก็พร้อมหมด ทั้งนี้ไม่ถึงขั้นที่จะต้องแบ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนละ 2 ปี เพราะไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้น แต่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำงานมากกว่า

เมื่อถามย้ำว่า ภาพที่นายเศรษฐา ทำท่าจูบมือน.ส.แพทองธาร ตามธรรมเนียมต่างชาติ หลังได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นการส่งสัญญาณหรือส่งไม้ต่ออะไรหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า แล้วแต่จะตีความ แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นการแสดงความชื่นชม และเคารพซึ่งกันและกัน ยืนยันไม่ได้มีนัยอะไร  

ผู้สื่อข่าวถามว่าน.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแล้ว จะนำพาพรรคไปเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใจประชาชนได้อย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า เชื่อว่าด้วยความพร้อมและประสบการณ์ของนางสาวแพทองธารมีมากกว่าคนอื่น ส่วนจะนำพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าได้หรือไม่นั้น ยืนยันว่าทุกการเลือกตั้ง เรามั่นใจ อยู่ที่ความพร้อมของทุกฝ่าย และวันนี้เราก็พร้อมแล้วที่น.ส.แพทองธาร จะมาเชื่อมต่อคนระหว่างวัย ให้สามารถทำงานได้มากขึ้น

‘มือปืนกราดยิง’ 18 ศพ ในรัฐเมน เสียชีวิตลงแล้ว หลังถูกพบศพอยู่ใกล้แม่น้ำ คาด!! ลั่นไกปลิดชีวิตตัวเอง

(28 ต.ค.66) เอพี รายงานกรมตำรวจรัฐเมน สหรัฐอเมริกา แถลงข่าวพบศพ นายโรเบิร์ต คาร์ด ทหารกองหนุนสหรัฐฯ วัย 40 ปี มือปืนที่ก่อเหตุกราดยิงในเมืองลูอิสตัน รัฐเมนทำให้มีผู้เสียชีวิต 18 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 13 คนเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม โดยพบศพอยู่ใกล้แม่น้ำในรัฐเมนเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม

ไมค์ เซาส์ชัค ผู้บัญชาการด้านความปลอดภัยรัฐเมน แถลงว่าพบศพของคาร์ดอยู่แม่น้ำแอนโดรสก็อกกิน แถวลิสบอน ฟอลส์ ในรัฐเมนเมื่อเวลา 19.45 น. มีบาดแผลที่เชื่อว่าเป็นการยิงปลิดชีวิตตัวเอง แต่ปฏิเสธที่จะให้ที่อยู่เฉพาะเจาะจง

อย่างไรก็ตาม เอพีอ้างได้ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ที่ไม่เปิดเผยนามเล่าว่า พบศพของโรเบิร์ต คาร์ดที่โรงงานรีไซเคิล ซึ่งโรเบิร์ต คาร์ด เพิ่งทำงานอยู่

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใย สุขภาพชุมชน' เสริมสร้างประชาชนให้เข้มแข็งด้วยการมีสุขภาพที่ดี จัดทีมหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน ให้บริการตรวจ-รักษา แจกจ่ายแว่นสายตา ตัดผม ฯลฯ แก่ประชาชน ฟรี ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ และ ผู้ช่วยกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีเปิดโครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใย สุขภาพชุมชน” ให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนฟรี ... ประกอบด้วย ตรวจสุขภาพเบื้องต้น พร้อมการจ่ายยา คัดกรองเบาหวานเบื้องต้น บริการตรวจและแจกแว่นสายตา บริการทันตกรรม บริการตัดผม และจัดกิจกรรมนันทนาการสำหรับเด็ก เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และสนับสนุนให้ประชาชนใส่ใจในคุณภาพ โดยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดให้บริการประชาชนทุกวันเสาร์ที่สามของเดือน ระหว่างเวลา 09.00 – 14.00 น. ณ บริเวณลานสำนักงาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ [รายละเอียดอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม] โดยมีนายขวัญเมือง บุญประสงค์ ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย นายศิลปชัย พันธุ์สุริยานนท์ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาองค์กร คลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว พร้อมด้วย แขกผู้มีเกียรติ และประชาชน ร่วมในพิธี ณ บริเวณลานสำนักงาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

การออกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มีกำหนดลงพื้นที่ให้บริการประชาชนทั้งที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย รวมถึงตามชุมชนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ประชาชนท่านใดสนใจเข้ารับบริการ สามารถติดต่อสอบถาม และติดตามข่าวสาร ตารางการออกหน่วยลงพื้นที่หน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน รวมถึงกิจกรรมช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung 

กว่า 46 ปี ที่หน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ออกหน่วยบริการทางการแพทย์เคลื่อนที่แก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในพื้นที่ชุมชนแออัด และพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึง ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิฯ ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุก ๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

5 นโยบายเร่งด่วนรัฐ เรื่องไหนกระตุ้น ศก. เรื่องไหนกระตุ้นความกังวล ‘แก้รธน.-ส่งเสริมท่องเที่ยว-แก้หนี้-ลดราคาพลังงาน-แจกเงินดิจิทัล’

คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา สรุป 5 ประเด็นสำคัญ ที่ประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วน

1.เติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet

2.แก้ปัญหาหนี้สิน เช่น พักหนี้เกษตรกร ช่วยประคองหนี้สิน ลดต้นทุนทางการเงิน

3.ลดภาระค่าใช้จ่ายราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำมัน

4.สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ตั้งเป้าอำนวยความสะดวก ปรับปรุงขั้นตอนขอ-เก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า ปรับปรุงระบบคมนาคม

5.หารือแนวทางนำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ให้คนไทยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และไม่แก้ในหมวดพระมหากษัตริย์

จากวันที่แถลงนโยบาย มาจนถึงปัจจุบัน  นโยบายที่เห็นเป็นรูปธรรม ลำดับแรก คงเป็น นโยบายที่ 3 คือ การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ ซึ่งมีการปรับลดค่าน้ำมันเชื้อเพลิง เริ่มจากน้ำมันดีเซล ให้ต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร และ ลดน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ลง 2.50 บาทต่อลิตร จากโครงสร้างราคาเดิม เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่ง ครม. ก็ได้ให้ไฟเขียวในการประชุมไปเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา รวมทั้งปรับลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาท/หน่วย มีผลตั้งแต่รอบบิลเดือนกันยายน 2566 จนถึงรอบบิลเดือนธันวาคม 2566

นอกจากนี้ รัฐบาลจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ โดยวางแผนความต้องการและสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการผลิต และการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เร่งเจรจาการใช้พลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิกับประเทศข้างเคียง และสำรวจแหล่งพลังงานเพิ่มเติม รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ภายใต้กลไกตลาด เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะมีความมั่นคงทางพลังงานที่จะขับเคลื่อนประเทศต่อไป

นโยบายเร่งด่วนถัดมา ที่เริ่มดำเนินการ คือ นโยบายที่ 2 การแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน รัฐบาลจะลดภาระพี่น้องเกษตรกรด้วยการพักหนี้เกษตรกรตามเงื่อนไขและคุณสมบัติที่เหมาะสม รวมถึงมาตรการช่วยประคองภาระหนี้สินและต้นทุนทางการเงินสำหรับภาคประชาชนที่ครอบคลุม ถึงผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้ได้มีโอกาสในการฟื้นตัวและกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง ซึ่งในส่วนการพักชำระหนี้เกษตรกร ระยะเวลา 3 ปี เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เมื่อ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีเกษตรกรที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่าน BAAC Mobile ของ ธ.ก.ส. มากกว่า 2.5 แสนราย

นโยบายอีกด้านที่ลงมือดำเนินการแล้ว คือ นโยบายที่ 4 ผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น และสร้างงานให้กับประชาชน ซึ่งภาคเอกชน ร่วมกันขานรับ ทั้งมาตรการการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า และมาตรการยกเลิกการออกวีซ่าประเทศเป้าหมายชั่วคราว ซึ่งคาดการณ์ว่าจะกระตุ้นยอดนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่ท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 30-40% โดยเริ่มใช้นโยบายวีซ่าฟรีกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ตั้งแต่ 25 ก.ย. 2566-29 ก.พ. 2567 รวมระยะเวลา 5 เดือน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จากนโยบาย ทั้ง 3 ที่ 'ลด แลก แถม' ในแพ็กเก็จต่างๆ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หลัง Covid-19 ให้ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง กระทบฐานะทางการคลังของประเทศไม่มากนัก และส่งเสริมให้ภาครัฐ สามารถจัดเก็บภาษีกลับคืนได้พอสมควร 

แต่ที่ประเด็นใหญ่ ที่ยังหาช่องทางดำเนินการไม่ได้ คงไม่พ้น นโยบาย 'แจก' เงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่นักเศรษฐศาสตร์ของไทยเกือบ 100 คน ลงชื่อคัดค้านไม่เห็นด้วยในการดำเนินการ เนื่องจากจะกระทบกับเสถียรภาพทางด้านการคลังเป็นอย่างมาก โดยมี 2 อดีต ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมคัดค้านในนโยบาย ที่จะ 'ได้ไม่คุ้มเสีย' ฟากรัฐบาลก็ยังไม่มีทีท่าจะยกเลิก โดยพยายามหาแนวทางในการดำเนินการ และจุดสำคัญ คือ จะจัดหาเงินงบประมาณ 560,000 ล้านบาท มาจากที่ไหน อย่างไร เพื่อมาแจกให้กับประชาชน

สำหรับอีก 1 นโยบายเร่งด่วนที่แถลงต่อรัฐสภา คือ การแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แน่นอนว่า ประเด็นนี้ ไม่ช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นเพียงการแก้ไข ที่จะเปิดช่อง กำหนดกติกาให้นักการเมืองในฝ่ายตน ได้เปรียบในการแข่งขันลงเลือกตั้ง เพื่อถืออำนาจรัฐในมือมากกว่า 

สุดท้าย นโยบายเร่งด่วน ที่รัฐบาลปัจจุบันแถลง ฐานะทางการเงินของประเทศไทย จากที่เคยมีทุนสำรองระหว่างประเทศรวม (Gross Reserves) อยู่ที่ 2.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทที่ 8.17 ล้านล้านบาท ณ เดือนตุลาคม 2564 สูงเป็นลำดับที่ 12 ของโลก หลังจากนี้ไป จะเป็นอย่างไร คงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

‘สิริพงศ์’ ชี้ ‘สัปเหร่อ’ เป็นการสะท้อนชีวิตชนบท ‘คนอีสาน’ ไม่ใช่ ‘โง่ จน เจ็บ’ ย้ำ!! เขามีชีวิตเหมือนกับทุกคน

(28 ต.ค.66) จากเฟซบุ๊ก ‘KUL’ โดย ‘นายกุลวิชญ์ สำแดงเดช’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้แชร์คำพูดของ ‘นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ’ ผู้อำนวยการสร้าง ‘สัปเหร่อ’ และเป็นผู้สนับสนุนจักรวาลไทบ้าน โดยระบุว่า…

“สัปเหร่อ…เป็นการสะท้อนชีวิตชนบท ‘คนอีสาน’ ไม่ใช่ ‘โง่ จน เจ็บ’ เขามีชีวิตเหมือนกับทุกคน และชีวิตเขาสนุกสนาน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top