Saturday, 3 May 2025
TheStatesTimes

‘ชาวมุสลิม’ ร่วมละหมาดญะนาซะห์ ‘อาศิส พิทักษ์คุมพล’ จุฬาราชมนตรี ณ มัสยิดกลางสงขลา ท่ามกลางความอาลัยของชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ

(23 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศจากบริเวณมัสยิดกลางประจำ จังหวัดสงขลา ซึ่งวันนี้กำหนดให้ใช้เป็นสถานที่ละหมาดญะนาซะห์ นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ของราชอาณาจักรไทย ซึ่งถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา ขณะนี้มีชาวไทยมุสลิมจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศเดินทางร่วมในพิธี แสดงความอาลัยต่อจุฬาราชมนตรีเป็นครั้งสุดสท้าย

มีการเคลื่อนร่างนายอาศิสมาถึงมัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา ตั้งแต่เวลา 09.00 น. โดยมีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา หัวหน้าส่วนราชการ ชาวไทยมุสลิมจำนวนมาก ยืนตั้งแถวต้อนรับ และแสดงออกถึงความเคารพและอาลัย จากบริเวณด้านล่างยาวเข้ามาภายในมัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา เพื่อรอประกอบพิธีละหมาดญะนาซะห์ที่จะมีขึ้นในเวลา 10.00 น.

จากนั้นในเวลา 11.00 น. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ในพิธีเชิญดินฝังศพพระราชทาน บริเวณด้านข้างสระน้ำ หน้าอาคารมัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา

มูลนิธิ​เพื่อนสันติภาพ​ และ​ มูลนิธิ​คลังสมอง​ วปอ.​ เพื่อ​สังคม​ วางพวงมาลา​ใน "วันปิยมหาราช" 

วันนี้​ (23 ตุลาคม​ 2566)​ เวลา​ 08.00 น.​ พลเอก​ บุญ​สร้าง​ เนียม​ประดิษฐ์​ วางพวงมาลา​ในนาม​ มูลนิธิ​เพื่อนสันติภาพ​ และพลเอก นรินทร์​ แทบ​ประสิทธิ์​ วางพวงมาลา​ในนาม​ มูลนิธิ​คลังสมอง​ วปอ.​ เพื่อ​สังคม​ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 "วันปิยมหาราช" ณ​ อนุสรณ์​สถาน​แห่งชาติ​ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งในโอกาสนี้ยังมีกรรมการ​มูลนิธิ​ฯ​ คณาจารย์​ และศิษย์เก่า​หลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคง​ ร่วมในพิธีด้วย

ลุ่มหลง สันดาน อคติ วิธีคิด ความเชื่อ ‘คนใน 14 ล้าน’ VS ‘คนนอก 14 ล้าน’

14 ล้านเสียง ส่วนลึกอาจจะเกลียดสถาบันกษัตริย์ และอยากให้ล้มล้าง ทำลาย เพื่อไปสู่การปกครองแบบอื่น แต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก ได้แต่แอบๆ แฝงตัวกลมกลืนไปกับสังคมแบบเนียนๆ จึงเลือก ‘พรรคล้ม 112’ ให้มาทำหน้าที่แทน แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาอยากให้ดำรงสถาบันฯ ไว้ ด้วยความรัก และศรัทธา

14 ล้านเสียง บางคนอาจจะรักสถาบันฯ แต่ก็ ‘เบาปัญญา’ และ ‘ตื้นเขิน’ จนดูไม่ออกสักนิดเลยว่าได้เลือกกลุ่มคนที่คิด ‘ล้มล้างสถาบัน’ ที่ตนเองรักเข้ามา ผ่านความปลิ้นปล้อน กะล่อน กลิ้งกลอก และซ่อนเร้น แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาดูออก วิเคราะห์ขาด และมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อประชาชน และประเทศชาติของเรา

14 ล้านเสียง อาจจะไม่คิดว่าสถาบันฯ มีความเกี่ยวข้อง และมีคุณค่าต่อคนไทยเราทุกคน แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ ส่วนใหญ่ เขากลับคิดว่าคนไทยทุกคนต่างเป็น ‘หนี้บุญคุณ’ สถาบันกษัตริย์ จึงรู้สึกซาบซึ้ง และภูมิใจที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

14 ล้านเสียง ที่เคยบอกรักในหลวง และร้องห่มร้องไห้ตอนปลายปี 2559 แต่ก็เลือก ‘พรรคล้มสถาบัน’ ให้เข้ามา จึงดูเป็นคนย้อนแย้ง ไม่จริงใจ ไม่น่าคบค้าสมาคม แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาจะไม่มีทางหันมอง หรือสนับสนุน ‘พรรคล้มสถาบัน’ และเห็นแน่ชัดว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อสังคมไทย

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้แก้กฎหมายหมิ่นบุคคลธรรมดาให้โทษเบาลง แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาไม่เห็นด้วย และคิดว่าสังคมไทยจะวุ่นวายมากขึ้น ต่อ ๆ ไปคนเราจะด่ากัน หมิ่นประมาทกันได้รายวัน และรอดพ้นความผิดเพียงแค่มีเงิน

14 ล้านเสียง อาจจะเลือก ‘พรรคล้มสถาบัน’ เพราะเชื่อว่านโยบายต่างๆ จะทำได้จริง แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาไม่โง่เชื่อแบบนั้น เพราะไม่มีทางที่นโยบายที่ดี ถ้าตกอยู่ในมือของคนที่โกหกเป็นอาชีพ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้ ดังวลีที่ว่า ‘คนโกหกไม่ทำชั่วนั้นไม่มี’

14 ล้านเสียง จำนวนไม่น้อย อาจจะเลือก ‘พรรคล้มสถาบัน’ เพราะตามเพื่อน ตามลูก ตามผัว หรือตามกระแสสังคมที่ตื่นเต้นไปกับสิ่งใหม่ โดยที่ไม่คิดศึกษา ลงลึก ใส่ใจวิเคราะห์อย่างละเอียด ที่สุดก็ปล่อยให้ ‘พรรคล้มสถาบัน’ เข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้กับสังคมไทย และตนเองก็ไม่มาใส่ใจดูแล หรือสำนึกผิด แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขาศึกษามาดี และเสียสละเวลาในชีวิตคอยอยู่รับมือ คอยตั้งรับ คอยปกป้อง คอยต่อสู้ในสิ่งที่เขาไม่ได้เลือกอย่างกล้าหาญ และไม่เคยกลัวว่าชีวิตจะมีปัญหา

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้ ‘พรรคล้ม 112’ ที่ตนเองเลือก ทำการล้างสมองเยาวชนของชาติ ให้ไปขีดเขียนกำแพงวัดพระแก้ว หลอกเด็ก ๆ ให้ไปทำในเรื่องที่ทำลายวัฒนธรรมอันดีงาม ทำสิ่งที่ขัดต่อกติกาสังคม และออกหน้าแทนในที่ชุมนุมเพื่อ ‘ล้ม 112’ แต่ ‘คนนอก14 ล้าน’ เขาสงสาร และเป็นห่วงเด็กๆ ที่ยังอ่อนเดียงสา ด้วยเด็กๆ ไม่มีทางรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของ ‘นักการเมืองใจอำมหิต’ และสุดแสนจะ ‘ขี้ขลาด’ เหล่านี้ จึงถือว่าเป็น ‘กลุ่มนักการเมืองรุ่นใหม่’ ที่มีจิตใจต่ำ และไร้ความจริงใจต่อคนร่วมชาติอย่างไม่น่าให้อภัย

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้ ‘พรรคล้มเจ้า’ รับเงินจากชาติตะวันตก มาทำลายประเทศไทยของตัวเอง แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขารู้เท่าทัน และพร้อมจะปกป้องประเทศไทยของเขาเท่าชีวิต

14 ล้านเสียง อาจจะชอบให้มีการแบ่งแยกดินแดนไทย และอาจจะหลงลืมเลือดเนื้อของบรรพบุรุษที่สละแลกเพื่อมาให้แผ่นดินไทยดำรงอยู่ แต่ ‘คนนอก 14 ล้าน’ เขามีสามัญสำนึก เขาไม่เคยลืม ยังคงเดินหน้าปกป้อง รักษาไว้ดังเดิม ไม่ปล่อยให้คนโฉดชั่วมากัดเซาะทำลาย ด้วยเขารักแผ่นดินชาติ เกินกว่าจะแยกขาดออกจากกันได้

คนใน 14 ล้าน กับ เรา จึงต่างใจกันมาก

ส่วนตัวผมจึงไม่ศรัทธา ‘คนไทยหัวใจอุบาทว์’ เช่นนี้

‘มือเศรษฐกิจจุลภาค’ ซาวเสียง!! คนส่วนใหญ่หวัง Digital Wallet แต่แอบห่วงที่มาเงิน ยกคำแนะ ‘ดร.กิตติ’ แจกบางส่วน หากกระตุ้น GDP ได้ +5% มุมหนี้สาธารณะจะลดลง

(23 ต.ค. 66) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Ta Plus Sirikulpisut’ เกี่ยวกับกรณีข้อดี-ข้อเสียของ ‘Digital Wallet’ ในปัจจุบันที่ได้ฟังจากเสียงประชาชนมากขึ้น ว่า...

วันนี้ขอแสดงความเห็นเรื่องเงิน Digital Wallet อีกครั้งครับ

หลายวันนี้ลงพื้นที่พบปะประชาชน ได้รับฟังความต้องการว่าอยากได้เงินแจก 10,000 บาท จริงครับ บางครอบครัวมีสมาชิก 4-6 คน จะได้รับแจกถึง 40,000-60,000 บาท นับเป็นเงินมากสำหรับคนตัวเล็กๆ หลายคนคิดว่าจะนำไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปั๊มน้ำ บางคนจะซ่อมหลังคา และหากเป็นกลุ่มเกษตรกรรวมตัวกัน เขาอยากได้เครื่องอบ เพราะช่วยไล่ความชื้น เวลาเอาของไปขายราคาจะดีขึ้น บางที่อยากรวมกันทำโรงสีขนาดเล็ก ไม่มีใครทราบเงื่อนไขว่าจะซื้ออะไรได้บ้าง แต่หากเราได้สามารถช่วยให้เขาซื้อ Durable goods หรือ อุปกรณ์เพิ่มการผลิต/คุณภาพจะยอดเยี่ยมไปเลยครับ

ข้อห่วงใย ผมเองก็ห่วงใย และได้คุยกะผู้ใหญ่หลายท่านก็ห่วงใยโดยเฉพาะด้านการคลังที่หากแหล่งที่มาของเงินดังกล่าวจะมาจากเงินกู้ ซึ่งเราติดตามได้ครับ อย่างน้อยรัฐบาลลุงตู่เองก็เก็บภาษีมาได้เกินเป้า รายสองแสนล้าน เกือบครึ่งทางของงบเงิน Digital ครับ หากแจกบางส่วนก่อนแล้วเอาภาษีที่หมุนได้มาแจกต่อ อย่างที่ท่าน ดร.กิตติ ลิ่มสกุล ว่าไว้ก็ลดความเสี่ยงได้มาก และหากกระตุ้น GDP ได้ +5% หนี้สาธารณะก็ลดลงครับ

มีนักวิชาการบอกว่างานวิจัยจากที่ญี่ปุ่นบ้าง ไต้หวันบ้างบอกไม่ประสบความสำเร็จ โดยญี่ปุ่นได้ตัวทวีคูณน้อย และซื้อสินค้าได้เล็กน้อยครับ

ผมต้องเรียนว่าเทียบกันไม่ได้ ไทยเรามีคนมีรายได้น้อยกว่า การแจกแบบนี้จะได้ผลลัพธ์สูงกว่า แถมของเราหลายอย่างถูกกว่าจะซื้อของเพิ่ม Productivity ได้ดีกว่าครับ 

บางคนบอกว่าเราใช้ Government กระตุ้นมากไป ผมก็เรียนว่า การที่รัฐเก็บภาษีจากประชาชนมานี่ มาจากหลายทางครั้งส่วนหนึ่งมาจากเราบริโภคแล้วเสีย Vat นี่แหละครับ เป้าหมายการเก็บภาษี ก็เพื่อไปสร้างถนน จ่ายค่าเรียนฟรี รักษาฟรี และลงทุน ฯลฯ 

แต่อีกเป้าหมายคือการลดความเหลื่อมล้ำครับ คนรวยกำไรมากก็เสียภาษี เราก็เอามาให้คนด้อยกว่าใช้ การที่อยู่ๆ เราบอกประชาชนว่าที่ผ่านมารัฐเก็บภาษีแล้วไปตัดสินใจแทนประชาชนว่าจะเอาเงินไปทำอะไร คราวนี้รัฐยกเงินภาษีของท่านให้ท่านตัดสินใจแทน เป็นการกระจายอำนาจทางการคลัง ที่ผ่านมาก็เคยทำมาก่อน 

นโยบายดังกล่าวมีข้อดี และข้อเสียเราต้องรอบคอบครับเพื่อประเทศที่เรารัก และลูกหลานของเรา

ต๊ะ พลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์
บทความวิชาการ ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต้นสังกัดข้าพเจ้า

‘มะกัน’ จ่อส่งระบบ THAAD-ขีปนาวุธแพทริออตเพิ่มในตะวันออกกลาง เพื่อตอบโต้ท่าที ‘อิหร่าน’ หลังสถานการณ์เริ่มทวีความตึงเครียดต่อเนื่อง

(23 ต.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเตรียมที่จะส่งระบบต่อต้านมิสไซล์เพดานบินสูง (THAAD) และระบบป้องกันภัยทางอากาศแพทริออตเพิ่มเติมไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง ตามรายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อการโจมตีใส่กองทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางในช่วงที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้มีการส่งเรือบรรทุกอากาศยาน 2 ลำพร้อมเรือสนับสนุน และทหารเรือราว 2,000 คนไปในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่อิหร่านให้การหนุนหลัง ขณะที่ความตึงเครียดในภูมิภาคดังกล่าวได้พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากสงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส

นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ว่า “หลังมีการหารือกันอย่างละเอียดกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำของสหรัฐฯ ถึงท่าทีที่ยั่วยุของอิหร่านในช่วงที่ผ่านมา และกองกำลังตัวแทนของอิหร่านทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง วันนี้ผมได้กำหนดขั้นตอนเพิ่มเติมหลายขั้นตอนเพื่อเสริมท่าทีของกระทรวงกลาโหมในภูมิภาคดังกล่าว”

นอกจากระบบ THAAD และขีปนาวุธแพทริออตแล้ว อาจมีการส่งทหารเข้าไปในภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มเติมอีกด้วย โดยไม่ได้มีการระบุตัวเลขจำนวนทหารที่แน่ชัด

“ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนความพยายามในการป้องปรามในภูมิภาค เพิ่มการป้องกันสำหรับกองกำลังของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง และช่วยเหลือการป้องกันตนเองของอิสราเอล” นายออสตินกล่าว

โดยคำสั่งดังกล่าวมีขึ้น 2 ปีหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ถอนระบบป้องกันภัยทางอากาศออกจากภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยให้เหตุผลว่า ความตึงเครียดกับอิหร่านได้คลี่คลายลงแล้ว

อย่างไรก็ดี การโจมตีใส่กองทัพสหรัฐฯ ในประเทศอิรักและซีเรียได้เพิ่มสูงขึ้นหลังสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาสได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรือรบของสหรัฐฯ ได้ยิงโดรนหลายลำและขีปนาวุธร่อน 4 ลูกที่ยิงมาจากที่ตั้งของกลุ่มกบฏฮูตีในประเทศเยเมน

‘เด็จพี่’ เชื่อ มีไอ้โม่งชักใย คปท. บุกเยี่ยม ‘ทักษิณ’ ที่ รพ.ตำรวจ เอือม!! ราวีไม่สิ้น ถาม? ประเทศยังบอบช้ำไม่พออีกหรือ?

วันที่ 22  ต.ค. 66 ดร.พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายนิติธร ล้ำเหลือ เดินทางไปขอเข้าเยี่ยมตรวจสอบ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่โรงพยาบาลตำรวจ ว่า น่าจะเป็นเจตนาร้ายหาเรื่องค้าความขัดแย้ง หรือขยายผลไปถึงการปลุกม็อบสร้างความวุ่นวายมากกว่า ทั้งที่บ้านเมืองกำลังสงบเดินไปด้วยดี รัฐบาลกำลังคิดหาวิธีการแก้ไขเศรษฐกิจปากท้องให้ประชาชน แต่คนกลุ่มนี้กลับทำตัวขวางโลก ปัดแข้งปัดขารัฐบาล เรียกร้องต้องการไม่จบไม่สิ้น

อดีตนายกฯ ทักษิณป่วยจึงเข้าไปนอนโรงพยาบาล คนกลุ่มนี้ก็ไม่เชื่อ ไม่พอใจ ตอนแรกเรียกร้องให้กลับมารับโทษ พอกลับมาก็ยังราวีไม่จบเสียที ต้องการจะดูอาการป่วย อยากจะตรวจสอบความเป็นอยู่ ถามว่าเป็นอะไรกันแน่ เป็นทนาย หรือเป็นหมอ หรือเป็นตำรวจ ออกอาการคาดคั้นแบบเอาเป็นเอาตาย ไม่มีใครเห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว ลองไปส่องดูโลกโซเชียลบ้างหรือไม่ ถ้ายังไม่หยุดทำตัวขวางโลก ขวางการปรองดอง ระวังจะถูกสังคมประณาม

ทั้งนี้ เชื่อว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวน่าจะมีไอ้โม่งอยู่เบื้องหลัง จึงอยากฝากบอกว่าพอได้แล้ว ประเทศยังบอบช้ำไม่พออีกหรือ ขอให้ประชาชนอยู่กันอย่างสงบสุขบ้าง

‘จุลพันธ์’ ยัน!! ไม่ได้ลอกดิจิทัลวอลเล็ตจาก ‘ญี่ปุ่น’ ชี้ บริบทต่างกัน เผย กำลังเร่งพิจารณา ถ้าไม่ทันขยับเวลาแจก ย้ำ สัปดาห์นี้ชัดเจนแน่

(23 ต.ค. 66) ที่ลานพระบรมราชวัง ราชานุสรณ์ พระราชวังดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดเผยข้อมูลว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต มีต้นแบบมาจากประเทศญี่ปุ่นว่า ต้นแบบไม่ใช่แต่มีกระบวนการที่เขาเคยดำเนินการลักษณะคล้ายคลึงกันในปี 1999 ซึ่งเป็นเรื่องของการแจกคูปอง ซึ่งตนเห็นแล้วและได้ไลน์ไปขอข้อมูลเพิ่มเติมจาก น.ส.ศิริกัญญา เป็นของประเทศญี่ปุ่นและไต้หวัน และเราก็ได้นำมาศึกษาเปรียบเทียบ เพื่อที่จะได้นำข้อดีและข้อเสียของสิ่งที่ประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันเคยใช้ เรานำมาศึกษาก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย

นายจุลพันธ์กล่าวต่อว่า ส่วนการเปรียบเทียบนั้น ตนคิดว่าทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันว่าบริบทมีความแตกต่างในปี 1999 และในปัจจุบัน ขณะเดียวกันประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นก็มีความแตกต่างกัน จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้

เมื่อถามถึง กรณีเลื่อนประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้ประชาชนสงสัยว่าได้รับเงินจากนโยบายนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า เป้าหมายยังคงอยู่ที่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 แต่หากมีการประชุมคณะอนุกรรมการในสัปดาห์นี้ จะมีความชัดเจนมากขึ้น ขอให้อดใจรอนิดหนึ่ง

เมื่อถามย้ำว่า จะยังคงเป็นในกรอบเวลาเดิมหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า “จะพยายามครับ จะพยายาม”

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการระบุว่า หากไม่ทันจริงๆ จะมีการรายงานนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอปรับกรอบเวลาของโครงการ เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง จะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า ไม่ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องมั่นใจว่าเมื่อเปิดใช้บริการจะต้องมีความปลอดภัย ข้อมูลของประชาชนมีการรักษาความปลอดภัย ทั้งเรื่องความเป็นส่วนตัว เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด รวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่สามารถละเลยได้ หากมีอะไรที่ยังเป็นข้อติดขัด เราต้องค่อยๆ หาทางสอบถามและแก้ไข ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีการสั่งการหรือกำชับอะไรเป็นพิเศษ และยังตอบไม่ได้ว่าการประชุมคณะอนุกรรมการจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

เมื่อถามว่า หากจำเป็นต้องเลื่อนจริงๆ จะเลื่อนไปเป็นช่วงใด นายจุลพันธ์กล่าวว่า ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่จะมีความชัดเจนในสัปดาห์นี้

เมื่อถามว่า ปัจจัยอะไรที่จะทำให้มีไม่ทันกรอบเวลา นายจุลพันธ์กล่าวว่า เยอะแต่ยังไม่มีความชัดเจนและไม่ได้หมายความว่าเราจะเลื่อน เรายังยึดมั่นในกรอบเดิมตามที่นายกรัฐมนตรีให้ไว้ แต่อย่างไรก็ตามเราก็จะมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน

เมื่อถามว่า แหล่งที่มาของเงิน หรือแอพพลิเคชั่น ถือเป็นปัจจัยหลักที่อาจจะต้องทำให้เลื่อนการแจกเงินใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า แหล่งที่มาของเงินเป็นปัจจัยหลักแน่นอน ทุกอย่างถือเป็นปัจจัยหลักไม่มีปัจจัยสำรอง ทุกเรื่องมีความสำคัญเท่ากันหมด เราต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ พร้อมมีการติดตามตรวจสอบอย่างเข้มข้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้เรามีความระมัดระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัวเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องเงินกู้กับธนาคารออมสิน

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมารัฐบาลยืนยันตลอดว่าที่มาของเงินดำเนินโครงการไม่มีปัญหาแต่ตอนนี้กลับไม่มีความชัดเจนติดปัญหาในส่วนใด นายจุลพันธ์กล่าวว่า เนื่องจากต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย เมื่อคณะอนุกรรมการมีการประชุมและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาข้อมูลและรวบรวมรายงานส่งมายังคณะอนุกรรมการ ขณะนี้จึงต้องรอรายงานเพื่อส่งต่อให้คณะกรรมการชุดใหญ่ตัดสินใจ ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นตามกฎหมายไม่สามารถลัดวงจรได้ ไม่สามารถดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับโครงการ โดยที่ยังไม่มีมติจากคณะกรรมการได้

‘พีระพันธุ์’ เปิดแผน ‘รื้อ-ทุบ-ปลด-สร้าง’ แก้กฎหมายเอื้อกำกับราคาน้ำมัน เร่งปรับโครงสร้างตั้งแต่ฐานราก พร้อมยัน!! ลดโซฮอล์ 91 ก่อน ชนิดอื่นต่อคิว

(23 ต.ค. 66) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงข้อเสนอแนะจากประชาชนบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการลดราคาน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ 91 และเสนอลดโซฮอล์ 95 แทน ว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังยืนยันลดโซฮอล์ 91 อัตรา 2.50 บาทต่อลิตร เพราะการลดครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นลดน้ำมันเบนซิน หลังจากนั้นจะทยอยลดสูตรอื่น อาทิ โซฮอล์ 95 เป็นต้น ไม่ได้แปลว่าไม่ลดชนิดอื่นแล้ว

ทั้งนี้ มี 2 เหตุผลในการเลือกลดโซฮอล์ 91 เพราะ 1.) เป็นน้ำมันที่ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ใช้กันมากสุด จึงจำเป็นที่ต้องเยียวยาไวกว่ากลุ่มอื่น 2.) เป็นน้ำมันที่ราคาหน้าโรงกลั่นถูกที่สุดคือ 22.21 บาทต่อลิตร ต้นทุนถูกกว่าทั้งน้ำมัน อี 20 และ อี 85 โดยนายพีระพันธุ์เข้าใจความเป็นห่วงของทุกฝ่าย แต่การลดราคาเชื้อเพลิงนั้นเป็นแค่มาตรการระยะสั้นที่จะทำให้พลังงานเป็นธรรมสำหรับทุกคน

นายพงศ์พลกล่าวว่า ขณะนี้นายพีระพันธุ์มีแผนลดราคาพลังงานทั้งระยะสั้น กลาง ยาว วางไว้ทุกสเต็ป โดยระยะสั้นคือ ลดค่าพลังงาน ชนิดไหนทำก่อนจะทำเลยอย่างน้อยได้ประวิงหนี้ ลดค่าใช้จ่ายค่าไฟน้ำมัน ต่อลมหายใจให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย

ขณะที่ระยะกลางจะเดินหน้าแก้กฎหมายอุปสรรค เรื่องนี้ใช้เวลาแต่จะเห็นผลชัดภายในปีนี้แน่นอน เพราะจะมีการรื้อ ทุบ ปลด สร้าง คือ แก้กฎหมายที่เอื้อให้มีการกำกับโครงสร้างราคาน้ำมันให้โปร่งใส ราคาไม่เอาเปรียบผู้บริโภค เพิ่มกฎหมายใหม่น้ำมันราคาถูกเฉพาะทาง มี พ.ร.บ.น้ำมันเพื่อการเกษตรและการแก้กฎเรื่องมาตรฐานน้ำมัน ฯลฯ

ระยะยาวจะวางโครงสร้างเพื่ออนาคต เน้นปฏิวัติแบบแผนเพื่อความยั่งยืน จะวางรากฐานเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน อาทิ ระบบสำรองน้ำมันประเทศเพื่อความมั่นคงโดยกระทรวง การเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ยุคผลิตพลังงานสะอาดเต็มตัว ศึกษาระบบเน็ต-บิลลิ่ง ระบบกริดแบบใหม่

‘วันเดอร์เฟรม’ ระบายทั้งน้ำตา หลังโดนบูลลี่รูปร่างจนเสียความมั่นใจ วอน ขอให้โฟกัสที่ผลงาน-หยุดบูลลี่คนอื่น เพราะคนที่โดนจำไม่เคยลืม

(23 ต.ค. 66) ทำเอานักร้องสาวมากความสามารถ อย่าง ‘เฟรม-ศุภัคชญา สุขใบเย็น’ หรือ ‘วันเดอร์เฟรม’ วัย 29 ปี ออกมาระบายความรู้สึก เมื่อถูกคอมเมนต์วิจารณ์รูปร่าง หลังจากขึ้นโชว์คอนเสิร์ตหนึ่ง แล้วมีการเผยแพร่คลิป โดยมีบางคอมเมนต์บางส่วนโฟกัสไปที่หุ่นแทน ในทำนองว่า “วันเดอร์เฟรมตอนแรกผอมนะ พอมาตอนนี้ระยะอวบเลย”

เมื่อล่าสุด วันเดอร์เฟรม ได้อัดคลิประบายความในใจทั้งน้ำตา เกี่ยวกับคำวิจารณ์ดังกล่าว พร้อมกับระบุแคปชัน “เราโดนล้อเรื่องน้ำหนักมาตั้งแต่จำความได้ ผ่านมา 29 ปี สังคมแห่งการบูลลี่นี้ไม่มีอะไรพัฒนาเลย คนพิมพ์แป๊ปเดียวก็ลืม แต่คนที่โดนอะไม่เคยลืมเลย”

โดยเนื้อหาในคลิปนี้ วันเดอร์เฟรม ได้พูดเอาไว้ว่า “คือเราอ่ะ ตอนแรกเราผอมกว่านี้เยอะ แต่ว่าเราขาหัก เราก็เลยไม่ได้ขยับร่างกาย เพราะว่าเราเดินไม่ได้อยู่ 2 เดือน น้ำหนักเราก็เลยขึ้นมา และนั่นก็คือเป็นคอนเสิร์ตแรกหลังจากที่... (ร้องไห้) เป็นคอนเสิร์ตแรกหลังจากที่เราเดินได้ และกลับมาเต้นได้

ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาบูลลี่เราขนาดนี้ น้ำหนักเราขึ้นอ่ะ มันก็ขึ้นที่ตัวเราเอง ไม่ได้ไปขึ้นกับพวกคุณสักหน่อย ทำไม... จริงๆ เรารู้สึกดีกับร่างกายตัวเองนะ แต่เราก็ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่เราเห็นคอมเมนต์พวกนี้ มันทำให้เราแบบ... มันทำให้เรา รู้สึกมั่นใจในตัวเองน้อยลงอ่ะ ซึ่งจริงๆ มันไม่ควรเป็นแบบนั้นเลย”

‘ณัฐจิรา’ ชี้ ‘เศรษฐา’ บริหารไม่ถึง 2 เดือน ลดค่าครองชีพ ปชช.ต่อเนื่อง ลั่น!! รัฐฯ มุ่งแก้ปัญหาปากท้อง หนุนคนไทยมีงานทำ-มีกินมีใช้อย่างยั่งยืน

(23 ต.ค. 66) น.ส.ณัฐจิรา อิ่มวิเศษ สส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้ารับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน จนถึงเวลานี้ไม่ถึง 2 เดือน รัฐบาลเดินหน้าลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลดค่าไฟฟ้า ที่เป็นปัญหาหนักอกของคนไทยมานานหลายปี จนถึงเวลานี้ ค่าไฟฟ้าตามบ้านลดลงจนหลายครอบครัวมีความสุขมากขึ้น รวมทั้งลดราคาน้ำมันส่งผลให้ประชาชนประหยัดเงินได้มาก

น.ส.ณัฐจิรา กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้รัฐบาลเดินหน้าเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพให้คนไทย ภายใต้นโยบายเติมเงินในกระเป๋าประชาชนจะช่วยลดต้นทุนการเกษตร สามารถรวมกลุ่มกันสร้างอำนาจต่อรองในตลาด และซื้อสินค้าในราคาที่ลดลงด้วย ในขณะเดียวกันด้วยจำนวนเม็ดเงินตามนโยบายรัฐ ประชาชนสามารถสร้างอาชีพใหม่ได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านขายอาหาร เปิดร้านขายของชำ สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจะเป็นการต่อยอดเงินจากโครงการรัฐบาล ไปสู่การสร้างอาชีพให้กับประชาชนทั่วไทย

“รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย มุ่งในการแก้ปัญหาปากท้องเป็นลำดับแรก หลังจากหลายปีที่ผ่านมาประชาชนต้องทุกข์ตรมกับปัญหาสารพัดที่ต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ตกงานรายได้ไม่พอรายจ่าย ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ สวนทางกลับราคาปุ๋ย ราคายาปราบศัตรูพืชปรับราคาไม่หยุด ดังนั้นรัฐบาลตั้งใจลดค่าครองชีพ เพิ่มราคาผลผลิตทางการเกษตรเพื่อพลิกฟื้นชีวิตประชาชน ให้มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป” น.ส.ณัฐจิรา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top