Sunday, 4 May 2025
TheStatesTimes

‘สหรัฐฯ’ จ่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกเพิ่ม หวังสกัดกั้นผู้อพยพ อ้าง!! เป็นงบที่เหลือค้างจากนโยบายของรัฐบาล ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

(6 ต.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซีรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ว่าจะสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกเพิ่มอีกราว 20 กิโลเมตรในสตาร์ เคาน์ตี้ รัฐเท็กซัส เพื่อสกัดการเข้าประเทศของผู้อพยพจากเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นการเดินหน้าในนโยบายหลักของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สนับสนุนให้มีการสร้างกำแพงตามชายแดนที่ติดกับประเทศเม็กซิโก

หลังจากที่ประธานาธิบดีไบเดนขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ต่อจากทรัมป์ในเดือนมกราคมปี 2021 หนึ่งในสิ่งแรกที่เขาทำคือออกแถลงการณ์ให้คำมั่นว่า “ภาษีของชาวอเมริกันจะไม่ถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนอีก” รวมถึงสั่งให้มีการตรวจสอบทรัพยากรทั้งหมดที่ถูกใช้ในการสร้างกำแพงไปแล้ว

อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า การตัดสินใจที่จะสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโกเพิ่มนั้นไม่ได้หันเหไปจากแถลงการณ์ให้คำมั่นของไบเดนเมื่อปี 2021 แต่อย่างใด เพราะงบประมาณที่ถูกจัดสรรไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทรัมป์เมื่อปี 2019 จำเป็นต้องนำออกมาใช้ตอนนี้ ‘นายอเลฮานโดร มายอร์กาส’ รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ระบุว่า ไม่มีนโยบายการบริหารใหม่เกี่ยวกับกำแพงชายแดน ตั้งแต่วันแรกของการทำงาน ฝ่ายบริหารได้แสดงชัดเจนว่ากำแพงกั้นชายแดนไม่ใช่คำตอบ

มายอร์กาส กล่าวว่า โครงการก่อสร้างกำแพงชายแดนดังกล่าวได้รับการจัดสรรงบไว้แล้วในสมัยรัฐบาลของทรัมป์ และกฎหมายระบุให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณดังกล่าว ตามที่มีการประกาศเมื่อช่วงต้นปีนี้

“เราได้ขอให้สภาคองเกรสยกเลิกงบประมาณดังกล่าวหลายครั้ง แต่พวกเขายังไม่ทำเช่นนั้น เราจึงต้องดำเนินการตามที่กฎหมายระบุ และในปัจจุบันมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสร้างเครื่องกีดขวางและถนนใกล้กับชายแดนสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย” มายอร์กาส กล่าว

ด้านอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ได้รีบออกมาประกาศชัยชนะในนโยบายสร้างกำแพงของตนเอง และเรียกร้องให้ประธานาธิบดีไบเดนออกมาขอโทษเขา และประเทศอเมริกาที่เดินหน้าในเรื่องกำแพงชายแดนล่าช้ากว่ากำหนด

ขณะที่ประเทศเม็กซิโกได้ออกมาคัดค้านแผนการสร้างกำแพงชายแดนเพิ่มของสหรัฐฯ ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศ ได้มีการหารือกันในกรุงเม็กซิโก ซิตี เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก

โดย ‘นายอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์’ ประธานาธิบดีเม็กซิโกกล่าวประณามว่า เป็นการเดินถอยหลัง และ ‘อลิเซีย บาร์เซนา’ รัฐมนตรีต่างประเทศเม็กซิโก กล่าวคัดค้านแผนดังกล่าวเช่นกัน รวมถึงสมาชิกพรรครีพับลิกันและเดโมแครตหลายคนได้ออกมาวิจารณ์ไบเดน จากการหันมาเดินหน้าสร้างกำแพงกั้นชายแดนเพิ่ม

7 ตุลาคม พ.ศ. 2463 ‘เรือหลวงพระร่วง’ เรือรบหลวงลำแรกของไทย เดินทางมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา

วันนี้ เมื่อ 103 ปีก่อน ‘เรือหลวงพระร่วง’ เรือรบหลวงลำแรกของไทย เดินทางมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้การบังคับการโดย ‘กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์’ 

เรือหลวงพระร่วง เป็นเรือหลวงลำแรกในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งข้าราชการและประชาชนผู้มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องสร้างเรือรบไว้เพื่อป้องกันราชอาณาจักรทางทะเล จึงร่วมกันจัดตั้ง ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ (The Royal Navy League of Siam) ขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2457 เพื่อเรี่ยไรทุนทรัพย์ซื้อเรือรบถวายเป็นราชพลี 

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความยินดีและเห็นชอบ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามเรือนี้ว่า พระร่วง อันเป็นสิริมงคลตามวีรกษัตริย์อันเป็นที่นับถือของชาวไทยทั่วไป พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการหาทุนเพื่อสร้างเรือลำนี้ เช่น ได้แก้ไขบทละครเรื่อง ‘มหาตมะ’ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2475 ทรงนำเรื่องการเสียสละทุนทรัพย์สมทบทุนสร้างเรือรบเข้ามาเป็นหัวใจของเรื่อง และได้โปรดเกล้าฯ ให้มีการแสดงเพื่อเก็บเงินสมทบทั้งในพระนครและต่างจังหวัด ทั้งยังมีการแสดงละครพระราชนิพนธ์อีกหลายเรื่องตลอดจนโปรดเกล้าฯ ให้มีการประกวดภาพเพื่อหารายได้อีกด้วย 

นอกจากนั้นพระองค์ยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวน 80,000 บาท กับเงินที่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการได้พร้อมใจกันออกทุนเรี่ยไรถวายเมื่อครั้งจัดงานพระราชพิธีทวีธาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งยังเหลือจากการใช้จ่ายเป็นจำนวนเงิน 116,324 บาท ทั้งยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งโปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์อีกเป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท เมื่อรวมกับเงินที่เรี่ยไรทั่วพระราชอาณาจักร ได้จำนวนรวมทั้งสิ้น 3,514,604 บาท 1 สตางค์ ในปี พ.ศ. 2463

ต่อมา นายพลเรือโท พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงพิเศษออกไปจัดซื้อเรือในภาคพื้นยุโรปพร้อมด้วยนายทหารอีก 5 นาย คณะข้าหลวงพิเศษตรวจการซื้อเรือในภาคพื้นยุโรปชุดนี้คัดเลือกได้เรือพิฆาตตอร์ปิโด มีนามว่า ‘เรเดียนท์’ (RADIANT) ของบริษัทธอร์นิครอฟท์ (Thornycroft Co.,) ประเทศอังกฤษ ซึ่งเห็นว่าเหมาะสมแก่ความต้องการของกองทัพเรือและเป็นเรือที่ต่อขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 ระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้นสงครามยุติลงเมื่อ พ.ศ. 2461 อังกฤษจึงยินดีขาย คณะข้าหลวงพิเศษได้ตกลงซื้อเรือลำนี้เป็นเงิน 200,000 ปอนด์ ส่วนเงินที่เหลือจากการซื้อเรือนั้นได้พระราชทานให้แก่กองทัพเรือไว้สำหรับใช้สอย เสด็จในกรมฯ ได้เป็นผู้บังคับการเรือลำนี้จากประเทศอังกฤษเข้ามาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2463 นับเป็นเกียรติประวัติครั้งแรกที่คนไทยเดินเรือทะเลได้ไกลถึงเพียงนี้

สำหรับสมรรถนะของเรือหลวงพระร่วงมีดังนี้ คือ มีระวางขับน้ำ 1,046 ตัน ความยาวตลอดลำ 83.57 เมตร ความกว้างสุด 8.34 เมตร กินน้ำลึก 4 เมตร อาวุธปืน 102 ม.ม. 3 กระบอก ปืน 76 ม.ม. 1 กระบอก ต่อมาติดปืน 40 ม.ม. 2 กระบอก ปืน 20 ม.ม. 2 กระบอก มีตอร์ปิโด 21 นิ้ว 4 ท่อ มีรางปล่อยระเบิดลึก และมีแท่นยิงปืนระเบิดลึก 2 แท่น เครื่องจักรเป็นแบบไอน้ำแบบ บี.ซี. เกียร์ เทอร์ไบน์ จำนวน 2 เครื่อง ใบจักรคู่ กำลัง 29, 000 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 35 น นอต ความเร็วมัธยัสถ์ 14 นอต รัศมีทำการเมื่อความเร็วมัธยัสถ์ 1,896 ไมล์ ทหารประจำเรือ 135 คน

๘ ตุลาคม วันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี กับวีระยุทธ ดิษยะศริน เป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเป็นพระภาคิไนยในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

>>พระประวัติ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ หรือพระนามลำลองว่า พระองค์หริภา ประสูติเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2525 ณ พระตำหนักใหม่ สวนจิตรลดา เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี กับนาวาอากาศเอกวีระยุทธ ดิษยะศริน มีพระขนิษฐาหนึ่งพระองค์ คือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ

เมื่อประสูติพระองค์ดำรงพระยศที่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระโอรสพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ให้ดำรงฐานันดรศักดิ์เป็น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า ทุกพระองค์ ซึ่งพระยศดังกล่าวเทียบเท่าตำแหน่ง "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า"

>>การศึกษา
พระองค์เข้ารับการศึกษาระดับอนุบาลปีที่ 1 - ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนจิตรลดา, ประถมศึกษาปีที่ 5 - มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนฮอล์ตัน-อามส์ (Holton-Arms School) รัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา, ระดับเกรด 8 โรงเรียนเฮอร์เบิร์ตฮูเวอร์มิดเดิล (Herbert Hoover Middle School) สหรัฐอเมริกา, ระดับเกรด 8-11 โรงเรียนมัธยมวอลเตอร์ จอห์นสัน (Walter Johnson High School) สหรัฐอเมริกา ภายหลังได้นิวัติกลับประเทศไทยและเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5-6 โรงเรียนจิตรลดา

ส่วนระดับอุดมศึกษา ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาพพิมพ์ (เกียรตินิยมอันดับ 2) คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ปัจจุบันสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาศิลปไทย ภาควิชาศิลปไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร

>>พระกรณียกิจ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ทรงประกอบพระกรณียกิจทั้งในด้านการสนองพระเดชพระคุณในฐานะพระราชวงศ์ และพระกรณียกิจในด้านต่าง ๆ อาทิ

- รองประธานกิตติมศักดิ์ มูลนิธิอนุรักษ์และพัฒนาอากาศยานไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ สมาคมกีฬาทางอากาศและการบินแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- ประธาน ศูนย์ปฏิบัติการบินอาสา อนุรักษ์และกู้ภัย สิริภาจุฑาภรณ์ เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยพิบัติ
- โครงการงานบ้านกู้ภัย ‘โครงการบ้านกู้ภัยร่วมใจสิริภา’ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบพิบัติภัย

>>ด้านศิลปะ
ทรงส่งเสริมงานด้านต่าง ๆ ของคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทย ต่าง ๆ อาทิ

- ทรงจัดประมูลงาน ‘ภาพฝีพระหัตถ์พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์’ เพื่อช่วยเหลือสุนัขจรจัด ในงาน ‘นิทรรศการศิลปะเพื่อสุนัข My Friends’
- งานบูรณะพระวิหาร บูรณะภาพจิตรกรรมฝาผนังบูรณะศาลาบ่อทิพย์ และปรับพื้นที่ภูมิทัศน์ วัดธาราทิพย์ชัยประดิษฐ์ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
- โครงการจัดสร้างสวนประติมากรรม ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพุทธศาสนา’ เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ และสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับชุมชน
- โครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์เวียงท่ากาน ตำบลบ้านกลาง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
- โครงการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังพระวิหารวัดหนองน้ำขุ่น ตำบลวังหว้า อำเภอแกลง จังหวัดระยอง

‘น้าเน็ก’ สอน!! เงินมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ขอคนยุคนี้ อย่าให้ ‘วัตถุ-เงินทอง’ มีค่าเหนือชีวิต

(6 ต.ค.66) สายสัมภาษณ์หนึ่งที่โทรเข้ามาในรายการอย่าหาว่าน้าสอน ได้สอบถามถึงคุณค่าของเงินในโลกทุนนิยม โดยน้าเน็กได้ให้ข้อคิดส่วนหนึ่งสะท้อนผ่านมุมคิด ‘ความฝันแบบทุนนิยม’ ไว้ในรายการว่า...

“พี่รู้จักคนที่มีมากกว่าหมื่นล้านอีก แต่เขายังต้องทำงานหนัก พี่ก็ได้แต่สงสัยว่าตัวเลขเท่าไหร่ถึงจะพอ เพราะไปถึงตรงนั้นเขาไม่ได้ต้องการอิสระแล้วครับ เขาต้องใช้ชีวิตทั้งหมดเพื่อดูแลธุรกิจระดับหมื่นล้านของเขาครับ แล้วสิ่งของรอบกายของเขาไม่ว่าจะเป็น แต่ความรับผิดชอบ หรืออะไรบางอย่างที่มันใหญ่โตตามตัว มันก็ไม่ได้ทำให้เขามีอิสระทางการเงินหรอกครับ

“ในความเชื่อของพี่นะครับ พี่มีความรู้สึกว่า พี่ไม่เคยเอาสิ่งของภายนอกมายืนยันตัวตนภายใน สมมุติว่าเราเห็นใครสักคน ไอ้นี่ใครไม่รู้ แต่แม่งใส่นาฬิกาปาเต๊ะด้วย แปลว่าอะไร นาฬิกาใหญ่กว่าคน พี่ไม่มีวันยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตครับ แปลว่าคนต้องใหญ่กว่าของ แต่ในโลกทุนนิยมมันเป็นการยากที่มันจะยืนยันตัวตนภายใน ผู้คนก็เลยใช้วิธีการใช้ของภายนอก ยืนยันตัวตนภายใน

“แล้วคนจำนวนไม่น้อยก็ยึดถือซะด้วย กูไม่รู้หละ ว่ามึงเป็นใคร แต่มึงมีกระเป๋าแบรนด์เนมแปลว่ามึงเจ๋ง มึงดูรวยมึงดูฟู่ฟ่า มึงลงไอจีกินแต่อาหารแพง แปลว่ามึงเป็นคนเจ๋งแน่ โดยไม่มีใครสนว่ามึงรวยมาจากอะไร มึงอาจจะเทาๆ ก็ได้ แต่คนไม่สนขอแค่มึงรวยก็พอ … เต้ (ผู้โทรเข้าสาย) เป็นเด็กอายุ 20 อย่าติดกับดักของทุนนิยม พี่ไม่เถียงว่าเงินก็มีความสำคัญในการมีชีวิต แน่นอนพี่ไม่ได้โลกสวยขนาดนั้น ไม่มีตังกูจะเอาอะไรมาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ จ้างลูกน้อง แต่ อย่าให้มันเป็นทั้งหมดในชีวิตครับ...”

9 ตุลาคม ของทุกปี ตรงกับ ‘วันไปรษณีย์โลก’ ย้อนรำลึกวันวานส่งข่าวสารผ่านจดหมาย

วันไปรษณีย์โลก (World Post day) จะมีขึ้นทุกปีในวันที่ 9 ตุลาคม เพื่อเป็นการระลึกถึง วันเริ่มก่อตั้งสหภาพไปรษณีย์สากล

ก่อนที่จะมีสหภาพไปรษณีย์สากล การที่ประเทศหนึ่งจะแลกเปลี่ยนไปรษณีย์กับประเทศอื่นได้ต้องมีการทำสนธิสัญญากับแต่ละประเทศคู่สัญญา อีกทั้งการส่งจดหมายระหว่างประเทศมักต้องติดแสตมป์ของประเทศต่าง ๆ ที่จดหมายเดินทางผ่าน จึงมีการเรียกร้องให้มีการประชุมนานาชาติในเรื่องนี้ จนกระทั่ง เมื่อ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2417 ในการประชุมที่กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ลงนามในสนธิสัญญาเบิร์น จัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศได้สำเร็จ ใช้ชื่อว่า สหภาพไปรษณีย์ทั่วไป และในการประชุมไปรษณีย์สากลสมัยถัดไป พ.ศ. 2421 (ค.ศ. 1878) ที่กรุงปารีส เห็นว่าจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้น จึงได้ลงมติเปลี่ยนมาใช้ชื่อ สหภาพไปรษณีย์สากล Universal Postal Union จนถึงปัจจุบัน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 สมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ได้กำหนดให้วันที่ 9 ตุลาคม เป็นวันไปรษณีย์โลก World Post Day และประเทศสมาชิกตกลงร่วมกันที่จะเฉลิมฉลองในโอกาสนี้โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเขียนจดหมาย อันเป็นการสร้างสัมพันธภาพ และเสรีภาพผ่านตัวอักษร โดยไม่จำกัดเชื้อชาติหรือศาสนา ให้ทุกคนบนโลกใบนี้สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้อย่างทั่วถึง

‘เพื่อไทย’ หนุน!! ‘พรบ.อากาศสะอาด’ ทวงคืนไฮซีซันท่องเที่ยวภาคเหนือ พร้อมดันรถไฟฟ้า 20 บาท คลายมลพิษเมืองกรุงจากฝุ่น PM

ดูเหมือนการมุ่งเป้าแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จะถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจังและเข้มข้น หลังจากเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 พรรคเพื่อไทยได้ยื่นร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด เพื่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเข้าสู่สภา เพื่อเร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง ซึ่งมีการปรับปรุงร่างกฎหมายให้มีกลไกแก้ไขปัญหาที่เข้ากับสถานการณ์มากขึ้น โดยให้มีบทลงโทษแก่ผู้ก่อมลพิษเผาป่าในประเทศ รวมถึงกลไกแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน ให้มีการลงโทษบริษัทที่ทำให้เกิดมลพิษข้ามแดนด้วยเช่นกัน

(6 ต.ค. 66) นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ต้นตอ ด้วย พรบ.อากาศสะอาด เพื่อไทยทุกคน’ ระบุว่า...

ปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพของประชาชน รวมไปถึงกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของไทย กล่าวคือ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 (1 ม.ค. ถึง 31 มี.ค.) พบผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในไทย กว่า 2 ล้านราย ซึ่งผลการศึกษาของกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ IQAir พบว่าในปี 2563 มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทยกว่า 14,000 ราย และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 149,367 ล้านบาท โดยกรุงเทพมหานคร มีความเสียหายมูลค่าทางเศรษฐกิจจากมลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 ถึง 104,557 ล้านบาท โดยคิดเป็นร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (City’s GDP)

ในขณะเดียวกัน ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล โดยทางภาคเหนือ ในช่วงต้นปีซึ่งควรจะเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยวไทย แต่นักท่องเที่ยวกลับมีความกังวลเรื่องมลพิษทางอากาศที่สูงเกินมาตรฐาน สาเหตุหลักเกิดจากการเผาทั้งในและนอกประเทศ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากตัดสินใจไม่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงเวลานี้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากสูญเสียโอกาสการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวโดยสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ก่อ 

ดังนั้น พรบ.อากาศสะอาด ฉบับนี้ จะแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เพื่อทวงคืนไฮซีซันของการท่องเที่ยวกลับคืนมาให้กับพี่น้องประชาชนภาคเหนือ

เมื่อพิจารณาที่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร สาเหตุหลักของฝุ่น PM 2.5 กว่า 50% เกิดมาจากภาคการขนส่ง กระทรวงคมนาคมพร้อมมีส่วนร่วมในการส่งเสริมอากาศสะอาดให้กับคนไทย โดยการรณรงค์ให้ประชาชนได้เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เริ่มจากเส้นเลือดใหญ่ในการขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้า มีการเร่งผลักดันให้เป็น 20 บาทตลอดสาย โดยวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา รฟม.ได้มีการอนุมัติรถไฟฟ้าสายสีม่วงให้เป็น 20 บาทตลอดสายเป็นที่เรียบร้อย เตรียมเสนอให้ ครม.อนุมัติในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ในขณะเดียวกัน ด้านเส้นเลือดฝอย ขสมก.ก็มีแผนเปลี่ยนรถโดยสารประจำทาง EV จากปีนี้ จำนวน 224 คัน ให้เพิ่มเป็น 2,013 คัน ภายในปี 2568

เพราะสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยคือมาตรฐานของเราครับ ❤️

‘Zhang Xinyang’ สุดยอดเด็กจีนอัจฉริยะ จบโทตอน 15 ต่อเอกตอน 16 สู่ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักโต เพราะพิษผลพวงจากความคาดหวังของพ่อ-แม่

‘Zhang Xinyang’ อัจฉริยะ...ผู้ล้มเหลว

ความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ของ ‘พ่อ-แม่’ อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสของผู้เป็นลูก ข่าวของเด็กชายวัย 14 ปี ที่ใช้อาวุธปืนกราดยิงในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน นำมาซึ่งความหดหู่เศร้าใจแก่สังคมไทยอย่างมาก มีเรื่องราวที่กล่าวถึงมากมาย ซึ่งรวมแล้วสรุปความได้ว่า “ความคาดหวังต่อลูกของพ่อ-แม่นั้น เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการกำหนดชะตาชีวิตของเด็ก”

เคยนำเรื่องของ ‘Kim Ung-Yong’ มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับเส้นทางชีวิตที่เลือกจะขอมี ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความสำเร็จ’  https://thestatestimes.com/post/2023061701 มาเล่าแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้จะขอนำเรื่องราวของ ‘Zhang Xinyang’ อัจฉริยะชาวจีน ผู้ซึ่งจบปริญญาตรีในวัยเพียงอายุ 13 ปี จบปริญญาโท และเรียนปริญญาเอกด้วยวัยเพียง 16 ปี ปัจจุบันนี้เขาอายุ 28 ปีแล้ว แม้จะมีวุฒิปริญญาเอกติดตัว แต่ทุกวันนี้เขายังต้องขอเงินพ่อ-แม่ใช้อยู่เลย

‘Zhang Xinyang’ วัย 28 ปี ผู้ซึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘สุดยอดเด็กอัจฉริยะของจีน’ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “การนั่งเฉย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย คือกุญแจสู่ความสุขตลอดชีวิต” ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมานั้น Zhang กล่าวว่า ตอนนี้เขากำลังทำงานฟรีแลนซ์ และเขายังต้องขอพึ่งพาทางการเงินจากพ่อแม่ของเขาอยู่

Zhang เข้าเรียนปริญญาตรีที่วิทยาลัยวิศวกรรม Tianjin เมื่ออายุ 10 ขวบ โดยพ่อของเขาต้องลาออกจากงานเพื่อตามมาดูแล และแม่ของเขาซึ่งเป็นครู ต้องย้ายมาสอนที่โรงเรียนใกล้ ๆ ครอบครัวต้องพักอาศัยอยู่รวมกันในหอพักของมหาวิทยาลัย และเมื่ออายุ 13 ปี เขาได้เข้าเรียนในระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปักกิ่ง ซึ่งสร้างสถิติใหม่ในฐานะบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดของจีน ในปี ค.ศ. 2011 เด็กชายวัย 16 ปีผู้นี้กลายเป็นนักศึกษาปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์ประยุกต์ ที่มหาวิทยาลัย Beihang ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของกรุงปักกิ่ง

และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็เรียกร้องให้พ่อ-แม่ให้ซื้ออพาร์ตเมนต์มูลค่า 2 ล้านหยวน ในกรุงปักกิ่งให้เขา หากพวกท่านไม่ยอมซื้อ Zhang บอกกับพ่อ-แม่ของเขาว่า จะไม่ยอมสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของเขา และจะปฏิเสธข้อเสนอทุนระดับปริญญาเอกสำหรับเขาอีกด้วย

“พ่อ-แม่คาดหวังให้ผมอยู่ในปักกิ่งมากกว่าใคร ๆ ดังนั้น พ่อ-แม่จึงต้องพยายามเพื่อสิ่งนี้ด้วยอย่างหนัก” Zhang บอกกับพ่อแม่ของเขา ซึ่งมาจากเมืองเล็ก ๆ ในมณฑลเหลียวหนิง

ความต้องการของ Zhang ในขณะนั้น เกิดจากความเชื่อของเขาที่ว่า การเป็นเจ้าของบ้าน การได้งานที่ดี และการได้จดทะเบียนเป็นผู้อาศัยในกรุงปักกิ่ง ถือเป็นจุดเด่นของความสำเร็จในชีวิต และเพื่อเอาใจเขา พ่อ-แม่ของ Zhang ต้องลงเอยด้วยการเช่าอพาร์ตเมนต์ในกรุงปักกิ่ง แล้วโกหกลูกชายว่าเป็นอพาร์ตเมนต์ที่พวกเขาซื้อ นักวิจารณ์ออนไลน์บางคนกล่าวโทษพ่อ-แม่ของ Zhang ที่หมกมุ่นอยู่กับการปลูกฝังให้ Zhang เป็นเด็กอัจฉริยะ แต่ในที่สุดแล้ว… เด็กก็คือเด็ก

แม้ว่าในที่สุด หลังจากใช้เวลาศึกษามากว่า 8 ปี Zhang จึงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี ค.ศ. 2019 จากนั้นแล้ว Zhang Xinyang ทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัย Ningxia เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะลาออกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2021 ปัจจุบัน Zhang ทำงานอิสระ อาศัยเช่าอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในนครเซี่ยงไฮ้ และมีเงินในบัญชีธนาคารเพียงแค่ไม่กี่พันหยวน แต่ได้รับเบี้ยเลี้ยง 10,000 หยวนจากพ่อ-แม่ทุก ๆ 2-3 เดือน Zhang อ้างว่า “พวกเขาเป็นหนี้ผม” พร้อมเสริมว่า “อพาร์ทเมนต์ที่พวกเขาไม่เคยซื้อให้ผม ในตอนนี้น่าจะมีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านหยวนแล้ว”

อดีตเด็กอัจฉริยะรายนี้กล่าวต่อไปว่า เขาพอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของเขา Zhang พร้อมพูดถึงรายได้ที่น้อยนิดของเขาว่า “ผมสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต ไม่เพียงแต่ผมสามารถพึ่งพาพ่อแม่ได้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปู่-ย่า และ ตา-ยายอีกด้วย”

นอกจากนี้เขายังยอมรับว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างห่างเหินและเย็นชากับพ่อ-แม่ เพราะเขารู้สึกว่า พวกท่านทั้ง 2 คน ควบคุมเขามากจนเกินไป “เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการให้คำแนะนำกับผม” Zhang กล่าว

มุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไปของ Zhang และการพึ่งพาพ่อแม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการสนทนาออนไลน์อย่างดุเดือด อาทิ “เขามีพรสวรรค์ที่ดี” สมาชิก Weibo รายหนึ่งกล่าว “แต่เพราะพ่อ-แม่ของเขาหมกมุ่นอยู่กับการปลูกฝังความเป็นอัจฉริยะ และในที่สุดเขาก็ชดเชยกระบวนการเติบโตที่ขาดหายไปในอีกทางหนึ่ง” บางคนรู้สึกเสียดาย เมื่อนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของ Zhang โดยระบุว่า มันเป็น ‘ความล้มเหลวของอัจฉริยะ’

และในทางกลับกัน มีอีกหลาย ๆ คน ที่รู้สึกว่า ยังไม่สายเกินไปที่ Zhang จะกลับตัวเพื่อพลิกสถานการณ์ อาจารย์ Zhang Yuehui ผู้เคยสอนเขาในระดับปริญญาตรีบอกกับสื่อว่า เขารู้สึกว่าอดีตนักศึกษาของเขายังสามารถบรรลุ ‘สิ่งที่ยิ่งใหญ่’ ได้ ถ้าเขาต้องการ เพียงแต่ Zhang จะต้อง ‘ไม่ยอมแพ้และย่อท้อ’

ความสุขที่แท้จริงของพ่อ-แม่แล้ว ต้องเป็น การที่ได้รับรู้ว่า “ลูก ๆ ของพวกเขาเป็นคนดี”

‘อนุทิน’ เล็ง!! ‘ขยายเวลาปิดสถานบันเทิง’ หลัง ‘นายก’ สั่งการตรง หวังฟื้นฟูเศรษฐกิจ

เมื่อวานนี้ (5ต.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายขยายเวลาปิดสถานบันเทิงเพื่อรองรับการท่องเที่ยวว่าได้รับนโยบายนี้มาจากรัฐบาล ซึ่งเราก็จะพิจารณาจังหวัดท่องเที่ยวเป็นหลัก และดูโซนจังหวัดที่มีความเหมาะสมที่จะขยายเวลา รวมถึงต้องดูเรื่องความปลอดภัย หากปลอดภัยก็จะอนุญาตให้เปิดได้

เมื่อถามว่าจะนำร่องขยายเวลาปิดสถานบันเทิงในพื้นที่ท่องเที่ยวก่อนใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า คงไม่ใช่นำร่อง แต่เมื่อเป็นนโยบายของนายกฯ ที่สั่งการตรงมาที่ตน เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงผู้ที่ทำงานในระบบกลางคืนทั้งหมดที่เคยประสบปัญหาจากช่วงโควิด แต่ขณะนี้เราพ้นจากสถานการณ์โควิดมาแล้ว เราก็ต้องให้โอกาสพวกเขากลับมาฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของเขาให้เร็วที่สุด

ดร.สันติ เปิดงาน Roadshow and Consumer Fair Andaman

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2566 ณ ลานกิจกรรม ชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงใหม่แอร์พอร์ต จังหวัดเชียงใหม่ดร.สันติ ป่าหวาย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานพิธีเปิดงาน Roadshow and Consumer Fair Andaman  โดยมีนายชูชีพ ธรรมเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล นางนงคราญ ธรรมเพชร  รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่  นางสาวศศิธร กิตติธรกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ท่องเที่ยวและกีฬา กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการร่วมเป็นเกียรติ 

ดร.สันติ กล่าวว่า ตามที่ท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11- 12 ก.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลมีกรอบนโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศ ตามกรอบความเร่งด่วน ซึ่งนโยบายกรอบเร่งด่วนมีหลายเรื่อง โดยหนึ่งในนั้นคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจจากการผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักที่ต้องดําเนินการในเรื่องนี้ ขณะเดียวกัน เราได้เล็งเห็นศักยภาพของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ที่มีฐานทรัพยากร การท่องเที่ยวที่หลากหลายและมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะทรัพยากรการท่องเที่ยว ทางทะเล ที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลก ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและ ชาวต่างชาติอย่างมาก จากตัวเลขสถิตินักท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดอันดามันที่ผ่านมา สามารถแบ่งกลุ่มจังหวัดได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มจังหวัดที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า นักท่องเที่ยวไทย ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา ส่วนกลุ่มจังหวัดที่นักท่องเที่ยวไทย 

มากกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ คือ จังหวัดระนอง ตรัง และสตูล ด้วยความหลากหลาย และความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรม ทําให้กลุ่ม จังหวัดอันดามัน มีเสน่ห์ ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ไม่ซ้ํากัน เป็นสินค้าด้านการท่องเที่ยว อันทรงคุณค่า และน่าที่จะนําเสนอให้กับนักท่องเที่ยวได้รับรู้ในวงกว้าง และแพร่หลาย มากยิ่งขึ้น โครงการ Roadshow and Consumer Fair Andaman สินค้าชุมชนและบริการ ท่องเที่ยวของเครือข่ายท่องเที่ยวระดับประเทศ ที่จัดขึ้นนี้ ถือเป็นโครงการที่เป็น ประโยชน์อย่างยิ่งต่อการประชาสัมพันธ์ และการเปิดตลาด สินค้าด้านการท่องเที่ยว สินค้าชุมชนของกลุ่มจังหวัดอันดามันสู่สายตาประชาชน และนักท่องเที่ยวในภูมิภาค ได้เป็นอย่างดี และหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมเยื อน ทั้ง 6 จังหวัด ในกลุ่มจังหวัดอันดามันมากยิ่งขึ้น

สำหรับกิจกรรม “Roadshow and Consumer Fair Andaman มหกรรมจำหน่ายสินค้าชุมชนและบริการท่องเที่ยวของเครือข่ายการท่องเที่ยวระดับประเทศ” จัดขึ้นครอบคลุมพื้นที่ใน 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ระหว่างวันที่ 19 - 22 ตุลาคม 2566 ณ เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 9 - 12 พฤศจิกายน 2566 ณ เซ็นทรัลอุดร จังหวัดอุดรธานี ภาคใต้ ระหว่างวันที่ 23 - 26 พฤศจิกายน 2566 ณ เซ็นทรัลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และภาคเหนือ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 5 - 8 ตุลาคม 2566 ณ เซ็นทรัลเชียงใหม่แอร์พอร์ต จังหวัดเชียงใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top