Wednesday, 30 April 2025
TheStatesTimes

‘พวงเพ็ชร’ ชี้!! นายกฯ เยือนจีนผลงานเพียบ หวังมุ่งมั่นพัฒนาประเทศ กลับถูกผู้ไม่หวังดีปั่นกระแสจนเกิดความเข้าใจผิด วอน ปชช.อย่าหลงเชื่อ

(20 ต.ค. 66) นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวปลุกปั่น สร้างความเข้าใจผิดในตัว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่า ปัจจุบันประชาชนสามารถรับข้อมูลข่าวสารได้ง่ายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้มีกลุ่มคนผู้ไม่หวังดีเห็นเป็นช่องทางในการปลุกปั่น สร้างข่าวเท็จ และสร้างความเข้าใจผิดโดยไร้การตรวจสอบที่มา เนื้อหา และความถูกต้อง บางข่าวถูกสร้างขึ้นเพื่อพยายามทำให้เกิดกระแส จนสร้างความเสื่อมเสียแก่ผู้อื่น อย่างเช่นกรณีของ นายกรัฐมนตรี ขณะที่เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าร่วมการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation: BRF) ครั้งที่ 3 ซึ่งได้พบปะนักธุรกิจ นักลงทุน รวมถึงกระชับความสัมพันธ์อีกหลายมิติ อันน่าจะเป็นผลงานที่นายกฯทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ แต่กลับมีผู้เห็นต่างเสียดสี โจมตี อีกทั้งสร้างข่าวปลอมทำให้เกิดความเสื่อมเสีย

“ขอให้ประชาชนผู้รับข้อมูลข่าวสารใช้วิจารณญาณให้ดีก่อนส่งต่อ หรือโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย โดยต้องมีสติ รู้เท่าทันเจตนาของผู้สร้างข่าว อย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน ขอให้เชื่อมั่นว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีความตั้งใจจริงในการทำหน้าที่ เพื่อพัฒนาประเทศ ให้พี่น้องประชาชนมีความกินดีอยู่ดียิ่งขึ้น” นางพวงเพ็ชร กล่าว

‘สีจิ้นผิง’ พบปะ ‘นายกฯ ไทย’ ร่วมหารือความร่วมมือระหว่างประเทศ มุ่งเพิ่มมิติใหม่สู่ความสัมพันธ์ฉันครอบครัว พัฒนาเพื่ออนาคตร่วมกัน

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานความคืบหน้า นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้พบปะหารือกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนกรุงปักกิ่ง เพื่อเข้าร่วมการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (BRF) ครั้งที่ 3 และเยือนจีนอย่างเป็นทางการ

นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า จีนเป็นประเทศแรกนอกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่นายเศรษฐาเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนอย่างเต็มที่ว่ารัฐบาลชุดใหม่ของไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทวิภาคีอย่างมาก

จีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อสร้างนิยมความเป็นไปได้ในยุคใหม่นี้ให้กับคำกล่าว “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” อย่างต่อเนื่อง และทำให้ข้อได้เปรียบของมิตรภาพอันยาวนาน เป็นพลังขับเคลื่อนความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน

นายสีจิ้นผิงกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายควรเร่งรัดการก่อสร้าง ‘ทางรถไฟจีน-ไทย’ ขยับขยายความร่วมมือด้านต่างๆ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาสีเขียว และพลังงานใหม่ ตลอดจนเสริมความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและการพนันออนไลน์ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมอันปลอดภัยสำหรับการพัฒนาของสองประเทศ

นายสีจิ้นผิงเสริมว่า จีนยินดีแบ่งปันโอกาสจากตลาดขนาดใหญ่ และการเปิดกว้างระดับสูงของจีน เพื่อเพิ่มพูนพลังเชิงบวกสู่การพัฒนาของเอเชีย

ด้านนายเศรษฐากล่าวว่า ไทยจะทำงานร่วมกับจีนเพื่อสร้างประชาคมไทย-จีน ที่มีอนาคตร่วมกันอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น

ไทยจะพยายามอย่างสุดกำลังในการรับรองความปลอดภัยของพลเมืองจีนในไทย และยินดีต้อนรับผู้ประกอบการชาวจีนเข้ามาลงทุน และพลเมืองจีนเดินทางเยือนไทย

อนึ่ง คณะเจ้าหน้าที่อาวุโสของจีน รวมถึงช่ายฉีและหวังอี้ ได้เข้าร่วมการพบปะหารือครั้งนี้ด้วย

‘ธนกร’ มั่นใจ!! รัฐบาลเศรษฐาเดินหน้า ‘แลนด์บริดจ์’ ต่อจากลุงตู่ ชี้!! ช่วยดึงเงินลงทุนมหาศาล ดันไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์โลก

(20 ต.ค. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ตนเห็นด้วยที่นายกรัฐมนตรีและครม. เดินหน้าศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ โครงการแลนด์บริดจ์ ถือเป็นเมกะโปรเจกต์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการวางรากฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของไทย ให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของโลก เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการขนส่งสินค้าและบริการ การท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่ม และยังกระจายความเจริญไปสู่ภาคใต้และภาพรวมของประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่า แลนด์บริดจ์หากเปิดใช้ระยะแรกในปี 73 จะแก้ปัญหาความแออัดของการขนถ่ายสินค้าได้มากน้อยแค่ไหน นายธนกร กล่าวว่า คาดการณ์ไว้ว่าโครงการแลนด์บริดจ์ ทั้ง 2 ระยะ (เฟส) โดยระยะที่ 1 ประมาณมูลค่าการลงทุน รวมทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านล้านบาท รองรับสินค้า 20 ล้านทีอียู จะส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่ง ทั้งท่าเรือ รถไฟ และมอเตอร์เวย์ กระจายสินค้าในภูมิภาค เปิดเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ ของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก เพิ่มความสะดวกปลอดภัยในการเดินเรือและการขนส่งสินค้าทางน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะลดระยะทางและเวลาขนส่งลงได้ 4 วัน เมื่อเทียบจากช่องแคบมะละกา จึงมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง โดยเน้นรับเรือฟีดเดอร์ ขนาด 8,000-9,000 ทีอียู สินค้าประเภทถ่ายลำ เพื่อเป็นเกตเวย์ เชื่อมการขนส่งสินค้า จากยุโรป-แลนด์บริดจ์-จีน กลายเป็นสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ สามารถดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา สร้างรายได้ให้กับพื้นที่และประเทศอย่างมหาศาล

ทั้งนี้ โครงการแลนด์บริดจ์ มีทั้งโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกระนอง โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกชุมพร โครงการระบบรถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร-ระนอง และโครงการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ช่วงชุมพร-ระนอง รวมถึงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็นไปตามอุตสาหกรรมเป้าหมาย 

“พล.อ.ประยุทธ์ ได้วางโครงการแลนด์บริดจ์ไว้ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ต้องการให้ไทย เป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งและการค้าของเอเชีย มั่นใจว่า แลนด์บริดจ์ จะพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ให้ เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพและยกระดับรายได้พัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างมาก หากรัฐบาลสานต่อจนสำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนทิศทางการขนส่งของโลก พุ่งเป้ามาที่ไทยให้กลายเป็นฮับทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ เชื่อมโยงกับที่รัฐบาลชุดก่อนที่ได้ทำโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC จนสำเร็จมาแล้ว” นายธนกร กล่าว

'เกาะสิมิลัน' คัมแบ็ก!! อ้าแขนรับ นทท. 'เช้าไป-เย็นกลับ-พักแรม' เอาใจ 'สายแชะ-ดำน้ำ-คลำคลื่นทะเล' 15 ต.ค.66-16 พ.ค.67

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน คิกออฟ!! ฤดูกาลท่องเที่ยว 66-67 แค่วันแรกโกยนักท่องเที่ยวกว่า 1,300 คน เยือน 'สิมิลัน-เมียง' พร้อมเรียงแถวเช็กอิน 2 จุดไฮไลต์ประจำเกาะ 'หินเรือใบ-หาดเจ้าหญิง'

ไม่นานมานี้ ทาง 'อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน' ต.เกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา ได้เปิดทริปเอาใจสายท่องเที่ยวแบบเช้าไป-เย็นกลับ และรวมถึงกลุ่มที่ต้องการรูปแบบพักแรมอีกครั้ง ในวันเปิดฤดูกาล (15 ต.ค.) โดยงานนี้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติชุดแรก เข้ามาท่องเที่ยวแล้วกว่า 1,300 คน 

สำหรับทริปฤดูท่องเที่ยวหนนี้ จะเปิดฟลอร์โดยเรือสปีดโบ้ท ที่จะพานักท่องเที่ยวเดินทางออกจากท่าเรือบ้านทับละมุ อ.ท้ายเหมือง เพื่อไปทำกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ ในหมู่เกาะสิมิลัน 

เริ่มจากจุดแรกเป็นจุดดำน้ำดูปะการังและปลาสวยงาม ที่หน้าเกาะเก้า หรือเกาะบางู จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่เกาะแปด หรือเกาะสิมิลัน ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เกาะไฮไลต์ ที่สามารถขึ้นฝั่งเที่ยวได้ในอุทยานฯแห่งนี้ 

โดยเกาะแปด หรือ 'เกาะสิมิลัน' นั้น ถือเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะสิมิลัน สามารถทำกิจกรรมดำน้ำได้ทั้งน้ำลึกและน้ำตื้น 

สำหรับเกาะแปดมีไฮไลต์ คือ 'หินเรือใบ' สัญลักษณ์แห่งหมู่เกาะสิมิลัน ที่มีลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายใบเรือยักษ์ตั้งอยู่ริมหน้าผาแบบหมิ่นเหม่ชวนให้สงสัยว่าตั้งอยู่ได้อย่างไร ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นเขาไปเล็กน้อย เพื่อไปสัมผัสกับหินเรือใบ แต่ขอบอกว่า บนนั้นเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่จะมองเห็นท้องทะเลได้อย่างสวยงามกว้างไกล

นอกจากนี้เกาะแปดยังมีสิ่งน่าสนใจอื่น ๆ อาทิ 'อ่าวเกือก' เป็นรูปโค้งเหมือนเกือกม้า หาดทรายขาวละเอียดเนียนนุ่มน้ำทะเลสวยใสน่าเล่น อีกทั้งยังมีหินรูปร่างแปลกตาอยู่ทางด้านเหนือของเกาะ ได้แก่ หินรูปรองเท้าบู๊ท หินรูปหัวเป็ดโดนัลด์ดั๊ก

ขณะที่เกาะเมียง หรือ เกาะสี่ ที่เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวไฮไลต์นั้น มีจุดท่องเที่ยวสำคัญอยู่ที่ 'หาดเจ้าหญิง' และ 'หาดเล็ก' รวมถึงเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ที่ สล.1 (เกาะเมียง) ที่มีทั้งร้านค้าสวัสดิการของอุทยานฯ หน่วยรักษาความปลอดภัยฐานทัพเรือพังงา และหน่วยช่วยเหลือพยาบาล 

สำหรับหาดเจ้าหญิง เป็นหาดหน้าเกาะเมียงหรือเกาะสี่ ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มีหาดทรายขาวละเอียดยาวประมาณ 400 เมตร นับเป็นทรายขาวสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย น้ำทะเลสีฟ้า เป็นจุดลงเล่นน้ำและดำน้ำตื้น มีปะการังกระจายอยู่เป็นกลุ่มต่อเนื่องไปถึงแนวโขดหิน

ส่วนหาดเล็ก ที่เป็นหาดอยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะ สามารถเดินจากหาดเจ้าหญิงตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทาง 300 เมตร เป็นป่าดิบชื้น ระหว่างทางหากโชคดีก็จะพบกับปูไก่ ปูเจ้าถิ่นของหมู่เกาะสิมิลัน และบริเวณหาดเล็กนี้ยังมีแนวปะการังขนาดเล็กกระจายเป็นหย่อมๆ มีปลาทะเลสวยงามตามแนวปะการัง เช่น ปลาการ์ตูนส้มขาว หรือที่คนนิยมเรียกว่า 'นีโม' ปลาผีเสื้อ และหอยมือเสือ รวมถึงเต่าทะเล 

สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวหมู่เกาะสิมิลันปี 2566-2567 เปิดให้เข้าเที่ยวชมแล้ว ระหว่างวันที่ 15 ต.ค.66 ถึง 15 พ.ค.67 ห้ามพลาด!!

‘สมโภชน์ อาหุนัย’ ซีอีโอ EA คว้ารางวัล ‘บุคคลคุณภาพแห่งปี 2023’ เชิดชูการริเริ่ม-ยกระดับธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยนวัตกรรมที่โดดเด่น

เมื่อไม่นานมานี้ นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) รับโล่เชิดชูเกียรติคุณ ‘บุคคลคุณภาพแห่งปี 2023’ (QUALITY PERSONS OF THE YEAR 2023) สาขาภาคธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ในฐานะเป็นบุคคลตัวอย่างที่มุ่งมั่นทำคุณประโยชน์เพื่อสังคม โดยเป็นผู้ริเริ่มและยกระดับธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยผลงานนวัตกรรมที่โดดเด่น ด้านพัฒนากลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน, ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน, ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และสถานีชาร์จ EA Anywhere สู่การสร้างโครงการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตรถโดยสาร EV ระหว่างไทยกับสมาพันธ์รัฐสวิส โครงการแรกในโลก พร้อมจัดให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งต่อให้แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษาอย่างต่อเนื่อง กว่า 12,800 คน ใน 280 หน่วยงาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

โดยได้รับเกียรติจาก พลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง องคมนตรี ประธานในพิธีมอบโล่รางวัลประกาศเกียรติยศ ซึ่งจัดขึ้นโดย มูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (มสวท.) เป็นองค์กรเพื่อการกุศลสาธารณะ จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมยกย่องบุคคลตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน และทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ควรค่าแก่การส่งเสริมเพื่อประกาศเกียรติยศแห่งความภาคภูมิใจ มาอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี

ตร. ตีแผ่ กลลวง มิจฉาชีพ ตีเนียน ปลอมเสียงเป็นคนรู้จักโทรหลอกยืมเงิน ความจริงอาจไม่ได้ใช้ AI อย่างที่คิด

วันนี้ ( 20 ตุลาคม 2566) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงทางโทรศัพท์ หรือที่เรียกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีรูปแบบในการหลอกลวงที่หลากหลาย แตกต่างกัน โดยรูปแบบหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยคือการปลอมเสียงเป็นคนรู้จักโทรศัพท์หาผู้เสียหายเพื่อหลอกยืมเงิน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอมาตีแผ่หนึ่งในเทคนิคกลลวงของกลุ่มคนร้ายปลอมเสียงคนรู้จักเพื่อหลอกยืมเงิน ซึ่งอาจใช้วิธีการที่ง่ายกว่าที่เราคิด และไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมดัดแปลงเสียงต่าง ๆ หรือต้องมีข้อมูลรูปแบบเสียงคนรู้จักของเราแม้แต่น้อย

ซึ่งวิธีการที่พบคือ คนร้ายจะโทรศัพท์หาเป้าหมายแล้วทำทีพูดว่า “จำได้ไหมนี่ใคร” “จำเพื่อนได้รึเปล่า” หรือ “แค่ไม่สบายเสียงเปลี่ยน เปลี่ยนเบอร์โทรนิดหน่อย ก็จำกันไม่ได้แล้วหรือ” แล้วจะพยายามให้เหยื่อพูดชื่อมาก่อน ซึ่งหากเสียงของคนร้ายมีความคล้ายกับเสียงเพื่อนหรือคนรู้จักของเราจริง ๆ แล้วเราพูดชื่อของคนนั้นออกไป คนร้ายก็จะสวมรอยเป็นคนนั้นทันที

จากนั้นคนร้ายก็จะชวนคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเพื่อสร้างความเชื่อใจ แล้วทำทีว่ามีความจำเป็นต้องใช้เงินโดยอ้างว่า แอปธนาคารล่ม, มีแต่เงินสดโอนเงินไม่ได้, มีเหตุด่วนต้องใช้เงิน หรือเหตุผลความจำเป็นอื่น ๆ เพื่อหลอกให้เราโอนเงินให้กับคนร้ายต่อไป

จากกรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า คนร้ายจะใช้เทคนิคในการหลอกล่อให้เราพูดชื่อคนรู้จัก ที่เสียงเหมือนกับคนร้ายออกไป จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เสียหายมักจะเชื่อโดยสนิทใจ ว่าคนที่คุยด้วยคือคนรู้จักจริง ๆ เพราะเป็นคนพูดออกไปเองว่าเสียงของคนร้ายเหมือนเสียงของใคร และทำให้ผู้เสียหายไม่ทันระวัง หลงเชื่อโอนเงินตามที่คนร้ายขอนั่นเอง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อบุคคลที่ติดต่อมาทางโทรศัพท์อ้างว่าเป็นเพื่อนหรือคนรู้จัก โดยเฉพาะการติดต่อจากเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก เพราะอาจเป็นคนร้ายที่มาแอบอ้างหลอกยืมเงินได้

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากคนร้ายที่ปลอมเสียงคนรู้จักแอบอ้างหลอกยืมเงิน สามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ หรือสถานีตำรวจในท้องที่ที่ท่านทราบการกระทำความผิด ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘บุ้ง ทะลุวัง-หยก’ บุก!! ปีนรั้วศาลอาญากรุงเทพใต้ ด่าทอ-ทำร้ายจนท. หลังศาลพิจารณาคดี ม.112 แล้วเสร็จ!!

สำนักงานศาลยุติธรรมแจงข้อเท็จจริง 'บุ้ง ทะลุวัง-หยก' ปีนรั้วศาล ป่วนศาลอาญากรุงเทพใต้ ชี้ ตร.ศาลป้องกันตัวตามหลักสากลเตรียมเอาผิดตามภาพวงจรปิด!

เมื่อวานนี้ (19 ต.ค.66) สำนักงานศาลยุติธรรมขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากกรณีเหตุการณ์บริเวณศาลอาญากรุงเทพใต้  ถนนเจริญกรุง ซึ่งวันนี้มีการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งศาลได้ดำเนินการเสร็จแล้ว จากนั้นมีเยาวชนหญิงได้ปีนรั้วเข้ามาในบริเวณศาลอาญากรุงเทพใต้โดยตั้งใจที่ ทั้งที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่ได้ปิดประตูรั้วหรือห้ามผู้มาติดต่อราชการเข้าแต่อย่างใด และขณะเกิดเหตุประชาชนก็ยังเข้ามาใช้บริการได้ตามปกติ

เมื่อเกิดเหตุเช่นนั้น เจ้าพนักงานตำรวจศาลซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชนที่มาติดต่อราชการในบริเวณศาล เห็นเหตุการณ์และได้เข้าห้ามปราม เพื่อไม่ให้ปีนรั้วเข้ามา จึงถูกบุคคลหนึ่งที่มาพร้อมกับพวกรวม 4 คน เข้ากระชากคอเสื้อเจ้าพนักงานตำรวจศาล จากนั้นกลุ่มบุคคลดังกล่าว ได้เดินเข้ามาและด่าทอเจ้าหน้าที่ขณะยืนโทรศัพท์รายงานเหตุการณ์และโทรแจ้งตำรวจท้องที่ให้เข้ามาควบคุมสถานการณ์

ต่อมาบุคคลที่ได้กระชากคอเสื้อเจ้าพนักงานตำรวจศาลก่อนหน้านั้น ได้เดินเข้ามาผลักหน้าอกเจ้าพนักงานตำรวจศาล เจ้าพนักงานตำรวจศาลจึงเดินถอยออกและพูดห้ามปรามตามยุทธวิธีปฏิบัติหลายครั้ง แต่บุคคลดังกล่าวยังเดินเข้ามาเตะเจ้าพนักงานตำรวจศาล เจ้าพนักงานตำรวจศาลจึงใช้กระบองขู่ แต่ก็ไม่หยุดและยังเดินเข้าหาเจ้าพนักงานตำรวจศาลอีก  เจ้าพนักงานตำรวจศาลอีจึงใช้กระบองตีเพื่อระงับเหตุและป้องกันตัว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ กลุ่มบุคคลทั้งหมดขอพบผู้บริหารศาล ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่ ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวอ้างว่าจะไปทำแผล  และเดินออกไปจากศาลทั้งหมด ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่เห็นว่าเป็นสิทธิที่จะไปรักษาตัวจึงมิได้ห้ามปรามและขัดขวางแต่อย่างใด

สำนักงานศาลยุติธรรมขอเรียนเพิ่มเติมว่า เจ้าพนักงานตำรวจศาลมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล ตามหลักสากล เพื่อให้การดำเนินงานของศาลสามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทุกคนได้สมดังเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดกล้องวงจรปิดในบริเวณศาลสามารถบันทึกภาพไว้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  สำหรับผู้ที่ก่อเหตุคือ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคมหรือบุ้ง ทะลุวัง และ เด็กหญิงหยก เยาวชนหญิงคนดังวัย 14 ปี

ขณะที่เฟซบุ๊กของผู้ที่ใช้ชื่อบัญชีว่า ‘นายสิทธิพร ลีลานภาศักดิ์’ ได้เผยแพร่คลิปที่ระบุว่า ‘เหตุเกิดสดๆร้อนๆ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ให้ภาพมันเล่าเรื่อง บุ้ง ทะลุวัง vs ตร. ศาล กรณีละเมิดอำนาจศาล’

รับชมคลิปได้ที่: https://www.facebook.com/sittiporn.lelanapasak/posts/

ผบ.ทบ. เป็นประธานวันสถาปนาครบรอบปีที่ ๑๑๓ กองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์

เมื่อวานนี้ (๑๙ ต.ค.๖๖) ที่ค่ายพรหมโยธี จังหวัดปราจีนบุรี พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา กองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ ครบรอบปีที่ ๑๑๓ โดยมี พลตรี เทพพิทักษ์ นิมิตร ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ และผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงให้การต้อนรับ สำหรับกองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ ได้รับการจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีที่ตั้งหน่วยครั้งแรก ณ มณฑลนครไชยศรี จังหวัดนครปฐม ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้ย้ายมายังที่ตั้งปัจจุบัน ณ ค่ายพรหมโยธี จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๗  จึงกำหนดให้วันที่ ๑๕ ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสถาปนาหน่วย 

ซึ่ง พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก เคยรับราชการในตำแหน่งที่สำคัญของ กองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ ตั้งแต่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ เป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์, ในปี พ.ศ.๒๕๔๕ เป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์, ในปี พ.ศ.๒๕๕๕ เป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ และในปี พ.ศ.๒๕๕๙ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ กองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ ในงานสถาปนาฯ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ถวายสักการะศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จากนั้นได้เป็นประธานในพิธีสงฆ์ และการบำเพ็ญกุศลให้กับกำลังพลของหน่วยที่ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงได้เยี่ยมชมห้องเกียรติยศ และลงนามในสมุดตรวจเยี่ยมของหน่วย พร้อมบันทึกภาพที่ระลึกร่วมกับคณะผู้บังคับบัญชา และแขกผู้มีเกียรติ ตลอดระยะเวลา ๑๑๓ ปี กองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ ได้รับความไว้วางใจจากกองทัพบก เเละกองทัพภาคที่ ๑ ให้ปฏิบัติภารกิจที่สำคัญมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการถวายพระเกียรติ, การถวายความปลอดภัย และการถวายงาน แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมถึงภารกิจการป้องกันประเทศตามแนวชายแดนตะวันออก ในนาม “กองกำลังบูรพา” และภารกิจช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบอีกด้วย 

ทั้งนี้หลังจากร่วมพิธีวันสถาปนา กองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ ผู้บัญชาการทหารบ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมกองกำลังสุรนารีในพื้นที่กองทัพภาคที่ ๒ เพื่อติดตามการปฏิบัติงานของกองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก พร้อมทั้งเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนต่อไป

รมว.แรงงาน “พิพัฒน์” ห่วงใย ลงพื้นที่เมืองคอน มอบสิ่งของเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประกันตนทุพพลภาพ

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2566 เวลา 14.30 น.นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ พร้อมพูดคุยและมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค ตลอดจนเครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ประกันตนจำนวน 3 ราย โดยมี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วม ณ บ้านของผู้ประกันตนบริเวณพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งผู้ประกันตนทั้งสามรายอยู่ในความดูแลของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ รายแรกชื่อ นางสาวธนิตา ไชยฤกษ์ อายุ 51 ปี เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ เดือนละ 3,229.50 บาท ตลอดชีวิต รายที่ 2 นางสาวสมิตา จินดาแน่ อายุ 45 ปี เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ เดือนละ 2,400 บาท ตลอดชีวิต และรายที่ 3 นายธีระพงษ์ เอี้ยวสกุล อายุ 59 ปี เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ เดือนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 15 ปี    

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม พร้อมดูแลผู้ประกันตนทุกคนให้มีหลักประกันความมั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะผู้ประกันตนทุกคนคือครอบครัวประกันสังคม

‘ดร.อานนท์’ ยกคำแถลง ‘ศาลฯ VS บุ้ง ทะลุวัง’ ตั้งคำถามเชื่อใคร? ปมเตะ จนท.ศาล โดนสวนจนได้เลือด ต่างฝ่ายอ้าง ‘ถูกทำร้ายก่อน’

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘Arnond Sakworawich’ ของ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ได้โพสต์แถลงการณ์ของศาลฯ และ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ เปรียบเทียบ พร้อมระบุว่า…

“เชื่อคำแถลงศาลฯ หรือคำแถลงของบุ้ง ทะลุวังครับ?”

ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก ‘ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน’ ได้โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า…

“อ่านลำดับเหตุการณ์ แถลงการณ์ข้อเท็จจริงจากกลุ่มทะลุวัง และแถลงการณ์จากศาลยุติธรรม กรณี ‘บุ้ง เนติพร’ นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุวัง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลฟาดด้วยดิ้วเหล็กจนบาดเจ็บเลือดออก

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2566 เวลาประมาณ 11.30 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับแจ้งว่า ‘บุ้ง เนติพร’ (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ถูกตำรวจศาลทำร้ายร่างกาย โดยใช้ดิ้วเหล็กตีเข้าที่บริเวณข้อศอกจนเกิดอาการบาดเจ็บ จากกรณีที่ ‘หยก’ พยายามเข้าไปพูดคุยกับ ‘โฟล์ค-สหรัฐ สุขคำหล้า’ อดีตสามเณร ที่ถูกควบคุมตัวระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ หลังศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการชุมนุม ‘บ๊ายบายไดโนเสาร์’ ของกลุ่มนักเรียนเลว ที่สยามสแควร์ เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2563

ก่อนหน้านี้ เวลา 09.00 น. บุ้ง และสมาชิกกลุ่มทะลุวัง พร้อมกับหยก นักกิจกรรมเยาวชนวัย 15 ปี ได้เดินทางไปร่วมฟังคำพิพากษาด้วย ซึ่งภายหลังศาลมีคำพิพากษา โฟล์คได้ถูกนำตัวไปควบคุมอยู่ที่ห้องขังใต้ถุนศาล

ในเวลาประมาณ 10.30 น. บุ้งและหยกได้พยายามปีนรั้วที่บริเวณข้างห้องขังใต้ถุนศาล เพื่อพูดคุยสอบถามว่าโฟล์คต้องการรับประทานอาหารอะไรในระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัวหรือไม่ และสอบถามเรื่องรายชื่อที่เขาต้องการให้เข้าเยี่ยมในเรือนจำ ในกรณีที่เขาอาจไม่ได้รับการประกันตัว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลา 11.18 น. ศูนย์ทนายฯ ได้รับรายงานจากบุ้งว่ามีตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) รวม 2 นาย ได้เดินเข้ามากันไม่ให้หยก ซึ่งปีนรั้วเข้าไปในบริเวณหน้าต่างห้องขังได้พูดคุยกับโฟล์ค โดยกล่าวว่าหากพวกเธอไม่หยุดการกระทำ เขาจะดำเนินการแจ้งละเมิดอำนาจศาล ในขณะที่บุ้งอยู่บริเวณรั้วได้พยายามเจรจาว่า พวกเธอแค่จะพูดคุยรายละเอียดเรื่องการเยี่ยมญาติ หากโฟล์คไม่ได้ประกันตัวเท่านั้น และเมื่อได้ข้อมูลก็จะกลับกันแล้ว

ทั้งนี้ ตำรวจศาลยังคงไม่ยอมให้พวกเธอได้พูดคุยกับจำเลย และบอกให้พวกเธอออกมาจากบริเวณรั้วห้องขังใต้ถุนศาล ก่อนที่จะเข้าแตะตัวหยก ทำให้บุ้งต้องดึงตัวตำรวจศาลไว้ เพื่อให้หยกสลัดตัวออกจากเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้ บุ้งบอกว่า ในระหว่างนั้นเธอโดนสกัดจาก รปภ. โดยเขาทุบที่แขนและหลังเธอตลอดระยะเวลาที่เธอพยายามกันไม่ให้ตำรวจศาลเข้าจับตัวหยก

ต่อมา เมื่อนักกิจกรรมทั้ง 2 ราย สลัดตัวออกจากเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 นายได้แล้ว พวกเธอได้พยายามเดินไปพูดคุยกับตำรวจศาลที่เข้ามาแตะตัวหยก เพื่อต้องการสอบถามว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวมีชื่อว่าอะไร เพราะต้องการจะรู้ว่า มีอำนาจในการแจ้งละเมิดอำนาจศาลจริงอย่างที่ข่มขู่กันหรือไม่

เมื่อถามถึงเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอในช่วงที่บุ้งเตะเข้าที่ต้นขาของตำรวจศาล เธอเปิดเผยว่า อันที่จริงมีเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เจ้าหน้าที่เริ่มกระทำกับเธอก่อน โดยเขาได้ชกเข้าที่บริเวณหัวไหล่ของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเจ็บและโมโห และเริ่มทะเลาะวิวาทกันบริเวณป้อมยามทางออกของศาลอาญากรุงเทพใต้

ซึ่งในระหว่างที่มีปากเสียงกัน และบุ้งยกเท้าเตะใส่ตำรวจศาลนั้น ตำรวจศาลก็ใช้ดิ้วเหล็กที่ถืออยู่ในมือตีเข้าที่บริเวณศอก จนทำให้เกิดแผลและมีเลือดไหลตลอดเวลา”

ทั้งนี้ ทางด้านสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ออกมาชี้แจง ว่า เจ้าพนักงานตำรวจศาลมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล ตามหลักสากล เพื่อให้การดำเนินงานของศาล สามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทุกคนได้สมดังเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดกล้องวงจรปิดในบริเวณศาลสามารถบันทึกไว้ได้

ซึ่งได้มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันอย่างมากมาย อาทิ หลักฐานชัดเจนขนาดนั้นว่าทำร้ายเจ้าหน้าที่ก่อน ที่ผ่านมานางคนนี้โกหกประจำ เชื่อคำแถลงศาลค่ะ, เชื่อศาลค่ะอาจารย์, ศาลท่านดูตามจริง หรือบางคนบอกว่าดูจากคลิป ขออนุญาตเชื่อคำชี้แจงจากศาลครับ หรือ เชื่อคำชี้แจงของศาลครับผมและกล้องวงจรปิด และที่ว่า ใครว่า จนท. ทำไม่ถูก ผมเถียงขาดใจ เสียงออกจะแน่นขนาดนั้น ถึงกับชะงัก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top