Sunday, 4 May 2025
TheStatesTimes

‘อนุทิน’ นำทีมเบิร์ธเดย์ ‘เนวิน’ ครบ 65 ปี บอกอวยพรตามประเพณีด้วยจิตใจที่รักเคารพ

(7 ต.ค.66) ที่ จ.บุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย (มท.) ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เปิดเผยถึงการอวยพรวันเกิดนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่มีอายุครบ 65 ปี เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 6 ต.ค. ภายหลังการสัมมนาสส.ของพรรค นายอนุทิน และแกนนำพรรค พร้อมด้วยสส.ของพรรค ได้อวยพรวันเกิดนายเนวิน ว่า เราอวยพรตามประเพณีด้วยจิตใจที่เรารักเคารพ

เมื่อถามว่า นายเนวินฝากอะไรบ้างหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราทำงานกันเป็นทีมอยู่แล้ว ซึ่งการเป็นพรรคการเมือง เราต้องทำงานให้ประชาชน

เมื่อถามว่า นายเนวินได้พูดถึงเป้าหมายจำนวน สส.ของพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับความขยันของผู้สมัครแต่ละคนด้วย แต่ว่าผู้ปฏิบัติที่บริหารราชการแผ่นดิน ก็ต้องทำงานเต็มที่

‘ลิซ่า’ นั่งอันดับ 1 ‘ตัวแม่ด้านความงาม’ ประจำปี 2023 จากการจัดอันดับของ Influencer Magazine ประเทศอังกฤษ

เมื่อวันที่ 5 ต.ค.66 สร้างตำนานไม่หยุดอีกแล้วสำหรับ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ ที่นอกจากความสำเร็จด้านวงการเพลงแล้ว ด้านวงการแฟชั่นและความงามก็กำลังยืนหนึ่งไม่แพ้กัน

โดยล่าสุดได้รับการจัดอันดับให้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งตัวแม่ด้านความงามอย่าง ‘Beauty Mogul of the Year’ จาก Influencer Magazine Awards 2023 ในอังกฤษ ที่เคยมีตัวแม่อีกคนอย่าง ไคลี เจนเนอร์ เคยได้ติดอันดับท็อปมาแล้ว

ความนิยมของ ‘ลิซ่า’ กำลังทะยานพุ่งขึ้นไม่หยุดเพราะล่าสุดยอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมของเธอก็แตะ 98 ล้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำเอาแฟนๆ ลุ้นว่ายอด 100 ล้านคงจะแตกเร็วๆ นี้แน่นอน

‘ชาดา’ เตือน!! อย่ากลั่นแกล้งแจ้งข้อมูลผู้มีอิทธิพลบิดเบือน พร้อมขอเวลา 2-3 เดือน เก็บข้อมูลทุกด้าน ก่อนเริ่มตัดรากถอนโคน

(7 ต.ค.66) นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดทำบัญชีผู้มีอิทธิพล หลังกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดทำรายชื่อกว่า 700 รายว่า ได้นำรายชื่อมาทำใหม่ ดูพฤติกรรม สิ่งที่กระทำความผิด และบริวาร รวมถึงข้อมูลที่ประชาชนร้องเรียนมา  ตามเบอร์ 088-8878888 เพราะในอดีต เคยผ่านการบริหาร จัดการเรื่องนี้มาแล้ว แต่มีเพียงการส่งรายชื่อมาเท่านั้น จึงไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งนี้ขอให้การส่งข้อมูลมาเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง อย่ากลั่นแกล้งกัน สำหรับรายชื่อที่กระทรวงต่างๆ และบุคคลทั่วไป ส่งมาให้ก็จะผ่านการกลั่นกรองอีกครั้ง

เมื่อถามถึงการจัดระเบียบตามกลุ่มสี รมช.มหาดไทย กล่าวว่า สีแดงคือคนที่กระทำความผิดอยู่ในปัจจุบัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องติดตามดำเนินการอยู่แล้ว อาจยังจับกุมไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน แต่ครั้งนี้จะลงไปทั้งระบบ แบบบูรณาการ อย่างเข้มข้น ทั้งอาณาจักรไม่ใช่เพียงตัวอย่างเดียว แต่จะมีหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงเข้าไป มีเรื่องการตรวจสอบภาษี เรื่องเกี่ยวกับการฮั้วประมูล ประมูล จะเข้าไปตรวจสอบดำเนินการตัดรากถอนโคน จึงขอฝากว่าคนที่คิดไม่ดีคิดไม่ถูกต้องรังแกประชาชนอยู่ ขอให้เลิก มิเช่นนั้นจะเจอกับการตรวจสอบทั้งระบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนกรอบระยะเวลาในการดำเนินการรวบรวมข้อมูลนั้น ยอมรับว่าใช้เวลาพอสมควร ขณะนี้ยังคงรอหน่วยงานอื่นๆ ส่งข้อมูลมาเพื่อจะรวบรวม คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเริ่มปฏิบัติการเข้มข้นไปเรื่อยๆ

‘วิรไท สันติประภพ’ ยกคำกล่าว ‘อาจารย์ป๋วย’ เป็นข้อคิดในการบริหารบ้านเมือง

เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.66) นายวิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'การบริหารบ้านเมืองด้วยความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้มีอำนาจรัฐ' ระบุว่า...

อาจารย์ป๋วยเคยกล่าวไว้ทำนองว่า

ถ้าแพทย์รักษาผู้ป่วยผิดพลาด อาจจะสร้างผลกระทบให้กับชีวิตของผู้ป่วยหนึ่งคนและครอบครัว

ถ้าวิศวกรสร้างตึก หรือสะพานผิดพลาด อาจจะหมายถึงชีวิตคนหลายสิบหรือหลายร้อยคนที่ใช้งาน

แต่ถ้านักเศรษฐศาสตร์ทำนโยบายเศรษฐกิจผิดพลาดแล้ว อาจจะกระทบต่อชีวิตของคนหลายสิบล้านคนทั้งประเทศ

วันนี้ ด้วยพลังของตลาดที่รู้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี แค่ผู้มีอำนาจรัฐเริ่มคิดจะทำนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่รับผิดชอบ ก็ส่งผลเสียต่อชีวิตคนได้ทั้งประเทศแล้ว ผ่านกลไกของตลาดเงินและตลาดทุน

เรามีตัวอย่างนโยบายภาครัฐจากอดีตหลายอันที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสั้นๆ แต่สร้างความบิดเบือนให้กับกลไกตลาด และโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ สร้างภาระทางการคลังแบบได้ไม่คุ้มเสีย และส่งผลกระทบต่อผลิตภาพยาวนานไปอีกหลายปี ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด หรือโครงการรถคันแรก 

ถ้าเริ่มต้นบริหารประเทศด้วยการทำนโยบายที่หวังผลต่อ GDP แค่ช่วงสั้นๆ ผลที่จะเกิดขึ้นกับฐานเสียงในการเลือกตั้งสี่ปีข้างหน้า อาจจะกลับทิศได้อีกด้วย ถึงเวลาใกล้เลือกตั้งรอบหน้าเศรษฐกิจที่โดนกระตุ้นด้วยยาโด๊บเงินดิจิทัล ก็คงหมดพลังลงพอดี นอกจากนี้โครงการภาครัฐดีๆ อีกนับสิบนับร้อยโครงการที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนในวันนี้และวันหน้าอาจโดนถูกตัดงบประมาณลง

ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดว่าประชาชนจำนวนมากต้องการ การเปลี่ยนแปลง การปฏิรูป มากกว่านโยบายประชานิยม เชื่อว่าในอีกสี่ปีข้างหน้า กระแสเรียกร้องเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปจะยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก ในขณะที่ทรัพยากรด้านการคลังจะยิ่งจำกัดมากขึ้น

นอกจากนี้ ถ้าผู้มีอำนาจรัฐเริ่มต้นบริหารประเทศด้วยนโยบายที่ไม่รับผิดชอบแล้ว ความน่าเชื่อถือจะไหลลงเร็ว ทั้งจากในและต่างประเทศ จะทำอะไรต่อไปก็จะยากไปหมด มีแต่ความไม่เชื่อมั่น ความแคลงใจกัน นโยบายที่จะสนับสนุนการปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงสำหรับอนาคตของประเทศจะยิ่งเกิดได้ยากมาก

โจทย์ในวันนี้น่าจะเป็นว่า จะช่วยกันหาทางลงให้กับนโยบายที่หาเสียงไว้แล้ว แต่ไม่ควรทำได้อย่างไร มากกว่าที่จะเดินหน้าต่อ ทั้งที่รู้ว่าจะสร้างปัญหาตามมาอีกมากมาย

เจาะ 'ระเบิด 3 ลูก' อันตราย!! บนตักรัฐบาลเศรษฐา 'แจกเงินดิจิทัล - ประชามติ รธน. - นิรโทษกรรม'

แม้จะขยันขันแข็ง ทำงานเหนื่อยหนัก พักผ่อนนอนน้อยแค่ไหน แต่บางครั้งถ้ากระบวนท่าการรุกรบไม่สอดรับกับสถานการณ์และสวนทางกับความเป็นจริง พลังงานที่ทุ่มลงไปอาจไม่คุ้มค่ากับผลลัพธ์

สดับตรับฟังมาหลายวงสภากาแฟ 'เล็ก เลียบด่วน' ก็เลยนำมาเปิดหัวเรื่อง ส่งถึง ท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ด้วยรักและห่วงใยจร้า...

กลับมาว่ากันที่สถานการณ์บ้านเมือง วันนี้ขอสรุปสั้นฟันธงเปรี้ยงเกี่ยวกับระเบิด 3 ลูกใหญ่ที่รัฐบาลเศรษฐาจะต้องถอดสลัก รับมือให้ดี...

>> ระเบิดลูกแรก ก็คือ นโยบายเติมเงิน ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท ประชุมกันไปแล้ว ตั้งอนุกรรมการกันแล้ว กะว่าอีก 2 สัปดาห์ จะแถลงเสียงดังฟังชัด ว่าเอาเงินมาจากไหน แจกจ่ายเติมเงิน 5.6 แสนล้านกันอย่างไร ขณะที่กระแสภายนอกรุมค้านกันอย่างทรงพลัง โดยเฉพาะนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ 99 คน นำโดยอดีต 2 ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ดร.วิรไท สันติประภพ และ ดร.ธาริษา วัฒนเกษ ร่ายเหตุผล 7 ประการเสนอให้ยกเลิกนโยบายที่จะทำลายการคลังระยะยาว ถ้าจะช่วยเหลือคนมีรายได้น้อยก็ควรทำแบบเฉพาะเจาะจง...

ฟังสุ้มเสียงทางรัฐบาลแล้ว ฟันธงว่า...คำว่า 'ยกเลิก' คงสะกดไม่เป็น เพราะจะเสียหายทางการเมืองหลายแสน แต่คงจะทบทวนเรื่องวิธีการ หรือลดขนาดลงเล็กน้อย...ซึ่งดูแล้วก็ยังน่าเสียวไส้อยู่ดีว่าจะไปไหวหรือเปล่า...

ดีไม่ดีระเบิดลูกนี้ถ้าถอดสลักไม่เนียน...อาจระเบิดใส่ตักคนชื่อเศรษฐาถึงขั้นลาโรงก็ได้นะ อย่าทำเป็นเล่น...

>> ระเบิดลูกที่สอง กรณีรัฐธรรมนูญว่าด้วยการทำประชามติ มีการปรับชื่อคณะกรรมการบางส่วน  ตอนนี้เหลือ 34 อรหันต์...ฟันธงว่าผลศึกษาที่พอจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างก็ปีหน้า...สุดท้ายก็จะตั้งคำถามเพื่อลงประชามติรอบแรก จากนั้นก็น่าจะเกิดสสร.ลูกผสมไปแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 แล้วลงประชามติกันเป็นครั้งที่สอง เมื่อแก้มาตรา 256 เสร็จแล้วก็มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันต่อ แล้วนำไปลงประชามติอีกรอบ...เป็นหนที่สาม

เบ็ดเสร็จได้หย่อนบัตรกัน 3 ครั้งๆ ละประมาณ 4 พันล้านบาท...เวลาที่ใช้ทั้งหมด ไม่น้อยกว่า 3 ปี...ปัญหามีอยู่ว่ารัฐบาลเศรษฐาจะอยู่ถึงวันนั้นหรือไม่ ถ้ากลายเป็นรัฐบาลอุ๊งอิ๊งก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้ากลายเป็นรัฐบาลอื่น...ท่าจะยุ่ง...

>> ระเบิดลูกที่สาม กรณีนิรโทษกรรมคดีอันเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง เรื่องนี้พรรคก้าวไกลมีแนวร่วมที่ติดคดีพวกนี้อยู่เยอะมากโดยเฉพาะความผิด มาตรา 112 ต้องการที่จะปลดปล่อยคนพวกนี้ แต่มากกว่านั้นพรรคก้าวไกลรู้ดีว่าวันนี้ทุกสีเสื้อทางการเมืองก็อยากออกจากพันธนาการนี้...ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มนปช.เสื้อแดง กลุ่มกปปส. ก้าวไกล จึงช่วงชิงเสนอร่างกฎหมายนี้เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา...'เล็ก เลียบด่วน' ยังไม่ขอลงรายละเอียดในวันนี้...

งานนี้พรรคเพื่อไทยน่าจะอึดอัดใจไม่น้อย จะเมินเฉยไม่นำพาก็ดูไร้น้ำใจเหมือนละทิ้งมวลชน ถูกอัดยับแน่ว่า 'ทักษิณ' รอดตายอยู่คนเดียวจึงไม่สนใจคนอื่น แต่ครั้นจะเสนอร่างประกบโดยไม่ครอบคลุมนิรโทษความผิดมาตรา 112 ด้อมส้มก็ถล่มเละ...ก็คงต้องดูกระบวนท่าว่านายกฯเศรษฐาและเพื่อไทยจะเอาไง...

จะเอาไงไม่เอาไงก็ว่ากันไป...แต่ 'เล็ก เลียบด่วน' ส่งเสียงมานานแล้วว่า...ถ้ารัฐบาลชุดนี้ทำให้เกิดบรรยากาศปรองดอง สมานฉันท์ไม่ได้ เพราะภาพหลอนคำว่า 'นิรโทษกรรม' ก็จะน่าเสียดายเป็นที่ยิ่ง...

สรุปก็คือ อย่าหลอน...รัฐบาลเพื่อไทยต้องทำ...แต่จะทำแบบไหน ไม่ยากถ้าสุมหัวพรรคร่วมช่วยกันคิด...ถ้าไม่ทำ...บางคนบอกว่าเลือกตั้งรอบหน้าพรรคก้าวไกลอาจแลนด์สไลด์ของจริง...

สวัสดี!!

กระแส ‘ตลาดรถ NEV’ ของจีนส่งสัญญาณคึกคัก ดันยอดจำหน่ายช่วง ม.ค.-ส.ค. ปาไป 5.37 ล้านคัน

เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า งานจัดแสดงยานยนต์ในช่วงหยุดยาววันชาติจีน (29 ก.ย.-6 ต.ค.) หรือ ‘สัปดาห์ทอง’ ได้สะท้อนความนิยมยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ที่เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นดาวเด่นดวงใหม่ของงานจัดแสดงยานยนต์ทั่วจีน

งานจัดแสดงยานยนต์พลังงานใหม่นานาชาติแห่งเหอเฝย ปี 2023 ในนครเหอเฝย มณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน เมื่อวันที่ 29 ก.ย.-4 ต.ค. มีการจัดแสดงยานยนต์พลังงานใหม่จาก 95 แบรนด์ในประเทศและต่างประเทศมากกว่า 1,000 คัน

“หลังคำนวณราคาและปัจจัยอื่นๆ คิดว่าพร้อมซื้อรถยนต์พลังงานใหม่สักคัน จึงมาเดินงานนี้เพื่อดูรุ่นที่เหมาะสม” จางจู้ ชาวเมืองเหอเฝยที่มีรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันแล้วกล่าว โดยจึงอยากซื้อรุ่นที่ราคาราว 2 แสนหยวน (ราว 1.02 ล้านบาท)

นอกเหนือจากรถยนต์ขนาดเล็กมูลค่าหลายหมื่นหยวน งานนี้ยังนำเสนอรถยนต์ที่มีคุณสมบัติครบครันมูลค่าสูงถึง 1 ล้านหยวน (ราว 5.13 ล้านบาท) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายอีกด้วย

งานนี้มีบรรดาแบรนด์ยานยนต์พลังงานใหม่ ครอบคลุมยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างออดี เมอร์ซิเดซ-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงผู้ผลิตยานยนต์ม้ามืดจากจีนอย่างบีวายดี เชอรี และนีโอ เข้าร่วมจัดแสดงยานยนต์อย่างคึกคัก

อู๋หู่ ผู้เข้าชมงานนี้อีกคนหนึ่ง เผยว่าประสบการณ์การขับขี่อัจฉริยะและคุณสมบัติด้านความบันเทิงของยานยนต์พลังงานใหม่แบรนด์ภายในประเทศนั้นน่าสนใจมาก ไต้เสี่ยวฮุย พนักงานประจำบูธของเชอรี ผู้ผลิตยานยนต์ภายในประเทศ กล่าวว่ามีคำสั่งซื้อรถยนต์รุ่นต่างๆ มากกว่า 100 รายการในวันเดียว ซึ่งเท่ากับยอดจำหน่ายทั้งเดือนของร้านตัวแทนจำหน่ายระดับมาตรฐาน

เจิ้งลี่ ชาวเมืองเหอเฝยผู้เข้าชมงานนี้อีกคน เผยว่าการก่อสร้างและความครอบคลุมของสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการชาร์จไฟในปัจจุบันมีเพียงพอแล้ว ทำให้ยานยนต์พลังงานใหม่ตอบสนองความต้องการเดินทางได้เต็มที่

อนึ่ง ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน ระบุว่าจีนเป็นผู้ผลิตและตลาดยานยนต์พลังงานใหม่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยยอดจำหน่ายยานยนต์พลังงานใหม่ของจีน ช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม รวมอยู่ที่กว่า 5.37 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.2 เมื่อเทียบปีต่อปี

แผนงานด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ฉบับล่าสุดของรัฐบาลจีน กำหนดเป้าหมายผลักดันยอดจำหน่ายยานยนต์พลังงานใหม่ในปีนี้แตะหลัก 9 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบปีต่อปี

'รมว.อว.' ชี้แจง ปมเลื่อนส่ง 'THEOS-2' ดาวเทียมสำรวจโลกกะทันหัน เหตุพบสัญญาณผิดปกติในจรวดนำส่ง ส่วนกำหนดการใหม่รอแจ้งอีกครั้ง

(7 ต.ค.66) กรณีการส่งดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ของไทยขึ้นสู่วงโคจรในช่วงเช้าของวันที่ 7 ต.ค.ที่ ท่าอวกาศยานเฟรนช์เกียนา ทวีปอเมริกาใต้ และปรากฏว่าระบบมีการแจ้งเตือนว่าพบปัญหาจากอุปกรณ์บางอย่างจึงเลื่อนการนำส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรออกไปก่อนนั้น

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. เปิดเผยหลังจาก Arianespace แจ้งเลื่อนการนำส่งดาวเทียม THEOS-2 ก่อนนับถอยหลังเพียง 14 วินาที เนื่องจากระบบตรวจสอบได้พบค่ากระแสไฟฟ้าเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (threshold) ที่อุปกรณ์ Safety Management Unit ของจรวดนำส่ง ระบบจึงตัดการทำงานทั้งหมดโดยอัตโนมัติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียดจาก Arianespace ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในช่วงเช้าวันที่ 8 ตุลาคม (ตามเวลาท้องถิ่น) หรือ คืนนี้ตามเวลาในประเทศไทย ส่วนกำหนดการส่งใหม่อีกครั้งจะเป็นวันและเวลาใด ทาง GISTDA จะแจ้งให้ทราบต่อไป

เปิดจดหมาย ‘พ่อแม่’ ผู้ก่อเหตุสลดที่สยามพารากอน น้อมรับผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมขอโทษ-ขอขมาเหยื่อ

เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.66) ครอบครัวของเด็กชายวัย 14 ปี ที่ก่อเหตุสลดในห้างสรรพสินค้าพารากอน เขียนจดหมายแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า…

ผมและครอบครัวรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งและขอโทษอย่างที่สุดกับผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และครอบครัว สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของลูกชายของเราที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนที่ผ่านมา รวมทั้งกับประชาชน นักท่องเที่ยว เจ้าของกิจการ ห้างร้าน และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หรือบริเวณใกล้เคียงที่ต้องอพยพ หรือเดือดร้อน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งของประเทศไทย จีน เมียนมา ลาว และทุกฝ่าย 1 ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ตลอดจนความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นส่วนรวมของประเทศด้วย

ผมและครอบครัวต้องขออภัยที่ไม่ได้สื่อสารต่อสาธารณะให้เร็วกว่านี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมและครอบครัวอยู่ในระหว่างกระบวนการและขั้นตอนทางกฎหมาย ลูกชายเราถูกควบคุมตัวไว้ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนตามคำสั่งศาลคดีเต็กและเยาวชน โดยผมและครอบครัวไม่ได้ยื่นขอประกันตัว เพราะผมและครอบครัวตั้งใจจะให้ความร่วมมือกับทางการอย่างเต็มที่ ในการค้นหาข้อเท็จจริง และให้เกิดความมั่นใจว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงซ้ำขึ้นอีกจากกรณีเดียวกัน

เราเสียใจและตกใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และน้อมรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่เท่าที่เราสามารถจะกระทำได้ ทั้งขอให้คำมั่นว่า เราจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และทุกหน่วยงาน ในการดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งบรรเทาและเยียวยาผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้ง

ผมและครอบครัวกราบขอโทษและขอขมาต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัว ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดจากเหตุการณ์นี้และทุกคนจากใจด้วยความเคารพครับ

ผู้ปกครองของเด็กที่ก่อเหตุ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่เขตบางกะปิ จัดคาราวาน ปันความสุข ให้ชุมชน ครั้งที่ 3 มอบของรางวัลกว่าร้อยรายการ ณ โรงเรียนบ้านบางกะปิ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2566)  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ จัดคาราวาน “ป่อเต็กตึ๊ง ปันความสุข ให้ชุมชน” ยกทัพอาสาสมัครศิลปิน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายธวัชชัย คชาอนันต์ (แฮ็ค ชวนชื่น) นางสาววรินดา คุปติธรรมกุล (ปุ๊กกี้) นางสาวอธิชา เทศขำ (เมย์-อธิชา) นางสาวอรภัสญาน์ สุกใส (มิ้วส์) นางสาวไดอนา แอน คาฮิลส์ และอาสาสมัครศิลปินอีกหลายท่าน ร่วมกิจกรรมแจกของขวัญ และของรางวัลสุดพิเศษกว่า 100 รายการ พร้อมจัดบริการด้านการแพทย์ฟรีจากหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชนมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และกิจกรรมนันทนาการจากหน่วยงานในเครือ 3 สถาบัน ได้แก่ โรงพยาบาลหัวเฉียว คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว และมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ อาทิ กิจกรรม ตรวจรักษาโรคทั่วไป แจกจ่ายยา นวดทุยหนา ตรวจและแจกแว่นสายตา ตัดผม การบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 การเจาะเลือด เพื่อตรวจการทำงานของตับ ไต ไขมันในเส้นเลือด น้ำตาลในเลือด และเก๊าท์เบื้องต้น ฯลฯ รวมทั้งจัดให้มีการแจกจ่ายอาหารและเครื่องดื่มให้กับประชาชนภายในเขตบางกะปิ  โดยมี นายวันชิด ศิรสีห์ รองผู้จัดการใหญ่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นผู้กกล่าวรายงาน พร้อมด้วย นายชูชาติ พุ่มน้อย ผู้อำนวยการเขตบางกะปิ อาสาสมัครมูลนิธิฯ แขกผู้มีเกียรติ และประชาชนจำนวนมาก ร่วมในพิธี ณ โรงเรียนบ้านบางกะปิ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

‘เพื่อไทย’ ยืนยัน รับฟังข้อเสนอแนะทุกฝ่าย ปมเงินดิจิทัล 10,000 บาท อยากวอนคนค้าน ฟังเสียงปชช. เหตุลงพื้นที่มีแต่คำถาม “เมื่อไหร่จะได้”

(7 ต.ค.66) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการ และรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.)กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยรับทราบถึงข้อคิดเห็นจากหลายฝ่ายเกี่ยวกับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ ดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งมีทั้งบวกและลบ จากนักวิชาการบางส่วน จึงขอทำความเข้าใจ ดังนี้ 

1. ที่มาของออกนโยบายดังกล่าว มาจากการที่พรรคเพื่อไทยได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน คนหาเช้ากินค่ำ และพี่น้องเกษตรกร ต่างต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก จากปัญหาที่สะสมมาตลอดระยะเวลาหลายปี โดยเฉพาะในช่วงโควิดที่ทำให้ชีวิตของพี่น้องประชาชนสะดุดจนติดลบ จนทำให้หนี้ครัวเรือนปี 63 พุ่งขึ้น 10 เท่าจากปี 53 และในไตรมาส 1 ปี 66 อยู่ที่ 90.6% ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงโควิดจนมาถึงปัจจุบัน หนี้ที่เพิ่มขึ้นเพราะประชาชนอ่อนแอเปราะบาง เป็นที่มาของการ ‘ลดรายจ่าย’

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า 2.จากการประเมินของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า โครงการดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 2-3 รอบ (fiscal multiplier) คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1-1.6 ล้านล้านบาท และประเมินจีดีพีไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ถึง 5-7%  แม้ถูกมองว่าเป็นการกระตุ้นระยะสั้น แต่พรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นการเริ่มต้นปูพื้นฐานที่แข็งแรงให้กับเศรษฐกิจในปี 2567 เพื่อที่ในปีต่อๆ ไป การลงทุนจากต่างประเทศจะเข้ามามากขึ้น เป็นที่มาของการ ‘เพิ่มรายได้’ ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ค่าแรง 600 บาทใน 4 ปี และเงินเดือนปริญญา 25,000 บาท ที่กำลังจะตามมา 3.โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่เป็นการลงทุนระยะยาว ยังมีหลากหลายโครงการที่รัฐบาลเตรียมการไว้ด้วยเช่นกัน เช่น โครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) หรือ โครงการแลนด์บริดจ์, โครงสร้างพื้นฐาน ที่ จ.ภูเก็ต, โครงการอีอีซี และระบบขนส่งมวลชนต่างๆ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น สามารถดำเนินควบคู่กันไปกับโครงการขนาดใหญ่ ที่เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวอีกว่า และ 4.ขณะนี้ประเทศไทย อยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น กนง.ได้ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด 0.25% เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 จาก 2.25% เป็น 2.50% ต่อปี และเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยติดกัน 8 ครั้ง นับตั้งแต่ 10 สิงหาคม 2565 อาจส่งผลให้การลงทุน และการส่งออกของไทยหดตัวลงได้ ดังนั้นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ควบคู่การลดรายจ่ายให้กับประชาชนระดับฐานรากของสังคม และการลงทุนขนาดใหญ่ เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำ เป็นทางออกที่เหมาะสม และจะช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตในระยะยาวได้

“พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล มองภาพใหญ่ ภาพรวม ของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ที่ สส.พื้นที่เราได้รับฟังเสียงสะท้อนมาตลอด ที่ผ่านมา ไม่มีใครบอกว่าไม่อยากได้เงินดิจิทัล 10,000 บาท มีเพียงคำถามว่า ‘เมื่อไหร่จะได้เงินหมื่น?’ ข้อกังวล เรารับทราบ ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการเราเปิดรับเสมอ แต่อยากให้คนที่คัดค้าน ฟังเสียงประชาชนร่วมด้วย คนที่เขารอรับ เขาอาจเสียงไม่ดังเหมือนพวกท่าน แต่พวกเขาเดือดร้อนและรออยู่” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top