Friday, 2 May 2025
TheStatesTimes

‘เจ้าชายซาอุฯ’ ประณาม ‘ฮามาส-อิสราเอล’ ล้วนเข่นฆ่าพลเรือน พร้อมย้ำ!! สงครามครั้งนี้ไม่มีวีรบุรุษ มีแต่ประชาชนที่เป็น ‘เหยื่อ’

(21 ต.ค.66) สื่อต่างประเทศรายงานว่า เจ้าชายตุรกี อัล-ไฟซอล (Prince Turki al-Faisal) สมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นทั้งรัฐบุรุษและนักการทูตที่ได้รับการยกย่อง ทรงออกมาประณามทั้งฮามาสและอิสราเอลว่าต่างเข่นฆ่าชีวิตพลเรือนด้วยกันทั้งสิ้น พร้อมย้ำว่าสงครามครั้งนี้ไม่มีวีรบุรุษ มีแต่ประชาชนที่เป็น ‘เหยื่อ’

ความเห็นของเจ้าชายตุรกี อัล-ไฟซอล เกี่ยวกับสงครามยิว-ฮามาสถือว่าเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาที่สุดจากสมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ และอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าบรรดาผู้นำริยาดคิดเห็นอย่างไรกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง

ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice University) ในนครฮิวสตันของสหรัฐฯ เจ้าชายตุรกีตรัสว่าการกระทำของกลุ่มฮามาสขัดต่อกฎของอิสลามที่ห้ามทำร้ายพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และผู้คนที่ถูกฮามาสสังหารหรือจับไปเป็นตัวประกันก็คือพลเรือนแทบทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม เจ้าชายซึ่งทรงเป็นทั้งอดีตนักการทูตและหัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่มีความสุขุมลุ่มลึก ก็ทรงประณามฝ่ายอิสราเอลเช่นกันว่า “ทิ้งระเบิดใส่พลเรือนปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาแบบไม่เลือกหน้า อีกทั้งยังจับกุมพลเรือนทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กๆ ในเขตเวสต์แบงก์โดยไม่มีการแยกแยะ”

เจ้าชายตุรกียังทรงอ้างถึงวลี ‘การโจมตีที่ปราศจากการยั่วยุ’ (unprovoked attack) ที่สื่ออเมริกันชอบใช้เมื่อจะอ้างถึงการโจมตีของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. โดยทรงตั้งคำถามว่า “สิ่งที่อิสราเอลได้กระทำต่อชาวปาเลสไตน์มา 75 ปี ยังต้องการการยั่วยุอะไรมากไปกว่านี้อีกหรือ?”

พระองค์ทรงย้ำว่า “ประชาชนที่ถูกกดขี่ยึดครองด้วยอำนาจทางทหาร ย่อมมีสิทธิ์ที่จะต่อต้านการยึดครอง” เจ้าชายยังทรงประณามพวกนักการเมืองตะวันตกที่ “ร่ำไห้เมื่อเห็นคนอิสราเอลถูกฆ่าโดยชาวปาเลสไตน์ แต่กลับไม่มีแม้แต่ท่าทีเห็นใจ เมื่อคนปาเลสไตน์ถูกฆ่าโดยอิสราเอล”

BBC ตั้งข้อสังเกตว่า คำพูดของเจ้าชายตุรกีวัย 78 พรรษาถือเป็นการ ‘แหกคอก’ จากบรรดาชาติมุสลิม รวมถึงรัฐบาลซาอุฯ เองที่ยังไม่เคยแถลงประณามฮามาสมาก่อน และเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะออกมาให้ความเห็นต่อสาธารณชนเช่นนี้โดยไม่ผ่านการปรึกษาหารือกับทางสำนักพระราชวังซาอุฯ ซึ่งมีเจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารทรงกุมอำนาจในฐานะผู้ปกครองโดยพฤตินัยอยู่ในเวลานี้

รัฐบาลซาอุดีอาระเบียไม่ได้ชื่นชอบพวกฮามาส และอันที่จริงแล้วดูเหมือนจะไม่มีรัฐบาลใดในภูมิภาคที่โอเคกับพวกเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือบาห์เรน ที่ต่างมองว่าฮามาสและแบรนด์การปฏิวัติ ‘อิสลามเชิงการเมือง’ ของพวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อระบบการปกครองแบบโลกวิสัย (secular rule)

อย่างไรก็ตาม ฮามาสยังคงมีสำนักงานการเมืองอยู่ในกาตาร์ และได้รับการสนับสนุนจาก ‘อิหร่าน’ ซึ่งเป็นทั้งคู่แข่งและไม้เบื่อไม้เมากับซาอุดีอาระเบียมายาวนาน

‘เพย์ โซลูชั่น’ ผนึก ‘GHL Thailand’ ยกระดับเครื่อง EDC All-in-One เสิร์ฟผ่อน 0% แก่ 9 บัตร 6 ธนาคาร ผ่านเครื่องรูดบัตรเครื่องเดียว

ไม่นานมานี้ 'เพย์ โซลูชั่น' ผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์แห่งแรกของประเทศไทย เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่ง จับมือพันธมิตร 'จีเอชแอล ประเทศไทย' ผู้นำในการให้บริการรับชำระเงินผ่านเครื่องรูดบัตร ชูนวัตกรรมผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยการเปิดตัวบริการใหม่ แบ่งชำระ 0% ให้ผู้ถือบัตรเครดิต และบัตรกดเงินสดในไทยจาก 6 ธนาคารหลักผ่านเครื่องรูดบัตร All-in-One เพียงเครื่องเดียว หวังช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้ร้านค้าทั่วประเทศ

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด (Pay Solutions) ผู้ให้บริการระบบรับชำระเงินออนไลน์เปิดเผยว่า จากฐานข้อมูลของเพย์โซลูชั่น พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคนับจากสถานการณ์โควิด-19 นั้น มีการชะลอการซื้อสินค้าและนิยมการจ่ายเงินแบบผ่อนชำระเป็นหลัก เห็นได้จากสัดส่วนที่เติบโตมากขึ้นถึง 84% 

อย่างไรก็ตามสำหรับร้านค้าที่ต้องรับการเปิดระบบผ่อนชำระบัตรเครดิต ต้องดำเนินการทีละธนาคาร ซึ่งสิ้นเปลืองการนำเข้าเครื่องรูดบัตรต่างประเทศมาเป็นจำนวนมาก 

นายภาวุธ กล่าวอีกว่า เมื่อต้นปี 2566 เป็นต้นมา พฤติกรรมของผู้บริโภคได้เริ่มปรับคืนสู่วิถีออฟไลน์ คนไทยเริ่มออกไปจับจ่ายซื้อของด้วยตนเองตามหน้าร้านค้าต่างๆ เนื่องด้วยสภาวะแวดล้อมมีความผ่อนคลาย รวมทั้งมีการเปิดประเทศ ส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น 

โดยผู้บริโภคมีพฤติกรรมในการใช้บัตรเครดิตแทนเงินสดเป็นส่วนใหญ่ เห็นได้จากข้อมูลการชำระเงินด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครื่องรูดบัตร (EDC) ที่ร้านค้า ดังนี้...

ปี 2565 มีสัดส่วนปริมาณ Offline 73.6% Online 26.4% / จำนวนการใช้บัตรพลาสติกเพื่อการชำระเงิน ณ จุดขายมี 53,323,000 รายการ มูลค่า 139,000,000 ล้านบาท 

ปี 2566 มีสัดส่วนปริมาณ Offline 79.6% Online 20.4% / จำนวนการใช้บัตรฯ 56,118,000 รายการ มูลค่า 151,000,000 บาท 

จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้ 'เพย์โซลูชั่น' ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบชำระเงินออนไลน์ เชื่อมต่อได้ทั้งหน้าเว็บไซต์แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย ครอบคลุมการรับชำระเงินทุกช่องทางแบบ Omni Channel จึงได้ร่วมมือกับบริษัท จีเอชแอล (ประเทศไทย) จำกัด นำนวัตกรรมบริการผ่อนชำระช่องทางออนไลน์มาให้บริการผ่านเครื่อง EDC All-in-One ของจีเอชแอล ซึ่งรองรับได้ถึง 6 ธนาคารหลัก จำนวน 9 บัตรเครดิต ได้แก่...

ธนาคารกสิกรไทย / ธนาคารกรุงเทพ / ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต / กรุงไทย / คาร์ดเอกซ์ / ธนาคารกรุงศรีอยุธยา / เทสโกมันนี่ / กรุงศรีเซ็นทรัลเดอะวัน เเละกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ 

"การที่ลูกค้ามีทางเลือกในการจ่ายเงินที่ตอบสนองความต้องการ ก็จะเพิ่มการตัดสินใจซื้อได้ดีกว่า เป็นโอกาสช่วยเพิ่มรายได้ให้ร้านค้าทั่วประเทศ โดยกลุ่มประเภทสินค้าที่คาดว่าจะได้รับความนิยม ได้แก่ คลินิกและสถานเสริมความงาม, สินค้าไอที อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เฟอร์นิเจอร์, สินค้าตกแต่งบ้าน, โรงแรมและที่พัก, ร้านอาหาร เเละสินค้าแบรนด์เนม เป็นต้น ซึ่งเป้าหมายความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเครื่องรูดบัตรได้ดีขึ้น ลดความยุ่งยาก ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายค่าเครื่อง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต" นายภาวุธ กล่าว

ด้าน นายปริญญา จินันทุยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอชแอล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว ว่า GHL เป็นผู้นำในการให้บริการรับชำระเงินในภูมิภาคอาเซียน ได้เปิดดำเนินการธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 15 ปี โดยให้บริการผ่านเครื่อง EDC แบบครบวงจร ให้บริการรับชำระเงินทุกรูปแบบทั้งบัตรเดบิต/เครดิต, QR พร้อมเพย์ และ e-wallets ทั้งในและต่างประเทศไว้ใน EDC All-in-One เพียงเครื่องเดียว 

โดยในปัจจุบันมีจุดให้บริการรวมกว่า 15,000 จุด อาทิ กลุ่มร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มโรงแรมและการบริการต่างๆ ทั่วประเทศ และเพื่อเป็นการยกระดับเครื่อง EDC All-in-One จึงได้ร่วมมือกับ Pay Solutions ในการพัฒนาการบริการ Multi-Bank Installment เพื่อตอบโจทย์ร้านค้าในการรับผ่อนชำระได้มากยิ่งขึ้น 

"จากเดิมที่ต้องสมัครขอใช้บริการกับแต่ละธนาคารโดยตรงหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งมีขั้นตอนและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ต้องวาง EDC หลายเครื่อง และแต่ละเครื่องก็ใช้งานต่างกัน แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปด้วย EDC All-in-One ของ GHL เพียงเครื่องเดียว ที่สามารถให้แบ่งจ่าย 0% ด้วยบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดของธนาคารหลักในประเทศไทยได้ถึง 6 ธนาคาร และในอนาคตจะมีการพัฒนาเพื่อรองรับบัตรของธนาคารอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านค้านอกจากการรับชำระเงินแบบเต็มจำนวน ประหยัดเวลาดำเนินการ ประหยัดพื้นที่ในการวางเครื่อง และตรวจสอบรายการได้ง่าย" นายปริญญา กล่าวเสริม

ปัจจุบัน EDC All-in-One ของ GHL ได้เริ่มให้บริการที่กลุ่มร้านค้า อาทิ วินเซนต์คลีนิก, โฮมพลัส เฟอร์นิเจอร์ มอลล์, และศูนย์จำหน่ายสินค้าแม่และเด็กมัมแอนด์มีสโตร์ เป็นต้น และคาดว่าจะขยายการให้บริการมากกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้

ด้าน นพ.พงษ์ธีระ เศรษฐ์ธนาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วินเซนต์คลินิก ศูนย์ศัลยกรรมความงามและดูแลผิวหนังครบวงจร ที่มีสาขาเปิดให้บริการ 7 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งเป็นร้านค้าผู้ใช้งานเครื่องรูดบัตร EDC All-in-One ได้สะท้อนถึงบริการดังกล่าวไว้ด้วย ว่า...

"วิสัยทัศน์ของบริษัทฯ คือ Innovation VINCENT ซึ่งได้มีการนำเทคโนโลยีด้านศัลยกรรมใหม่ๆ มาให้บริการลูกค้า นอกจากนั้นก็ยังได้นำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานเเละดำเนินธุรกิจ ตอกย้ำการก้าวสู่คลินิกศัลยกรรมอันดับ 1 ในด้านนวัตกรรมอย่างแท้จริง" สอดคล้องกับ พญ.ปราณปริยา อึ้งตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ที่ได้กล่าวเสริมถึงบริการผ่อนชำระแบบ Multi-Bank Installment ด้วยบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดผ่านเครื่อง EDC ว่า "การมีตัวช่วยทางการเงิน การให้ทางเลือกชำระเงินที่มีความยืดหยุ่น จะเป็นการสนับสนุนให้ลูกค้าได้ดูเเลตัวเองตามที่ต้องการ โดยเชื่อมั่นว่าภาพลักษณ์เเละบุคลิกภาพที่ดีจะช่วยเสริมความมั่นใจ เสริมดวงชะตาตามหลักความเชื่อ เเละส่งเสริมการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น"

สำหรับโดยผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.paysolutions.asia หรือติดตามข่าวสารอื่นๆ ได้ที่ www.facebook.com/paysolutionsdotasia โทรศัพท์ 0 2821 6163, 081 145 5996, 081 752 8722 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

‘นิด้าโพล’ เปิดผลสำรวจประชาชน ต่อนโยบาย ‘ปิดสถานบันเทิงตี 4’ พบ ร้อยละ 41.76 ไม่เห็นด้วย ชี้!! ปิดตี 2 เหมือนเดิมเหมาะสมแล้ว

(22 ต.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘นโยบาย ปิดผับตี 4 มาอีกแล้ว!’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับแนวคิดการขยายเวลาปิดสถานบันเทิงในยามค่ำคืน จากเวลา 02.00 น. ออกไปเป็นเวลา 04.00 น. การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการเที่ยวสถานบันเทิงยามค่ำคืนของประชาชน พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 55.65 ระบุว่า ไม่เคยไปเที่ยว ขณะที่ร้อยละ 44.35 ระบุว่า เคยไปเที่ยว

เมื่อถามผู้ที่เคยไปเที่ยว (จำนวน 581 หน่วยตัวอย่าง) ถึงความถี่ในการเที่ยวสถานบันเทิงยามค่ำคืน ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 57.66 ระบุว่า ไม่เคยไปเลย รองลงมา ร้อยละ 33.22 ระบุว่า มีบ้างแล้วแต่โอกาส/เทศกาล ร้อยละ 4.13 ระบุว่า เดือนละครั้ง ร้อยละ 2.58 ระบุว่า อาทิตย์ละวัน ร้อยละ 2.07 ระบุว่า เกือบทุกวัน (3-5 วัน/สัปดาห์) และร้อยละ 0.34 ระบุว่า ทุกวัน (7 วัน/สัปดาห์)

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อแนวคิดที่จะขยายเวลาปิดสถานบันเทิง จากเวลา 02.00 น. ออกไปเป็นเวลา 04.00 น. โดยภาพรวม พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 41.76 ระบุว่า ปิดสถานบันเทิง เวลา 02.00 น. เหมาะสมดีอยู่แล้ว เพราะเป็นเวลาที่ไม่ดึกมากจนเกินไป ไม่เป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของผู้ที่พักอาศัยอยู่ใกล้กับสถานบันเทิง

รองลงมา ร้อยละ 23.66 ระบุว่า ควรอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เฉพาะเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ เพราะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย

ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ควรจะอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เหมือนกันทั่วประเทศ เพราะควรเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ เป็นการเพิ่มช่วงเวลาในการหารายได้ให้กับผู้ประกอบกิจการสถานบันเทิง และกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้อง

ร้อยละ 8.32 ระบุว่า ควรปิดสถานบันเทิง ก่อนเวลา 02.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างดึกแล้ว อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุและปัญหาอาชญากรรมได้ ร้อยละ 4.35 ระบุว่า ไม่ควรอนุญาตให้มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนในประเทศไทย เพราะไม่เป็นการส่งเสียงดังรบกวนการพักผ่อนของผู้พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียง

ร้อยละ 4.27 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

และร้อยละ 0.08 ระบุว่า อื่น ๆ ได้แก่ ควรปิดสถานบันเทิง เวลา 03.00 น.

เมื่อพิจารณาเฉพาะความคิดเห็นของผู้ที่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 581 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับแนวคิดที่จะขยายเวลาปิดสถานบันเทิง พบว่า ร้อยละ 36.49 ระบุว่า ปิดสถานบันเทิง เวลา 02.00 น. เหมาะสมดีอยู่แล้ว

รองลงมา ร้อยละ 30.29 ระบุว่า ควรอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เฉพาะเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ

ร้อยละ 25.13 ระบุว่า ควรจะอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เหมือนกันทั่วประเทศ

ร้อยละ 6.37 ระบุว่า ควรปิดสถานบันเทิง ก่อนเวลา 02.00 น.

ร้อยละ 0.52 ระบุว่า ไม่ควรอนุญาตให้มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนในประเทศไทย

ร้อยละ 1.03 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

และร้อยละ 0.17 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ควรปิดสถานบันเทิง เวลา 03.00 น.

ส่วนความคิดเห็นของผู้ที่ไม่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 729 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ร้อยละ 45.95 ระบุว่า ปิดสถานบันเทิง เวลา 02.00 น. เหมาะสมดีอยู่แล้ว รองลงมา ร้อยละ 18.38 ระบุว่า ควรอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เฉพาะเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ ร้อยละ 11.52 ระบุว่า ควรจะอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เหมือนกันทั่วประเทศ ร้อยละ 9.88 ระบุว่า ควรปิดสถานบันเทิง ก่อนเวลา 02.00 น. ร้อยละ 7.41 ระบุว่า ไม่ควรอนุญาตให้มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนในประเทศไทย และร้อยละ 6.86 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

เมื่อถามถึงความมั่นใจของประชาชนต่อการขยายเวลาปิดสถานบันเทิงจะช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว

โดยภาพรวม พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 27.71 ระบุว่า ค่อนข้างมั่นใจ และไม่ค่อยมั่นใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน รองลงมา ร้อยละ 26.72 ระบุว่า ไม่มั่นใจเลย ร้อยละ 16.56 ระบุว่า มั่นใจมาก และร้อยละ 1.30 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาเฉพาะความคิดเห็นของผู้ที่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 581 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความมั่นใจต่อการขยายเวลาปิด

สถานบันเทิงจะช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว พบว่า ร้อยละ 33.73 ระบุว่า ค่อนข้างมั่นใจ รองลงมา ร้อยละ 27.20 ระบุว่า ไม่ค่อยมั่นใจ ร้อยละ 19.45 ระบุว่า มั่นใจมาก ร้อยละ 18.93 ระบุว่า ไม่มั่นใจเลย และร้อยละ 0.69 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของผู้ที่ไม่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 729 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ร้อยละ 32.92 ระบุว่า ไม่มั่นใจเลย รองลงมา ร้อยละ 28.12 ระบุว่า ไม่ค่อยมั่นใจ ร้อยละ 22.91 ระบุว่า ค่อนข้างมั่นใจ ร้อยละ 14.27 ระบุว่า มั่นใจมาก และร้อยละ 1.78 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/
ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการตั้งด่านตรวจเมาแล้วขับ โดยภาพรวม พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.41 ระบุว่า จำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับปัจจุบันเหมาะสมดีแล้ว รองลงมา ร้อยละ 38.02 ระบุว่า ควรเพิ่มจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ ร้อยละ 8.17 ระบุว่า ควรยกเลิกด่านตรวจเมาแล้วขับทั้งหมด ร้อยละ 5.80 ระบุว่า ควรลดจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ และร้อยละ 1.60 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาเฉพาะความคิดเห็นของผู้ที่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 581 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับการตั้งด่านตรวจเมาแล้วขับ พบว่า ร้อยละ 48.54 ระบุว่า จำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับปัจจุบันเหมาะสมดีแล้ว รองลงมา ร้อยละ 34.60 ระบุว่า ควรเพิ่มจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ ร้อยละ 8.43 ระบุว่า ควรยกเลิกด่านตรวจเมาแล้วขับทั้งหมด ร้อยละ 7.57 ระบุว่า ควรลดจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ และร้อยละ 0.86 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของผู้ที่ไม่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 729 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ร้อยละ 44.72 ระบุว่า จำนวน ด่านตรวจเมาแล้วขับปัจจุบันเหมาะสมดีแล้ว รองลงมา ร้อยละ 40.74 ระบุว่า ควรเพิ่มจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ ร้อยละ 7.96 ระบุว่า ควรยกเลิกด่านตรวจเมาแล้วขับทั้งหมด ร้อยละ 4.39 ระบุว่า ควรลดจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ และร้อยละ 2.19 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘อิทธิพัทธ์’ เปิดบิลค่าไฟ เทียบเดือนต่อเดือน ลดไปเกือบ 2 พัน!! พร้อมขอบคุณนโยบายดีๆ จาก ‘รมว.พีระพันธุ์’ ที่ช่วยลดภาระคนไทย

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 66 นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ หรือ ‘บอย’ อดีตผู้สมัคร สส.กทม พรรครวมไทยสร้างชาติ คณะทำงานของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Itthipat Settayukanon’ ชื่นชม ‘นโยบายลดค่าไฟ’ โดยระบุว่า…

“Itthipat update 👍🏻
มาแล้วครับไม่พูดเยอะ ดูจากรอบบิลครับ ค่าไฟเดือนตุลาคม เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ลดลงจาก 16,926.08 เป็น 14,954.59 ลดลง 1,972.49 บาท

สืบเนื่องจากนโยบายของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่อยากลดค่าไฟให้พี่น้องประชาชนคนไทย จากความต้องการดังกล่าวทำให้ กกพ. มีมติลดค่า FT จาก 4.45 บาทต่อหน่วย เป็น 3.99 บาทต่อหน่วย ต้องขอบคุณท่านพีระพันธุ์ ที่นึกถึงพี่น้องคนไทยทั้งประเทศนะครับ

ลองไปเช็กบิลค่าไฟแล้วดูว่าของแต่ละท่านลดลงเท่าไหร่ ส่วนของผมลดลงเรียบร้อย ขอขอบคุณท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ที่ทำงานหนักเพื่อประชาชนมาโดยตลอดครับ”

‘โมฮาเหม็ด ซาลาห์’ ดาวเตะลิเวอร์พูล วอนเหล่าผู้นำโลกเห็นแก่สันติภาพ เร่งช่วยเหลือคนในฉนวนกาซา ลั่น!! ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ควรได้รับการปกป้อง

เมื่อไม่นานนี้ ‘มุฮัมมัด เศาะลาห์ ฮามิด มะห์รูส ฆอลี’ หรือ ‘โมฮาเหม็ด ซาลาห์’ เป็นนักฟุตบอลชาวอียิปต์ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหน้าให้แก่ลิเวอร์พูลสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และทีมชาติอียิปต์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอออกมาเรียกร้องให้เหล่าผู้นำของโลกส่งความช่วยเหลือไปยังผู้คนในฉนวนกาซาโดยด่วน

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเกิดการสู้รบกันอย่างหนักระหว่าง ‘อิสราเอล’ กับ ‘กลุ่มฮามาส’ ซึ่งเป็นกลุ่มกองกำลังติดอาวุธในปาเลสไตน์ จนทำให้มียอดผู้เสียชีวิตหลายคนจากทั้ง 2 ฝ่าย ขณะที่สิ่งก่อสร้างของทั้ง 2 ฝั่งก็ได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน

ทั้งนี้ ไม่นานมานี้มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลอัล-อะห์ลี อัล-อาระบี แบปทิสต์ ในฉนวนกาซาจนทำให้เป็นที่เชื่อกันว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 500 คน ซึ่งฝั่งปาเลสไตน์ อ้างว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล ขณะที่อิสราเอล อ้างว่ามันเกิดความผิดพลาดจากฝั่งปาเลสไตน์เอง โดยเรื่องดังกล่าวทำให้สถานการณ์โดยรวมบานปลายขึ้นไปอีก

ซาลาห์ พูดผ่านคลิปที่เขาโพสต์ลงโซเชียลมีเดียของตัวเองว่า “มันไม่เคยเป็นเรื่องง่ายกับการออกมาพูดในเวลาแบบนี้ แต่ทุกวันนี้มันมีความรุนแรงและความอำมหิตมากเกินไป สถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ทนดูไม่ได้ ทุกชีวิตต่างก็มีค่าและควรจะต้องได้รับการปกป้อง”

“มันจำเป็นต้องมีการหยุดการสังหารหมู่ และการทำให้ครอบครัวต้องถูกแยกห่างออกจากกันได้แล้ว สิ่งที่ชัดเจนในตอนนี้ก็คือ มันควรจะต้องอนุญาตให้มีการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยชาติไปยังฉนวนกาซาในทันที ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นกำลังเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้มันเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างมาก”

“ผู้คนในฉนวนกาซาต้องการอาหาร, น้ำ และอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน ผมขอเรียกร้องให้เหล่าผู้นำของโลกรวมพลังกัน และช่วยกันหยุดยั้งการเข่นฆ่าวิญญาณอันบริสุทธิ์ มนุษยชาติต้องได้รับชัยชนะ”

‘อธิการฯ ม.ธรรมศาสตร์’ ตอบรับเสรีภาพการแต่งกาย นศ. เรียน-สอบ แต่งกายอย่างไรก็ได้ ขอเพียงไม่รบกวนผู้อื่น

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘สภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต’ ได้โพสต์แถลงการณ์แจ้งเรื่อง ‘เสรีภาพในการแต่งกาย’ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยระบุว่า…

“เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เซ็นประกาศมหาวิทยาลัย เรื่องแนวทางการแต่งกายของนักศึกษา พ.ศ. 2566 เพื่อออกมานิยามว่าการแต่งกายแบบใดถือว่าไม่สุภาพ เพื่อลดช่องโหว่ในการตีความของข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยการแต่งกายและเครื่องแบบของนักศึกษา พ.ศ. 2564

โดยสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอยืนยันถึงเสรีภาพในการแต่งกาย และยืนยันว่าเสรีภาพในการแต่งกายของพวกเราต้องไม่ถูกตีกรอบภายใต้กำหนดนิยามใคร”

‘สัปเหร่อ’ ตัวอย่าง ‘วิถีไทย’ ความจริงใจที่ไม่ปรุงแต่ง ฝ่าแรงบูลลี่ ‘วิถีเชย’ ด้วย ‘ความซื่อ’ ที่น่าอวด

(22 ต.ค.66) จากเฟซบุ๊ก ‘KUL’ โดย ‘นายกุลวิชญ์ สำแดงเดช’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความถึงหนังไทยกระแสแรงอย่าง ‘สัปเหร่อ’ ที่กำลังไล่ล่าความสำเร็จและรายได้อย่างมากมาย ไว้ว่า…

“จริงใจ ไม่ปรุงแต่ง
10/10 #อวดดี

เราอาจจะเคยได้ยินพวกที่ป่าวประกาศว่ารักหนังไทย รักวัฒนธรรมไทย แต่กลับบูลลี่เหยียดหยันความเป็นวิถีไทย ว่า ‘เชย, ล้าหลัง’ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ มองมุมต่าง ซึ่งจริงๆ หนังในจักรวาลไทยบ้านทุกเรื่อง คือ การเอาสิ่งที่บางคนกังขา มานำเสนออย่างตรงไปตรงมา

ความเป็นไทยบ้าน ที่ซื่อ ทื่อ ดิบ มันอาจจะไม่ศิวิไลซ์ แต่วัฒนธรรมแบบนี้ ก็สร้างคนให้เติบโตมาเป็นล้านๆ คน

ผมว่า คนนำเสนอ เขาภูมิใจในสิ่งที่เขาเป็นนะ และบางที การเป็นตัวเองนี่แหละคือดีที่สุด

มันไม่ต้องไปพยายามเป็นคนอื่นหรอก

นี่คือตัวอย่างของคำว่า วิถีไทย มันไม่น่าอาย มันโชว์ได้

มัน #อวดดีได้”

‘ส.ส.ก้าวไกล ลพบุรี’ โดนแชทปริศนาทักมาชวนคุย ก่อนถามเรื่องลามก ด้านเจ้าตัววอน!! หยุดพฤติกรรมล่อซื้อ เพื่อหวังดิสเครดิตทางการเมือง

(22 .ต.ค. 66) หลังมีผู้ออกมาร้องเรียนว่า ส.ส.พรรคก้าวไกล คุกคามทางเพศ โดยแคปภาพหน้าจอมาเปิดเผยถึงบทสนทนา ที่สุ่มเสี่ยงไปทางการคุกคามหญิงสาว

ต่อมา พรรคก้าวไกล ออกมาเปิดเผยว่ามีการสอบสวนในประเด็นดังกล่าว และพร้อมจะเปิดเผยข้อเท็จจริงให้สาธารณชนให้รับทราบ

ด้าน นายสาธิต ทวีผล ส.ส.ลพบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ‘ก้าวไปให้ไกล ก้าวไปด้วยกัน’ เปิดเผยบทสนทนาของหญิงสาว ที่พยายามล่อซื้อให้พิมพ์ข้อความที่หมิ่นเหม่ เพื่อหวังนำไปดิสเครดิตทางการเมือง

โดย สาธิต เขียนข้อความระบุว่า “เลิกนะครับประเภททักมาถามโน่นถามนี่ แล้วคุยทะลึ่งลามก เพื่อหวังให้ผมตอบแล้วแคปหน้าจอ ผมขอล่ะครับ อย่าพยายามเลยครับ”

ขณะที่บทสนทนาพบว่ามีการพยายามชวนนายสาธิต พูดคุยว่าเคยมาเที่ยวที่เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หรือไม่ ก่อนจะปิดท้ายว่า “พี่จะดู… น้องไหม?”

วิพากษ์ภาพรวม ‘เศรษฐา’ เสนอแนะท่วงท่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ ถ้าอยากชนะก้าวไกล ต้องเติม ‘กึ๋น-วุฒิภาวะ’ พอดู

ฤกษ์ที่จะมาส่องกล้องมอง (รัฐบาล) พรรคเพื่อไทยให้เป็นเรื่องเป็นราวสักเล็กน้อย… ด้วยข้อมูลและความรู้สึก ความคิดเห็นของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ บนพื้นฐานความรักและปรารถนาดี… แต่รู้สึกขัดอกขัดใจ…

#สถานการณ์ตัวนายกฯ
ว่าด้วย ‘นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน’ ความขยันขันแข็ง มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน บวกกับท่วงท่ากิริยาอาการไหว้สวย อ่อนน้อมถ่อมตนในบางเรื่องบางราว เอาคะแนนไปเต็มร้อย แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘วุฒิภาวะ’ โดยรวมๆ แล้ว เท่าที่สดับตรับฟังมาจากหลายทิศทาง ก็ต้องบอกว่ายังสอบไม่ผ่าน… ล่าสุดทริปไปประชุมที่จีน และซาอุฯ ต้องบอกว่า “ดูไม่จืด” เอาแค่ประเด็นเดียว เรื่องการแต่งกายและถุงเท้าสีชมพู ตลอดจนท่วงท่าตอนพบปูติน แทบทุกคนดูคลิปแล้วต้องร้อง “พระเจ้าช่วย กล้วยทอด… ไม่สง่างาม… อยากปิดตา ไม่กล้าดู”

อันที่จริงเวทีต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษ… เศรษฐาน่าจะโชว์ให้เหนือกว่า ‘ลุงตู่’ ที่เก้ๆ กังๆ เพราะภาษาปะกิตไม่คล่อง… แต่เอาเข้าจริง เรื่องภาษาก็ถูกเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมมากลบฝังจุดแข็งไปเกือบหมด น่าเสียดาย…

#ผลงานรัฐบาล
อาจจะเร็วไปที่จะมองภาพรวมผลงานรัฐบาล เพราะแต่ละกระทรวงเพิ่งทำงานได้แค่ 2 เดือน… หลายรัฐมนตรี หลายกระทรวงก็พยายามทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ก็เห็นๆ กันอยู่ แต่ที่จะกล่าวถึงวันนี้ คือ นโยบายหลัก นโนยบายที่เป็นเรือธงของรัฐบาลคือ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต เติมเงิน 1 หมื่นบาท’

นาทีนี้กลับกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลเพื่อไทยที่จะต้องรีบถอดสลัก เพื่อไม่ให้กลายเป็นระเบิดพลีชีพ แบบว่า… พรรคต้องจบชีวิตไปด้วยการถอดสลัก ก็คือ ต้องยอมทบทวน ปรับแต่งกันใหม่… หาไม่แล้วต้องจบชีวิตกันจริงๆ เพราะเท่าที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ แอบได้ยินแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล 2-3 พรรคเขากระซิบกันก็คือ ถ้าสุ่มเสี่ยงเกินไปก็ไม่ขอเล่นด้วย… บ้านเมืองจะเสียหาย ดีไม่ดีถูกฟ้องร้องติดคุกติดตะรางเอาได้

ก็ดีแล้ว… เมื่อยังไม่พร้อม ข้อมูลไม่พอ… เลื่อนการประชุมกรรมการดิจิทัล วอลเล็ตชุดใหญ่จากวันที่ 24 ต.ค. ออกไปไม่มีกำหนด… แต่การแถลงของนายกฯ และแกนนำพรรคเพื่อไทยจากนี้ไป ต้องไม่พร่ำเพรื่อสะเปะสะปะ อย่าไปปลุกมวลชนในขณะที่แม่ทัพนายกองก็ยังตอบคำถามชัดๆ ไม่ได้ มันจะไปไม่เป็น…

#อุ๊งอิ๊งกับงานช้าง ‘ผู้นำพรรค’
วันที่ 27 ต.ค. ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อไทย ก็จะได้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งชาวเพื่อไทยคงไม่มีใครขัดข้องในฐานะลูกสาวนายห้าง และเธอก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็รอดูนโยบายเรือธงอีกเรื่องของพรรคคือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นกระดานหกสำคัญ แต่ก็นั่นแหละจากบทเรียนกรณี ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ถ้าคิดไม่จบจริงๆ ได้แค่เป็นการจุดพลุสุดท้ายจากบวกอาจกลายเป็นลบ…

แต่โจทย์สำคัญไม่แพ้เรื่อง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ คือ การลอกคราบพรรคเพื่อไทยใหม่ ให้ไฉไลกว่าเก่าและยิ่งใหญ่พรรคคู่แข่งอย่างก้าวไกล ที่ทุกวันนี้ยังติดหล่มในเรื่องที่ตัวเองชอบสอนชาวบ้านด่าชาวบ้านแต่เป็นซะเองหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการคุกคามทางเพศ… ซึ่งตอนแรก ‘เล็ก เลียบด่วน’ มองว่าไม่น่าจะสร้างความสั่นสะเทือนให้พรรคส้มได้

แต่ดูไปดูมา… มันหนักสาหัสกว่าที่คิด!!

ดังนั้น หาก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยกระดับวุฒิภาวะด้านต่างๆ ของตัวเองขึ้นอีกหน่อย มองโลกให้กว้างกว่าครอบครัว กระตุ้นให้พรรคเป็นผู้นำในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ กล้านำทำจริงเรื่องการนิรโทษกรรมคดีชุมนุมการเมืองให้กับทุกสีเสื้อ ไม่หมกมุ่นอยู่กับอิสรภาพของคุณพ่ออยู่เรื่องเดียว… รวมทั้งโชว์ความคิดการปฏิรูปด้านอื่นๆ ให้เห็น โอกาสที่อุ๊งอิ๊งจะเป็นผู้นำประเทศอย่างสง่างาม ก็อาจจะฉายแววมากกว่าเดิม… เพราะถ้ายังเป็นอยู่แบบทุกวันนี้ยังไม่พอ…

ดู ‘อานิด เศรษฐา’ ก็ได้… สูงยาวเข่าดี ไหว้สวยขนาดไหน ยังเหนื่อยโคตร… ต้องมีกึ๋น มีวุฒิภาวะที่เพียงพออีกด้วย 

สวัสดี!!

วิพากษ์ภาพรวม ‘เศรษฐา’ เสนอแนะท่วงท่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ ถ้าอยากชนะก้าวไกล ต้องเติม ‘กึ๋น-วุฒิภาวะ’ พอดู

ฤกษ์ที่จะมาส่องกล้องมอง (รัฐบาล) พรรคเพื่อไทยให้เป็นเรื่องเป็นราวสักเล็กน้อย… ด้วยข้อมูลและความรู้สึก ความคิดเห็นของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ บนพื้นฐานความรักและปรารถนาดี… แต่รู้สึกขัดอกขัดใจ…

#สถานการณ์ตัวนายกฯ
ว่าด้วย ‘นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน’ ความขยันขันแข็ง มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน บวกกับท่วงท่ากิริยาอาการไหว้สวย อ่อนน้อมถ่อมตนในบางเรื่องบางราว เอาคะแนนไปเต็มร้อย แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘วุฒิภาวะ’ โดยรวมๆ แล้ว เท่าที่สดับตรับฟังมาจากหลายทิศทาง ก็ต้องบอกว่ายังสอบไม่ผ่าน… ล่าสุดทริปไปประชุมที่จีน และซาอุฯ ต้องบอกว่า “ดูไม่จืด” เอาแค่ประเด็นเดียว เรื่องการแต่งกายและถุงเท้าสีชมพู ตลอดจนท่วงท่าตอนพบปูติน แทบทุกคนดูคลิปแล้วต้องร้อง “พระเจ้าช่วย กล้วยทอด… ไม่สง่างาม… อยากปิดตา ไม่กล้าดู”

อันที่จริงเวทีต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษ… เศรษฐาน่าจะโชว์ให้เหนือกว่า ‘ลุงตู่’ ที่เก้ๆ กังๆ เพราะภาษาปะกิตไม่คล่อง… แต่เอาเข้าจริง เรื่องภาษาก็ถูกเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมมากลบฝังจุดแข็งไปเกือบหมด น่าเสียดาย…

#ผลงานรัฐบาล
อาจจะเร็วไปที่จะมองภาพรวมผลงานรัฐบาล เพราะแต่ละกระทรวงเพิ่งทำงานได้แค่ 2 เดือน… หลายรัฐมนตรี หลายกระทรวงก็พยายามทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ก็เห็นๆ กันอยู่ แต่ที่จะกล่าวถึงวันนี้ คือ นโยบายหลัก นโนยบายที่เป็นเรือธงของรัฐบาลคือ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต เติมเงิน 1 หมื่นบาท’

นาทีนี้กลับกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลเพื่อไทยที่จะต้องรีบถอดสลัก เพื่อไม่ให้กลายเป็นระเบิดพลีชีพ แบบว่า… พรรคต้องจบชีวิตไปด้วยการถอดสลัก ก็คือ ต้องยอมทบทวน ปรับแต่งกันใหม่… หาไม่แล้วต้องจบชีวิตกันจริงๆ เพราะเท่าที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ แอบได้ยินแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล 2-3 พรรคเขากระซิบกันก็คือ ถ้าสุ่มเสี่ยงเกินไปก็ไม่ขอเล่นด้วย… บ้านเมืองจะเสียหาย ดีไม่ดีถูกฟ้องร้องติดคุกติดตะรางเอาได้

ก็ดีแล้ว… เมื่อยังไม่พร้อม ข้อมูลไม่พอ… เลื่อนการประชุมกรรมการดิจิทัล วอลเล็ตชุดใหญ่จากวันที่ 24 ต.ค. ออกไปไม่มีกำหนด… แต่การแถลงของนายกฯ และแกนนำพรรคเพื่อไทยจากนี้ไป ต้องไม่พร่ำเพรื่อสะเปะสะปะ อย่าไปปลุกมวลชนในขณะที่แม่ทัพนายกองก็ยังตอบคำถามชัดๆ ไม่ได้ มันจะไปไม่เป็น…

#อุ๊งอิ๊งกับงานช้าง ‘ผู้นำพรรค’
วันที่ 27 ต.ค. ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อไทย ก็จะได้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งชาวเพื่อไทยคงไม่มีใครขัดข้องในฐานะลูกสาวนายห้าง และเธอก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็รอดูนโยบายเรือธงอีกเรื่องของพรรคคือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นกระดานหกสำคัญ แต่ก็นั่นแหละจากบทเรียนกรณี ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ถ้าคิดไม่จบจริงๆ ได้แค่เป็นการจุดพลุสุดท้ายจากบวกอาจกลายเป็นลบ…

แต่โจทย์สำคัญไม่แพ้เรื่อง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ คือ การลอกคราบพรรคเพื่อไทยใหม่ ให้ไฉไลกว่าเก่าและยิ่งใหญ่พรรคคู่แข่งอย่างก้าวไกล ที่ทุกวันนี้ยังติดหล่มในเรื่องที่ตัวเองชอบสอนชาวบ้านด่าชาวบ้านแต่เป็นซะเองหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการคุกคามทางเพศ… ซึ่งตอนแรก ‘เล็ก เลียบด่วน’ มองว่าไม่น่าจะสร้างความสั่นสะเทือนให้พรรคส้มได้

แต่ดูไปดูมา… มันหนักสาหัสกว่าที่คิด!!

ดังนั้น หาก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยกระดับวุฒิภาวะด้านต่างๆ ของตัวเองขึ้นอีกหน่อย มองโลกให้กว้างกว่าครอบครัว กระตุ้นให้พรรคเป็นผู้นำในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ กล้านำทำจริงเรื่องการนิรโทษกรรมคดีชุมนุมการเมืองให้กับทุกสีเสื้อ ไม่หมกมุ่นอยู่กับอิสรภาพของคุณพ่ออยู่เรื่องเดียว… รวมทั้งโชว์ความคิดการปฏิรูปด้านอื่นๆ ให้เห็น โอกาสที่อุ๊งอิ๊งจะเป็นผู้นำประเทศอย่างสง่างาม ก็อาจจะฉายแววมากกว่าเดิม… เพราะถ้ายังเป็นอยู่แบบทุกวันนี้ยังไม่พอ…

ดู ‘อานิด เศรษฐา’ ก็ได้… สูงยาวเข่าดี ไหว้สวยขนาดไหน ยังเหนื่อยโคตร… ต้องมีกึ๋น มีวุฒิภาวะที่เพียงพออีกด้วย 

สวัสดี!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top